ตอนที่ 18 : O W N E R 1 7 ★ อี ก ด้ า น ข อ ง คุ ณ
O W N E R 1 7 ★ อี ก ด้ า น ข อ ง คุ ณ
# PHUPHA
‘บ้านช่องน่ะหัดกลับซะบ้าง เกือบลืมไปแล้วว่าบ้านนี้มีลูก’ เสียงหวานแต่เฉียบขาดไร้อารมณ์ความรู้สึกที่ดังมาตามสายทำให้ผมเดาะลิ้นอย่างขัดใจ อารมณ์ดี ๆ หล่นฮวบลงแทบจะในทันที ผมขมวดคิ้วมุ่น เผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่น
“สนใจด้วยเหรอครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระด้างแบบที่รู้ว่าไม่ควรพูดกับคนเป็นแม่เท่าไร แต่แล้วไง...ผมต้องยอมให้อีกฝ่ายข่มอย่างเดียว เป็นที่รองรับอารมณ์อย่างเดียวหรือก็ไม่ แม่ควรจะรู้บ้างว่าผมเองก็มีอารมณ์ความรู้สึก คิดได้ โกรธเป็นเหมือนกัน ผมไม่ชอบให้ใครมาทำน้ำเสียงแบบนี้ใส่ แล้วก็พร้อมจะโต้กลับไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม
‘ฉันสั่ง!!!’ แต่พอบอกแบบนั้น เสียงจากปลายสายก็ดังตอบกลับมาด้วยระดับที่เกือบจะกลายเป็นกรีดร้องจนผมเบ้หน้า รีบดึงโทรศัพท์ออกจากหูทันที แต่ก็ยังได้ยินเสียงแว้ด ๆ ของแม่ดังออกมา ‘ฉันเป็นแม่แกนะ!!! อย่ามาเนรคุณ!!!’
คำต่อว่านั่นทำให้ผมกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกว่ามันเจ็บแต่ก็ไม่คิดจะคลายออก มือกำโทรศัพท์จนสั่นไปหมด พยายามข่มใจไม่ให้ขว้างอุปกรณ์สื่อสารรูปทรงสี่เหลี่ยมนี่ทิ้งให้พ้น ๆ แล้วตะคอกกลับไป “เออ!! แค่ไปก็พอใช่มั้ย! ว่าง ๆ จะโผล่หน้าไปให้ด่าเล่นแล้วกันนะครับ!! หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย ผมต้องทำงาน หาเงิน ไม่ได้ว่าง!!”
‘ภูผา!!!!!!!’
กึก!
ติ๊ดดด
พอขึ้นเสียงแล้วพูดจาแบบนั้นออกไป เสียงของคนเป็นแม่ก็กรีดร้องเรียกชื่อผม จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระแทกตามมาติด ๆ ก่อนที่สายจะตัดไป เดาว่าแม่ผมคงจะโกรธจนขว้างโทรศัพท์อีกนั่นแหละ ให้ตายสิ...ต้องซื้อให้ใหม่อีกแล้วรึไง
ปึก!
ผมวางโทรศัพท์ตัวเองลงบนโต๊ะทำงานแรง ๆ ระบายอารมณ์ไปที ยกมือขึ้นนวดขมับที่ปวดตุบ ๆ ทุกครั้งที่ทะเลาะกับแม่ ผมรู้ครับว่าผมก็ไม่ใช่ลูกที่ดีเท่าไรที่ไปพูดกับแม่แบบนั้น แต่แม่เองก็ไม่ใช่แม่ที่ดีเท่าไรสำหรับผมเหมือนกัน คำว่าแม่ลูกสำหรับผมมันแทบไร้ความหมาย ไม่ได้ดูสึกผูกพันธ์อะไรกับความสัมพันธ์แบบนั้นเหมือนคนอื่น ๆ เลยซักนิด
แต่มันก็แหงล่ะ...ความสัมพันธ์ของเรามันใกล้เคียงกับคำว่าคนแปลกหน้ามากกว่าครอบครัวเป็นไหน ๆ ไม่รู้ว่าวันนี้แม่อารมณ์ไหนถึงได้โทรมาหาผม แล้วเรียกให้กลับบ้าน ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่เคยจะสนใจใยดี หรืออยากเห็นว่าผมตายไปรึยังหรือยังไง?
นี่ก็ร่วมสามเดือนกว่า ๆ แล้วครับที่ผมย้ายมาอยู่กับเขิน กลับมานาน ๆ ครั้งตอนดึก ๆ หลังจากที่เขินหลับไปแล้ว ไปเอาของบ้างเอางานบ้าง แน่นอนว่ามันดึกกว่าเวลานอนของแม่ เพราะงั้นเราก็เลยไม่ได้เจอกันเลย แต่นั่นก็ดีสำหรับผมแล้วล่ะนะครับ เจอไปก็อารมณ์เสียเปล่า ๆ
ใช่ว่าผมอยากทะเลาะกับแม่ ใช่ว่ารู้สึกดีอะไรที่ต้องพูดจาแบบนั้น แต่มันช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็อีกฝ่ายพูดแบบนั้นใส่ผมก่อนเอง ผมไม่คิดว่าแค่เป็นแม่แล้วจะทำอะไรกับผมก็ได้หรอกนะครับ ผมจะดีก็ดีกับคนที่ดีกับผม จะร้ายก็ร้ายกับคนที่ร้ายกับผมเหมือนกัน ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นครอบครัวก็ตาม
ดูเป็นลูกอกตัญญู...แต่ผมก็แบบนี้แหละ
มันช่วยไม่ได้ แม่ไม่เคยให้ความสำคัญกับผม ดีไม่ดีอาจจะไม่มองผมเป็นลูกด้วยซ้ำ เพราะงั้นมันก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องเคารพอีกฝ่ายในฐานะแม่เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าไม่เคยพยายาม หรือไม่เคยคาดหวังให้ครอบครัวตัวเองเป็นแบบคนอื่น ๆ บ้างนะ แต่ผมก็คาดหวังจนเลิกคาดหวังไปนานแล้วล่ะครับ หวังลม ๆ แล้ง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้มันเหนื่อย ผมยอมรับความจริงที่ว่าครอบครัวตัวเองจะไม่มีทางเป็นเหมือนครอบครัวคนอื่นได้ตั้งแต่อายุเกือบสิบขวบ หลังจากวันนั้นที่เมียน้อยของพ่อกระเตงลูกของมันมาขอค่าเลี้ยงดู ตั้งแต่ตอนนั้น แม่ผมก็เปลี่ยนไป หาเรื่องทะเลาะกับพ่อไม่เว้นแต่ละวัน แถมยังไม่ค่อยสนใจใยดีผมอีก...แม่ดูควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้แล้วก็ชอบดุด่าว่าตีผม พ่อก็ไม่ใส่ใจ ทำแต่งาน งาน งาน! บ้านแตกสาแหรกขาดของแท้ ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนอยู่กับเรื่องแบบนั้นมาตลอด ผมในตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่พอโตพอผมก็รู้ว่าผมไม่ผิดอะไรเลยซักนิด ที่ผิดน่ะเมียน้อยของพ่อที่หน้าด้านมาแย่งพ่อไปแล้วยังกล้าเอาลูกมันมาเหยียบบ้านของผมกับแม่ต่อหน้าต่อตานั่นต่างหาก มันกับลูกมันนั่นแหละที่ผิด! มันทำลายชีวิตผม!!
ผมเกลียด...เกลียดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เกลียดมันกับลูกมันที่มาทำลายครอบครัวผม เกลียดพ่อที่กล้าทำแบบนั้นทั้ง ๆ ที่มีแม่อยู่แล้ว แล้วก็เกลียดแม่ที่เอาทุกอย่างมาลงกับผมทั้ง ๆ ที่ผมไม่ผิดอะไรเลย!
ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดซักอย่าง...แต่พวกเขากลับทำเหมือนว่าผมผิด
ทั้ง ๆ ที่ผมควรจะได้รับความรักจากพ่อกับแม่เหมือนกับคนอื่น ๆ แท้ ๆ
“เฮ้อ...” คิดแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ คิดเรื่องนี้ทีไรก็ปวดหัวตุบ ๆ รู้สึกใจมันหนัก ๆ ขึ้นมาทุกที รู้สึกแย่จนอยากอ้วก!
ผมสะบัดหัว พยายามไล่ความคิดแย่ ๆ ที่เกิดจากถ้อยคำของคนที่มีฐานะเป็นแม่แท้ ๆ ออกจากหัว แล้วกลับไปจดจ่อกับงานต่อ แต่ถึงจะโดนพูดแบบนั้นใส่ แต่ยังไงผมก็คิดว่าเร็ว ๆ นี้คงต้องกลับบ้านไปเจอหน้าอีกฝ่ายบ้างเหมือนกัน
ไม่รู้ทำไม ทั้ง ๆ ที่คิดว่าเกลียด แต่ก็ไม่เคยคิดจะตัดขาด...ถึงจะบอกว่าเลิกคาดหวัง แต่ส่วนเล็ก ๆ ในใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะคาดหวัง ทั้ง ๆ ที่ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ แต่ก็ยังเหลือพื้นที่เล็ก ๆ เอาไว้เพื่อคาดหวังความรักจากคนที่เรียกว่าเป็นครอบครัว
บางที...ผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง
...
ครืด...ครืด...
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว โทรศัพท์ส่วนตัวของผมก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผมขมวดคิ้ว เลือกที่จะกดตัดสายไปโดยที่ยังไม่ทันที่จะได้มองว่าใครโทรมา
บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครเลยครับ กับเรื่องครอบครัวแล้ว แค่สะกิดนิดเดียวก็เล่นเอาผมนอยด์ไปได้ทั้งวัน...ให้ตายสิ เวลาแบบนี้คิดถึงตัวหอม ๆ ของยิ้มหวาน ๆ ของเขินเป็นบ้า...
เดี๋ยวนะ...
เขิน
ใช่! ทำไมผมไม่โทรหาเขิน!!
ไอ้โง่ภูเอ๊ย! มึงจะทนนอยด์อยู่ทั้งวันทำไมวะ เวลาแบบนี้ โทรมาไปเจ้าของยิ้มสวย ๆ ที่ผมชอบดีกว่าเยอะ แค่ได้คุยกับเขินผมก็คงสบายใจขึ้นไม่น้อย เสียงนุ่ม ๆ เนือย ๆ ของเขินมันสามารถทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะครับ
คิดแล้วก็สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อปรับสภาพอารมณ์ที่ยังนอยด์ ๆ นิด ๆ ของตัวเองให้สงบลง กันไม่ให้ตัวเองเผลอไประบายอารมณ์หงุดหงิดใส่อีกฝ่าย เหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาทุ่มกว่า ๆ ...เลยเวลาเลิกงานไปตั้งนานแล้วนี่หว่า นี่ผมเครียดขนาดทำงานจนลืมดูเวลาเลยหรือไง
ส่ายหัวกับตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทั้ง ๆ ที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเพิ่งจะกดตัดสายใครซักคนที่โทรเข้ามา ถ้าให้เดาคงเป็นไอ้เบียร์เจ้าเก่าโทรมาถามว่าจะไปเที่ยวผับมันบ้างมั้ย เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปนั่นแหละครับ
“ชิบ...”
แต่ประวัติการโทรที่ขึ้นมากลับกลายเป็นชื่อที่ผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายโทรหาผมก่อน...ชื่อของเขินที่เมมไว้พร้อมกับรูปหัวใจต่อท้ายยังกับสาวน้อยเพิ่งมีรักแรกนั่นเด่นสะดุดตาจนเผลอกลืนน้ำลายอึก รู้สึกว่ามีก้อนเหนียว ๆ ติดอยู่ที่คออย่างบอกไม่ถูก
เขินโทรหาผม! เขินคนที่โทรไปยังไม่ค่อยจะรับโทรศัพท์คนนั้นโทรหาผม!!
และ...ผมกดตัดสายเขา!!
ไอ้ภู ไอ้โง่ ไอ้หมาภูเอ๊ย มึงทำอะไรลงไปวะ!!!!?
ผมขยี้หัวตัวเองอย่างว้าวุ่นใจ แล้วรีบกดโทรออกกลับไปยังเบอร์ที่ขึ้นประวัติล่าสุด มืออีกข้างก็รวบเอกสารงานบนโต๊ะเก็บไว้ลวก ๆ หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ดดดดดดดดดดด
แต่รอสายนานเท่าไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับซักที จนกระทั่งโทรไปเป็นรอบที่สิบกว่า ๆ พร้อมกับที่ผมเดินมาถึงรถพอดีนั่นแหละครับ เลยตัดสินใจรีบเหยียบกลับร้านของเขินทันที
แปลก...ทำไมไม่รับ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทียังโทรมาอยู่เลย จะบอกว่าโทรศัพท์ไม่อยู่ใกล้ตัวก็เป็นไปไม่น่าได้
หรือว่าจะโกรธเพราะผมตัดสาย ทั้ง ๆ ที่เขาอุตส่าห์โทรมาแท้ ๆ
“เวรเอ้ย...” ผมสบถ เหยียบเร็วขึ้นอีก ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดอยู่หน้าร้านที่ปิดม่านและพลิกป้ายเป็น ‘CLOSE’ ไปเรียบร้อยแล้ว แสงสว่างจากภายในบ่งบอกว่ามีคนอยู่ข้างใน ทำให้ผมไม่รอช้า รีบดับเครื่องแล้วพุ่งเข้าไปไขประตูเปิดผางเข้าไปทันที
“โฮ่ง ๆ ๆ ๆ !!” สิ่งที่ออกมาต้อนรับผมเป็นอย่างแรกไม่ใช่เจ้าของบ้าน แต่เป็นไอ้พวกสี่ขาหน้าขนที่เดี๋ยวนี้คุ้นเคยกับผมจนเริ่มส่งเสียงแง้วง้าว กระโดดเกาะ ตะกายนู่นตะกายนี่เวลาผมกลับบ้าน เหมือนกับผมกลายเป็นเจ้าของพวกมันไปอีกคนแล้วซะอย่างนั้น
“เออ ๆ รู้แล้ว ๆ ” ผมทักพวกมันที่อุตส่าห์ออกมาหาแล้วสะบัดหางเกือบหลุดนิดหนึ่งด้วยการยกขาเขี่ย ๆ ตัวนุ่มนิ่มของพวกมันนิดหน่อย ก่อนจะกวาดมองไปรอบร้าน ทว่ากลับไม่เห็นร่างโปร่งของคนที่น่าจะอยู่ในร้านซะอย่างนั้น ทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น แล้วเริ่มเดินหา กวาดขาเอาไอ้พวกสี่ขาที่วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังออกไปด้วย “เจ้านายพวกแกไปไหนวะ”
“เขิน!” ผมเรียก โผล่หน้าไปด้านหลังร้านก็ไม่เห็น น่าแปลกที่วันนี้เขายังไม่พาพวกไอ้ตูบตัวใหญ่เข้าร้านมาเลยครับ ปกติน่าจะพาเข้าหลังจากปิดร้านนี่น่า...ผมขมวดคิ้วมุ่น หรือจะอยู่ชั้นบน “เขิน!!”
ตะโกนเรียกอีกรอบก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เดินหาทุกชั้น ทุกห้อง ขนาดห้องน้องอายยังถือวิสาสะเปิดเข้าไปดูแต่ก็ไม่มีใครอยู่ ทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น ลองโทรศัพท์หาอีกรอบก็ไม่มีใครรับสายเหมือนเดิม ขณะที่ขาก้าวลงจากชั้นสอง
Rrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrr
พอเดินลงมาชั้นล่างก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์...เดาได้ไม่ยากว่ามันเป็นของคนที่ผมกำลังโทรหาอยู่นี่แหละครับ หาไม่ยากเพราะมันร่วงอยู่ที่พื้น แล้วยังมีไอ้ตูบตัวเล็ก ๆ เห่าเหมือนโทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้ผมกดตัดสาย แล้วหยิบโทรศัพท์ของเขินขึ้นมา...จอแตกด้วย
“เขิน!!” ผมตะโกนเรียกอีกรอบ เริ่มใจคอไม่ค่อยดี มองไปทางเคาน์เตอร์ที่ด้านหลังเป็นครัวซึ่งผมมองข้ามไปตอนแรก เพราะปกติเขินจะไม่อยู่ในครัวเวลานี้น่ะครับ ไม่สิ...ปกติเขาไม่ค่อยเข้าไปในครัวเพราะอากาศมันค่อนข้างร้อน ส่วนใหญ่เขาจะเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเขาอยู่ในร้านมากกว่า ไม่ก็ขึ้นไปหาพวกตัวเล็ก ๆ ในห้องชั้นสอง
ผมวางโทรศัพท์ทั้งของตัวเองและของอีกฝ่ายไว้บนเคาน์เตอร์ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาในครัว นี่ถ้าไม่เจออีกผมจะแจ้งความแล้วนะ!! อย่างเขินจะไปไหนได้ในเวลาแบบนี้ ไม่มีทาง!
แต่พอเดินเข้ามาในครัว ผมก็ต้องยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งของอีกฝ่ายยืนหันหลังให้อยู่ตรงนั้น ให้ตายสิ...เมื่อกี้ห่วงแทบตาย ไม่รอช้าผมก็เรียกอีกฝ่ายทันที “เขิน!”
แต่เหมือนเสียงของผมจะดังไปหน่อย ร่างโปร่งของอีกฝ่ายถึงสะดุ้งโหยง แล้วห่อไหล่จนตัวที่บางอยู่แล้วดูเล็กลงไปอีก แถมยังสั่นนิด ๆ เดียว...เดี๋ยวสิ ปกติเขาน่าจะหันมาหาผม แล้วยิ้มให้สิ
“เขิน” ผมปรับระดับเสียงให้นิ่มขึ้นหน่อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรหน่อยจากทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งแล้วยืนตัวสั่นหันหลังให้อยู่เหมือนเดิมจนผมต้องรีบเดินเข้าไปใกล้อย่างงุนงง “เขิน เป็นอะไร โกรธที่ผมไม่รับสายเหรอ---เขิน!!!!!?”
ยังไม่ทันได้ถามอะไรให้จบประโยคดี ผมก็ต้องเรียกเขาเสียงดังออกมาอย่างตกใจอีกรอบ เบิกตากว้างมองร่างโปร่งที่พอได้ยินเสียงดังเข้าก็สั่นเทิ้มขึ้นมามากกว่าเดิม แต่จะให้ผมไม่เสียงดังได้ยินไงล่ะครับ ในเมื่อเขินของผมกำลังกำมีดแน่น...ไม่ใช่ด้ามมีดด้วย เขากำใบมีดคม ๆ แน่นจนข้อมือขึ้นข้อขาว เลือดไหลท่วมแถมเปรอะเปื้อนเสื้อที่ใส่อยู่ไปหมด
นี่มันไม่ปกติแล้ว!
ผมรีบตั้งสติ แล้วจับตัวเขาไว้ เขินสะดุ้งนิดหน่อยแต่ยังก้มหน้านิ่ง ทำให้ผมต้องค่อย ๆ แกะมือเขาออกจากใบมีดคม ๆ นั่น ให้ตายสิ...นี่มันต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลือดไหลเยอะจนหยดลงพื้นเลยด้วย เมื่อกี้ไม่ทันสังเกตเพราะมีหมาแมวดม ๆ พื้นตรงนั้นอยู่ ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่พอเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้วผมกลับกลัวจนมือสั่น มั่นใจว่าไม่ได้กลัวเลือดหรืออะไร แต่พอเห็นว่าเป็นเลือดของเขินแล้วผมกลับใจหาย กลัว...กลัวจะเสียเขาไป
“เขิน...เขินครับ เขินปล่อยนะ” ผมพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แล้วค่อย ๆ บอกเขา ทั้ง ๆ ที่ในใจตอนนี้อยากจะกระชากมีดออกจากมือให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าทำแบบนั้นเขินต้องเจ็บแน่ ๆ ผมลูบเบา ๆ ไปตามมือเปื้อนเลือดของอีกฝ่าย โอบกอดเขาจากด้านหลัง “เขิน เดี๋ยวเจ็บ...ปล่อยนะ ปล่อยเถอะ...”
ผมขอร้องอย่างใจหาย ยิ่งมองเลือดที่ไหลออกมาเต็มมือแล้วยิ่งกลัว ค่อย ๆ ดึงนิ้วเขาออกทีละนิ้ว ซึ่งเขินก็ไม่ได้ขัดเขินอะไร เหมือนตุ๊กตาที่จับให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เพราะใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดผมก็เอามีดออกจากมือเขินได้ซักที ผมเลื่อนมีดนั่นไปไกล ๆ แล้วมองมือเปื้อนเลือดของอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อ ให้ตายสิ...มันต้องแผลใหญ่มากแน่ ๆ เลือดไหลไม่หยุดเลย
ทำไงดี...ทำไงดีวะ ไอ้ภู คิดสิคิด! ใจเย็น ๆ แล้วค่อย ๆ คิด!!
ก่อนอื่นต้องล้างแผล ใช่...ล้างแผลก่อน!
“เขิน ล้างแผล...ล้างแผลก่อนนะ มาตรงนี้นะ” ผมค่อย ๆ พาร่างของอีกฝ่ายที่ไร้การตอบสนองไปที่อ่างล้างจาน เปิดน้ำเบา ๆ แล้วเลื่อนมือที่เต็มไปด้วยเลือดของเขาไปตรงนั้น
“โอ้ย!” แต่พอมือโดนน้ำ เขินที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ร้องออกมาเบา ๆ เป็นครั้งแรก ทำให้ผมต้องรีบดึงมือเขากลับอย่างตกใจ ก้มลงมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้านิ่งแล้วก็แทบช็อคไปอีกรอบ
“เขิน...ทำไม ทำไมเป็นแบบนี้...เขิน เขินอย่ากัดปากแบบนี้ อย่าร้อง อย่าร้องครับ...เขินอย่าร้องนะ...” ผมบอกออกไปอย่างลนลาน สัมผัสได้ว่าเสียงตัวเองสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังก้มหน้านิ่งอยู่ตลอดนั่นน้ำตาไหลเป็นสาย ร่วงเผาะ ๆ เต็มไปหมด แถมไม่ใช่แต่น้ำตา แต่ปากเขาก็เลือดไหล...กัดปากตัวเองจนเลือดไหล
ผมควรจะทำยังไงดี...ทำไมเขินถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ผมไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่น่าจะเป็นแบบนี้ไปได้ เขินที่ผมรู้จักไม่มีทางเป็นแบบนี้ได้
“เขิน...เขินเป็นอะไร ผมควรทำยังไง เขิน...เขิน ตอบผมหน่อย เขิน...” ผมเรียกเขา สภาพของเขินตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนสมองหยุดทำงานไปแล้วยังไงยังไง เลือดที่มือก็ยังไหล น้ำตาก็ยังร่วงเผาะ ๆ ปากก็ยังไม่ยอมคลาย
จับใช้มือสั่น ๆ จับแก้มเขาจนเลือดที่ติดมือผมไปเปื้อนแก้มเขาด้วย ยิ่งทำให้สภาพเขินแย่กว่าเดิมจนผมใจร่วงไปมากกว่าเดิม “เขิน...เขินมองผม มองผมนะ ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้...”
“...” เขินเหมือนช็อคกับอะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร น้ำตาเขาร่วงเป็นสายจนผมเห็นแล้วอยากจะร้องไห้ตาม แต่ก็ทำให้แค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามตั้งสติ กดริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขาเบา ๆ ซ้ำ ๆ สัมผัสได้ถึงรสคาวเลือดจากริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ทำให้ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
“อย่ากัด...เขินปล่อยปากนะครับ เขิน...ฟังผมนะ ที่รัก ฟังผมเถอะ...ได้โปรดเขิน ตอบผมหน่อย...อย่าเป็นแบบนี้...” ผมวอนขอเสียงสั่น ๆ กดริมฝีปากลงซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง “เขิน...มองผม ผมอยู่นี่ มีอะไร เกิดอะไรขึ้น บอกผมนะ บอกผมเถอะ...ผมอยู่ตรงนี้ ภูของเขินอยู่ตรงนี้นะ ภูอยู่ตรงนี้...เขิน ได้โปรด...”
“...”
“เขิน ที่รัก...ภูอยู่นี่ไง ภูอยู่ตรงนี้ มีอะไรบอกภูสิ...” ผมตัดสินใจรวบตัวเขาเข้ามากอดแน่น ๆ พยายามระวังไม่ให้โดนมือที่เลือดยังไหลไม่หยุดของอีกฝ่าย ลำดับความคิดรวนไปหมด...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะทำอะไรกันแน่ ที่ผมต้องการก็แค่อยากให้เขาตอบผมก่อน มองผม เห็นผมอยู่ในสายตาเหมือนเขินคนเดิม...
“...”
“ภูของเขินอยู่ตรงนี้ เขินอย่าทิ้งภู...มองภูเถอะ ตอบภูหน่อยนะครับ...”
“...คุณภู” แล้วในที่สุดคำขอของผมก็เป็นผลเมื่อเสียงแผ่ว ๆ ดังให้ได้ยิน ทำให้ผมผละออกมา มองอีกฝ่ายที่กระพริบตาปริบเหมือนกำลังงุนงง เขินยอมปล่อยปลายตัวเองแล้ว ยกมือตัวเองขึ้นมามองแล้วก็สั่นขึ้นมาอีกรอบ “เจ็บ...”
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรนะที่รัก...ไม่เป็นไรแล้ว...” ไม่รู้ว่าที่บอกนั่นกำลังบอกตัวเองหรือบอกคนเจ็บกันแน่ แต่เขินก็ยอมละสายตาจากมือตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม ก่อนที่น้ำตาจะร่วงเผาะออกมาอีก
“ผมขอโทษ...” ไม่รู้ว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะมีสติขึ้นมาบ้างแล้ว ผมก็เบาใจขึ้นมาบ้าง พยายามเก็บรวบรวมสติของตัวเองที่กระจัดกระจายหายไปกลับมา สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ลำดับความคิดใหม่
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ...ห้ามเลือด ห้ามเลือดก่อนนะ เขินไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวภูพาไปโรง’บาลเอง ไม่ร้องนะ...ไม่ร้องนะที่รัก” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดโต๊ะที่ตากไว้ตรงที่วางจานเหนืออ่างล้างหน้าที่ซักทิ้งไว้ทั้งแต่เมื่อวานมาก แล้วก้มลงไปมองมือท่วมเลือดของอีกฝ่าย พับผ้าลวก ๆ แล้ววางลงไปด้วยมือสั่น ๆ เลือดมันเยอะจนมองไม่เห็นว่าแผลใหญ่ขนาดไหนแต่ผมก็ไม่กล้ากดเพื่อห้ามเลือดให้...กดไปต้องเจ็บแน่ ๆ “เขิน...เขินห้ามเลือดก่อนนะ กำไว้นะ...”
“ขอโทษครับ...” เขายังพร่ำขอโทษไม่หยุด ขณะที่ผมส่ายหน้า จับข้อมือเขาไว้เบา ๆ แล้วเอ่ยย้ำ
“เขินไม่ต้องขอโทษ เขินไม่ผิด ไม่ผิดเลยนะที่รัก...ห้ามเลือดก่อนนะ กำผ้าไว้ก่อน ถ้าเจ็บก็ร้องเลยนะ ร้องเลย ไม่ต้องกลั้นนะครับ ไม่ต้องกลั้นไว้ เดี๋ยวภูเช็ดน้ำตาให้เอง...”
“อึก...เจ็บ...” พอขอร้องออกไปแบบนั้น ร่างโปร่งก็ยอมค่อย ๆ กำผ้าในมือไว้ ทำให้ผมได้แต่เม้มปาก พยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด แล้วล้างมือที่เปื้อนเลือดของตัวเอง เช็ดคราบเลือดคราบน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่ายให้นิดหน่อย ก่อนจะโอบไหล่เขาเดินออกจากครัวไป ลูบไหล่มนเบา ๆ ไปตลอดทาง
“เดี๋ยวไปโรง’บาลนะ เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว...แปปเดียวนะ...” ผมปลอบ รีบพาเขาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เขินนั่งนิ่ง ๆ อยู่เบาะข้างคนขับ น้ำตาหลุดไหลไปแล้ว แต่เขากำลังมองมือตัวเองนิ่ง ๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาลกัน ผมส่งเขินเข้าทำแผลทันที ดีที่เหมือนว่าเขินจะเคยมาโรงพยาบาลนี้ พอแจ้งชื่อไปก็มีข้อมูลอยู่พอดีทำให้ไม่ต้องทำบัตรใหม่ให้ยุ่งยาก พอเข้าห้องทำแผล ผมก็ถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอก ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ กุมมือตัวเองไว้อย่างเป็นกังวล
ทำไมเขินของผมเป็นแบบนี้...เขาต้องเจออะไรมาแน่ ๆ ถึงเป็นขนาดนี้
จะว่าไป...น้องอายเคยพูดจาแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องของเขิน...เรื่องที่เขินไม่ค่อยชอบยุ่งกับคน ตอนนั้นน้องบอกว่าให้ถามเขินเอง ไม่รู้ผมคิดมากไปรึเปล่า แต่นิสัยแปลก ๆ ของเขินอาจจะเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เขินกลายเป็นแบบนี้ไปก็ได้
ตอนแรกก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรร้ายแรง...แต่ผมคงคิดตื้นไป
“เวร...” แต่พอตั้งใจจะโทรหาเด็กสาวคนนั้น กลับพบว่าตอนออกมาดันรีบจนลืมหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนเคาน์เตอร์มาซะอย่างนั้น ทำให้ผมได้แต่พยายามทำใจเย็น แล้วรอจนกว่าอีกฝ่ายจะทำแผลเสร็จ ดีที่โรงพยาบาลตอนนี้ไม่ค่อยมีคนเพราะดึกแล้ว เขินเลยทำแผลได้เลยไม่ต้องรอ
รออยู่ซักพักในที่สุดเขินก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าพันแผลเต็มมือ ส่วนที่ปากมียาแต้มเอาไว้ ตาบวมจมูกแดงไปหมด แค่เห็นก็ปวดใจจะตายแล้ว
“เขิน...เจ็บมั้ยครับ” ผมรีบลุกขึ้นไปหา เกลี่ยนิ้วไปตามแก้มเขาเบา ๆ ทำให้ผมพยักหน้าน้อย ๆ อย่างตรงไปตรงมา
“เจ็บครับ”
“เจ็บแล้วทำทำไม...” พอถามออกไปแบบนั้น เขินก็เหมือนสะดุ้งนิด ๆ แล้วผละห่างจากผมไปนิดหน่อยจนผมต้องรีบยั้งปากตัวเองไว้ เขาต้องคิดว่าผมกำลังตำหนิเขาแน่ ๆ ...เวรเอ้ย ไม่น่าปากไวเลยไอ้ภู
“ขอโทษครับ ผมไม่ดีเอง” นั่นไง ว่าแล้ว...เขินตอนนี้ดูไม่ค่อยปกติจริง ๆ ด้วย ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตั้งสติใหม่ พยายามใจเย็นอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำเท่าไร
“ไม่...ไม่ครับ เขินดีที่สุดแล้ว เขินเก่งแล้ว...ดูสิ เพราะเขินอยู่นิ่ง ๆ หมอเลยทำแผลได้เร็วแบบนี้ไง เขินเก่งมาก เก่งมากนะครับที่รัก...” ผมรีบบอก ดึงเขามานั่งข้าง ๆ แล้วลูบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ “เขินของภูเก่งที่สุดแล้วครับ”
“ขอบคุณนะครับ” อีกฝ่ายยอมนั่งลงข้าง ๆ แต่โดยดี เขาเอ่ยออกมาแค่สั้น ๆ ไม่ได้ยิ้มอย่างที่เคย...แต่ตอนนี้ไม่อยากให้เขายิ้มหรอกครับ ถ้ายิ้มจะต้องเจ็บปากแน่ ๆ
เรานั่งรอรับยากันไม่นานก็มีเสียงประกาศเรียกชื่อเขิน ผมบอกให้เขานั่งรออยู่ตรงนี้แปปหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินไปรับยา ฟังรายละเอียดยาแต่ละตัวแล้วพยักหน้า
“...ต้องทำแผลทุกวันนะคะ แล้วก็ ก่อนหน้านี้คนไข้มีประวัติบำบัดโรคทางจิตเวช เมื่อครู่คุณหมอถามอาการคร่าว ๆ จากคนไข้แล้ว ยังไงคุณหมอแนะนำให้พาคนไข้มาพบจิตแพทย์วันหลังด้วยนะคะ” เสียงหวานของนางพยาบาลที่ถ่ายทอดข้อความทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองเขินที่นั่งนิ่ง ๆ มองมือตัวเองแล้วหันกลับมาถามอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก
“คุณหมายถึง...เขาเป็นบ้าเหรอครับ...” คำถามของผมทำให้พยาบาลรีบส่ายหน้าแล้วเอ่ยอธิบาย
“ไม่ใช่ค่ะ อาการทางจิตเวชมีหลายรูปแบบ ก็เหมือนกับอาการป่วยไข้หวัดที่มีหลายสายพันธ์นั่นแหละค่ะ ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจหรือแปลกอะไรหรอกค่ะ”
“ไม่ ๆ ครับ ผมไม่ได้รังเกียจเลย” ผมรีบปฏิเสธเมื่อเธอพูดแบบนั้น ผมแค่อยากทำความเข้าใจกับตัวตนของเขินในทุก ๆ ด้านก็เท่านั้น เหมือนกับที่เขาเข้าใจผม... “ผมแค่อยากรู้ว่าต้องปฏิบัติกับเขายังไง มีอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าน่ะครับ”
“ดิฉันเองก็แนะนำอะไรมากไม่ได้หรอกค่ะ แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ผู้อยู่ใกล้ไม่ควรต่อว่า หรือใช้อารมณ์กับผู้ป่วย เวลาที่เขาแสดงอาการแปลก ๆ ออกมานะคะ ยังไงต้องพยายามทำความเข้าใจแล้วใจเย็น ๆ กับผู้ป่วย” เธอบอกยิ้ม ๆ แล้วย้ำอีกรอบ “แต่ยังไง แนะนำให้มาปรึกษาคุณหมอโดยตรงดีกว่าค่ะ”
“อ่า ครับ ขอบคุณครับ” ผมพยักหน้าให้นิดหน่อย ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินกลับไปหาเขิน คุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่ายที่ยังนั่งก้มหน้าอยู่แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ จับข้อมือทั้งสองข้างของเขาเบา ๆ “ป่ะ กลับบ้านเรากันนะ”
“...อือ” ของมองผมนิ่ง ๆ แปปหนึ่ง ก่อนจะยอมพยักหน้ารับออกมาแล้วลุกขึ้นยืน ทำให้ผมลุกขึ้นตาม เลื่อนมือขึ้นไปโอบไหล่เขาไว้แล้วเดินกลับไปที่รถ
“เดี๋ยวกลับไปแล้วกินยาก่อนนะ แล้วคุณต้องทำแผลทุกวันด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมพามา” พอออกรถแล้ว ผมก็เริ่มบทสนทนาอีกรอบ คราวนี้พยายามขับรถช้า ๆ ไม่เหยียบอย่างที่ชอบทำ...ไม่รู้สิครับ ตอนนี้จะอะไรผมก็กลัวกระทบกระเทือนคนข้างกายไปหมด
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะครับ” อีกฝ่ายว่าออกมาเบา ๆ ดวงตาตก ๆ ที่ตอนนี้ยังบวมนิด ๆ มองผม “ผมคงเป็นเจ้าของที่ไม่ได้เรื่อง ที่ต้องให้คุณมาดูแล...จะไปตอนนี้ก็ได้นะครับ”
“ไม่เขิน...ไม่เอานะ คุณดีที่สุดแล้วจริง ๆ เขิน...ผมเป็นของคุณ ภูเป็นของเขินนะ เป็นภูของเขินคนเดียว ไม่ไปไหนหรอก ไม่ไปเด็ดขาด” ผมส่ายหน้า ยืนยันกับอีกฝ่ายแล้วเอื้อมมือไปวางบนหัวเขา ไม่กล้าขยับ...รู้ตัวว่าตัวเองมือหนักน่ะครับ จากที่จะลูบหัวคงกลายเป็นขยี้เอาแน่ ๆ แต่ก็อยากสัมผัส ให้รู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้ เหมือนกับทุกครั้งที่เขากอดผมไว้ตอนนี้ผมรู้สึกแย่
“ผมดูแลคุณให้ดีพอไม่ได้หรอกนะครับ...” แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวเบา ๆ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาจนผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังรู้สึกยังไงอยู่กันแน่ “ผมรู้ดีว่าผมไม่ปกติ จะเกลียดผม หนีผมไปก็ได้นะครับ ผมไม่โกรธหรอก”
แต่ถึงจะไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกันแน่ แต่ผมรู้ว่าผมกำลังรู้สึกแย่กับคำพูดแบบนั้นของเขา จนต้องจอดรถลงข้างทางแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองร่างโปร่งที่วันนี้ไม่น่ามองเท่าทุกวัน ดวงตาตก ๆ ที่ชอบมองผมนิ่ง ๆ เหมือนกำลังอ่านใจกันอยู่นั่นบวมนิด ๆ ริมฝีปากที่ชอบจูบก็แตกจนต้องทายาไว้ ไล่ลงมาถึงมือที่ชอบจับที่ตอนนี้พันผ้าพันแผลไว้ คงจับมือนิ่ม ๆ นั่นไม่ได้อีกหลายวัน แต่ถึงจะไม่น่ามองขนาดไหน ผมก็ยังอยากมองเขาไปเรื่อย ๆ อยู่ดี
ผมไม่เคยกลัวการสูญเสียอะไรมากมายขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยลนจนทำอะไรไม่ถูกเพียงเพราะเห็นเลือดหรือน้ำตา แต่เขินทำให้ผมกลายเป็นแบบนั้น เขาเป็นคนที่ทำให้ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเพียงแค่เห็นสภาพไม่สู้ดีของเขา เป็นคนที่ผมไม่รู้สึกรังเกียจหรือคิดว่ามันแปลกอะไรเลยถ้าเขาจะเคยบำบัดโรคจิตเวชหรืออะไรทำนองนั้น ตรงกันข้าม ยิ่งรู้ว่าเขากำลังป่วยทางใจแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมยิ่งอยากเป็นคนที่ดูแลเขามากกว่าเดิม อยากรู้จัก แล้วก็อยากเข้าใจตัวตนของเขาทั้งหมด
มันไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องดูแลผมอยู่ฝ่ายเดียว...แต่ผมอยากให้เราดูแลกันและกัน
เขินไม่ได้เข้มแข็งไปกว่าผม แต่ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมเสียความเป็นตัวเองไป เขาจะอยู่ข้าง ๆ แล้วคอยดึงผมกลับมาเสมอ...เขาเป็นคนที่วิเศษที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา
เพราะงั้น ถ้ามีครั้งไหนที่เขาเป็นฝ่ายล้มลงบ้าง ผมก็อยากจะเป็นคนที่ช่วยพยุงเขาขึ้นมาเหมือนกัน
ความรู้สึกของผมในวันนี้ทำให้ผมมั่นใจตัวเองได้อย่างชัดเจนว่าเขินคือคนที่ผมอยากจะหยุดตัวเองไว้ที่เขา ผมคนที่ผมจะเสียไปไม่ได้เด็ดขาด และเป็นคนที่ผมรัก...รักจนคิดว่าคงสามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ต่อให้ไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ตาม
แต่ผมก็เชื่อว่า เขินก็ยังคงเป็นเขินที่ถ้าผมให้ไปแล้ว เขาก็ต้องให้ตอบแทนกลับมาอย่างยุติธรรมแน่นอน
ผมค่อย ๆ ประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมอง กดริมฝีปากลงที่หน้าผาก ไล่ลงมาที่เปลือกตา และจบลงที่แก้มเนียน...วันนี้จะไม่จูบ เพราะเขายังเจ็บอยู่
“ภูรักเขินจริง ๆ นะ ตอนนี้ยังไม่ต้องรักตอบก็ได้ เขินไม่ต้องรีบนะ...เขินอยากรักภูเมื่อไรค่อยรักก็ได้ ภูเชื่อว่าภูทำให้เขินรักภูได้แน่ ๆ ” ผมหัวเราะเบา ๆ มองสบเข้ากับดวงตาตก ๆ คู่นั้น “หมาภูของคุณเขินเก่งจะตายเนอะ”
“ฮึ้...” แล้วในที่สุดความพยายามของผมก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อคนข้างกายยอมหัวเราะเบา ๆ ออกมาในที่สุด ทำยิ้มออกมาน้อย ๆ น้อยจนเหมือนแต่มุมปากกระตุก...แต่แค่นั้นก็ดีแล้ว
“ผมชอบให้คุณยิ้มนะรู้มั้ย แต่วันนี้คุณเจ็บแผลอยู่ เก็บไว้ยิ้มให้ผมหลังจากแผลหายนะ”
“ผมยิ้มเพราะคุณน่ารักนี่ครับ คุณภู” เขาว่า ขยับแก้มมาซุกอยู่กับมือผมนิดหน่อย “ขอบคุณนะครับ”
“ครับผม” ผมยิ้มกว้าง กดจมมูกลงที่หน้าผากของเขาเบา ๆ อีกที ก่อนจะกลับไปขับรถต่อเหมือนเดิม
ไม่ว่าเขินจะเป็นอะไร...ผมก็ยังรักอยู่ดี แต่ยังไงหลังจากนี้ก็คงต้องถามน้องอายให้รู้เรื่องว่าพี่ชายเธอเป็นอะไรกันแน่ ไม่งั้นผมคงดูแลให้ดีไม่ได้
ผมสงสัยจริง ๆ ว่าคุณผ่านอดีตแบบไหนมา ถึงได้มีอาการแบบนี้ซ่อนอยู่ในตัว...แต่เดาว่าคงไม่ใช่เรื่องนี้ เพราะงั้นผมจะไม่ถามคุณให้คุณต้องรื้อฟื้นอะไรแย่ ๆ ออกมาหรอก
ขอโทษนะน้องอาย แต่คราวนี้พี่คงต้องพึ่งน้องอีกแล้ว
...ทั้งหมดก็เพื่อเขินนะ
อุ๊...แก๊ เชื่อฉัน มันไม่ดราม่าเว้ยยยยยยยยยยยยย ไม่ดราม่าจริง ๆ !!
รับประกัน! 5555555555555555 ปมของคุณเขินค่อย ๆ เปิดเผยออกมาทีละนิดแล้วค่ะ
แล้วเราจะไปดูกันว่าคุณเขินเคยผ่านอะไรมาบ้าง กว่าจะกลายเป็นคุณเขินในวันนี้ แน่นอนว่าไม่ดราม่าจริง ๆ เว้ยยยยยย เพราะคุณเขินในตอนนี้เคยผ่านช่วงเวลาที่แย่ที่สุดมาแล้ว เพราะงั้น มันไม่ดราม่าจริง ๆ !!!
เอาจริง ๆ ตอนก่อน ๆ ที่พี่ภูบอกว่ารักคุณเขิน จริง ๆ แล้วมันเหมือนเป็นความรักที่ผสมกับความหลงอยู่หลายส่วนค่ะ เพราะพี่ภูเห็นคุณเขินแค่ด้านเดียว ที่ผ่านมาพี่ภูคิดแค่ว่าอยากให้คุณเขินรัก ไม่อยากปล่อยคุณเขินไปไหน แต่พอมาตอนนี้ พี่ภูเห็นอีกด้านที่ไม่น่ามองของคุณเขินแล้ว แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกแบบเดิมไม่เปลี่ยน เพิ่มเติมมากขึ้นคือความรู้สึกที่อยากดูแล ไม่ใช่แค่เราดูแลเขา หรือเขาดูแลเรา แต่เป็นเราดูแลกันและกัน สำหรับพี่ภู เรามองว่า ความรักมันไม่ใช่แค่ชอบ อยากอยู่ด้วย อยากดูแล แต่เราต้องยอมรับด้านที่อาจจะไม่สมบูรณ์แบบนักของอีกฝ่าย และรู้จักปรับตัวเข้าหากันด้วยค่ะ และในตอนนี้พี่ภูก็เรียนรู้มันได้แล้ว
เอาจริง ๆ เราคิดว่าโรคทางจิตเวชมันเป็นเรื่องปกติมากค่ะ...พอเขียนว่าโรคจิตมันอาจจะดูร้ายแรง แต่พอมาแยกองค์ประกอบดูความหมายของโรคชนิดนี้จริง ๆ แล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติมาก ๆ ค่ะ และมันไม่จำเป็นว่าคนที่เป็นโรคพวกนี้จะต้องบ้า สติไม่ดี แต่คนที่ดูปกติ ใช้ชีวิตได้ปกติเองก็เป็นได้เหมือนกัน เราคิดว่ามันไม่ได้แปลก เราก็แค่ป่วย พอป่วยก็ต้องหาหมอ กินยา รักษา แล้วมันก็จะหายได้แน่นอนนั่นแหละค่ะ ฮ่า...
อีกอย่างถึงคุณเขินจะป่วย แต่คุณเขินก็ยังน่ารักเหมือนเดิมนา ถถถถถถถถ
ย้ำอีกที ไม่ดราม่าจริง ๆ เชื่อฉัน 5555555555555
ขอฝากพี่ภู และคุณเขินไว้อีกตอนด้วยค่า บ้ายบาย
ปล.ติดแฮชแท็ก #ภูเขิน หรือ #ทาสเจ้าของแมว ได้สำหรับเรื่องนี้นะคะ
ปลล.โรงเรียนเปิดแล้ว แง้ ม.6 แล้วทำไมการบ้านยังเยอะอยู่อ่ะ ควรให้เวลาไปอ่านหนังสือสอบป่ะ ถูกม้ะ!? //อันนี้ไม่เกี่ยวกับนิยายแต่อยากสกรีม ฮืออออออ
ทั้ง 2 คนนี้ ต่างมีบาดแผลในใจสินะ ช่วยกันเยียวยาประคับประคองกันไปนะคะ
ชีวิตสองคนนี้มันดราม่าพอกันเลยนะ แต่ก็น่ารักอะ มันเหมือนคนไม่สมบรูณ์มาช่วยเติมเต็มกัน
อย่างพี่อัยย์กับพระพาย ในความรู้สึกเรา พี่อัยย์เป็นคนที่สมบรูณ์แบบเลยนะ ส่วนพระพายอาจจะขาด พอมาต่อกันมันพอดีกันก็จริงแต่เหมือนกว่าอีกฝ่ายจะเติมให้อีกฝ่ายเต็มก็ต้องใช้เวลา แต่คู่นี้เหมือนเติมให้เต็มง่ายกว่า (อันนี้คิดไปเองนะ ฮ่าๆ)
ปล.สู้ๆนะคะ เพื่ออนาคต มหาลัยอาจไม่ได้สำคัญมากถ้าเราโคตรเก่งจริงๆ แต่ถ้าเราเป็นคนปกติกก็จงใช้มันเป็นใบเบิกทางเพื่ออนาคตดีๆของเรา เริ่มเร็วกว่าก็มองข้อผิดพลาดได้มากกว่า ^_^
คุณเขินเป็นอะไร ฮืออออออ
เห็นคุณเขินเป็นแบบนี้แล้วเจ็บเลยอ่ะ
คุณภูสู้ๆนะคะ