ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
รักพี่เอ๋ย
๑.
“ลอตเตอรี่คร๊าบ ลอตเตอรี่ วันนี้รวยพี่ วันนี้รวย”
เสียงร้องเรียกลูกค้าจากชายผู้พิการทางสายตา ดังแข่งกับเสียงยวดยานพาหนะบนท้องถนน หากแต่ไม่ได้ทำให้ผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปมาบนบาทวิถี สนใจเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับแผงลอตเตอรี่ของพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน แผงของชายตาบอดมีสลากกินแบ่งรัฐบาลเหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบใบเท่านั้น เรียกว่ามีให้เลือกน้อย แถมสลากที่เหลือคงมีแต่ตัวเลขที่ไม่ ‘สวย’ พอ จึงไม่เป็นที่ถูกใจสำหรับคอหวยเท่าไหร่นัก
ภาพการแข่งขันทำมาหากินตามริมฟุตบาท ในเมืองหลวงของประเทศอย่างกรุงเทพมหานครแบบนี้ คงดูชินตาสำหรับผู้คนเมืองใหญ่ ด้วยไม่มีอะไรที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษนัก ถ้าไม่บังเอิญว่าแผงของผู้พิการทางสายตานั่นจะไม่มีฝรั่งผิวขาว ตัวโต ผมสีน้ำตาลอมทอง ก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าแผง และทำท่าเหมือนกำลังจะซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากชายตาบอดผู้นั้น ซึ่งเรียกความสนใจจากผู้คนโดยรอบได้มากพอควร รวมไปถึงคนที่ใช้รถอยู่บนท้องถนนอย่างอิสรีย์เช่นกัน
เธอเผลอยืดตัวขึ้นจากที่นั่งคนขับด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าคนตาบอดคนนั้นจะสามารถขายลอตเตอรี่ให้กับชาวต่างชาติได้อย่างไร จะพูดคุยกันรู้เรื่องและขายได้สำเร็จหรือไม่ ทว่าความอยากรู้อยากเห็นของเธอกลับถูกขัดจังหวะจากเสียงเล็กๆ ที่ตะเบ็งมาจากเบาะด้านหลัง
“พี่เอ๋ย...น้องแอ้ปวดเยี่ยว!”
หัวคิ้วของอิสรีย์กระตุกยึกเข้าหากัน ก่อนเปลี่ยนไปตีหน้ายักษ์ เมื่อหันกลับมาเห็นหลานชายวัยห้าขวบ กำลังทำปากจู๋ยืนหนีบขาอยู่บนเบาะหลัง แถมสองมือเล็กป้อมยังกุมเป้ากางเกงของตนเองเอาไว้แน่น
“พูดจาไม่เพราะเลย คุณครูไม่ได้สอนหรือไง แล้วนี่ใครใช้ให้ยืนบนเบาะรถหาเจ้าแอ้! นั่งลงมาดีๆ เลยเรา”
หากเจ้าตัวเล็กไม่สน ปฏิกิริยาเรียกร้องทางกายมีอิทธิพลเหนือคำสั่งใดๆ ทั้งมวล “ก็น้องแอ้ปวดเยี่ยวนี่”
“บอกว่าให้พูดเพราะๆ ไง”
พ่อหนูน้อยทำปากยื่น หากสุดท้ายแล้วก็ยอมเปลี่ยนคำในที่สุด “น้องแอ้ปวดปัสสาวะ น้องแอ้อยากจาเข้าห้องน้ำ”
“อั้นไว้ก่อนน้องแอ้ อีกแป๊บเดียวก็จะถึงโรงเรียนแล้ว” เธอปลอบหลาน แม้รู้ดีว่าชั่วโมงเร่งด่วนการจราจรติดขัดแบบนี้ คงเป็นไปได้ยาก ที่จะขับรถไปถึงโรงเรียนอนุบาลรวดเร็วดังปากว่า
“แล้วเมื่อไหร่จาถึง ไมพี่เอ๋ยไม่ยอมขับรถ น้องแอ้ปวดฉิ้งฉ่องจาตายอยู่แล้วน้า!” พ่อหนูน้อยโวยวาย
“รอให้ไฟเขียวมาก่อนถึงจะไปได้ เป็นลูกผู้ชายก็ต้องอดทนหน่อยสิ”
“งั้น...งั้นน้องแอ้ยอมเสียสละเป็นลูกผู้หญิงก็ได้”
“เว้ย! มานั่งข้างหน้านี่เลยมา” เธอว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดคอนโซลหน้ารถ มือบางคว้าขวดน้ำเปล่าขึ้นมาขวดหนึ่ง ยามฉุกเฉินมันก็ต้องไอ้นี่แหละ
“ไม่เอา” เจ้าตัวดีโวยลั่นเมื่อเห็นของในมือ “นั่นมันกระติกน้ำของน้องแอ้นะ”
“ใช่ซะที่ไหนเล่า” อิสรีย์มองขวดพลาสติกในมือ มันก็แค่ขวดชาเขียวธรรมดาขวดหนึ่ง หากจะมีพิเศษหน่อยก็ตรงฝาขวด ที่ทำเป็นแบบหลอดสำหรับดูดน้ำขึ้นมาได้เลย
“ไม่เอาอันนี้อ่ะ”
“ตามใจ งั้นทนปวดเอาแล้วกัน มีขวดเปล่าเหลืออยู่ใบเดียวด้วยเนี่ย” อิสรีย์ว่าให้อย่างไม่แยแส ชักเริ่มหมดความอดทน อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ ไอ้แอร์บ้าก็ดันมาเสียซะฉิบ ลมไม่มีกระดิกมาซักแอ่ะ หน้าต่างทั้งสองด้านก็เปิดได้แค่ครึ่งไม่กล้าเปิดหมด เพราะกลัวฝุ่นควันพิษที่อยู่รอบข้าง แค่นี้ก็ทำเอาหน้ามืดจวนเจียนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
ใบหน้าเล็กๆ บิดเบี้ยว ทนจนทนไม่ไหวสุดท้ายพ่อหนูน้อยก็ต้องยอมจำนน ปีนตุบตับมานั่งที่เบาะหน้าคู่กับเธอ ยอมใช้เจ้าขวดชาเขียวนั้นแทนคอมฟอร์ดร้อยจนได้
“ป้าเอ๋ย...ต้องซื้อกระติกน้ำใหม่ให้น้องแอ้ด้วยนะคับ” เจ้าตัวเล็กสั่งจ๋อยๆ หลังจากปลดทุกข์เบาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากการช่วยเหลือของอิสรีย์
หัวคิ้วของผู้ถูกเรียกขานแทบจะชนติดกันทันที กับสรรพนามตามศักดิ์อันแท้จริง ‘ป้า’ ก่อนที่เจ้าตัวจะแหวออกมาเสียงเขียว
“ไอ้แอ้! เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ”
“ก็ ‘พี่เอ๋ย’ ไงคับ” เจ้าตัวดีตีหน้าสื่อตาใส เปลี่ยนคำนำหน้าอย่างฉับพลัน
“กะล่อนตั้งแต่เด็กเชียวนะเจ้าแอ้ จำไว้ให้แม่นๆ เลยนะเฟ้ย ถ้าเผลอหลุดเรียกแบบเมื่อกี้อีก...ตาย!” เธอแกล้งขู่เสียงเหี้ยมก่อนจะกำชับถามหลานตัวน้อยอีกครั้ง “ต่อหน้าคนอื่นต้องเรียกพี่เอ๋ยว่าอะไรนะ เด็กชายโอสธี”
ใบหน้ากลมขาวพยักหงึกหงักกับคำสั่งสอนที่ถูกเพียรย้ำอยู่บ่อยครั้ง “รู้คับ ห้ามเรียกพี่เอ๋ยว่าป้าเอ๋ย ต้องเรียก...พี่อิส”
“เออเก่ง”
หลังจากทำความตกลงกับหลานรักได้สำเร็จ ไฟจราจรบนท้องถนนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี อิสรีย์ลืมความสนใจอยากรู้อยากเห็นก่อนหน้านั้นไปเสียสนิท ก็แค่ภาพชีวิตของคนทำมาหากินของคนๆ หนึ่ง ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้คนอีกนับแสนนับล้านที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแค่ผ่านตาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องจดจำให้รกสมอง สำหรับเธอในตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าพาหลานชายตัวน้อยไปส่งถึงโรงเรียนให้ทันเวลา และพาตัวเองไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานก็เท่านั้นเอง
.
.
.
.
.
“ขอร้องเหอะไรท์ งานฉลองครบรอบยี่สิบปีของบริษัทคืนนี้ นายต้องไปให้ได้นะ ห้ามเบี้ยวโดยเด็ดขาด!”
ไรคิ้วสีน้ำตาลเข้มของผู้ถูกร้องขอเลิกขึ้นสูงอย่างนึกขำ กับท่าทางที่เหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ของทิษณุ ผู้ที่เป็นทั้งญาติและสหายสนิท เรวินท์เห็นแล้วนึกอยากแกล้งนิดหน่อย เขาจึงเอ่ยสัพยอกออกมาเหมือนกับว่าไม่ยี่หระต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
“ทีงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปียังเคยขาดมาแล้วเลย นับประสาอะไรกับงานเลี้ยงวันเกิดของบริษัท ขาดฉันไปสักคนคงไม่ถึงกับทำให้งานคืนนี้ล่มหรอกน่า”
“ก็เพราะนายคิดอย่างนี้นะสิ คราวที่แล้วพวกเราถึงโดนเสี่ยปองไล่บี้เอาแทบตาย คิดดูสิผู้ถือหุ้นใหญ่กลับไม่ยอมเข้าร่วมประชุม”
“นั่นสิ ถ้าพ่อมาเข้าประชุมด้วยก็คงได้วิ่งหนีกันป่าราบไปข้างหนึ่งล่ะ”
“ไอ้ฝรั่งบ้า เสือกเอาบุพการีมาล้อเล่นนะ” ทิษณุว๊ากใส่อย่างเหลืออด ที่เพื่อนเห็นเป็นเรื่องขันไปได้ ก็เพราะอาเอกภพของเขา หรือบิดาของเรวินท์นั้นท่านสิ้นบุญไปด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว
“เอ้าพูดเรื่องจริงนี่”
‘ฝรั่งบ้า’ ยังคงยั่วแหย่ไม่เลิก ปากบางแย้มยิ้มนัยน์ตาสีฟ้าใสเริงรื่น
“ไม่ต้องมานอกเรื่อง สรุปว่าจะไปรึเปล่า”
“จำเป็นต้องไปด้วยเหรอ ขาดไม่ได้เชียวรึ” เรวินท์ไม่ตอบแต่เปลี่ยนเป็นถามกลับแทน
ทิษณุผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “พูดจริงๆ มันก็ไม่จำเป็นนักหรอก แต่ปีนี้มันออกจะพิเศษกว่าทุกปีนิดหน่อย”
“พิเศษกว่ายังไง”
“นี่แหละผลของการไม่เข้าร่วมประชุม เลยไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาแบบนี้ไง ทั้งที่บริษัทของตัวเองก็มี งานของ ‘อเมทิสต์’ ล้นมือจนทำแทบไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ฉันว่านายลาออกจากการเป็นคนสวนนั่นมาเหอะ”
“เรียกให้ถูกๆ หน่อย เขาเรียก landscape architect ต่างหาก” เรวินทร์ท้วงยิ้มๆ
“ครับคุณภูมิสถาปนิก แต่ขอบข่ายงานของนายมันก็ครอบคลุมหมดไม่ใช่เหรอ เป็นทั้งนักออกแบบ คนจัดสวน รู้อย่างนี้เรียนสาขาเดียวกับนายซะก็ดีหรอก ประยุกต์ได้หลายอาชีพดี”
ทิษณุเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าเรวินทร์ส่ายหน้าเหมือนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“อะไรไม่เชื่อเหรอ ถ้าเกิดนายไม่อยากเป็นภูมิสถาปนิกนายจะเปลี่ยนเป็นอาชีพอื่นได้นะ เช่นเป็นเกษตรกรก็ได้เพราะรู้จักต้นไม้ต้นไร่เป็นอย่างดี อีกทั้งรู้วิธีบำรุงดูแลรักษา หรือจะเป็นช่างสารพัดช่างก็ได้ เห็นแก้ซ่อมได้หมดทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ หรือจะเป็นนักบัญชีดีเพราะคิดคำนวณค่าแบบเก่งนี่”
“บ้า! นายก็พูดเว่อร์เกินไป
แลนด์สเคปนี่ภาษาไทยใช้ภูมิสถาปนิกเหรอ”
“อือ” เมื่อเห็นว่าญาติสนิทไม่คิดคัดง้าง ทิษณุก็เริ่มกล่อมอีกฝ่ายต่อ “นายคิดดูนะ ตอนนี้เศรษฐกิจที่อเมริกากำลังดิ่งลงเหวขนาดหนัก ฉันเห็นข่าวคนอเมริกันตกงานเพียบ ฉันว่าบริษัทที่นายทำอยู่ต้องมีผลกระทบบ้างแหละน่า อาจจะมีการลดเงินเดือนเผลอๆ มีการปลดคนงานชัวร์ ฉันว่านายกลับมาอยู่ประเทศไทยเหอะ ยังไงเศรษฐกิจบ้านเราตอนนี้ก็ดีกว่า อีกอย่างนายก็มีบริษัทมีงานรอให้นายมาทำอยู่อีกเพียบ”
“โอ.เค.ๆ เล่าเหอะ ขี้เกียจฟังเทศน์”
เรวินท์ว่าพลางยกมือขึ้นห้ามเหมือนยอมแพ้ ไม่ได้บอกความจริงว่าตัวเขานั้นลาออกจากบริษัทที่อเมริกาเรียบร้อยแล้ว ตามที่ทิษณุเดานั่นแหละ ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาว่างงานคงไม่แคล้วเร่งเร้าให้เขารีบเข้าทำงานในบริษัทแน่ แต่เขาอยากพักหัวสมองสักเดือนสองเดือนก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้งานที่อเมทิตส์ทีหลัง ซึ่งครานี้แหละเขาจะยอมทำแบบเต็มตัวเลย
“ก็เสี่ยปองพลน่ะสิ ประชุมคราวที่แล้วแกเสนอให้สรรหาประธานบอร์ดผู้บริหารคนใหม่ ขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ตอนนี้”
“ก็แล้วทำไมลุงสินไม่รับตำแหน่งนี้ซะล่ะ ไม่น่ามีปัญหาตรงไหนเลยนี่”
‘ลุงสิน’ ที่เรวินท์เอ่ยถึงก็คือ คุณสินทวีผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ของเขาและเป็นบิดาของทิษณุ
“มีสิทำไมจะไม่มี ในที่ประชุมตอนนั้นพวกผู้ถือหุ้นกับเสี่ยปองพลแกมีเสียงมากกว่า ก็เลยช่วยกันโหวตคัดค้านคุณพ่อ ที่ประชุมลงมติว่าให้คนที่ถือหุ้นมากที่สุดเท่านั้นมีสิทธิเป็นประธานบอร์ดบริหารได้”
“เอ้า! ตระกูลทยากรของเราก็ถือหุ้นมากที่สุดอยู่แล้วนี่”
“ใช่ที่นายพูดมาก็ถูก แต่เสี่ยปองกับพรรคพวกไม่ยอมนี่ แกอ้างว่าเมื่อเทียบสัดส่วนระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกันเป็นรายบุคคลแล้ว เสี่ยเขามีหุ้นในบริษัทมากกว่าของคุณพ่อซะอีก เพราะฉะนั้นคนที่มีสิทธิขึ้นเป็นประธานบอร์ดบริหารคนต่อไป น่าจะเป็นเสี่ยมากกว่า ทีนี้พวกที่ประชุมดันบ้าจี้เห็นดีเห็นงามกะเสี่ยปองไปด้วยสิ ว่าประชุมครั้งหน้าจะทำการคัดเลือกประธานบอร์ดกัน”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ เดี๋ยวพอเปิดประชุมครั้งต่อไป ฉันจะช่วยออกเสียงให้ลุงสินได้ขึ้นเป็นประธานบอร์ดเอง”
“เออดี...ป่านนี้มันคงทันหรอกนะ เสี่ยปองแกเตรียมแถลงข่าวเปิดตัวแกเองอยู่รอมร่อในคืนนี้แล้ว นายเพิ่งมาคิดให้เปิดประชุมใหม่ไม่ช้าไปหน่อยเหรอไง” ทิษณุอดไม่ได้ที่จะเหน็บญาติสนิทเล็กๆ
“แต่ก็ยังไม่สายไม่ใช่เหรอ ยังไงก็น่าจะยังยับยั้งทันนะ”
“ก็นี่ไงล่ะคือเหตุผลว่าทำไมคืนนี้นายก็ต้องมาร่วมงานเลี้ยงของบริษัทด้วย แล้วนายคิดว่าคุณพ่อกับฉันจะไม่เตรียมการณ์เอาไว้ก่อนแล้วบ้างรึไง”
“โอ.เค. ได้คืนนี้เจอกัน” เรวินทร์รีบพูดแทรกขึ้นมา
“เฮ้ย! อะไรวะทำไมถึงยอมตกลงง่ายๆ แบบนี้ล่ะ” ทิษณุขมวดคิ้วมองผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและญาติอย่างไม่เข้าใจ
“เอ้าก็นายบอกเองนี่ว่าถ้าฉันยอมไปงานเลี้ยงด้วย จะช่วยลุงสินได้เยอะเลย ฉันถึงยอมตกลงไปนี่ยังไงล่ะ มันน่าข้องใจตรงไหนหรือ” เรวินท์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ไม่มีหรอกไม่ข้องใจด้วย” ทิษณุว่าพลางโบกมือว่อน “แค่นายรับปากฉันก็โล่งใจเยอะแล้วว่ะ เออว่าแต่นายมีธุระจะไปที่ไหนต่อรึเปล่า”
“ก็ยังไม่มีโปรแกรมอะไรนะ แต่คิดว่าหลังจากมาหานายเสร็จ จะไปดูบริษัททัวร์แถวถนนข้าวสารซะหน่อย”
“ค่อยไปพรุ่งนี้แล้วกันนะ เดี๋ยววันนี้นายอยู่รอฉันเคลียร์งานช่วงเช้าสักหน่อยก่อน แล้วบ่ายๆ พวกเราค่อยออกไปหาชุดให้นายใส่ไปงานเลี้ยงคืนนี้กัน” ทิษณุบอกญาติเพราะรู้ว่าการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ เจ้าตัวคงไม่ได้เตรียมตัวหอบหิ้วเอาเสื้อผ้าอะไรมามากมาย นอกจากแค่มาท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น
เรวินท์เลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างแปลกใจกับคำพูดของญาติ เขาจึงเอ่ยแย้งขึ้นว่า “เฮ้...ถึงกับต้องหาชุดมาใส่กันเชียวรึเกินไปหรือเปล่า แค่สูทตัวหนึ่งก็น่าจะพอนะ”
ทิษณุหยิบบัตรเชิญใบหนึ่งขึ้นมาจากกองพร้อมกับร่อนไปให้อีกฝ่ายดู “โทษนะเสี่ยปองเขาระบุไว้งานเลี้ยงคืนนี้สุภาพสตรีสวมชุดราตรียาวส่วนสุภาพบุรุษต้องทักซิโด้เท่านั้น ไม่งั้นพี่แกไม่ให้เข้างานว่ะ”
ก๊อกๆ ๆ
เสียงเคาะประตูถี่ๆ ดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกับเสียงขออนุญาตของเลขานุการสาวหน้าห้องของทิษณุ ทำเอาสองหนุ่มหยุดชะงักการสนทนาลงชั่วคราว และผู้เป็นเจ้าของห้องก็เอ่ยปากอนุญาตให้ลูกน้องเข้ามาข้างในได้
“คุณทิษณุคะฝ่ายการตลาดพร้อมประชุมแล้วนะคะ”
“โอ.เค. ผมรู้แล้ว” ทิษณุพยักหน้ารับ เมื่อเลขานุการล่าถอยออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงหันกลับไปสั่งเรวินท์ “นายอยู่รอฉันที่ห้องนี้แหละ ศึกษาดูงานของบริษัทไปพลางๆ ก่อนนะ สักสองชั่วโมงแล้วเดี๋ยวฉันจะกลับมา”
“เฮ้ยไม่ต้องหรอก ฉันว่าระหว่างที่รอนาย ฉันไปจัดการหาซื้อชุดเองก่อนดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาทำงานของนายด้วย” เรวินท์บอกด้วยความเกรงใจพร้อมกับลุกยืนหยิบเป้ขึ้นสะพายบ่า
“เอางั้นเหรอ” ทิษณุถามกลับอย่างไม่แน่ใจนัก
“ก็แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว”
“เออแล้วนายจะไปยังไง เอารถของฉันไปใช้สิ” ทิษณุรีบควักกุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกงและยื่นส่งให้เรวินท์
“ไม่ต้องวุ่นวายไปหรอก” เรวินท์ส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของเพื่อน
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่หว่าหรือว่าถ้านายไม่คุ้นไม่อยากใช้รถของฉัน รถของที่บ้านนายก็มีว่างๆ ไม่ได้ใช้ตั้งหลายคัน เดี๋ยวโทรบอกแม่เลี้ยงนายให้ลุงอ๊อดขับสักคันมาส่งให้ที่บริษัทนี่ก็ได้”
“ไม่ต้องเลยนะห้ามโทรหาคุณนาตเด็ดขาดเชียว” เรวินท์สั่งผู้เป็นเพื่อนเสียงเข้ม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมาทันที
“เฮ้ย...ล้อเล่นน่าใครจะโทรไปบอกยายนั่นวะ รู้หรอกน่า” ทิษณุกล่าวขำๆ เมื่อเห็นสีหน้าของญาติสนิทแค่เพียงเอ่ยถึงแม่เลี้ยงคนสวยเท่านั้น คนที่ทำตัวเหมือนไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดอย่างเรวินท์กลับมีปฏิกิริยาทันที
“ห้ามเด็ดขาดเชียว ถ้านายละเมิดคำสั่งคอยดูสิ คืนนี้ฉันไม่ไปร่วมงานแน่”
“ไม่ต้องมาขู่เลย ถึงไม่พบกันตอนนี้แต่ยังไงคืนนี้นายก็ต้องเจอกับเขาอยู่ดีนั่นแหละ”
เรวินท์นิ่วหน้าเอ่ยเสียงขรึม “นายก็กันเขาไว้สิ หางานเลี้ยงอะไรก็ได้ให้เขาไปอีกงาน จะได้ไม่ต้องมาเจอกันเลยยิ่งดี เรื่องแค่นี้นายน่าจะทำได้นะ”
“อุวะ สั่งเอาแต่ได้นิ” ทิษณุอุทานพร้อมกับเบ้หน้า
“นายทำได้น่าเรื่องแค่นี้เอง” เรวินท์เข้าไปตบบ่าญาติก่อนขอตัวลากลับ หากเจ้าตัวยังไม่วายหันสำทับทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องไป “ฉันเชื่อฝีมือนายนะ”
ทิษณุจำต้องพยักหน้ารับไปอย่างแกนๆ ส่วนสมองนั้นหมุนเร็วจี๋คิดหาทางออกตามคำสั่งของเรวินท์
.
.
.
.
.
จอดตรงนี้แหละพี่”
อิสรีย์สั่งแท็กซี่พร้อมกับยื่นเงินค่าโดยสารให้ ก่อนจะเปิดประตูรถก้าวฉับๆ อย่างรวดเร็ว สองเท้าซอยถี่ยิกด้วยความร้อนใจเพราะวันนี้เธอสายมากแล้ว โชคดีที่ส่งหลานชายถึงโรงเรียนอนุบาลได้ก่อนที่เจ้ารถซังกะบ๊วยนั่นจะไปตายข้างทาง กว่าจะโทรตามช่างซ่อมให้มาลากไปที่อู่ได้ ทำเอาเธอเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง
“เฮ้ย!” อิสรีย์ร้องอุทาน เมื่อไหล่ของเธอไปกระแทกเข้ากับฝรั่งตัวโต ทำเอาเธอถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าวทีเดียว เกือบว๊ากกลับอยู่แล้วเชียวโทษฐานไม่ดูตาม้าตาเรือ ถึงแม้จะเป็นคนต่างชาติก็ตาม ถ้า...
“โอ...ซอรี่”
คำขอโทษที่ตามมาอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย พร้อมกับอาการก้มหัวให้เหมือนเป็นเชิงยอมรับผิด ก็สามารถทำให้เธอยอมอภัยให้โดยง่าย ไม่ติดใจเอาความอันใดทั้งสิ้น แต่...ไอ้มือไม้ที่ยื่นเข้ามาเหมือนจะช่วยประคองนี่สิ ทำเอาอิสรีย์ตาเขียวปัดสั่งเสียงเข้มว่า
“สต๊อปยัวร์แฮนด์...หยุดมือของนายเลยนะ”
เรวินทร์กระพริบตาปริบๆ มือที่กางหยุดตามคำสั่งของหญิงสาวอัตโนมัติ เขาสบตามองเธอแบบงงงัน ทว่าแท็กซี่ที่กำลังจะแล่นจากไป ทำให้เขาเลิกสนใจคนตัวเล็กตรงหน้า รีบวิ่งไปดักและขึ้นแท็กซี่คันนั้นจากไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่สิบวินาที
“ฝรั่งบ้า! ไร้มารยาทจริงๆ เลย” คนที่โดนทิ้งแบบกะทันหันได้แต่ก่นด่าตามหลัง ก่อนจะเดินหัวเสียกลับเข้าสำนักงานของตนเองไป และเพียงแค่ย่างเท้าเข้ามาในห้องทำงาน เสียงร้องทักทายของหัวหน้างานดังขึ้นทันที
“ไอ้อิสมาแล้วเหรอ เดี๋ยวขึ้นไปชั้นสิบเอ็ด ดูคอมพ์ให้ฝ่ายการตลาดหน่อยสิ เห็นบอกว่าเสียอีกแล้วล่ะ”
“อะไรพี่พล เมื่อวันก่อนก็เพิ่งขึ้นไปดูมาให้ นี่เสียอีกแล้วเหรอใช้ของกันยังไง ไม่ใช่ช่างซ่อมคอมพ์ นะเป็นแค่โปรแกรมเมอร์!”
“เอาน่าเอ็งก็ หยวนๆ หน่อย ถ้าพี่ว่างพี่ขึ้นไปแล้ว แต่พี่ติดแก้บั๊กโปรแกรม เดี๋ยวต้องไปอินสตอลโปรแกรมใหม่ที่ฝ่ายจัดซื้อ ผู้จัดการฝ่ายนั้นมาเร่งยิกๆ จะเอาวันนี้พี่ต้องรีบทำ”
อิสรีย์เบะปากพลางเดินไปโต๊ะทำงาน “ไม่ต้องเลย อินสตอลโปรแกรมให้ใครทำก็ได้ อยากไปเจอน้องอุ้มมากว่าล่ะมั้ง”
“พูดอะไรของเอ็ง” หัวหน้าของเธอทำไก๋
“ไปดูให้ก็ได้ แต่อิสขอลาพักร้อนสิบวันนะพี่ เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย”
“เฮ้ย! เอ็งจะลาไปไหนวะตั้งสิบวัน
แล้วที่บริษัทจะทำยังไง”
“คนมีตั้งเยอะตั้งแยะ ขาดคนทำงานไปสักคนสองคนไม่ถึงขนาดทำให้บริษัทเจ๊งหรอกน่า”
“แต่แผนกไอทีเรามีแค่ห้าคนเองนะเอ็ง แค่นี้ก็ทำงานกันแทบหัวไม่วางหางไม่เว้นอยู่แล้วนา”
“อ้าว! คนมีธุระนี่ อีกอย่างนะตลอดเจ็ดแปดปีที่ทำงานมานี่ อิสไม่เคยใช้สิทธิพักร้อนเลยสักปีนะพี่” อิสรีย์เริ่มเสียงแข็ง “แล้วอิสก็เคยบอกพี่แล้วนะ ว่าให้เสนอกับพวกผู้บริหาร ให้ทางเขาจ้างพนักงานซ่อมคอมพิวเตอร์เพิ่มเป็นกิจจะลักษณะไปเลย ไม่ใช่มักง่ายเรียกใช้แต่พวกเรา จนทำงานของตัวเองจะไม่ทันอยู่แล้ว บริษัทรึก็ออกใหญ่โต ‘อเมทิสต์’ ขายเครื่องสำอางปีหนึ่งๆ ได้กำไรตั้งกี่สิบล้าน ลงทุนเรื่องแค่นี้ขนหน้าแข้งบริษัทไม่ล่วงหรอก”
“เออๆ เข้าใจแล้วไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้าก็ได้...ธุระอะไรของเอ็งล่ะว่ามา” คนเป็นหัวหน้าเสียงอ่อนลงทันที
“บัวมันลาออกไปแต่งงานได้สองวันแล้ว ส่วนไอ้แอ้มันกำลังจะปิดเทอมที่บ้านไม่มีใครดูมัน ต้องเอาไอ้แอ้ไปฝากพ่อให้ช่วยดูก่อน ระหว่างนั้นก็ต้องไปหาแม่บ้านคนใหม่มาแทนเจ้าบัวมัน” อิสรีย์แจงธุระของตนให้กับพลซึ่งสนิทสนมกันพอสมควรฟัง ก่อนจะย้อนถาม “หรือพี่จะให้อิสเอาไอ้แอ้มาเลี้ยงที่ทำงานนี่ด้วย”
“บ้าทำอย่างนั้นได้ยังไงเล่า” พลสะดุ้งเพราะรู้ฤทธิ์เดชหลานชายของลูกน้องดี ว่าเป็นตัวปัญหาขนาดไหน เด็กชายโอสธีนั้นทั้งยุ่งและซนยิ่งกว่าลูกลิง “แต่ว่า...”
“ตกลงนะพี่ อิสจะได้ยื่นใบลากับแผนกบุคคลเลย” อิสรีย์รีบรวบรัดตัดบทเมื่อเห็นว่าหัวหน้างานของตนกำลังลังเล “ระหว่างสิบวันที่กลับบ้าน สัญญาว่าจะเอางานกลับไปทำด้วย จะไม่ให้มีบั๊กอยู่ในโปรแกรมที่เขียนสักตัวเลย”
พลถอนหายใจ ก่อนตอบตกลงในที่สุด “ยอมก็ได้...สัญญาแล้วนะอย่าลืมทำตามที่พูดล่ะ”
“ขอบคุณนะพี่” อิสรีย์กล่าวขณะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้
“เอ้า...แล้วนั่งอยู่ทำไมไม่ขึ้นไปชั้นสิบเอ็ดเสียล่ะ”
“ไม่ได้หรอกต้องรีบพิมพ์ใบลาให้พี่เซ็นอนุมัติก่อน เกิดพี่เปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหันก็แย่สิ” อิสรีย์ว่าพลางกดเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และหันไปหยิบกระเป๋าเครื่องเขียนของตนออกจากกระเป๋าสะพายใบใหญ่ คิ้วโค้งมนขมวดเข้าหากันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เธอพยายามรื้อดูทุกซอกทุกมุมของกระเป๋า ตบไปตามเนื้อตัวก่อนจะโพล่งออกมา
“ซวยแล้ว! กระเป๋าเงินหายล่ะพี่พล”
“หายตอนไหน นึกดูดีๆ นะ ตกอยู่ในรถรึเปล่า แต่รถเอ็งเสียนี่หว่า”
“ไม่นะ จำได้ว่าจ่ายเงินค่าลากรถเข้าอู่ไปหกร้อยบาท” อิสรีย์เกาหัวแกรกๆ พยายามนึกทบทวนว่าตนไปพลั้งเผลอทำกระเป๋าเงินตกหล่นไว้ตอนไหน “หรือว่าตกอยู่ในแท็กซี่วะ
”
“พี่ว่าเอ็งรีบโทรไปธนาคารอายัดบัตรเอทีเอ็มกับบัตรเครดิตก่อนดีกว่านะ
และถ้าคิดว่ามันตกอยู่ในแท็กซี่ก็โทรไปแจ้งจส.ร้อยซะ ให้เขาช่วยตามให้ จำเลขทะเบียนแท็กซี่ที่ขึ้นมาได้รึเปล่า”
“ใครจะไปจำได้ล่ะพี่พล” อิสรีย์นิ่วหน้าพลางหยิบสมุดโน้ตมาเปิดหาหมายเลขโทรศัพท์ของธนาคาร
“เออ...เดี๋ยวพี่จะหาเบอร์จส.ร้อยมาให้เอ็งแล้วกัน แล้วกระเป๋าเงินหายแบบนี้คงไม่มีเงินใช้ล่ะสิ พี่ให้ยืมก่อนไหม”
“ขอบคุณนะพี่...ไม่รบกวนหรอก อิสยังพอมีเงินเหรอติดก้นกระเป๋าอีกสามร้อย” อิสรีย์เอ่ยอย่างเกรงใจ
“ถ้าขาดเหลือยังไงบอกพี่ได้นะ เดี๋ยวชั้นสิบเอ็ดพี่ให้โชคมันขึ้นไปดูแทนเอ็งก่อนแล้วกัน ส่วนเอ็งรีบเคลียร์งานที่ค้างๆ ไว้ให้เสร็จเลย” หัวหน้างานว่าก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาแทน
“ขอบคุณอีกครั้งนะพี่พล”
หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้าของตน พลางถอนหายใจนึกเซ็งในโชคชะตาของตน กับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นกับเธอไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนตลอดในช่วงเช้าวันนี้
.
.
.
.
.
(ต่อตอนหน้านะคะ)
++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ เป็นเรื่องใหม่ของแก้วชมพูนะคะ ขอคำแนะนำติชมจากนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น