ตอนที่ 13 : O W N E R 1 2 ★ ถ้ า จ ะ รั ก
O W N E R 1 2 ★ ถ้ า จ ะ รั ก
# PHUPHA
“ฮ้าว...” ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าท้องแบน ๆ ที่อยู่ภายใต้ชุดนอนตัวโคร่งของอีกฝ่ายเมื่อได้ยินเสียงหาวเบา ๆ เหลือบมองเวลาก็พบว่าเกือบห้าทุ่มแล้ว
“ง่วงแล้วเหรอ” พอส่งเสียงถามออกไป คนที่กำลังขีด ๆ เขียน ๆ บัญชีของร้านลงสมุดก็ก้มลงมามองผมที่นอนหนุนตักเขาอยู่ข้างหนึ่ง ส่วนพื้นที่ตักอีกข้างตกเป็นของแมวอีกตัวไป ส่วนเจ้าของใจดีก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้ง ๆ ที่ต้องเขียนบัญชี แต่ก็ยังยอมให้นอนหนุน ส่วนตัวเองต้องหยิบสมุดขึ้นมา แล้วใช้มือรองไว้เพื่อเขียนแทน จริง ๆ ก็อยากลุกให้เขาไปนั่งเขียนดี ๆ ที่โต๊ะหรอกครับ แต่ก่อนหน้านี้ลุกให้แล้ว ปรากฏว่าโดนไอ้ตูบตัวใหญ่แย่งที่แทน แทบคนที่อยากให้เขียนสบาย ๆ ก็ไม่ลุกไปไหนเหมือนเดิม สุดท้ายเลยผลักหมาออกแล้วแย่งพื้นที่บนตักเขากลับมา
“อือ...” เขาตอบรับเสียงเบา แล้วหันไปเขียนสมุดต่ออีกไม่นานก็ปิดมันลงเป็นสัญญาณบอกว่างานวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ผมกับเขาอยู่บนห้องนอนของเจ้าตัวนั่นแหละ เขินไปอาบน้ำตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้ว เปลี่ยนมาอยู่ในชุดนอนเข้าเซ็ตตัวหลวมไหล่ตกของเขาเหมือนเดิม แล้วก็มานั่งพิงขอบเตียงตัวเองทำบัญชีรายวัน เปิดประตูห้องทิ้งไวให้สัตว์เลี้ยงทั้งหลายแหล่ของตัวเองเข้าออกได้ตามสบาย ไม่สนใจว่าแอร์เย็นเฉียบที่เปิดไว้จะออกไปนอกห้องรึเปล่า
และผม...ในเวลาเกือบห้าทุ่มกว่า ๆ นี้ก็ยังนอนหนุนตักเจ้าของห้อง ไม่สนใจว่าที่ทำอยู่นี่มันจะเข้าข่ายรบกวนหรือไม่
ผมไม่อยากกลับบ้าน วันนี้เจอเรื่องขัดใจหลายอย่าง ไม่อยากจะกลับไปเจอแม่พูดเสียดสีใส่หรือเจอหน้าผู้ชายที่เป็นพ่อผมคนนั้นอีก...อีกอย่างเขินก็ยังไม่ออกปากไล่ เหมือนที่เขาเคยพูดไว้ว่าเขาไม่เคยไล่สัตว์เลี้ยงตัวเองออกจากบ้านนั่นแหละครับ คงเพราะด้วยสถานะแบบนั้น เขาถึงยังนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้ผมอยู่ได้ตามใจชอบ
“จะนอนรึยัง” ผมตีเนียนถามต่อ มองอีกฝ่ายที่พยักหน้าแล้วหาวออกมาอีกรอบ ท่าทางดูเชื่องช้ากว่าปกติเหมือนแบตฯ ใกล้หมดยังไงยังงั้น แต่ถึงจะง่วงยังไงก็ยังดูน่ามองอยู่ดี ผมขยับหน้าซุกเข้ากับหน้าท้องแบน ๆ ของเขินอีกรอบ แล้วขยับไปมา ๆ จนสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มเกร็ง แล้วผลักหัวผมออกมาเบา ๆ
“จั๊กจี้ ฮ่ะ ๆ ไม่เล่นแล้วนะ” เขาหัวเราะ ขณะที่ผมเองก็ยอมหยุด จับมือของเขาที่วางอยู่แถวขมับพอดีแล้วดึงมากุมไว้ กระตุกเบา ๆ ให้คนกำลังง่วงหันมาสบตา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมก้มลงมาหาแต่โดยดี พร้อมกับเสียงนุ่มที่ถามยิ้ม ๆ “จะเอาอะไรครับ”
พอโดนถามแบบนั้นก็อยากบอกว่าเอาคุณอยู่เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาอย่าเลยดีกว่า เดี๋ยวจะโดนตอกกลับมาหน้าหงาย “ยังไม่อยากกลับบ้าน”
บอกคำตอบเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่ไม่ค่อยเข้ากับอายุเท่าไรออกไป แต่คู่สนทนาก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงพยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วมองผม เหมือนจะบอกว่ากำลังรอฟังต่ออยู่ ทำให้ผมบอกออกไปตรง ๆ
“ผมค้างที่นี่นะ” เป็นคำขอที่เหมือนจะบังคับให้ตอบรับอยู่กลาย ๆ แต่เขินก็ทำแค่จ้องตาผมนิ่งไปแปปหนึ่ง ขณะที่ผมสบตาเขาไม่หลบไปไหน เดี๋ยวนี้พอโดนจ้องบ่อย ๆ เข้าก็เหมือนจะเริ่มชินแล้วล่ะครับ แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เก้อ ๆ อยู่เหมือนกัน ผ่านไปซักพัก เจ้าตัวก็กระพริบตาช้า ๆ แล้วพยักหน้า
“อือ” แล้วเสียงนุ่มของตอบกลับมาสั้น ๆ ไม่ได้พูดหรือซักถามอะไรต่อจนผมแปลกใจ...ยอมง่ายงี้เชียว แบบนี้มันก็ดีอยู่หรอกแต่ก็อดถามออกไปไมได้อยู่ดี
“ได้เหรอ?” อันที่จริงถ้าไม่ได้ก็พร้อมจะตื้อจนกว่าจะได้นั่นแหละครับ แต่นอนด้วยไม่เสียหายซักหน่อย ตอนนี้ผมแค่อยากอยู่กับเขา ไม่ได้ต้องการอย่างอื่นมากไปกว่านั้น แค่อยากอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจเท่านั้นเอง
“อือ” แต่เขาก็ยังตอบกลับมาสั้น ๆ เหมือนเดิมแล้วหาวหวอดออกมาอีกรอบ ผมขมวดคิ้วมองท่าทางแบบนั้นนิดหน่อย ยันตัวลุกขึ้นจากตักของอีกฝ่าย ยกมือขึ้นแนบหน้าผากแนบแก้มเพื่อวัดอุณหภูมิ เขินเองก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้ผมจับได้ตามใจชอบ
“เป็นอะไรรึเปล่า แก้มคุณเย็นมาก” เพราะเขินดูแปลก ๆ ไป ถึงปกติจะดูเนือย ๆ อยู่แล้วก็เถอะ แต่ตอนนี้เขาดูเชื่องช้ากว่าปกติ แถมยังตอบสั้น ๆ อีก อย่างน้อยก็ควรพูดอะไรมากกว่าแค่อือสิ อีกอย่างแก้มเขาเย็นมากด้วย หรือว่าจะไม่สบาย?
“ฮื่อ” คราวนี้เขาส่ายหน้า มือเย็น ๆ ดึงมือผมที่จับแก้มเขาอยู่ลง นี่เย็นทั้งตัวเลยนี่? “ง่วง”
แต่อีกฝ่ายดันบอกออกมาแค่นั้น ทำให้ผมขมวดคิ้ว “แต่ตัวคุณเย็น”
“แอร์ต่างหาก คุณก็เย็นครับ” เขาว่าออกมาด้วยเสียงเนือย ๆ ทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้น มองเครื่องปรับอากาศที่อยู่ในห้องนิดหน่อย เพิ่งรู้สึกว่าจริง ๆ ด้วยเองก็เย็น ๆ อยู่เหมือนกัน งั้นแสดงว่าที่ดูเอื่อย ๆ ลงนี่เพราะแค่ง่วง? ยังกับแบตฯ ใกล้หมดจริง ๆ ว่ะ... “นอนแล้ว”
“อ่ะ...” ผมบอกอีกฝ่ายที่ปล่อยมือผม อุ้มไอ้แมวที่อยู่บนตักลงไปวางที่พื้นดี ๆ แล้วก็หันหลังปีนขึ้นเตียงไป เอนตัวลงบนหมอนแล้วค่อย ๆ ปรือตาลง...เดี๋ยวนะ เดี๋ยว ๆ “ตกลงให้ผมนอนด้วยได้จริงนะ?”
“อยากนอนตรงไหนก็นอนเลยครับ คุณเป็นสัตว์เลี้ยงของผม...” อีกฝ่ายปรือตาเปิดอยู่ครึ่ง ตะแคงข้างมองผมแล้วยิ้มน้อย ๆ “ที่นี่ก็เหมือนบ้านคุณ”
“...” เขาว่าแล้วเงียบไป หลับตาลงแล้ว แต่ผมก็ยังได้แต่ยิ้มเป็นบ้า แล้วเท้าคางมองเขาอยู่ตรงขอบเตียงที่เดิมไม่ไปไหนอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วที่นี่ไม่ใช่บ้านของผมแท้ ๆ แต่น่าแปลกที่พออีกฝ่ายบอกว่าเป็นบ้านแล้ว ผมกลับรู้สึกอุ่น ๆ ในใจแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่ที่นี่ทั้งแคบกว่า รกกว่า แถมยังมีแต่สัตว์เต็มไปหมด แต่มันดันให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าไอ้บ้านจริง ๆ ของผมที่เหมือนจะเป็นแค่อาคารหลังใหญ่ที่มีพ่อกับแม่อยู่ในห้องใดซักห้องในนั้นซะอีก
“อาย” แต่พอจ้องเพลิน ๆ อยู่ ๆ ไอ้คนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกรอบ แล้วลุกขึ้นนั่ง เอ่ยถ้อยคำออกมาแค่พยางค์เดียว มือก็ควานหาอะไรบางอย่างไปทั่วเตียงจนผมแอบตกใจนิด ๆ กับท่าทางแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เขาตะมือแปะ ๆ ไปทั่วจนในที่สุดก็เหมือนจะเจอของที่ตามหา โทรศัพท์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานของเขานั่นแหละครับ...
ผมมองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มกดโทรหาใครบางคน ทั้ง ๆ ที่ปกติแค่รับโทรศัพท์ยังไม่ค่อยรับแท้ ๆ แต่นี่กลับเป็นฝ่ายโทรหา ถือสายรออยู่นานก็เหมือนจะไม่มีคนรับ แต่เขินก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ กดโทรออกซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ จนเข้ารอบที่ห้านั่นแหละครับ ถึงจะมีคนรับให้เสียงนุ่มได้เอ่ยออกไป “กลับบ้าน”
พอได้ยินถ้อยคำแบบนั้นประกอบกับคำที่เขาพูดตอนลุกขึ้นมาก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าคนที่อีกฝ่ายกำลังคุยด้วยคงไม่ใช่ใครหน้าไหน นอกจากอาย น้องสาวของเขานั่นแหละ
เขินไม่ได้คุยอะไรต่อ แค่บอกว่ากลับบ้านสองพยางค์แล้วก็ถือสายอยู่อีกแปปหนึ่ง คาดว่าจะกำลังฟังปลายสายพูด แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำแค่กดตัดสาย วางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน แล้วเปลี่ยนมานั่งนิ่ง ๆ แทน ปากก็หาวออกมาอีกรอบ ท่าทางดูก็รู้ว่าง่วงสุด ๆ แต่กลับไม่ยอมนอนซักที
“ไม่นอนแล้วเหรอ?” เห็นแล้วก็อดที่จะถามออกไปไม่ได้ ทำให้เขินหันมามองผมช้า ๆ จ้องนิ่ง ๆ เหมือนเดิมก่อนจะตอบ
“อายยังไม่กลับบ้าน” ทำไมผมรู้สึกเหมือนเขินตอนดีดูเหมือนตอนที่เราเจอกันวันแรกยังไงยังงั้นเลยวะ เขาดูนิ่งกว่าปกติ แบบ...นิ่งเหมือนกลายเป็นหุ่นยนต์ไปอีกแล้ว แถมคำตอบที่ตอบออกมายังไม่ปะติดปะต่อกับคำถามที่ผมถามไปก่อนหน้านี้เท่าไรอีกต่างหาก
“เดี๋ยวก็กลับ คุณนอนก่อนสิ ง่วงแล้วนี่” แต่ผมวันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกัน...คงเพราะผมเริ่มชินกับความแปลกที่น่าสนใจของเขินแล้วล่ะมั้ง
“ยังอยู่ผับ” แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาเหมือนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการคุยกับเขา ที่ว่ายังอยู่ผับหมายถึงน้องสาวเขาใช่มั้ย?
“แล้วไง? น้องคุณโตแล้ว ไม่ต้องห่วงมากหรอก คุณนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องพาหมาไปเดินเล่นตั้งแต่เช้าอีกนี่” ผมว่า แต่เขินก็ยังทำแค่จ้องผมนิ่ง ๆ ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา...เหมือนเขาปิดสวิตช์ตัวเองไปแล้วยังไงยังงั้นแหละ
“ผมรอ” ริมฝีปากอิ่มขยับตอบออกมาแค่นั้น ทำให้ผมเลิกคิ้ว
“คุณจะรอน้องคุณกลับ?” เป็นห่วงมากไปมั้ยนั่น เด็กอายนั่นปีสี่แล้วไม่ใช่รึไง(ไอ้เบียร์บอกมา) ผมว่าโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้วนะ ห่วงอะไรเยอะแยะ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ไอ้เบียร์ก็คงไม่ปล่อยให้กลับมาหรอกมั้ง “ผมว่าคุณนอนดีกว่า เหมือนคุณคุยไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนะ”
“ง่วง คิดไม่ออก” พอผมบอกออกไปตรง ๆ เขาก็ตอบกลับมาตรง ๆ ด้วยเช่นกัน ทำให้ผมเลิกคิ้ว มีงี้ด้วยเหรอวะ? สรุปวันนั้นที่ผมรู้สึกเหมือนคุยกับเขาไม่ค่อยรู้เรื่องนี่คือเขาง่วง เลยคุยไม่รู้เรื่องด้วยใช่มั้ย? ให้ตายสิ...เขินเหมือนกล่องแพนโดร่าเลย มีอะไรที่ไม่คาดคิดมาให้ผมแปลกใจตลอด
“งั้นยิ่งต้องนอน” ผมว่า กดไหล่เขาให้เอนลงไปนอนดี ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมเอนตัวลงไป แต่ก็ยังไม่หลับตาอยู่ดี
“...” เขาจ้องผมนิ่ง ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหาวหวอดออกมา แล้วก็กลับมาจ้องผมนิ่ง ๆ เหมือนเดิม ท่าทางจะไม่ยอมนอนจริง ๆ
“เขิน นอนได้แล้ว” ผมบอกออกมาอีกรอบ แต่เขินก็ส่ายหน้ากับหมอนที่หนุนอยู่ นี่นอกจากแปลกแล้วจริง ๆ ยังดื้อเงียบด้วยใช่มั้ย? ผมเริ่มขมวดคิ้ว จ้องเขาอย่างกดดันแต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลอะไรซักนิด สุดท้ายก็เป็นผมที่ถอนหายใจออกมาแล้วกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของผับเพื่อเช็คอะไรบางอย่าง
ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...
‘ไงมึง’ รอสายอยู่ซักพัก เสียงไอ้เบียร์ก็ดังมาให้ได้ยิน คลอกับเสียงเพลงในผับที่ดังแทรกมาตามสาย
“เออ” ผมทักกลับไป มองคนที่ที่เริ่มตาปรือ แต่ก็ยังไม่ยอมหลับซักทีแล้วรีบเข้าเรื่อง “อายอยู่ที่นั่นเปล่า”
‘หือ? ก็อยู่ มันมาเที่ยวกับเพื่อน มึงมีไร?’ ไอ้เบียร์ส่งเสียงอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมตอบกลับมา ทำให้ผมขยับยิ้ม ว่าแล้วว่าผับที่ว่าต้องเป็นผับไอ้เบียร์มัน...เห็นงี้แต่ผับมันก็เป็นที่นิยมในหมู่หนุ่มสาววัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคนตอนต้น ๆ ที่ยังติดเที่ยวอยู่เหมือนกันนะครับ
“เปล่า” ผมบอกแค่นั้นแล้วกดตัดสายไป เสร็จแล้วก็กลับมาคุยกับคนที่นอนอยู่บนเตียง “ตกลงคุณจะไม่ยอมนอนจนกว่าน้องคุณจะกลับบ้านใช่มั้ย”
“อือ” เขาตอบกลับมาสั้น ๆ หาวออกมาอีกรอบ ทำให้ผมได้แต่ส่ายหน้า...คนมันจะไม่หลับ บังคับยังไงก็คงไม่หลับอยู่ดี ก็เหลืออยู่ทางเดียวที่ให้เขาได้นอนซักที
“เดี๋ยวผมไปรับเอง คุณจะได้นอนซักที” ...ผมว่าผมลาออกจากบริษัทแล้วมารับจ็อบคนขับรถน่าจะรุ่งอยู่เหมือนกันนะ
“...” เขินจ้องผมนิ่ง ๆ อยู่แบบนั้น ไม่ได้ตอบอะไร ทำให้ผมยิ้มนิด ๆ ออกมาให้เขา อีกฝ่ายเป็นคนแรกเลยนะที่ผมอยากจะทำให้เพื่อเขามากขนาดนี้ ผมลูบแก้มเย็น ๆ ของเขาเบา ๆ แล้วลุกขึ้น เตรียมตัวจะออกไป ไม่ลืมหันไปบอกเขาอีกรอบ
“นอนไปก่อนก็ได้ น้องคุณกลับถึงบ้าน ปลอดภัยแน่นอน”
หมับ!
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกไปอย่างที่ตั้งใจ ข้อมือก็โดนจับไว้ซะก่อนทำให้ผมหันไปมอง เห็นเขินลุกขึ้นมานั่งอีกแล้ว ดวงตาตก ๆ จ้องผมนิ่ง ๆ ขณะที่ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“อย่าขับเร็ว” จ้องอยู่ซักพักนั่นแหละ เสียงนุ่มถึงจะเอ่ยออกมา “ผมรอ”
เขารู้ตัวมั้ยว่ากำลังพูดจาน่ารักออกมา แต่มองหน้านิ่ง ๆ นั่นแล้วคิดว่าคงไม่ แต่ช่างเถอะ ผมดีใจคนเดียวก็ได้
“ครับ” พอผมตอบรับ เขาก็ยอมปล่อยมือแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ให้...ให้ตายสิ ท่าทางแบบนี้ของเขาโคตรน่ารัก บอกไม่ถูก แต่ดูไร้การป้องกันตัว ถึงปกติจะไม่ค่อยมีอยู่แล้วก็เถอะ สุดท้ายผมก็อดไม่ได้ ก้มหน้าลงไปกดจมูกลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่ายที่โผล่พ้นเสื้อนอนตัวหลวมออกมาเบา ๆ สูดกลิ่นละมุนจากกายอีกฝ่ายนิดหน่อยก่อนจะยอมถอยออกมา “จะรีบกลับ”
เขินพยักหน้า แล้วก้าวขาลงจากเตียง ทำให้ผมเลิกคิ้ว
“คุณจะไปด้วยเหรอ?”
“ล็อคประตู” แต่พอถามแบบนั้นแล้วเขาก็ทำแค่ส่ายหน้าแล้วตอบออกมา ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว สภาพเขาแบบนี้ผมไม่ค่อยอยากให้ออกไปไหนโดยเฉพาะสถานที่อโคจรอย่างผับ...ชุดเขามันยังถอดยิ่งล้วงง่าย ๆ อยู่ การป้องกันตัวของเขาตอนนี้ก็ไม่มีซักนิด ไปที่แบบนั้นคงโดนลอกคราบชัวร์
“อ่า” ผมพยักหน้า ก่อนที่เราจะเดินลงมาจากชั้นสองด้วยกัน เขินมาส่งที่ผมหน้าประตู แล้วก็ล็อคประตูเรียบร้อย ส่วนผมก็ขึ้นรถแล้วขับไปยังจุดหมายทันที ก่อนหน้านั้นแวะไปเอาของใช้นิด ๆ หน่อย ๆ ที่บ้านด้วย คืนนี้เข้าบ้านไปไม่เจอใคร แต่ได้ยินเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันดังลั่น คงมาจากห้องไหนซักห้องในบ้านซึ่งผมไม่ได้สนใจ พวกเขาทะเลาะกันบ่อยจนผมไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะครับ เลยทำแค่บอกแม่บ้านว่าช่วงนี้คงไม่กลับบ้านซักพักแล้วออกไป ตรงไปรับน้องสาวของคนที่ถ่างตาไม่ยอมหลับยอมนอนต่อ
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงผับไอ้เบียร์ ยื่นบัตรประชาชนพอเป็นพิธีแล้วก็ผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย หาตัวเด็กอายก็ไม่ยากอะไร เพราะรู้ ๆ อยู่ว่าเด็กนี่มันคนพิเศษของไอ้เบียร์ ได้โซนวีไอพีตลอดอยู่แล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิดเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทตัวเองนั่งคุยเฮฮาอยู่กับคนที่มันบอกว่าชอบและเด็กหนุ่มสาวอีกสี่ห้าคนที่คาดว่าคงเป็นเพื่อนน้องอายนั่นแหละ
“ไอ้เบียร์” ผมทักเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ทำให้บทสนทนาในโต๊ะชะงักไปแปปหนึ่ง พร้อมกับที่ทุกสายตาหันมามองผม แล้วก็เป็นไอ้เบียร์ที่ยิ้มร่า
“ไง เมื่อกี้โทรมาซะกูงง นั่งดิ่” มันว่า แต่ผมก็ทำแค่ส่ายหน้า
“วันนี้ไม่ได้จะดื่ม” ผมบอก ก่อนจะหันไปหาคนที่ตั้งใจมาเอาตัวกลับไป ท่าทางยังดูมีสติอยู่ ไม่ได้เมาอะไร คงยังดื่มไปไม่เยอะ “กูมารับอาย”
“หนูเหรอคะ?” เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองงง ๆ ขณะที่ไอ้เบียร์ขมวดคิ้วมุ่น
“ไอ้ภู ผีเข้าเหรอมึง” มันถาม แต่ท่าทางนี่ระแวงสุด ๆ ยังกับกลัวว่าผมจะไปแย่งคนที่มันกำลังจีบ ทำให้ผมกรอกตามองบน บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้สนใจเด็กนี่
“เปล่า เขินรออยู่ที่บ้าน ไม่ยอมนอน บอกจะรอน้องกลับบ้าน กูถึงต้องมารับเนี่ย” ผมบอกเหตุผลออกไปตรง ๆ คราวนี้ไอ้เบียร์เลิกทำท่าระแวง แต่เปลี่ยนเป็นสงสัยแทน สงสัยแบบออกนอกหน้ามาก คงเป็นเรื่องของผมกับคนที่นั่งถ่างตารออยู่ที่บ้านนั่นแหละ แต่ผมไม่มีเวลาอธิบายอะไรตอนนี้ ก็เลยบอกปัด ๆ “เดี๋ยวเล่า กูพาอายกลับก่อน”
ผมว่าแล้วหันไปหาเด็กสาวที่อยู่ในหัวข้อสนทนา บอกออกมาเป็นชุด “กลับกับพี่ก่อน กลับดึก ๆ เขินเป็นห่วง ง่วงจนคุยไม่รู้เรื่องแล้วก็ยังฝืนรอ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”
“อ-เอ่อ...ค่ะ ๆ ” อีกฝ่ายดูเหมือนจะงง ๆ แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบรับออกมาแต่โดยดี หันไปบอกลาเพื่อน ๆ กับไอ้เบียร์นิดหน่อยแล้วเดินตามผมออกมานอกผับ พาตัวเองเข้าไปในรถโดยไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสอง พอเห็นว่าอีกฝ่ายคาดเบลท์เรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกรถทันที
ผมขับรถไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงแอร์ที่ดังเบา ๆ มาให้ได้ยิน จนอีกคนเหมือนทนความอึดอัดไม่ไหวหรืออะไรไม่แน่ใจ แต่เสียงหวานก็ถามขึ้น “เปิดเพลงได้มั้ยคะ”
“เอาสิ” ผมพยักหน้า ตายังมองถนน ไม่นานรถเงียบ ๆ ก็มีเสียงเพลงดนตรีสากลดังคลอเบา ๆ ให้ได้ยิน ขณะที่เปิดเพลงเริ่มบทสนทนาต่อ
“พี่จีบพี่เขินเหรอ?” ไม่มีการเกริ่นนำอะไรทั้งนั้น แต่ถามออกมาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “เห็นพี่ ๆ ในร้านพูดถึงพี่ บอกว่าช่วงนี้มาทุกวัน”
พี่ ๆ ในร้านที่ว่านี่หมายถึงพนักงานในร้านน่ะครับ ร้านนี้เขาเป็นกันเอง เจ้านายลูกน้องเลยค่อนข้างสนิทกัน ผมไปที่ร้านทุกวันก็จริง แต่น่าแปลกที่ไม่ค่อยเจอน้องสาวเจ้าของร้านที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เท่าไรเลย อาจจะเป็นเพราะเด็กอายนี่กลับบ้านดึกล่ะมั้ง ดูก็รู้ว่าชอบเที่ยว หมายถึงเที่ยวสังสรรค์นะครับ ไม่ใช่เที่ยวแบบหาคู่ขาไปนอน “อืม”
“พี่ล้อหนูเล่นป่ะเนี่ย” แต่พอผมยอมรับออกไปตรง ๆ อีกฝ่ายก็ถามเสียงสูง ทำให้ผมขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ยอมตอบกลับไป
“เปล่า”
“ทำไมคะ?” เธอถามออกมาอีกรอบ “อย่างพี่คงมีตัวเลือกเยอะแยะ ทำไมเลือกผู้ชายอย่างพี่เขิน”
คราวนี้ผมทำแค่ไหวไหล่น้อย ๆ ผมไม่ได้เลือกเขินด้วยซ้ำ แต่กำลังพยายามทำให้เขาเลือกผมต่างหาก...เลือกผมไม่ใช่ไอ้พวกสี่ขาหน้าขนของเขานั่นน่ะ ฮึ่ม!
“พี่คงไม่ได้เห็นพี่เขินเป็นหนึ่งในตัวเลือกของพี่นะคะ” เด็กอายนั่นถามกลับมาอย่างระแวง ทำให้ผมเหลือบตามองเธอนิดหน่อย
“เปล่า” แต่ผมก็ตอบกลับไปสั้น ๆ เหมือนเดิม
“หรือเพราะหนูพูดเรื่องจีบพี่เขินวันนั้น แล้วพี่เบียร์ยุ พี่เลยนึกสนุกจะลอง?” เธอตั้งข้อสงสัยอีก “ถ้าใช่ หนูบอกเลยนะว่าหนูล้อเล่น”
“หมายความว่าจะไม่ให้จีบ?” คราวนี้ผมถามกลับไปบ้าง “รับไม่ได้ถ้าเขินจะมีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ”
“เปล่าค่ะ” แต่คู่สนทนาก็ปฏิเสธออกมา เธอดูไม่ใส่ใจเรื่องเพศจริง ๆ ก็นะ...สำหรับปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ก็ยอมรับได้แล้ว ยิ่งเป็นวัยรุ่นหัวสมัยใหม่อย่างเด็กพวกนี้ยิ่งไม่แปลก
“งั้นก็ไม่เห็นมีปัญหา” ผมไหวไหล่น้อย ๆ
“หนูก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ ถ้าพี่จะจีบพี่เขิน” เธอบอก แต่น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่ได้คิดอย่างที่พูดเลยซักนิด “แต่ถ้าพี่แค่อยากนอนกับพี่เขิน หรือว่าจีบแก้เบื่อ หนูคงยอมไม่ได้”
“พูดเหมือนไอ้เบียร์เลยนะ” ผมว่าออกมา ไอ้เบียร์ตอนแรกก็คิดว่าผมแค่อยากได้เขิน แต่จริง ๆ มันไม่ใช่แค่นั้นซักหน่อย “พี่ดูเป็นคนอย่างงั้นรึไง”
“ใช่ค่ะ” อือหือ...ตอบกลับมาเจ็บใช่ย่อย ไอ้ภู...ท่องไว้ว่านี่น้องสาวคนที่กำลังจีบ “หนูเคยเห็นพี่นะ ก่อนวันที่พี่จะไปส่งหนูอีก พี่อ่ะคนดังนะ รู้ป่ะ เพื่อนหนูยังบอกเลยว่าเล็งพี่ไว้ แล้วหนูเห็นพี่อยู่กับผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้าง แต่ไม่เคยซ้ำหน้า”
ไอ้เรื่องนั้นก็รู้อยู่ แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหาเอาตอนนี้ “พี่ไม่ได้ทำแล้ว”
“แต่พี่เบียร์บอกว่าพี่ไม่เคยปฏิเสธคนที่เสนอให้ ถ้าหน้าตาดีพอ” ไอ้เบียร์...ถึงมึงจะอยากหาหัวข้อคุยกับสาวที่มึงชอบขนาดไหน มึงก็ไม่ควรเผากู ไอ้เพื่อนเวร!
“ก็ใช่ แต่นั่นมันก่อนที่จะได้คุยกับเขิน” มาถึงขั้นนี้ก็ได้แต่ยอมรับออกไปตรง ๆ นั่นแหละครับ ปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงนั่นมันก็ความจริงอยู่ดี
“งั้นตอนนี้พี่จะบอกว่าถึงจะมีใครเสนออีก พี่ก็ไม่เอาแล้วงั้นเหรอคะ?”
“อืม”
“...แล้วถ้าเป็นหนูล่ะ” คำถามของเด็กสาวทำให้ผมหันขวับ มองอีกฝ่ายที่คลี่ยิ้มยั่วออกมาอย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะรีบหันกลับไปมองถนนอีกรอบ ขมวดคิ้วมุ่น
“พูดอะไรของน้อง?”
“ไม่สนใจหนูจริง ๆ เหรอ...หนูน่ากอดกว่าพีเขินเยอะนะคะ” เด็กสาวว่า แล้วขยับตัวมาจนหน้าอกอิ่มแนบชิดกับแขนผม ได้กินแอลกอฮอล์ก่อน ๆ จากตัวอีกฝ่าย ขณะที่สัมผัสได้ว่ามือเรียววางทาบลงบนหน้าอกผมแล้วลูบเบา ๆ แต่แค่นั้นมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรเท่าไรหรอก ไอ้วิธียั่วแบบนี้มันโคตรเบสิค ผมเจอมาเยอะแล้ว ยิ่งอีกฝ่ายเป็นน้องสาวของคนที่ตอนนี้ผมกำลังหลงหัวปักหัวปำอยู่ วิธีแบบนี้เลยยิ่งไม่มีผลซักนิด
“ถอยไป ทำแบบนี้เขินยิ่งห่วง” ผมบอกเสียงเข้ม แต่เด็กอายนั่นกลับหัวเราะเบา ๆ ออกมา
“ก็อย่าบอกพี่เขินสิคะ” ผมขมวดคิ้วแน่น...เด็กอายนั่นไม่น่าใช่ผู้หญิงขี้ยั่วแบบนี้นะ แต่ถ้าเป็นจริง ๆ ก็ไม่แปลก คนเรามองจากภายนอกไม่ได้หรอก
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ปฏิเสธถ้าเสนอตัวให้ซะขนาดนี้ แต่จุดประสงค์ของผมตอนนี้มีแค่พาเธอกลับบ้านให้เร็วที่สุด คนที่รออยู่จะได้นอนหลับพักผ่อนซักทีเท่านั้น สุดท้ายเลยตัดสินใจดันร่างบางออกห่าง แล้วว่าออกไปตรง ๆ “อย่าทำตัวเป็นผู้หญิงไร้ค่าแบบนี้ น้องมีค่ากับเขินมาก อย่าทำให้เขินผิดหวัง”
“...ฮึ้” เด็กอายเงียบไปซักพัก ไม่ได้พยายามเข้าหาผมอีก แต่ดันได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นจมูกแบบที่พี่ชายของเธอก็ชอบทำบ่อย ๆ แทน ทำให้ผมขมวดคิ้ว
“อะไร”
“เปล่าค่ะ แค่พิสูจน์” เธอว่าด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เสียงหวานยั่วยวนเมื่อกี้หายไปเรียบร้อยแล้ว “หนูไม่ได้หลงตัวเอง แต่หนูว่าหนูก็สวยพอที่คนอย่างพี่จะไม่ปฏิเสธ”
“แล้วไง ถ้าพี่ไม่ปฏิเสธจะยอม?” ผมถาม ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมคงไม่อยากคุยกับเธออีก
“บ้าดิ่พี่” แต่พอถามแบบนั้นก็ดันโดนด่ากลับมา แล้วเสียงหวานก็เอ่ยขำ ๆ “หนูสวยเลือกได้ แต่หนูไม่เลือกพี่หรอก แล้วถ้าพี่ไม่ปฏิเสธหนูก็ไม่ให้พี่เขินเลือกพี่ด้วยเหมือนกัน”
“งั้นตอนนี้ให้จีบเขินได้แล้ว?” เอาจริง ๆ ถึงเด็กอายนี่จะไม่ให้ ผมก็จะเดินหน้าจีบต่อไปอยู่ดี คนที่ผมจะจีบมันเขินนี่หว่า คนที่อยากให้ชอบก็คือเขิน ไม่ใช่เด็กอายนี่ซักหน่อย
“หนูก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าพี่จริงจัง แต่บอกอีกรอบนะ ว่าถ้าพี่แค่เล่น ๆ หนูไม่ยอมแน่” บอกเหมือนจะขู่ แต่ผมไม่กลัวซักนิด
“พี่จริงจัง ไม่เคยจริงจังกับใครเท่าเขินมาก่อนแล้ว” เอาจริง ๆ คือไม่เคยจริงจังกับใครเลย จนกระทั่งมาเจอเขินเนี่ยแหละ คนที่หยุดสายตาและความสนใจของผมทั้งหมดไว้ได้ด้วยรอยยิ้มเดียว
“ทำไมคะ? หนูรู้ว่าพี่เขินหน้าตาดี แต่อย่างพี่ไม่น่าสนใจพี่เขิน พี่เขินดูเรียบง่ายเกินไปสำหรับพี่” เธอถามต่อ ทำให้ผมเลิกคิ้วน้อย ๆ นี่เด็กอายนี่เห็นว่าผมเป็นคนยังไงกันแน่
“เขินไม่เหมือนใคร” ผมบอก คราวนี้อีกฝ่ายสวนกลับมาทันที
“ถ้าพี่จีบพี่เขิน เพราะแค่พี่เขินแปลกก็ไม่โอเคเหมือนกันค่ะ”
“พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” ผมขมวดคิ้วอีกรอบ เหลือบมองอีกฝ่ายนิดหน่อย “พี่หมายถึง เขินพิเศษ”
“อะไรทำให้พี่คิดแบบนั้นคะ”
“หลายอย่าง เขินมีเรื่องให้พี่ประหลาดใจทุกวัน รู้ตัวอีกทีก็ละสายตาไปไหนไม่ได้แล้ว” ผมบอกออกไปตรง ๆ คิดถึงอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ออกมา “พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน”
“พี่หลงพี่เขิน” เสียงหวานตั้งข้อสังเกต
แล้วผมก็ตอบรับ “คงงั้น”
“แต่หลงไม่ใช่รัก” เธอว่าออกมาอีกรอบ “พี่แค่หลงเพราะพี่ไม่เคยเจอคนแบบพี่เขิน ตอนนี้ที่พี่ยึดติดกับพี่เขินขนาดนี้ มันเหมือนกับพี่กำลังเห่อของใหม่...พอนาน ๆ เข้าจนพี่เขินไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้พี่แล้วเห็นแล้ว พี่ก็จะเบื่อ ถูกมั้ยคะ”
“ไม่รู้สิ” ผมไหวไหล่ สำหรับผมจะหลง หรือจะรักมันก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ ไอ้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้นใครจะสนกัน ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ผมมีแต่เขินคนเดียวก็แค่นั้น
“พี่ภูเป็นคนเห็นแก่ตัวนะคะ” เธอบอกออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เหมือนกำลังต่อว่า แต่เหมือนแค่พูดเฉย ๆ มากกว่า
“หลายคนก็บอกแบบนั้น”
“พี่ภู หนูบอกไรให้นะ ถ้ามีทุ่มเททุกอย่างให้พี่เขินมากเกินไป สุดท้ายพี่ก็จะท้อ เหนื่อย แล้วก็เบื่อ สุดท้ายพี่ก็จะทิ้งพี่เขินไป ทั้ง ๆ ที่พี่เขินยอมเปิดโอกาสให้พี่ หนูไม่รู้หรอกนะว่าพี่เขินเห็นอะไรในตัวพี่ เขาถึงได้ยอมเปิดโอกาสให้พี่เข้าไปในโลกของเขา แต่พี่เขินไม่ได้เปิดประตูให้ใครเข้าไปง่าย ๆ โลกของพี่เขินน่ะเข้าไปได้ยากยิ่งกว่าเขาวงกต แต่พี่ระวังไว้ให้ดี ๆ เพราะมันไม่ได้ออกมายากเหมือนตอนเข้าไป รู้ตัวอีกทีพี่อาจจะเป็นคนเดินออกมาจากโลกของพี่เขินด้วยตัวเองไปแล้วก็ได้”
“...” ผมนิ่งฟัง ยอมรับว่าไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของเขิน ก็จะรับฟังไว้
“หนูเตือนพี่ไว้ก่อนเลยนะคะ ว่าถ้าพี่ก้าวขาออกมาเองแล้ว พี่ไม่มีทางกลับเข้าไปยืนอยู่ข้าง ๆ พี่เขินได้อีกแน่นอน” เธอว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วถ้าพี่ยังรู้สึกกับพี่เขินแค่หลงอยู่แบบนี้ อีกไม่นานพี่คงเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง ถึงตอนนั้นพี่อาจจะไม่รู้สึกอะไรกับพี่เขินแล้ว แต่พี่เขินไม่เคยไม่รู้สึก ที่หนูบอกพี่ เพราะหนูไม่อยากให้พี่เขินเจ็บถ้าเวลานั้นมาถึงจริง ๆ เพราะงั้น ถ้าพี่คิดว่าแค่หลงก็หยุดเถอะค่ะ”
“แล้วถ้าพี่บอกว่าพี่รัก?”
“ความรักไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นภายในวันสองวันหรอกค่ะ” อีกฝ่ายโต้ตอบ
“มันอาจจะเป็นรักแรกพบก็ได้” ผมว่าต่อ
“นั่นเรียกว่าสนใจค่ะ” เธอบอกออกมาอีก “ถ้าจะรัก...มันต้องอาศัยความผูกพัน เข้าใจ และใช้เวลา มันถึงจะอยู่กันยืด”
“ดูเข้าใจเรื่องนี้ดีจังนะ”
“มันเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานเลยค่ะ” คู่สนทนาหัวเราะเบา ๆ ออกมา ขณะที่ผมครุ่นคิดตามที่เธอบอก ถามว่าผมเหนื่อยมั้ย...ยอมรับว่าการพยายามแย่งความสนใจจากหมาแมวพวกนั้นมันก็เหนื่อยอยู่หรอก แค่พอเขาหันมาสนใจผม ยิ้มให้กันแล้วมันก็รู้สึกดีจนไม่อยากปล่อยไปไหน พอคิดถึงรอยยิ้มและแววตาที่หลงใหลแล้วก็คิดว่าเรื่องอย่างการที่ผมจะเดินออกมาเองอะไรนั่นคงไม่มีหรอก ถึงต่อให้เขินจะเป็นคนผลักไสผมออกมาก็คงไม่ยอมออกมาอยู่ดี
แต่ก็อย่างที่เด็กอายนี่ว่า ผมไม่รู้อนาคต บางทีผมอาจจะท้อ หรือหมดแรงขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อมาถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ได้ ผมมันพวกไม่มีความอดทนเอาซะเลยด้วยสิ
ถ้าเป็นแบบนั้น...เขินจะรู้สึกยังไงนะ? ผมจินตนาการไม่ออกจริง ๆ
“งั้นถ้าพี่จะรัก พี่ต้องทำยังไง” สุดท้ายก็เลือกที่จะถามคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักไปในที่สุด ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะออกมา
“พี่ภูสนใจพี่เขินเพราะอะไรล่ะคะ พี่ภูอยากได้อะไรจากพี่เขิน ถึงได้มาอยู่ข้าง ๆ พี่เขินแบบนี้...คราวนี้พี่ก็แค่ให้สิ่งเดียวกันไปก่อน ไม่จำเป็นต้องให้อะไรมากมาย แค่ให้ทีละนิด ให้พอดี แล้วก็สม่ำเสมอ...ความรักก็เริ่มจากอะไรง่าย ๆ อย่างการให้เขาไปก่อนนั่นแหละค่ะ”
สิ่งที่ผมอยากได้จากเขินงั้นเหรอ...มันเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะเป็นนามธรรมไปซักหน่อยสำหรับผมนะ ฟังดูยากแฮะ แต่เหมือนคู่สนทนาจะเห็นสีหน้าเหมือนกลืนยาขมของผม เธอถึงได้พูดต่อ ขณะที่รถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านของเขินพอดี
“ลองฟังหัวใจตัวเองดู แล้วพี่ภูก็แค่พยายาม...แค่พยายามนะคะ ไม่ใช่ฝืน แล้วพี่เขินจะตอบรับพี่เอง” เธอยิ้ม แล้วเปิดประตูลงจากรถ “ถ้าพี่ให้พี่เขินไป พี่จะได้รับกลับมาแน่นอนค่ะ”
“อืม” ผมคิดถาม ดับเครื่องแล้วลงจากรถไปบ้าง ไม่ลืมหยิบของใช้ส่วนตัวลงไปด้วย “ขอบใจ”
“ด้วยความยินดี แต่อย่าทำพี่เขินเสียใจนะคะ” เธอทำเสียงขู่ แล้วก็เดินไปหน้าประตู เพิ่งสังเกตว่าเธอเองก็มีกุญแจ...แต่ก็ไม่แปลกหรอก เป็นเจ้าของบ้านเหมือนกันนี่น่า ผมเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “แล้วพี่ไม่กลับเหรอคะ”
“วันนี้นอนนี่น่ะ” ผมบอก คราวนี้เด็กอายหันมาทำตาโต
“มาไกลขนาดนี้หนูไม่ต้องแนะนำอะไรแล้วม๊าง” เธอว่าขำ ๆ เปิดประตูเข้าไปแล้วกวาดตามองในร้านมืด ๆ ที่เห็นแค่เงาราง ๆ ขณะที่ผมไหวไหล่ เดินตามเข้าไปโดยไม่ตอบคำ เห็นร่างบางลงไปทรุดนั่งยอง ๆ อยู่ที่กำแพงใกล้ ๆ ประตู แล้วนั่นมัน... “ดูเหมือนจะรอไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ”
“อืม” ผมตอบออกมายิ้ม ๆ มองร่างโปร่งของคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อกี้ที่กำลังนั่งพิงกำแพงร้านหลับคอพับคออ่อนอยู่ แล้วตัดสินใจค่อย ๆ ช้อนตัวเขาขึ้น น้องอายก็ยอมหลบให้แต่โดยดี “เดี๋ยวพี่พาขึ้นไปเอง”
“...กลับมาแล้ว” แต่พอช้อนตัวร่างโปร่งขึ้นมา จนในอ้อมแขนก็ค่อย ๆ ปรือตาขึ้น มองผมแล้วเลื่อนสายตาไปหาน้องสายตัวเอง พยักหน้านิด ๆ พูดเสียงเบาแล้วก็หลับต่อซะอย่างนั้น
“ฝันดีค่ะพี่เขิน” คนเป็นน้องสาวว่ายิ้ม ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาหาผม “ห้ามลักหลับพี่เขินนะ ถ้าพี่เขินไม่ยอมหนูแจ้งความจับพี่ข้อหาข่มขืนนะ”
“พี่ไม่ใช่คนแบบนั้น” ผมขมวดคิ้วมุ่นกับคำขู่คำ ๆ ของอีกฝ่าย ทำให้เธอหัวเราะออกมา
“ล้อเล่นค่ะ ฝากพี่ชายหนูด้วย” เธอว่า แล้วเดินขึ้นชั้นสองไป ขณะที่ผมก้มลงมองคนในอ้อมแขนอีกครั้งยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินตามขึ้นชั้นสองไปด้วย
รักให้พอดี...ฟังดูยาก แต่จะพยายามแล้วกัน
ความพยายามที่จะปั่นให้ทันก่อนเที่ยงคืนคงไม่มีทางเป็นจริง(?)
เห็นมีคนรอนิยายเราซะดึกเลย ฮืออออออ ดีใจและรู้สึกผิดไปในคราวเดียวกัน ฮ่อลลลลลลลลลลลล แต่ขอบคุณมากนะคะ อิ ๆ
สำหรับตอนนี้ เรามองว่า เรื่องของความรัก ถ้าพยายามมากเกินไปสุดท้ายก็จะเหนื่อยแล้วก็ท้อค่ะ อืม...ถ้าให้เทียบสำหรับเรา มันเหมือนช่วงโปรโมชั่นที่หนุ่ม ๆ เข้ามาจีบ แต่ไม่นานพอหมดโปรปุ๊บก็หายต๋อม ไม่ยืดยาวเอาซะเลย
เราไม่ต้องการให้คุณเขินเจอความรักแบบนั้นค่ะ คุณเขินดีเกินไป และพี่ภูเองก็ต้องปรับอะไรหลาย ๆ อย่าง ความรักมันไม่ใช่แค่ทุ่มเทไปอย่างเดียว แต่มันคือการค่อย ๆ ปรับเข้าหากัน จูนกันให้ติดมากกว่า อะไรประมาณนั้นแหละนะคะ
แต่มุมมองความรักของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเนอะ มันเป็นเรื่องยากมากในการแสดงนิยามเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยล่ะค่ะ ฮ่า...
ยังไงสำหรับตอนนี้ก็ขอฝากพี่ภู คุณเขิน และน้องอายไว้อีกตอนค่า
ปล.คิดแฮชแท็ก #ภูเขิน หรือ #ทาสเจ้าของแมว สำหรับเรื่องนี้นะคะ จุ้บ ๆ รักน้า ฝันดีค่ะ
ปลล.หลังจากนี้ อาจจะไม่ได้มาอัพอีกจนกว่าจะสอบแกทแพทเสร็จนะคะ แจ้งไว้ก่อน กลัวหลายคนจะรอ ฮืออออออ แต่ถ้ามีมาแสดงว่าเราสติแตกค่ะ orz อีกอาทิตย์หนึ่งสอบแกทแพทแล้ว TvT อวยพรให้เราด้วยค่ะ ฮ่อลลลลลลลลล
แม่จะรีบไปคว้าเลย555555
ส่วนพี่ภูก็สู้ต่อไปน้าาาาา
ปล.สู้ๆนะคะ ขอให้ได้คะแนนเกือบเต็ม (สมัยนี้ยังเต็ม 300 เหมือนเดิมหรือป่าว ถ้าใช่ก็ขอให้ได้ 299 เลย)
ส่วนเรื่องสอบสู้ๆค่ะ โชคดีนะคะ
ส่วนเรื่องสอบก็สู้ๆนะคะ
พี่ภูสู้ๆ