ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ....

    ลำดับตอนที่ #5 : EP 02 - พันธนาการสิ้นสุด [part1]

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 55


     

    หัวใจรัตติกาล



    2

    พันธนาการสิ้นสุด


    เสียงฝีเท้าดังขึ้น มันดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เงียบลงพร้อมกับเจ้าของฝีเท้าที่ปรากฏแก่สายตา ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและในมือก็โอบอุ้มผลไม้มาอีกเช่นเคย

    นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาถูกเรียกว่า ท่านปีศาจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม

    นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาเห็นผลไม้พวกนี้และปล่อยทิ้งไว้จนพวกมันเน่าไปหมด

    นี่มันนานเท่าไหร่แล้วนะ

    เขาอยากจะรู้ แต่ทว่าก็ไม่อยากถาม จึงได้แต่เก็บเงียบไว้และคอยมองปีศาจตัวน้อยที่แสนอ่อนแอ เป็นกระทั่งปีศาจแท้ๆ แต่กลับถูกมนุษย์ตามล่าจนหลงเข้ามาในถ้ำนี้ ไม่สิ จงใจเข้ามาในถ้ำนี้มากกว่า

    เมื่อดวงตาสีเงินเผลอเหลือบไปมองปีศาจน้อย เขาก็ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

    ทำไมตอนแรกเขาถึงได้ไม่คิดจะฆ่าปีศาจตนนี้นะ?

    เพราะว่าเป็นปีศาจด้วยกันหรือ?

    ไม่ไม่ใช่ แม้กระทั่งปีศาจด้วยกัน ในอดีตเขายังเคยฆ่ามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งมนุษย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกมนุษย์มักถูกล่ามาเป็นอาหารของเขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนอยู่ในวัยยังเล็กๆ ที่ผยองในพละกำลัง เขาฆ่ามนุษย์ไปมากจนนับไม่ถ้วน

    แล้วทำไมเขากลับไม่ฆ่าปีศาจที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้นะ?

    ปีศาจใช้ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองปีศาจตัวน้อยยามเผลอ เพียงแวบเดียวก็ต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น บ่อยครั้งนักที่พอจ้องทีไรก็ต้องเบือนหน้าหนี มันรู้สึกแปลกๆ แบบประหลาดๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดเท่าไหร่ก็หาสาเหตุไม่ได้ ได้แต่มองหน้าปีศาจน้อยแล้วเสมองไปทางอื่นอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นเขาก็เหม่อลอย ความคิดต่างๆ นานาเข้ามาในหัวไปหมด

    มันต่างไปจากเดิม

    จากถ้ำที่เคยเย็นยะเยือกและมืดมิด ตอนนี้ถึงแม้จะเย็นยะเยือกและมืดมิดเหมือนเดิม แต่ทว่ากลับสะอาดสะอ้านขึ้น กระดูกของมนุษย์และปีศาจที่เขาฆ่าตอนหลงเข้ามาก็ไม่เหลือ เพราะปีศาจน้อยตัวนั้นเอาไปทิ้งหมด ไม่รู้ไปทิ้งไหน รู้แค่ว่าปีศาจน้อยเดินไปเดินมา หอบหิ้วกระดูกพวกนั้นที่เขาฆ่าเข้าๆ ออกๆ ถ้ำหลายสิบรอบ และกลับเข้ามาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ไปหากิ่งไม้ ใบไม้มาทำเป็นที่นอนและผ้าห่มกันหนาว ผลไม้มากมายที่เอามาให้เขา ปีศาจน้อยก็ไม่แตะเลยสักนิด เหมือนกับว่ากำลังรอให้เขากิน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะกินมันเลย

    วันเวลาผ่านไปนานเสียจนมันเป็นปกติของเขา ที่ต้องเห็นปีศาจตัวน้อยส่งเสียงฝีเท้า ส่งเสียงหัวเราะและใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

    อ่ามันช่างประหลาด!

    “นี่ เจ้าไม่คิดจะไปที่อื่นหรือไง” อยู่ๆ ท่านปีศาจก็ถามขึ้น เป็นคำถามที่นับครั้งได้ นานมากๆ กว่าที่เขาจะถามได้แต่ละครั้ง เพราะส่วนใหญ่มีแต่ฟังแบบผ่านๆ อย่างเดียว

    จิวเอียงศีรษะและนิ่งเหมือนครุ่นคิด ปีศาจน้อยเพียงเอานิ้วแตะที่คางเบาๆ พร้อมส่งเสียงอืมยานคาง “อืมที่อื่นที่ท่านปีศาจบอกมันที่ไหนล่ะ?

    ปีศาจนิ่งไปนานแล้วตอบกลับ “ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ถ้ำของข้า”

    “ถ้ำนี้เป็นของท่านเหรอ” จิวแสร้งทำเป็นตาโต

    “ข้าอยู่ก่อน ข้าก็มีสิทธิ์มากกว่าเจ้าแล้วกัน” ท่านปีศาจถลึงตาขู่อย่างน่ากลัวที่ปีศาจน้อยเดี๋ยวนี้กลับรู้จักยอกย้อน เขาพ่นลมหายใจออกเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ

    จิวระบายยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ก็ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า อุตส่าห์ช่วยเหลือข้าจากพวกมนุษย์นี่นา ข้าเลยจะอยู่กับท่าน จะอยู่กับท่านตลอดไปเลย!

    ปีศาจเพียงเหลือบมองด้วยดวงตาสีเงินและเบือนหน้าหนีไปและกล่าวทิ้งท้ายว่า “ไร้สาระ”

    จิวหัวเราะ ทันใดนั้นท่านปีศาจก็ถลึงตามองแล้วถามกลับอีก

    “มีอะไรน่าตลก เดี๋ยวก็ฆ่าซะหรอก”

    “ฮ่าๆ ก็ท่านเอะอะก็ถลึงตา เอะอะก็ขู่จะฆ่านี่นา ข้าเห็นจนชินแล้ว” จิวตอบอย่างไม่กลัว เมื่อนึกแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ผิดกับตอนแรกที่เจอกันลิบลับ ตอนนั้นจิวร้องไห้ไม่หยุด ร้องเพราะความหวาดกลัว ร้องเพราะสงสารเหล่ามนุษย์ที่โดนท่านปีศาจฆ่า ทั้งๆ ที่จิวขอร้องให้ท่านปีศาจช่วยแท้ๆ แต่พอเห็นท่านปีศาจฆ่าพวกมนุษย์แล้วจิวก็รู้สึกแย่

    จิวไม่ชอบเอาเสียเลย เฮ้อ

    “ว่าแต่ว่าทำอย่างไรท่านถึงจะหลุดจากผนึกน้ำแข็งนี่เหรอ?” จิวจ้องมองน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำแล้วเลื่อนสายตามองน้ำแข็งที่อยู่บนตัวของชายหนุ่ม

    “ถ้าข้ารู้ ข้าก็คงทำให้มันแตกแล้วออกไปตั้งนานแล้วแหละ” ท่านปีศาจตอบหน้าตาย

    จริงด้วยจิวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ชวนคุยเรื่องอื่น ไม่นานนักก็ได้เวลาออกหาอาหาร จิวขอตัวลาและสักพักก็หอบผลไม้มาพะรุงพะรัง เขาได้แต่มองผลไม้ทั้งหลายแหล่เหมือนเดิมโดยไม่คิดจะกินมันเข้าปากแม้แต่น้อย

    ปีศาจแต่ละตนล้วนแต่มีพลังพิเศษที่แตกต่างกันไป เหมือนกับที่รูปร่างของปีศาจแต่ละตัวนั้นไม่เหมือนกัน สีผมและสีตาเองก็บ่งบอกถึงธาตุในตัวของปีศาจ เช่นจิวที่มีดวงตาสีเขียว พลังของจิวคือพลังของธรรมชาติ จิวไม่มีพลังอะไรที่เอาไว้ต่อสู้ แต่จิวมีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ไวต่อความรู้สึก ทั้งจมูก หู ตา ปาก หรือการสัมผัส

    จิวเคยสังสัยและถามท่านปีศาจน้ำแข็งเหมือนกันว่าท่านปีศาจมีพลังอะไร แต่เขากลับตวาดกลับมาว่า ข้าไม่ใช่ปีศาจน้ำแข็ง! เลิกเรียกข้าแบบนี้ซักที น่ารำคาญ!’ และจากนั้นมาจิวก็ไม่เคยเรียกเขาว่าท่านปีศาจน้ำแข็งอีกเลย

    และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกตามเคย จิวเดินออกจากถ้ำไปหาผลไม้มาให้ท่านปีศาจ ในใจของจิวคิดอยากจะช่วยเหลือท่านปีศาจ ให้ท่านปีศาจได้ออกไปข้างนอกอย่างจิวบ้าง แม้ท่านปีศาจจะไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางอิจฉาอะไร แต่จิวคิดว่าลึกๆ ในใจท่านปีศาจอยากจะออกไปข้างนอกก็เป็นได้

    ท่านปีศาจเคยบอกไว้ว่าเพราะพลังของท่านปีศาจ ทำให้ไม่กล้ามีปีศาจตัวอื่นๆ เข้ามาใกล้เกินความจำเป็น แต่นานๆ ครั้งถึงจะมีปีศาจอ่อนแอๆ อย่างจิวเป็นต้นที่ลักลอบเข้ามาโดยไม่รู้ว่าท่านปีศาจได้ปล่อยพลังขู่ปีศาจด้วยกันเอาไว้

    แต่มนุษย์ก็แค่รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนปีศาจ ทำให้มีมนุษย์มากหน้าหลายตาเข้ามาท้าประลองความกล้าแล้วก็โดนท่านปีศาจฆ่าเป็นว่าเล่นหลายต่อหลายปี พวกมนุษย์ก็ไม่มีวันเข็ดหลาบและเข้ามาอีกเรื่อยๆ

    จิวใช้ดวงตาสีเขียวสว่างมองบนยอดต้นไม้ เมื่อเห็นต้นไหนมีผลจิวก็จะปีนขึ้นไปจับๆ คลำๆ ดมๆ และชิมว่าอร่อยมั้ย ถ้าอร่อยจิวก็จะเก็บไว้ส่วนหนึ่งเป็นของตัวเอง และส่วนหนึ่งก็เป็นของท่านปีศาจ จิวมักจะทำแบบนี้ตลอดจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว

    แสงแดดอบอุ่นแยงตาจนปีศาจน้อยต้องใช้มือบดบังแสงแดดแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ที่บริเวณนี้ไม่มีแม้แต่นกหรือแมลงตัวเล็กๆ เลย คงเป็นเพราะมีท่านปีศาจอยู่ นั่นคือสิ่งที่จิวคิด แต่จิวก็ไม่เคยใส่ใจและทำกิจวัตรของตัวเองต่อไป

    ฮึบๆๆ

    วันนี้จิวไปเก็บผลไม้ไกลกว่าปกติ เพราะปีศาจน้อยเก็บทุกวัน ทำให้ผลไม้เริ่มออกไม่ทันกิน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะจิวเก็บเยอะเกินไปก็เป็นได้ ปีศาจน้อยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมและเดินออกไปไกลกว่าปกติ

    ทันใดนั้นดวงตาสีเขียวสดใสของจิวก็มองไปเห็นคนแปลกหน้าในชุดเสื้อคลุมสีขาวที่ปิดตั้งแต่หัวจรดข้อเท้าแทบจะลากยาวลงพื้น เหมือนว่ากำลังจะหมดสติเลย จากกลิ่นทำให้จิวรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นมนุษย์ จิวจึงรีบวิ่งไปเข้าประคองตามนิสัยของตัวเอง

    “ปะ เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงสดใสของจิวทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจ

    คนแปลกหน้าแหงนขึ้นมามองปีศาจน้อย “ขอบคุณแต่ข้าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกร้อนเพราะแดดเฉยๆ”

    “ท่านจะไปที่ไหน เดี๋ยวข้าไปส่งมั้ย?” จิวอาสาอย่างแข็งขันแล้วพาคนแปลกหน้าไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ ลมเย็นๆ พัดผ่านทำให้รู้สึกสบาย อีกทั้งอากาศถ่ายเท คงเพราะแดดร้อนเกินไปคงจะทำให้คนแปลกหน้าคนนี้คล้ายจะเป็นลมเป็นแน่

    “ข้าจะไปที่ที่บรรพบุรุษเคยมาน่ะ” คนแปลกหน้ากล่าวอย่างมีเลศนัย

    “ที่ที่บรรพบุรุษเคยมา? เป็นสถานที่แบบไหนเหรอ” จิวถามต่อ

    “เป็นถ้ำทางป่าตะวันออกน่ะ”

    ถ้ำทางป่าตะวันออก?

    จิวเริ่มขมวดคิ้วแล้วมองคนแปลกหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

    “ท่านช่วยเปิดผ้าคลุมออกได้มั้ย ลมจะได้ถ่ายเท ท่านจะได้ไม่ร้อน เดี๋ยวจะเป็นลมไปอีกนะ” จิวคล้ายจะหวังดี แต่ในใจอยากจะรู้ว่าคนแปลกหน้าผู้นี้เป็นใคร จึงอาสาจะดึงผ้าที่คลุมศีรษะออกให้

    แต่ทันใดนั้นจิวก็ต้องเบิกกว้างเมื่อความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นที่บริเวณมือทันทีที่จิวจับผ้าคลุมผืนนั้น จิวร้องอย่างเจ็บปวดแล้วถอยหลังออกห่างจากคนแปลกหน้า

    “เจ้าเป็นปีศาจ!” คนแปลกหน้าตะโกนแล้วดึงผ้าคลุมออกเผยให้เห็นเรือนผมสีทองและดวงตาสีอำพันเปล่งประกาย เขาอธิบายว่า “ผ้าคลุมนี่คือผ้าคลุมป้องกันปีศาจ ถ้าเจ้าเกิดรอยแผลไหม้แสดงว่าเจ้าเป็นปีศาจสินะ!

    จิวลูบที่มือตัวเองเบาๆ แล้วก้มมอง มันเป็นรอยไหม้จริงๆ ด้วย งั้นชายตรงหน้านี้ก็คือ

    “เจ้าเป็นนักบวช!?” จิวพูดเพียงแผ่วเบาและหวังให้ชายตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด

    แต่ทว่าชายตรงหน้ากลับพยักหน้ายอมรับ จิวกกัดริมฝีปากแน่นกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อดี ถ้าไม่ต้านเอาไว้นักบวชผู้นี้ต้องไปหาท่านปีศาจแน่ แต่ครึ่งปีศาจอ่อนแอจะทำอะไรนักบวชได้ มีหวังได้ตายฟรีเปล่าๆ

    จิวเลิกกัดริมฝีปากแล้วเปล่งเสียงออกช้าๆ “ขอร้องอย่าไปที่ถ้ำทางตะวันออกเลย”

    “หุบปาก! ปีศาจชั่วช้าต้องถูกกำจัด!” นักบวชหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาสีอำพันเหลือบมองจิวด้วยสายตาเหยียดหยาม น้ำเสียงที่เคยเรียบเฉยในตอนแรกผิดกับตอนนี้ลิบลับทันทีที่รู้ว่าจิวเป็นปีศาจทำให้ปีศาจน้อยอดน้อยใจไม่ได้

    “แต่ปีศาจก็ใช่ว่าจะชั่วช้าเสมอไป” จิวจ้องนักบวชอย่างขุ่นเคือง ใช่แล้วจากนั้นจิวก็เอ่ยต่อ “บางทีมนุษย์นั้นอาจจะชั่วช้ากว่าปีศาจซะอีก”

    “เหลวไหล ปีศาจคือสีดำ นักบวชคือสีขาว สีดำที่เป็นความชั่วย่อมถูกสีขาวที่เป็นความดีกำจัด!” นักบวชเข่นเสียง เมื่อกล่าวจบปากของนักบวชก็พึมพำต่อคล้ายกับมนต์อะไรสักอย่าง จากนั้นก็ล้วงหยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋าในเสื้อคลุม

    ปราบปีศาจ!” ทันทีที่เอ่ยจบนักบวชก็ขว้างยันต์สีเหลืองที่ลงอาคมอะไรสักอย่างใส่จิว ทันทีที่โดนจิวก็รู้สึกร้อนราวกับโดนไฟไหม้

    เป็นครั้งแรกที่จิวสู้กับมนุษย์ และมนุษย์ผู้นี้ก็คือนักบวช จิวไม่รู้เลยว่านักบวชมีวิชาอะไรบ้างทำให้จิวทรมาน ปีศาจน้อยกลั้นน้ำตาเอาไว้และพยายามวิ่งหนีออกจากนักบวช

    ขาทั้งสองก้าวอย่างทุลักทุเล มือบอบบางดึงยันต์แผ่นสีเหลืองออกจากตัว ทันใดนั้นจิวก็เผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จิวกระอักเลือดครั้งใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    นี่มันอะไรกัน

    นี่ข้ากำลังจะตายเหรอ?

    ปีศาจน้อยทรุดลงกับพื้น แต่พอได้ยินเสียงนักบวชที่ค่อยๆ เดินตามมาอย่างเชื่องช้าทำให้จิวรีบลุกขึ้นพรวดพราด แม้จะเจ็บแค่ไหนจิวก็กัดริมฝีปากและอดทนฝืนวิ่งต่อไป เป้าหมายของจิวตอนนี้คือพยายามวิ่งไปที่ถ้ำตะวันออกเพื่อเตือนท่านปีศาจ

    ท่านปีศาจเท่านั้น

    ขอแค่ท่านปีศาจเท่านั้นที่จิวไม่อยากให้ตาย

    ท่านปีศาจ…!

    ในที่สุดจิวก็ลากสังขารของตัวเองเข้ามาในถ้ำ ปีศาจน้อยไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนักบวชแล้วทำให้เริ่มรู้สึกวางใจและค่อยๆ เดินเข้าไปในถ้ำ

    กลิ่นเลือดฉุนกึกที่ค่อยๆ ทะลักเข้ามาทีละนิดสะกิดเข้ามาที่โสตจมูกของปีศาจผู้มีเจ้าของดวงตาสีเงิน เขาขมวดคิ้วเป็นปมพร้อมกับมองไปที่ทางปากถ้ำ เงาดำๆ กำลังใกล้เข้ามาจนเมื่อปรากฏตัวต่อหน้าทำให้ปีศาจดวงตาสีเงินถึงกลับเบิกกว้างและอุทานออกมา

    “เจ้า…!

    ปีศาจหนุ่มอยากจะลุกขึ้นไปประคองเหลือเกิน แต่เขาถูกพันธนาการเอาไว้ทำให้ทำได้เพียงแค่ตะโกนถาม “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า!

    “ท่านปีศาจ ข้าจะปกป้องท่านเอง” จิวพึมพำ เมื่อดวงตาสีเขียวสว่างเห็นใบหน้าของท่านปีศาจชัดเจน รอยยิ้มของจิวก็ฉายออกมา เป็นรอยยิ้มสดใสเช่นเคยแม้ว่าริมฝีปากของเขาจะเต็มไปด้วยเลือด แต่ทว่าปีศาจน้อยก็ยิ้มเพื่อท่านปีศาจ

    เหลวไหล! ปีศาจอ่อนแอที่ยังเอาตัวเองไม่รอดจะปกป้องอะไรเขาได้

    ปีศาจหนุ่มคิดในใจอย่างหงุดหงิด เขาเริ่มเดือดพล่านทีละนิดจึงพยายามระบายออกด้วยการพ่นลมหายใจแรงๆ ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?

    “ใครทำอะไรเจ้า!” ปีศาจหนุ่มจ้องมองจิวด้วยแววตาแข็งกร้าวและน่ากลัว

    จิวค่อยๆ อ้าปากตอบช้าๆ อย่างเจ็บปวด “ขะ ข้าเจอนักบวช”

    “แล้วทำไมเจ้าไม่หนี ทั้งๆ ที่เป็นปีศาจอ่อนแอแท้ๆ”

    “ข้าจะกำจัดเขาแต่เขาใช้วิชาแปลกๆ ทำให้ข้าเลือดออก มึนหัวจังเลยท่านปีศาจ” จิวพึมพำ สติของปีศาจน้อยเริ่มพร่าเลือน ทันใดนั้นจมูกของจิวก็ได้กลิ่นประหลาดจางๆ ปีศาจน้อยจำได้ว่าเป็นกลิ่นของนักบวชใช่แล้ว นักบวชกำลังเข้ามาเรื่อยๆ เพราะกลิ่นเริ่มแรงขึ้น

    จิวฝืนลุกขึ้น ปีศาจน้อยกระอักเลือดอีกครั้งจนแทบจะประคองสติไม่อยู่ ปีศาจหนุ่มมองด้วยความสมเพชแต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนที่เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เขาจ้องมองไปที่ปากทางเข้าถ้ำด้วยแววตาที่แข็งกร้าว ปีศาจหนุ่มค่อยๆ รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่เส้นผม

    ตุบ

    ยังไม่ทันที่นักบวชจะมาถึง ร่างของจิวก็ล้มทั้งยืนส่งผลให้ปีศาจหนุ่มชะงัก

    บ้าชะมัด…!

    ปีศาจหนุ่มเสมองไปทางอื่น

    ตึก

    ตึก

    เสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินเข้ามากระตุ้นให้ปีศาจหนุ่มเงยหน้ามอง ดวงตาสีเงินกวาดมองขึ้นและพบกับบุรุษในชุดคลุมสีขาวที่มีดวงตาสีอำพันและเรือนผมสีทอง

    ช่างคุ้นเคย

    ปีศาจหนุ่มคิดในใจและพยายามนึกให้ออก แต่เขาก็นึกไม่ออกเสียที ปีศาจหนุ่มจ้องมองนักบวชตรงหน้าสลับกับปีศาจน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวและเย็นชา

    “เจ้าเข้ามาทำไม?

    ทันทีที่ปีศาจหนุ่มถาม นักบวชก็เงยหน้ามองพิจารณารอบๆ ตัวของปีศาจหนุ่มอย่างละเอียด นักบวชหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เท้าของเขาชะงักเมื่อกำลังจะเดินผ่านร่างของปีศาจน้อย เขาก้มลงมองเตะเสยขึ้นอย่างแรงจนร่างของจิวกระเด็น

    ปีศาจหนุ่มถลึงตามอง และบังคับเส้นผมไปตามที่คิดเมื่อนักบวชเดินเข้ามาในอาณาเขตของเขาแล้ว เส้นผมแยกออกเป็นหลายๆ ฝ่ายพยายามเข้าไปโจมตีหลายๆ ทาง เพราะร่างกายของมนุษย์นั้นอ่อนแอนักทำให้ผมของปีศาจหนุ่มที่เหมือนจะมีพลังน้อยที่สุดสามารถทะลวงทะลุจนถึงข้างในได้ และนอกจากจะทะลวงแล้วยังสามารถรัดเหยื่อได้อีก เส้นผมจึงเป็นอาวุธหนึ่งที่น่ากลัวเลยทีเดียว

    ปีศาจหนุ่มบังคับผมอย่างใจเย็นแต่นักบวชก็กระโดดหลบได้แล้วหลบได้อีก นักบวชหนุ่มพึมพำร่ายคาถาบางอย่างออกมา ทันใดนั้นก็ล้วงยันต์ออกและไปตรงใจกลางน้ำแข็งที่พันธนาการร่างของปีศาจหนุ่มเอาไว้

    “อ๊าก!!” ปีศาจหนุ่มตะโกนก้องด้วยเสียงที่เจ็บปวด เขารู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วร่างที่โดนน้ำแข็งพันธนาการเอาไว้ ปีศาจหนุ่มตั้งสติได้ก็รีบบังคับเส้นผมโจมตีต่อเนื่อง

    “เจ้าคือปีศาจน้ำแข็งที่ถูกบรรพบุรุษของข้ากักขังไว้สินะ” นักบวชหนุ่มหยุดเคลื่อนไหวและเปรยตามองปีศาจหนุ่มด้วยดวงตาสีอำพัน

    “ข้าไม่ใช่ปีศาจน้ำแข็ง!” เขากัดฟันตอบเข่นเสียงเย็นชาออกมา

    ก็แค่ถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งทำไมทุกคนถึงต้องเรียกว่าปีศาจน้ำแข็งด้วยนะ ไม่ใช่พ่นน้ำแข็งออกมาได้หรือเสกใครให้แข็งได้สักหน่อย เหลวไหลสิ้นดี!

    “ถึงอย่างไรเจ้าก็มีฉายาว่าปีศาจน้ำแข็ง” นักบวชเข่นเสียงตอบอย่างเย็นชาไม่แพ้กัน

    “แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ทำไมไม่ทราบ” ปีศาจหนุ่มหยุดเคลื่อนไหวเส้นผมบุ่มบ่ามแล้วหันมาเจรจาแทน แต่ก็ไม่วายเคลื่อนเส้นผมไปรอบๆ นักบวชอย่างหวาดระแวง

    “ข้ามีหน้าที่กำจัดปีศาจ แน่นอนว่าต้องกำจัดปีศาจจึงมาที่นี่” นักบวชตอบด้วยความสัตย์จริง “เพราะบรรพบุรุษของข้าไม่ปราบเจ้า ทำให้ข้าต้องมาปราบ”

    “อยากจะสานต่อจากบรรพบุรุษว่างั้นเถอะ ข้าขอชื่นชมที่เจ้ากล้ามาปราบปีศาจที่โดนผนึกอยู่” ปีศาจหนุ่มเข่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอื้อนเอ่ยช้าๆ ว่า “น่าสมเพช”

    ราวกับว่าคำนี้เสียดแทงในใจของนักบวช เขาจ้องมองปีศาจหนุ่มด้วยความโกรธเคือง ปีศาจหนุ่มเองก็จ้องกลับด้วยแววตาที่ท้าทาย

    อ่านั่นสินะ

    นักบวชหนุ่มแอบเดาะลิ้นแล้วเผยอริมฝีปากเชิดขึ้นเหมือนจะแสยะยิ้ม

    “ในเมื่อเจ้าโดนผนึกอยู่ งั้นข้าก็จะฆ่าปีศาจที่ไม่โดนผนึกก่อนก็แล้วกัน”

    “อย่า” ปีศาจหนุ่มข่มเสียงต่ำ “อย่าทำให้ข้าโมโห

    ทันใดนั้นเท้าของนักบวชหนุ่มก็ชะงักและหมุนตัวเปลี่ยนทิศ ตรงไปหาปีศาจน้อยที่นอนแน่นิ่งไร้ซึ่งสติ ปีศาจหนุ่มคำรามในใจและจ้องมองนักบวชไม่วางตา

    บ้าเอ๊ย!

    หลุดสิ ไอ้น้ำแข็งบ้า

    หลุดสิเว้ย! หลุดสิ หลุดสิ!!

    หลุดสิ!!!!!!!!!!

    -----------------------------------------------------------------------

    UPDATE 1 --> 10 / 4 / 2555 : 23 / 28
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×