ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TVXQ Fic] ~Snow White~ [ YunJae FT.Changmin]

    ลำดับตอนที่ #1 : Snow White 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 292
      0
      10 ส.ค. 53

    Snow White 1

    Note : ฟิกเรื่องนี้เป็นภาคเเรกของSummer Snowค่ะ เนื้อเรื่องไม่ค่อยเกี่ยวกัน แค่ใช้สถานที่เดียวกันแต่คนละช่วงเวลาเท่านั้น ฟิกนี้เขียนไว้นานตั้งแต่ยังเรียนมัธยม จนตอนนี้คนเขียนเรียนจบแล้ว ยังไงก็ฝากไว้ด้วยนะคะ เผื่ออยากอ่านอีกด้านของโรงเรียนไฮโซนี้
    ปล. คิบอมเป็นเด็กกำพร้าจากบ้านเดียวกันกับแจจุงนี่แหละค่ะ แต่ตอนนั้นยังเด็กมาก เป็นแค่เด็กประถมเอง






    สายลมหนาวพัดมาพร้อมเกล็ดน้ำแข็งที่เริ่มโปรยปรายลงจากฟากฟ้า ต้นไม้ที่หยัดยืนต้านลมต่างแข็งที่เป็นสีเงินด้วยเกล็ดน้ำเเข็งที่ตกทับปกคลุมมาเป็นเวลายาวนาน
    พระอาทิตย์ไม่อาจจะส่องแสงลงมาเพื่อทำลายน้ำแข็งหรือความเย็นเหล่านี้ได้ แค่ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างยังดูยากเย็นนักในฤดูกาลแบบนี้

     

    โบสถ์สีขาวที่ทำจากก้อนหินสีอ่อนทั้งหลัง ตั้งอยู่บนเนินสูงทางมุมทางทิศเหนือของปราสาทหลังงามที่เป็นที่ให้ความรู้และวิทยาการต่างๆแก่เหล่าลูกผู้ดีคนมีเงินทั้งหลาย

     

     

     

    ทางเดินยาวที่ปูด้วยก้อนกรวดกลมมนสีขาว ถูกคลุมด้วยหิมะทั้งหมดแม้ว่าจะหนาวเย็นและยากลำบากที่จะเดินยังไง ร่างของผู้มาเยือนก็ดูไม่ย่อท้อ ยังคงพยายามเดินขึ้นไป บนเนินสูงชันที่ลื่นและชื้นแฉะ ด้วยดวงตาที่ว่างเปล่าจนน่ากลัว

     

    " พระเจ้าจะสถิตย์กับท่าน.."ชายหนุ่มพึมพำตัวอักษรสีทองสวยที่อยู่ตรงประตูไม้ สีน้ำตาลทองเบาๆ แล้วก็ยิ้มเยาะให้กับตนเอง ผลักประตูเข้าไปด้วยความแรงที่จะทำให้เกิดเสียงสนั่นอย่างไม่เกรงใจสถานที่ ย่ำเท้าเข้าไปภายในพร้อมกวาดสายตามองไปทั่วๆ รูปปั้น รูปสลักเทวทูตทั้งหลาย รูปพระแม่มารี รูปพระเยซูที่โดนกางเขนตรึงร่างเอาไว้ เครื่องหมายเพื่อการไถ่บาปให้มนุษย์

     

    บรรยากาศ ที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตรของแสงสีเหลืองนวลที่มาจากหลอดไฟที่ฝังเอาไว้ตาม เพดาน เปลวไฟที่ส่องประกายออกมาจากเตาผิงผนังและความอบอุ่นใจที่มาจากเหล่าเครื่องหมายกางเขนศักดิ์สิทธิ์ ทำไมเวลานี้เค้ากลับไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นได้เลยแม้สักนิด

     

     

    เด็ก หนุ่มในชุดคลุมสีขาวยาวกรอมเท้า มีสัญลักษณ์กางเขนสีทองอยู่ที่กางหลัง และมุมแขนทั้งสองข้าง กำลังนั่งคุกเข่าบนพื้น หน้าไม้กางเขน มือขาวซีดทั้งสองประสานกันอยู่ที่หน้าอก

     

    ...บาทหลวง?...

     

    ความ คิดที่ผุดขึ้นมาแวบแรกจำต้องเปลี่ยนไป เมื่อเดินไปนั่งที่เก้าอี้สำหรับมิสซาในแถวแรก แล้วเห็นใบหน้าของร่างนั้นจนชัดเจน ดวงหน้าขาวใสอ่อนเยาว์เกินไป ที่จะทำหน้าที่รับใช้ศาสนาถึงขั้นเป็นบาทหลวงเต็มตัว

     

    ดวง ตาที่หลับอยู่เมื่อครู่เปิดขึ้น ก่อนจะหันกวาดไปมองทั่วๆ ราวกลับหาสิ่งใดอยู่ และค่อยๆ หยุดลงที่แขกผู้มาเยือน "คุณมาขอพรเหรอครับ"น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้น ดูมีพลังและอบอุ่น แต่เมื่อสังเกตุให้ดีแล้ว เหมือนว่าดวงตากลมโตคู่นั้น จะไม่ได้หยุดโฟกัสที่เค้า แต่เป็นระยะที่ ห่างออกไป ราวกลับจะมองไปที่ผนัง หรือกำแพง

     

    " ฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันไม่เชื่อ เรื่องความรักของพระเจ้าด้วย"สายตาคมเปลี่ยนไปจับจ้องไม้กางเขน ราวจะมองหาจุดบกพร่อม แล้วก็สะบัดหน้าไปมองอย่างอื่นแทน

     

    "ทำไมละครับ?"ร่าง ที่นั่งคุกเข่าอยู่ค่อยๆยันตัวเองขึ้นแล้วก็ไปนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง เหมือนจะพยายามเพ่งมองมาทางคู่สนทนาแต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี

     

    "ทำไม ฉันต้องเล่าให้นายฟัง? จำเป็นเหรอ ที่ฉันต้องเล่าแล้วให้นายมาบอก ว่าพระเจ้าท่านไม่ได้ทอดทิ้งฉัน ความรักของพระเจ้าก็มีจริง แล้วดีไม่ดี ถ้านายเกิดปากมากเอาไปพูดต่อกับใครๆ จะให้ฉันทำยังไง"ร่ายยาวออกมาเตรียมจะลุกออกไป

     

    " ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมแค่อยากจะช่วย ตามหลักคำสอนเรื่องความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และที่สำคัญ ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกแล้ว..ถ้าไม่ต้องการเล่า ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ"เด็กหนุ่มยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น แต่เวลานี้ คนที่มองไม่เห็นอะไรนอกจากความเจ็บปวดและคับแค้นใจ จะมีสิ่งใดในโลกที่สวยงามอีกงั้นหรือ พระเจ้าที่สอนมนุษย์ให้มอบความรักให้แก่กันด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ แต่พระเจ้าคงลืมไป ว่าการมอบความรักให้ใคร คงเหมือนการเฉียนเนื้อตัวเองทิ้งไป ถ้าไม่ได้อะไรกลับมาตอบแทน จะไม่เจ็บ ไม่ปวดได้เช่นไรกัน

     

    ความสงสัยเรื่องพิกัดการมองหลุดออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนที่มีดวงตากลมโตแบบนั้น จะมองไม่เห็นโลกใบนี้ซะได้ เรียกว่าน่าเสียดายได้มั้ยนะ?

     

     

    เสียง ระฆังที่อยู่บนหอระฆังด้านบนของโบสถ์ส่งเสียงกังวาล เป็นการบอกเตือนให้รู้ว่า พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบท้องฟ้าไปแล้ว ถึงเวลาที่จะพักจากภารกิจต่างๆแล้วมุ่งหน้าไปหาสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อน ฝูงเพื่อนั่งพักให้สบายใจ แล้วเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่าด้วยอาหารดีๆสักมื้อ

     

    "เย็นมากแล้ว ถ้าไม่รีบกลับคุณอาจจะมองทางไม่เห็น"เสียงใสพูดเหมือนห่วงใย แต่คนฟังแปรเจตนาได้ว่าเป็นการขับไล่

     

    " ฉันไม่เชื่อในความรักของพระเจ้า เพราะพระเจ้า พรากเอาเค้าคนนั้นไปจากฉันโดยสมบูรณ์ ทั้งๆที่รักมากขนาดนั้นแต่กลับไม่ได้รับอะไรตอบแทนมา จนสุดท้าย เค้าก็จากฉันไปอยู่กับคนอื่น โดยมีพระเจ้าเป็นพยาน แล้วแบบนี้ จะยังให้ฉันเชื่อมั่นในพระเจ้าอีกงั้นเหรอ?"อยู่ดีๆผู้มาเยือนก็เล่าให้ฟังอย่างไม่อาย เล่าออกมาด้วยเสียงที่เจ็บปวดแต่หนักแน่น แฝงไว้ด้วยความโกรธเคืองและคั่งแค้นอย่างที่สุด

     

    " ความรักคือการให้ ถ้าคุณรักเค้าจริงๆ การที่เห็นเค้ามีความสุขกับคนที่เค้ารัก มันย่อมจะเป็นการดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ หรือคุณอยากจะมีความสุข ในขณะที่เค้าเจ็บปวด?"คำพูดเพียงไม่กี่คำ กระแทกเข้าที่กลางใจอย่างแรง เรื่อง แบบนี้ แน่นอน ถ้าบังคับใจกัน ก็จะไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน แต่ถ้าปล่อยไป แบบนั้น เหมือนกลับยอมเสีย ให้เค้าเหยียบย่ำอยู่บนความรู้สึกของตน ราวกลับถูกตบหน้า แล้วจะให้เลือกแบบไหน

     

    " ความรักไม่ได้หมายถึงการครอบครองเสมอไปนะครับ แต่มันหมายถึงการมอบความสุข และมอบสิ่งดีๆให้แก่คนอื่นมากกว่า"ใบหน้าใสมีรอยยิ้มน้อยๆ ประหนึ่งว่าตนเองนั้นเป็นผู้โอบอุ้มและพร้อมจะแจกจ่ายความรักส่งต่อไปอย่าง ไม่รู้เหนื่อย

     

    ข้า ทาสของพระเจ้า เทวดาที่สูงส่งและใสสะอาด ตัวแทนเพื่อมอบความรักให้แก่คนทั่วไป ..งั้นหรือ.. อยากจะลองทดสอบดูจริงๆ ว่าจะสามารถมอบรักให้ใครต่อใครได้ตามที่ปากนั่นพูดมั้ย

     

    "พี่แจจุง!!"เสียงร่าเริงของเด็กๆกลุ่มหนึ่งดังขึ้น ทำเอาโบสถ์ที่เงียบสงบเปลี่ยนไปเป็นครึกครื้นในทันที

     

    " มาแล้วเหรอ วันนี้ตั้งใจเรียนกันรึเปล่า"เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง แล้วอ้าแขนออก เพื่อให้เด็กๆวิ่งเข้ามาหาแล้วกอดรัดลำตัวบางๆเอาไว้ตามสบาย

     

    " ตั้งใจเรียนครับ/ค่ะ"เสียงขานรับเองก็ตั้งอกตั้งใจเหลือเกิน พร้อมกับอวดเสียเสียงสนั่น ว่าวันนี้เจออะไรที่สนุกๆมาบ้าง คนฟังคงฟังตามไม่ทัน จึงได้แต่หัวเราะเสียงดังแล้วลูบหัวของเด็กๆไปตามความเคยชิน

     

    " วันนี้พี่แจจุงต้องเล่นเปียโนให้เราฟังอีกนะครับ ผมจะได้เอาไปโม้ให้เพื่อนๆฟัง"เด็กชายตัวสูงแค่หัวเข่าพูด พร้อมทั้งกระตุกเสื้อคลุมยาวสีขาวแรงๆ

     

    "ก็ได้ แต่วันนี้พี่คงเล่นได้แค่เพลงเดียวนะ"พวกเด็กๆทำหน้าเสียดาย เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกลืมไปแล้ว ก็เลยเดินจากออกมาเงียบๆ

     

     

    ทาง เดินมืดๆทอดยาวลงจากเนินสูงสู่ตัวปราสาทหลังใหญ่โตที่แสนสวยงามและทรงไปด้วย คุณค่า พระจันทร์ส่องเเสงเพียงแค่เสี้ยวเดียว ไม่ค่อยจะช่วยให้ความมืดคลายตัวลง ยังดีที่มีแสงจากหลอดไฟตามข้างทาง ทำให้การเดินไม่เปลี่ยวเกินไป

     

    ลิฟต์ แก้วตัวสวยที่ทำให้มองลงไปเห็นทิวทัศน์ด้านล่าง ค่อยๆพาร่างสูงใหญ่สง่างามขึ้นไปสู่ห้องพักบนชั้นสูงสุดของปราสาท หอคอยทางมุมด้านขวาที่ปีกทางเหนือ ทิศทางเดียวกันกับที่ตั้งของโบสถ์สีขาวหลังนั้น

     

    " หาตั้งนานยูโนไปไหนมาน่ะ รายละเอียดที่นายจะเอา อยู่นี่แล้วนะ"เด็กหนุ่มตัวสูงชะลูดเดินเข้ามา พร้อมยื่นแฟ้มเอกสารสีขาวบางๆส่งให้ เพื่อน หรืออีกภาระหนึ่งก็คือ หนึ่งในคณะกรรมการโรงเรียน ที่มีสิทธิ์ในการบริหารและจัดการ จะยุบหรือย้ายอะไรก็ได้ในโรงเรียน เป็นสิทธิ์ขาดของเค้าเพียงคนเดียวเท่านั้น

     

    "จะมีเอกสารนี้รึป่าวฉันไม่สน ฉันตัดสินใจแล้ว จะต้องปิดโบสถ์ให้ได้"กล่าวด้วยท่าทางมุ่งมั่น แฟ้มในมือถูกกำเสียจนยับเยิน

     

    " แต่ว่านะ ถึงนายจะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่นั่นเป็นโบสถ์เชียวนะ พวกอาจารย์คงต่อต้าน แถมสมาคมศิษย์เก่าคงไม่ยอม แล้วยังพวกนักเรียนอีก ใครเค้าจะให้นายทำได้ง่ายๆ เรื่องนี้ต้องผ่านการวิเคราะห์สังเคราะห์อีกยาว.."ยักไหล่แล้วถอนหายใจ คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็หนักใจแทนจริงๆ

     

    "ทำไมเหรอ นายไปคุยกับคนที่นั่นมาวันนี้ ไม่ได้ช่วยให้เปลี่ยนใจเหรอ?"ชางมินถามเอนตัวพิงกำแพงสีอ่อนที่ติดวอเปเปอร์ลายดอกไม้ตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรปยุคกลาง

     

    " เปลี่ยนใจเหรอ ไม่หรอก ทำให้มั่นใจมากกว่า ฉันรู้สึกทนไม่ได้แล้ว ขอบใจนะ"เปิดประตูเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็วราวกลับไม่ต้องการจะพูดถึงสิ่ง นั้น

     

    เด็ก หนุ่มตัวสูงอ้าปากเตรียมจะเรียกเอาไว้แต่ก็ต้องชะงักไว้ เมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้น มันสะท้อนออกมาแต่ความเจ็บปวดที่กดดันและหนักหน่วง

     

     

    ประตู ไม้สีน้ำตาลเข้มปิดลง ร่างสูงเดินย่ำลงไปบนพื้นพรมสีเขียวเข้ม ถอดรองเท้าเอาไว้อย่างไม่เรียบร้อยที่ชั้นวางรองเท้า พลิกเเฟ้มพลาสติกบางๆในมือไปมา อ่านข้อมูลที่เป็นประวัติการก่อตั้งที่มาของโบสถ์หลังนั้น ความน่าสนใจที่ดูเหมือนเรื่องเล่าจากเทพนิยาย การก่อตั้งที่แห่งนั้น ที่มีความสำคัญไม่ต่างไปจากปราสาทหลังนี้ จะทำลายทิ้งคงยาก แต่ถ้าจะปิด ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวล่ะ จะทำได้มั้ย?

     

    White chruch โบสถ์หลังงามที่ตั้งบนเนินสูง โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเปิดให้ทำพิธีทางศาสนาต่างๆ สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนแห่งนี้เท่านั้น เป็นโบสถ์ที่สวยงามติดอันดับสองของประเทศ แม้ว่าจะไม่สวยที่สุด แต่ก็เป็นที่ดึงดูดใจ ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มาจากรูปไม้กางเขนเท่านั้น แต่ยังเพราะความน่าเชื่อถือ และคำสาบานอันมั่นคง รวมไปถึงความเชื่อมั่นและศัรทธาที่แรงกล้า จึงทำให้โบสถ์แห่งนี้ เป็นสถานที่ ที่คู่รักทั้งหลายอยากจะใช้เป็นที่ทำพิธีในวันสำคัญที่สุดร่วมกัน

     

    "ความรักคือการให้งั้นเหรอ ไว้เรามาทดสอบกันหน่อยดีมั้ย?"รำพัน กับสายลมในอากาศ มองทอดสายตาไปยังโบสถ์สีขาว ความเงียบแผ่ปกคลุมรอบบริเวณ เพราะนี่คือคืนวันศุกร์ วันที่ทางหอพักของโรงเรียนประจำชื่อดังแห่งนี้ ปล่อยให้นักเรียน ได้ไปเที่ยวไหนได้ตามชอบโดยไม่มีเวลากำหนดเพื่อกลับหอ เพราะความเงียบเช่นนี้ ลมจึงพัดนำเอาเสียงเปียโนที่ดังมาจากโบสถ์สีขาวหลังนั้นมาถึงชั้นสูงสุดบน หอคอยได้

     

    ถ้า ไม่ได้ตั้งใจฟังอาจจะไม่ได้ยิน แต่ถ้าเกิดลงรวบรวมสมาธิแล้วฟังดู จะรู้ว่า แต่ละคีย์ที่บรรจงกดลงไปนั้น ช่างอ่อนหวานและนุ่มนวลอย่างที่สุด

     

     

      TBC.
    ตื่นเต้นจังเอามาลงใหม่อีกครั้ง
    ยังไงก็ติชมกันได้นะคะ
    เจอกันตอนหน้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×