คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Vol 1 : EP2 - The Rebirth of the Traditional Classics Club [2]
2
The Rebirth of the Traditional Classics Club
มันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะมืด จิตันดะจึงไปเปิดไฟ
หลังจากที่ฟังจนจบ ซาโตชิก็เริ่มกอดอกและโหยหวน
“หืมมม เป็นคดีที่น่าสนใจมาก”
“ตรงไหน? ก็แค่จิตันดะลืมล็อคประตูเนี้ยนะ”
ซาโตชิเลิกกอดอกและปรบมือของตัวเอง
“สายมากแล้ว โรงเรียนต้องจัดการทำงานในวิทยาเขตของตัวเอง โรงเรียนคามิยามะเองก็จัดการห้องเรียนที่มีปัญหาเป็นพิเศษ ในคดีนี้ นายไม่ได้สังเกตเหรอว่าที่นี่ไม่มีห้องเรียนไหนหรอกนะที่ล็อคได้จากข้างใน เหตุผลก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนทำเรื่องที่น่าสงสัยจากข้างในไงล่ะ”
ซาโตชิอธิบายอย่างผู้ชนะ สงสัยมันจะถูกยกขึ้นมาในหัวของผมซะแล้ว ผมรู้ดีว่าซาโตชิชอบขยันหาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เป็นพิเศษเช่นนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะรู้เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้?
“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ไง?”
“ฉันลองพยายามซ่อนตัวเองเพื่อทดลองอะไรบางอย่างเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมันก็ทำให้ฉันค้นพบว่าฉันไม่สามารถล็อคห้องได้จากข้างในยังไงล่ะ”
“นายรู้ด้วย? ฉันคิดว่าโรงเรียนต้องการที่จะออกแบบประตูเพื่อป้องกันไม่ให้คนอย่างนาย ‘ทำอะไรที่น่าสงสัย’ แบบนี้ยังไงล่ะ”
“ฉันก็คิดอย่างงั้น”
“สมน้ำหน้า”
แล้วพวกเราก็หัวเราะ ผลจากเสียงหัวเราะแห้งๆ ของพวกเราก็ทำให้จิตันดะก้าวถอยหลัง เมื่อสังเกตสิ่งนี้ได้ ผมก็กระแอมเบาๆ และพูดขึ้นว่า “ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ประตูผิดปกติ นี่ก็มืดมากแล้ว ฉันจะกลับบ้านแล้วนะ”
ผมลุกขึ้นยืนจากโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
ผมรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนจับไหล่ของผมไว้แน่น ผมหันหลังกลับไปเห็นจิตันดะที่เข้ามาข้างหลังโดยที่ผมไม่ทันได้สังเกต
“เดี๋ยวก่อนสิคะ!”
“อะไรอีกล่ะ?”
“ก็ฉันอยากรู้เรื่องนี้นี่คะ”
พอเห็นใบหน้าของจิตันดะในระยะใกล้แบบนี้ผมก็สะดุ้งเฮือก
“ยังไง?”
“ก็ทำไมฉันถึงถูกขังจากข้างในล่ะคะ? …ถ้าในเมื่อมันปิดจากข้างในไม่ได้ แล้วฉันจะเข้ามาที่นี่เป็นคนแรกได้ยังไงกันละคะ”
จิตันดะจ้องมองด้วยพลังอำนาจบางอย่าง มองเหมือนกับว่าไม่ยอมรับคำตอบของคนโง่ที่ตอบออกมา ผมรู้สึกเหมือนถูกเธอครอบงำ ผมได้แต่ตอบกลับเธออย่างสุภาพ “แล้วไงครับ?”
“ก็ถ้าเกิดมันเป็นความผิดพลาดของใครสักคน แล้วคนคนนั้นคือใครล่ะคะ แล้วเขาขังฉันก็เพราะผิดพลาดเหรอคะ?”
“ไม่หรอก ฉันคิดว่ามันผิดพลาดที่ตัวล็อค…”
“ฉันอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ นะคะ”
เธอพูดพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าบังคับให้ผมต้องเดินกลับ
ตอนแรกผมคิดว่าจิตันดะจะเป็นผู้หญิงที่สง่างามซะอีก แต่นั่นก็แค่ความประทับใจครั้งแรกที่เห็นตามรูปลักษณ์ของเธอ ตอนนี้ผมมองตัวตนของเธอออกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยพลังงานมหาศาลของเธอ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับรูปลักษณ์ของเธอ ดวงตาที่สะท้อนให้เห็นถึงความจริง ธรรมชาติ “ฉันสงสัยค่ะ”
“ทำไมถึงเกิดขึ้นได้เหรอคะ? โอเรกิซัง ฟุคุเบะซัง คุณจะช่วยฉันคิดใช่มั้ยคะ?”
“ทำไมฉันต้องช่วย…”
“ฟังดูน่าสนใจ”
นี่ขัดขวางผมกันเหรอ ซาโตชิรับคำท้าของเธอไปเรียบร้อยแล้ว เป็นไปตามคาดสำหรับซาโตชิ แต่ “ฉันจะกลับบ้านแล้ว ฉันไม่สนใจหรอก”
ผมไปโดยไม่อธิบายอะไร มันเป็นการกระทำที่เสียพลังงานโดยใช่เหตุ และผมก็ไม่อยากทำมัน ผมจะออกไปจากที่นี่
ซาโตชิคือคนที่รู้จักวิธีการทำงานของผมดี เขาจึงพูดว่า “น่านะ มานี่เร็วโฮทาโร่ ช่วยพวกเราเถอะนะ ฉันอยากทำคดีนี้นี่ แต่ฉันคงหาข้อสรุปไม่ได้ถ้าใช้แค่ข้อมูลที่ฉันรู้เท่านั้น”
“ฉัน…”
ซาโตชิเหลือบไปมองด้านข้าง ผมทำตามเขาอย่างรวดเร็ว และผมก็เห็นจิตันดะทันที
“อ๊าก…”
ริมฝีปากของเธอปิดแน่น เธอกำชายกระโปรงของตัวเองและจ้องมองมาที่ผม จิตใต้สำนึกของผมบอกให้ก้าวถอยหลังให้ห่างออกจากเธอ (คำเตือนจากซาโตชิ : คงจะดีถ้าไม่ได้ไปยุ่งกับเธอ)
ผมจ้องมองจิตันดะกับซาโตชิสลับกันไปมาและสุดท้ายผมก็พยักหน้าให้ซาโตชิอย่างซื่อสัตย์พร้อมรับคำแนะนำของเขา
“ก็ได้ ฉันคิดว่ามันน่าสนใจ ฉันจะคิดแบบนั้นนะ”
ผมไม่มีทางเลือกได้แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงซังกะตาย ดูเหมือนว่าคำตอบของผมจะไม่เพียงพอให้จิตันดะผ่อนคลายการจ้องในทันที
“โอเรกิซัง คุณคิดจะแก้ไขปัญหาแล้วใช่มั้ยคะ?”
“ใช่แล้วล่ะ โฮทาโร่น่ะเป็นพวกชอบคิดมากกว่าจะขยับ ถ้าเมื่อใดที่หมอนี่คิดล่ะก็ เขาจะมีความสามารถในการรับรู้เชียวล่ะ”
หยุดพูดมากได้แล้วน่า ก็การทำก่อนคิดมันไม่ใช่ทางที่ดีนี่หว่า
แล้วจากนั้นผมก็เริ่มคิด…
ตอนที่จิตันดะเข้ามาในห้อง ประตูก็ถูกเปิด แต่ตอนที่ผมมา ประตูกลับถูกล็อค
ถ้าเป็นไปตามที่ซาโตชิบอก จิตันดะก็จะไม่มีทางล็อคประตูจากข้างในได้เด็ดขาด เป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่รู้สึกตัวก็ได้ ตัวอย่างก็เช่น ประตูอยู่ในสภาพกึ่งล็อคเมื่อจิตันดะเข้ามา และตัวสปริงก็จะล็อคโดยอัตโนมัติทันทีที่เธอเข้ามาในห้อง ทำให้เธอถูกขัง
หลังจากอธิบายทฤษฎีนี้ จิตันดะก็เอียงศีรษะในขณะที่คิดจะบอกคำตัดสินของเธอ ซาโตชิก็เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ประตูในโรงเรียนคามิยามะทำให้อยู่ในสภาพกึ่งหรอกได้หรอก ตามลักษณะพื้นฐานของการออกแบบ กุญแจจะดึงออกมาไม่ได้ไงล่ะ”
ถ้ามันเป็นอย่างนั้น งั้นประตูก็จะถูกล็อคโดยเจตนาของใครบางคน ผมถามขึ้นว่า “จำได้มั้ยว่าเธอเข้ามาในห้องนี้เมื่อไหร่”
จิตันดะคิดเพียงครู่เดียวแล้วพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้าคุณ ประมาณสามนาทีค่ะ”
สามนาทีเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ แถมห้องธรณีวิทยาก็อยู่ห่างไกลที่สุดในโรงเรียนคามิยามะอีกต่างหาก
เรื่องเริ่มยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มคิดให้มากกว่าเดิมอีกครั้ง ทันใดนั้นจิตันดะก็ร้องขึ้น “อ๊ะ!”
“เป็นอะไรรึเปล่าจิตันดะ?”
“ฉันคิดว่ารู้แล้วค่ะว่ามีใครมีกุญแจนอกจากนี้อีก”
“ห๊ะ ใคร?”
จิตันดะยิ้มอย่างสุขใจ…แต่เพราะอะไรไม่รู้ ผมรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด เธอหันมาทางผมแล้วพูดขึ้นว่า “โอเรกิซังค่ะ แน่นอนว่าคุณมีกุญแจ”
นี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่คาดการณ์เอาไว้เท่านั้น สรุปว่ามันเป็นการอนุมานที่ดี ดูเหมือนว่าเธอจะคิดอะไรออกแล้วจึงพูดขึ้นอีกว่า “อ๊ะ แต่มันก็เป็นไปได้ที่โอเรกิซังไม่ใช่คนน่าเชื่อถือ”
นี่คือคำที่เธอควรจะพูดต่อหน้าเจ้าตัวหรือไง? ขณะที่ผมจะพูด ซาโตชิก็หัวเราะแล้วพูดว่า "ฉันไม่รู้หรอกนะว่าโฮทาโร่เชื่อถือได้หรือเปล่า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะเห็นเรื่องที่ล็อคคนอื่นไว้ข้างในแบบนี้เป็นเรื่องสนุกแน่ ในเมื่อทำแล้วมันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรสักอย่าง”
จุดดีของผมที่รู้กันก็คือ – ผมจะไม่ทำอะไรก็ตามแต่ที่ผมไม่ได้รับประโยชน์
เท่ากับว่าผมไม่ใช่คนที่ล็อคประตู
งั้นแล้ว…มันคือใครล่ะ?
ผมยังคิดไม่ออกเลยได้แต่เกาหัวตัวเอง
ผมไม่มีเบาะแส เงื่อนงำ บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะผู้กระทำผิดเลย ผมถาม “คิดไม่ออกเลย มีเบาะแสอะไรอีกมั้ย?”
“เบาะแสเหรอคะ? คุณหมายความว่ายังไงคะ?”
อะไรจะถามได้ตรงเกินเหตุขนาดนี้แม่คุณ
“เบาะแสก็คือเบาะแสไง”
ซาโตชิช่วยให้อธิบายรายละเอียดของผมได้มากขึ้น
“อะไรบางอย่างที่ผิดปกติ คุณได้สังเกตอะไรที่ผิดปกติบ้างหรือเปล่าครับ จิตันดะซัง?”
“พอคุณพูดขึ้น…”
อะไรบางอย่างที่แปลกไป…ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายอยู่แล้ว จิตันดะมองไปรอบๆ ห้องธรณีวิทยาก่อนที่จะหยุดมองเธอก็พูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินเสียงเท้าค่ะ”
งั้นก็เท่ากับว่ามีใครบางคนล็อคห้อง นอกนั้นผมก็คิดไม่ออกแล้วแหละ
ไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ใช่แล้วมันจะมีอะไรได้อีกล่ะ? เอ๊ะ
ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นหมดทุกอย่างแล้ว ซาโตชิที่สังเกตเห็นท่าทางของผมก็พูดขึ้นว่า “โฮทาโร่ ดูเหมือนว่านายจะคิดอะไรออกแล้วใช่มั้ย?”
ผมไม่ตอบและหยิบกระเป๋าสะพายบ่าตัวเอง
“อ๊ะ จะไปไหนเหรอคะโอเรกิซัง?”
“ก็จะไปหาพยานในที่เกิดเหตุไงล่ะ ถ้าโชคดีพวกเราอาจจะได้เจอเขาก็ได้นะ”
ผมคิดว่าจิตันดะอาจลนลานวิ่งตามผมมา และซาโตชิก็คงจะวิ่งตามด้านหลังของเธอ
และแล้วก็ดึกมากๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงเวลาปิดประตูแล้ว ทีมบาสเก็ตบอลกำลังเคลียร์ จัดเก็บอุปกรณ์ของพวกเขาอยู่ ซาโตชิและจิตันดะที่ทิ้งหลังผมมานานสุดท้ายก็วิ่งมาพร้อมกับผม ให้ตาย พวกเขายังตามผมมาอยู่
จิตันดะเดินมาอยู่ข้างๆ ผมแล้วเอ่ยขึ้น “บอกพวกเรามาเถอะค่ะว่าคุณคิดอะไรออก”
ซาโตชิก็พูดขึ้นจากด้านข้างเช่นกัน “ใช่ เธอพูดถูก พวกเราไม่ควรมีความลับต่อกันนะ”
“มันไม่ใช่ความลับอะไรเลย เพียงแต่มันง่ายจนไม่อยากจะอธิบายให้มากความ”
“โอเรกิซัง สำหรับคุณมันอาจจะง่าย แต่ฉันไม่เข้าใจค่ะ”
จิตันดะทำปากยื่น ขณะที่กำลังเบื่อที่จะอธิบาย คำถามของเธอก็ยังคงทำให้สูญเสียพลังงานโดยใช่เหตุอยู่ดี ผมยืดตัวตรง สงสัยว่าผมควรจะเริ่มได้แล้วสินะ
“งั้นถ้าฉันบอกว่าเธอถูกขังจากข้างในโดยใครบางคนที่มีมาสเตอร์คีย์ล่ะ”
ขณะที่ผมพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เสียงของจิตันดะก็ดังขึ้นอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้เริ่มอธิบายตรงนี้เสียแล้ว
“เอ๊ะ ยังไงเหรอคะ?”
“ห้องธรณีวิทยาตั้งอยู่ไกลมากๆ ใช่มั้ยล่ะ ถ้าใครสักคนได้ล็อคคุณจากข้างในโดยใช้กุญแจปกติ เขาจะต้องย้อนกลับไปเอาก่อนที่ฉันจะยืมมัน สามนาทีมันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ที่ใครสักคนจะพยายามทำแบบนั้น”
“เห็นด้วยอย่างยิ่ง มันต้องเป็นกุญแจอีกดอกหนึ่งและมีกุญแจปกติอีกดอกเดียวเท่านั้นที่จะเอาออกจากมาสเตอร์คีย์ได้ใช่มั้ย?”
แน่นอน มันเป็นไปตามที่ผมคาดไว้ โดยปกตินักเรียนไม่สามารถใช้มาสเตอร์คีย์ได้
นอกจากนั้นยังมีข้อมูลที่ชี้ขาดอีกหนึ่งอย่าง
“จิตันดะซัง เธอพูดว่าเธอได้ยินอะไรสักอย่างมาจากชั้นข้างล่างใช่มั้ย?”
“ค่ะ”
“ถ้าเสียงนั้นมาจากตึกชั้นสี่ล่ะ มีอะไรบ้างที่ปกติเธอจะคิดได้เป็นสิ่งแรก?”
ซาโตชิ คนที่ดูสบายๆ ที่สุดตอบว่า “เสียงที่มาจากเพดานชั้นสาม?”
“ใช่ และพวกเขาก็มีมาสเตอร์คีย์ใช้ด้วย”
คนเดียวเท่านั้นที่ทำงานซ่อมแซมบนเพดานห้องเรียนหลังจากที่หมดเวลาเรียน ควรจะเป็น…
“ฉันประหลาดใจจังค่ะที่คุณคิดออกว่าเป็นภารโรง”
คนที่พวกเราเห็นบนตกชั้นสามคือภารโรง คนที่แบกบันไดอันใหญ่ เหมือนว่าเขาจะโผล่ออกมาจากห้องเรียน เขาวางบันไดบนพื้นแล้วหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋า และก่อนที่เขาจะเห็นพวกเรา เขาก็เริ่มล็อคประตูของห้องเรียนชั้นสาม เขาเป็นคนล็อคประตูห้องเรียนทั้งหมดหลังจากที่ซ่อมแซมอะไรสักอย่างข้างในห้องเรียน และเมื่อเขาซ่อมเสร็จเขาก็จะกลับมาล็อคประตูทุกบานทั้งหมดในครั้งเดียว ถ้าเกิดว่าใครสักคนเกิดเข้ามาในห้องเรียนเวลาที่ประตูมันล็อค มันคือโชคร้ายของคนที่ลงเอยด้วยการถูกขังจากข้างใน ต้องเหมือนจิตันดะตรงนี้แน่
เหมือนว่าภารโรงกำลังทำงานอยู่ ผมไม่ได้คิดอะไรแล้วเลยเดินผ่านห้องเรียนมากมาย เขาเปลี่ยนหลอดไฟบนห้องเรียนหรือเช็คแสงไฟ หรือสัญญาณเตือนไฟไหม้ หรืออะไรสักอย่างและนอกจากนี้คำถามของจิตันดะก็ได้รับคำตอบแล้ว
และแล้วภารกิจก็จบลง
“เห็นมั้ยล่ะ? บอกแล้วว่าถ้าให้เขาได้คิด เธอก็จะได้รับคำตอบ”
“คุณพูดถูกค่ะ ฉันประหลาดใจมากๆ”
ผมไม่เห็นตัวเองจะประหลาดใจตรงไหนเลย…หลังจากนั้นซาโตชิก็บอกผมว่ากุญแจเป็นตัวการที่สำคัญ ขณะที่จิตันดะสังสัยเสียงที่มาจากข้างล่าง ผมก็วางแผนเล่นเป็นคำใบ้ทั้งหมด…พวกเขาต่างก็สามารถคิดอะไรก็ตามที่เหมือนผม ผมทำขึ้นมาเพื่อให้คิดถึงปัญหานี้ แต่พอมองดูจิตันดะและเห็นความซื่อตรงอันน่าชื่นชมที่สะท้อนในดวงตาที่มีความหมายคู่นั้นของเธอ ผมจบด้วยการกลืนการเรียกร้องต่างๆ ที่ผมอาจจะมี
“ถึงยังไงเธอก็ยังอยู่ในอาคาร ฉันยังไม่เข้าใจว่าเธอไม่ได้ยินเสียงประตูล็อคได้ยังไง”
ตอนนี้จิตันดะไม่ได้แสดงความชื่นชมหรือเสียดสี เธอเพียงยิ้มออกมาเท่านั้น
“ฉันอธิบายได้ค่ะ ฉัน…จริงด้วย ฉันกำลังดูตึกนั้นจากตรงหน้าต่างนี้”
เธอพูดขึ้นและชี้ไปที่อาคารตรงถนน มันเป็นอาคารไม้ที่ดูทรุดโทรม สึกกร่อนหลังจากผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน ผมเปล่งเสียงแห่งความสัตย์จริง “ดูเหมือนว่าเธอกำลังถูกสะกดจิตเลย”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่พบอาคารที่ค่อนข้างจะลึกลับ”
“หืมมม”
ผมไม่เห็นด้วยว่าอาคารนั้นมันดูลึกลับยังไง แต่ซาโตชิก็เห็นจะเข้าใจบางอย่าง เขาพึมพำ “ใช่ มันดูเก่าแก่มากๆ”
“ใช่ค่ะ”
ตรงไหนฟะ? เธอที่กำลังจ่ดจ่ออยู่กับอาคารเก่าๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เธอดูสง่างามหรือเพียงแต่ไม่กังวลกันนะ
หลังจากนั้นพวกเราก็มาที่ถึงสัญญาณไฟจราจรสีแดง มีนักเรียนคนอื่นมุ่งหน้ากลับบ้านจากโรงเรียน
“พวกเรายังไม่ได้ต้อนรับกันเลยนะคะ”
จิตันดะเอ่ยเสียงเบา
“ต้อนรับ?”
“ใช่ค่ะ ชมรมวรรณกรรมจะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หลังจากนี้พวกเราก็จะได้สนุกด้วยกันไงคะ”
ชมรมวรรณรรม! ผมลืมเรื่องพวกนี้ไปสนิท! ผมแค่จะไปดูห้องชมรมแต่ทั้งหมดมันก็ล้มเหลว จิตันดะจะเข้าชมรม…แต่ก่อนหน้านี้ ใบสมัครเข้าชมรมคงจะถูกส่งและยื่นไปบันทึกแล้ว ในโรงเรียนแห่งนี้ไม่สามารถที่จะออกจากชมรมหลังจากเข้าไปไม่ถึงหนึ่งเดือน
ขณะที่ผมก้มหัวลง จิตันดะก็ยิ้มไปให้ซาโตชิ
“แล้วคุณจะเข้าชมรมวรรณกรรมมั้ยคะ ฟุคุเบะซัง?”
ซาโตชิกอดอกและมองขณะที่เขาใช้ความคิด แต่ในไม่ช้าก็ตอบ “มันก็ฟังดูน่าสนใจนะ ก็ได้ ผมเข้า”
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะฟุคุเบะซัง”
“เช่นกันครับ…ฝากตัวด้วยนะโฮทาโร่”
ผมเหลือบมองอย่างเย้ยหยันไปที่ซาโตชิที่ตัดสินใจเล่นๆ
ขณะที่ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมเริ่มเดิน มือก็ยังคงอยู่ในกระเป๋า ผมก็รู้สึกถึงจดหมายที่อยู่ข้างใน มันเป็นจดหมายจากพี่สาวของผม ที่จริงตั้งแต่จดหมายจากโอเรกิ โทโมเอะมาถึง ผมก็เริ่มรู้สึกว่าบางอย่างเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
มีความสุขหรือยังล่ะ พี่สาว? ตอนนี้ก็มีสามคนเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมวรรณกรรมแล้ว ชมรมวรรณกรรมคลาสสิคแบบดั้งเดิมกำลังจะฟื้นคืนชีพแล้วนะ ผมเองอาจจะได้บ๊ายบายกับการรักษาพลังงานที่แสนสงบ เพราะว่า…
“อะ จริงสิ พวกเรายังไม่ได้เลือกประธานชมรมกันเลย เลือกกันดีมั้ยคะ?”
“จริงด้วย โฮทาโร่ก็เหมาะนะ ไม่ลองดูให้เป็นประธานชมรมวรรณกรรมล่ะ”
คนเหล่านี้อาจจะไม่กับวิธีการรักษาพลังงานของผม แต่มันก็แค่ซาโตชิคนเดียว ผมยังรับมือกับเขาได้ แต่ปัญหาหลักน่ะคือ…
พวกเราสบตากัน จิตันดะ เอรุยิ้มพร้อมกับดวงตากลมโตของเธอ
คุณหนูคนนี้น่ะสิที่เป็นปัญหาหลัก ผมก็ยังคงไม่เข้าใจกับความรู้สึกแบบนี้อยู่ดี-----------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น