คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Vol 1 : EP2 - The Rebirth of the Traditional Classics Club [1]
2
The Rebirth of the Traditional Classics Club
บ่อยครั้งที่ได้ยินว่าชีวิตมัธยมปลายก็เหมือนกับสีกลีบกุหลาบ…
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตนักเรียนมัธยมปลายทุกคนจะต้องเป็นสีกลีบกุหลาบซะหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องกีฬาหรือแม้แต่เรื่องความรัก อาจจะมีบางคนที่อยากให้ชีวิตตัวเองเป็นสีเทามากกว่า ผมรู้ว่าผมค่อนข้างเงียบและมีโลกส่วนตัวสูง และความเงียบก็เป็นหนทางแห่งความโดดเดี่ยวของชีวิต
ตอนนี้ผมกำลังตีบทสนทนาสำคัญกับเพื่อนเก่าฟุคุเบะ ซาโตชิในห้องเรียนยามอาทิตย์อัสดง เหมือนทุกครั้งซาโตชิมักจะแบกรอยยิ้มไว้บนใบหน้าแล้วพูด “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่านายเป็นมีปมด้อยอย่างนี้ด้วย”
น่าเสียดายที่เขาคิดผิด ผมเลยประท้วงขึ้นว่า “นายบอกว่าชีวิตของฉันเป็นสีเทาใช่มั้ย”
“หา ฉันเคยพูดอย่างงั้นเหรอโฮทาโร่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องกีฬาหรือชอบใครสักคนอย่างเรื่องความรัก? ฉันไม่คิดเลยว่านายจะเป็นพวกมองไปข้างหน้าซะทุกเรื่อง”
“ก็ฉันไม่ได้มองไปข้างหลังนี่?”
“นายก็แค่ ‘ประหยัดพลังงาน’ ของนายต่างหาก”
ผมผ่อนลมหายใจอย่างรุนแรง มันจะดีตราบเท่าที่หมอนี่เข้าใจว่าผมไม่ได้เป็นพวกชอบใช้แรงงาน ผมไม่อยากใช้พลังงานไปกับสิ่งที่น่าเบื่อ รูปแบบชีวิตของผมคือการรักษาพลังงานที่ดีของโลกเอาไว้ หรือจะกล่าวอีกแบบคือ “ฉันจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ และถ้าจำเป็นต้องทำ ฉันก็จะรีบทำ”
ขณะที่ผมกำลังบอกคติประจำตัวของผม ซาโตชิก็ยักไหล่ขึ้นเหมือนเคย
“ไม่ว่าจะประหยัดพลังงานหรือว่าไร้สังคมมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? นายเคยได้ยินประโยชน์ของมันบ้างมั้ยล่ะ”
“ก็ไม่”
“สรุปสั้นๆ ก็คือนายไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษเลยสักอย่าง สังเกตจากความเป็นจริงที่นายไม่ได้เข้าชมรมอะไรสักอย่างในคามิยามะ ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของโรงเรียนมัธยมปลายและกิจกรรมในชมรมที่ทำให้นายเป็นคนสีเทาแบบนี้”
“อะไรนะ นายจะบอกว่าการตายเพราะฆาตกรก็ไม่ต่างอะไรกับการตายเพราะความประมาทอย่างงั้นเหรอ”
ซาโตชิตอบโดยไม่ลังเลว่า “อย่างบางมุมมอง มันก็ใช่ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้านายพยายามที่จะโน้มน้าวคนตายว่าเขาตายเพราะความประมาทของนายเพื่อขับไล่วิญญาณของเขา”
“…”
ผมมองคนตรงหน้าอีกครั้ง ฟุคุเบะ ซาโตชิคือเพื่อนเก่าแก่ของผม ฝ่ายตรงข้ามที่เหมาะสมจะเป็นคู่แข่งโดยสมบรูณ์ เขาค่อนข้างจะตัวเล็กกว่าผู้ชายถึงแม้ว่าจะเป็นนักเรียน ม.ปลายเหมือนกันก็เถอะ เขาชอบบอกว่ามันคือข้อผิดพลาดที่เหมือนกับผู้หญิงที่ดูอ่อนแอ แต่ภายในของเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันค่อนข้างจะอธิบายยากถึงสิ่งที่แตกต่างที่ว่า ถึงจะอย่างงั้นเพียงแค่รู้สึกว่าเขาแตกต่าง นอกจากจะแบกรอยยิ้มตลอดเวลาแล้ว หมอนี่ยังชอบมองไปที่กระเป๋าอุปกรณ์บ่อยๆ เหมือนกับว่าความทะเล้นคือเครื่องหมายการค้าของเขา แถมยังเป็นสมาชิกชมรมหัตถกรรมอีกต่างหาก อย่าคิดถามผมเชียวว่าทำไมหมอนั่นถึงเข้า
เอาละ เถียงกับหมอนี่ไปก็เท่ากับเสียพลังงานเปล่าๆ ผมโบกมือลาเพื่อบอกให้รู้ว่าได้เวลาจบบทสนทนาแล้ว
“งั้นก็กลับบ้านแล้วนะ”
“อื้อ กลับกันเถอะ วันนี้ฉันไม่มีกิจกรรมชมรม…ฉันก็กลับบ้านดีกว่า”
ขณะที่ซาโตชิกำลังเท้าเอวของเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างแล้วมองมาที่ผม
“ ‘กลับบ้านแล้วนะ’ เหรอ? หายากนะเนี้ยที่จะได้ยินคำนี้จากปากของนาย”
“ห๊ะ?”
“ก็ถ้าจะกลับบ้าน นายจะไม่ทำพูดประโยคนี้ก่อนจะกลับนี่นา หรือว่านายมีธุระอะไรหลังเลิกเรียนในเมื่อนายไม่ได้เข้ากิจกรรมชมรมอะไรนี่นา”
ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วหยิบกระดาษชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนด้านขวามือ หลังจากที่เงียบไป ซาโตชิก็หยิบมันทันที ตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตระหนก ไม่สิ หมอนี่โอเว่อร์แอคติ้งต่างหาก ไม่ชอบท่าทางประหลาดของหมอนี่เลยจริงๆ ถึงจะเป็นความจริงที่ตาของเขาขยายกว้างขึ้นก็เถอะนะ เป็นที่รู้จักกันดีว่าซาโตชิชอบแสดงเกินจริง
“อะไรน่ะ! นายจะเข้าชมรมงั้นเหรอ!?”
“ซาโตชิ อย่าซนสิ”
“นี่มันแบบฟอร์มชมรมไม่ใช่เหรอ? ประหลาดแฮะ เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้เนี้ย โฮทาโร่ถึงได้เข้าชมรมได้นะ…”
มันคือแบบฟอร์มจริงๆ เมื่อมองเห็นชื่อชมรมที่อยู่ในนั้น คิ้วของซาโตชิก็เลิกขึ้น
“ชมรมวรรณกรรม?”
“เคยได้ยินด้วยเหรอ?”
“เคยสิ! แต่ทำไมถึงเป็นชมรมวรรณกรรมล่ะ? หรือนายเพิ่งพบว่าตัวเองสนใจวรรณกรรมคลาสสิคขึ้นมา"
ผมจะอธิบายกับหมอนี่ไงดีล่ะ ผมเกาหัวตัวเองแกรกๆ แล้วหยิบกระดาษอีกชิ้นออกจากกระเป๋าด้านซ้ายมือตัวเอง มันคือจดหมายที่มีลายมือเขียนไว้ ผมส่งมันให้ซาโตชิ
“อ่านสิ…”
ซาโตชิรับมันทันทีแล้วเริ่มอ่าน คาดว่าเขาเริ่มจะหัวเราะ
“ฮ่าๆ โฮทาโร่ เจ็บปวดใจจริงๆ คำสั่งจากพี่สาวสินะ หือ? นายก็ปฏิเสธได้นี่”
ทำไมเขาถึงมองผมแล้วร่าเริงล่ะ? ในทางกลับกัน ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำหน้าขมขื่น
แอร์เมลจากอินเดียมาถึงในตอนเช้าวันนี้ได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของผม โอเรกิ โทโมเอะชอบส่งจดหมายที่ทำให้ผมตกใจได้ตลอดเวลา
‘โฮทาโร่ รักษาชมรมวรรณกรรมในสมัยวัยรุ่นของพี่สาวด้วยนะ’
เมื่อผมเปิดซองจดหมายแล้วอ่านผ่านๆ ในตอนเช้า ผมถึงรู้ว่ามันพุ่งมาที่ผมอย่างเดียว ผมไม่ได้มีภาระหน้าที่อะไรต้องไปรักษาชมรมที่เป็นความทรงจำสมัยวัยรุ่นของพี่สาว แต่ทว่า…
“พี่สาวนายถนัดอะไรเป็นพิเศษนะ? ยิวยิตสู?”
“ไอคิโด้ บาดเจ็บหนักได้พอสมควรเลยนะถ้าใครสักคนคิดจะทำให้บาดเจ็บ”
ก็นั่นแหละ พี่สาวของผม นักเรียนมหาลัยที่เชี่ยวชาญศิลปะการป้องกันตัว ไม่พอใจที่จะชนะแค่ในญี่ปุ่นอย่างเดียวเลยตัดสินใจออกเดินทางไปท้าทายโลกเช่นนั้น ผมว่ามันไม่ฉลาดเลยสักนิดที่จะไปหาเรื่องทำให้เธอโกรธเข้า
และอีกครั้งที่ผมพยายามจะต่อต้านกับความภูมิใจเล็กๆ ของผมเองนั้น มันก็เป็นความจริงที่ผมมีเหตุผลแค่นิดเดียวที่จะต่อต้านเธอ ความจริงพี่สาวผมก็ชี้ให้เห็นด้วยว่าผมไม่ได้มีอะไรดีๆ ทำอยู่แล้ว ผมเลยตัดสินใจ หรืออาจจะมองไม่เห็นชมรมที่ไม่ต้องยุ่งกับนักเรียนมากก็ได้ เพราะแบบนั้นผมเลยไม่ลังเล “ฉันไปยื่นแบบฟอร์มก่อนนะ”
“นายรู้มั้ยว่าหมายความว่าไง โฮทาโร่?”
ซาโตชิพูดขึ้นในขณะที่กำลังมองจดหมายพี่สาวของผม ผมจึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แน่นอน ถึงจะดูไม่มีประโยชน์ที่จะทำเท่าไหร่ก็เถอะ”
“ไม่ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น”
เขายกสายตาที่จ้องจดหมายออก ซาโตชิพูดด้วยเสียงที่ร่าเริงแปลกๆ เขาเคาะจดหมายด้วยหลังฝ่ามือแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ชมรมนั้นไม่มีสมาชิกในชมรมเลย ถูกมั้ย? หมายความว่านายจะมีห้องส่วนตัวของนาย ไม่ดีเหรอ ห้องส่วนตัวไว้ใช้คนเดียวในโรงเรียนไง”
ห้องส่วนตัวงั้นเหรอ?
“ก็น่าสนใจอยู่นะ”
“ไม่ชอบเหรอ”
เหตุผลประหลาดน่ะสิ ซาโตชิบอกว่าผมจะมีฐานลับเป็นของตัวเองในโรงเรียน ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยด้วย พื้นที่ส่วนตัวงั้นเหรอ? ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ จริงๆ แล้วผมต้องการสิ่งนั้นและอยากจะได้มาตั้งนานแล้วด้วย …แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้ามันจะเป็นสิทธิพิเศษ ผมเก็บจดหมายจากซาโตชิแล้วตอบว่า “คิดว่าไม่เลว ฉันอาจจะลองดูก็ได้”
“เจ๋ง นายได้โอกาสที่จะลองแล้ว”
โอกาสที่จะลอง หา? ไม่ได้ชอบซะหน่อย มันไม่ได้เหมาะกับบุคลิกของผมเลยสักนิด ดังนั้นผมเลยยิ้มขมขื่นแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาบนบ่าตัวเอง
ถึงกระนั้นผมก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อคติประจำตัวของตัวเองอยู่ดี
เริ่มจากเปิดหน้าต่าง เสียงของทีมนักกรีฑาก็ดังขึ้นจนได้ยิน
“…สู้! สู้! สู้!”
ผมไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำให้เสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าเข้าใจผมผิดนะ ผมไม่ได้บอกว่าการรักษาพลังงานเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ดังนั้นผมเลยไม่ดูถูกว่าพวกใช้แรงงานเหมือนคนโง่ทั้งหมด ผมมุ่งหน้าไปห้องชมรมวรรณกรรมต่อในขณะที่ได้ยินเสียงตะโกนของพวกเขาที่อยู่ข้างล่าง
ผมเดินคนเดียวบนทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องมุ่งตรงไปอาคารชั้นสาม ขณะมองหาภารโรง เขากำลังแบกบันไดอันใหญ่ ผมถามเขาว่าชมรมวรรณกรรมอยู่ตรงไหน เขาบอกว่าไปทางห้องบรรยายทางภูมิศาสตร์ที่อยู่อาคารเสริม ชั้นสี่
ที่โรงเรียนคามิยามะแห่งนี้ จำนวนนักเรียนไม่ได้เยอะแยะและพื้นที่ในวิทยาเขตไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรเลย
จำนวนโดยรวมของนักเรียนประมาณหนึ่งพันคน โดยทั่วไปที่โรงเรียนจะให้หลักสูตรสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกับโรงเรียนมัธยมปลายซะส่วนใหญ่ มันไม่ได้ระบุเป็นพิเศษว่าสำหรับสถาบันอะไร ในส่วนอื่นๆ มันก็เป็นเหมือนโรงเรียนมัธยมปลายทั่วไป ในทางกลับกันในจำนวนชมรมที่มีมากเป็นพิเศษ (เช่นชมรมสีน้ำ ชมรมประสานเสียง หรือชมรมวรรณกรรม) ฉะนั้นมันจึงค่อนข้างเป็นที่รู้จักดีและมีชีวิตชีวาสำหรับเทศกาลวัฒนธรรมประจำปี
ภายในบริเวณมหาลัยมีตึกขนาดใหญ่สามตึก โซนห้องเรียนจะเป็นอาคารทั่วๆ ไปปกติ กับอาคารเสริมที่สร้างเพื่อจุดประสงค์พิเศษและยิมนาสติก นอกจากนี้ยังมีห้องศิลปะการต่อสู้และห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา ชั้นสี่จะเป็นอาคารเสริม ห้องชมรมวรรณกรรมตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตรงนี้
ขณะที่บ่นเรื่องเสียพลังงาน ผมเดินข้ามทางเดินเชื่อมต่อและไปที่บันไดขึ้นชั้นสี่ ผมก็หาห้องภูมิศาสตร์เจออย่างรวดเร็ว ผมเปิดประตูโดยไม่ลังเลแต่ทว่ามันกลับล็อคอยู่ เป็นไปตามคาด ห้องส่วนใหญ่จะถูกล็อคเป็นปกติ ผมไขกุญแจที่ยืมมาล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เสียพลังงานและปลดล็อคประตูทันที
หลังจากปลดล็อคประตู ผมเลื่อนบานประตู ภายในห้องภูมิศาสตร์ที่ว่างอยู่ มองดูพระอาทิตย์ตกที่หน้าต่างทางทิศตะวันตกที่หันหน้าไปทางทิศของผม
เมื่อกี้ผมบอกว่าว่างเปล่าเหรอ? ไม่ใช่ ปรากฏว่ามันไม่เป็นดั่งที่ผมคาดไว้
ภายในห้องภูมิศาสตร์ที่พระอาทิตย์ตก ในห้องชมรมวรรณกรรมก็มีใครบางคนเข้ามาอยู่ข้างในแล้ว
นักเรียนคนนั้นยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองมาทางผม เป็นนักเรียนหญิง
คำว่า “สง่างาม” และ “เรียบร้อย” เป็นคำแรกที่ใจของผมคิดเมื่อเห็นเธอ ไม่มีคำอื่นที่ผมจะอธิบายความเป็นเธอได้ถูกต้อง ผมสีดำสนิทของเธอไหลผ่านบ่าทั้งสองข้าง ยูนิฟอร์มกะลาสีช่างดูเหมาะสมกับเธอเป็นอย่างดี เธอสูงพอๆ กับผู้หญิงทั่วไป หรืออาจจะมากกว่าซาโตชิ เห็นได้ชัดว่าเธอคือนักเรียนมัธยมปลาย เธอมีริมฝีปากบางๆ และร่างที่เปล่าเปลี่ยวเสริมภาพลักษณ์สมัยเก่าของหญิงสาวในโรงเรียนที่ควรจะมีลักษณะเช่นนี้ภายในตัวผม ในทางกลับกัน ม่านตาของเธอขยายใหญ่ขึ้นแต่ก็ยังสง่างามอยู่ดี ท่าทางของเธอดูกระตือรือร้น
เธอเป็นผู้หญิงที่ผมไม่รู้จัก
แต่เธอมองและพูดขึ้นว่า “สวัสดีค่ะ โอเรกิซังจากชมรมวรรณกรรมใช่มั้ยคะ?”
“เธอเป็นใคร?”
ผมถามตรงๆ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยดีกับการสร้างสัมพันธไมตรีกับคนอื่นเท่าไหร่ ผมไม่ได้ตั้งใจจะปฏิบัติกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรกอย่างเย็นชา แต่ผมไม่รู้จักเธอ คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอรู้จักผม
“จำฉันไม่ได้เหรอคะ? ฉันชื่อจิตันดะ จิตันดะ เอรุค่ะ”
จิตันดะ เอรุ แม้ว่าเธอจะบอกชื่อของเธอ แต่ผมก็ไม่ได้มีวี่แววจะจำเธอได้สักนิด อีกอย่างจิตันดะเป็นชื่อที่ไม่ค่อยได้ยิน ชื่อแรกเป็นเอรุอีก เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะจำชื่อเธอไม่ได้
ผมมองผู้หญิงที่ชื่อจิตันดะอีกครั้ง หลังจากที่ผมมั่นใจว่าไม่รู้จักเธอ ผมจึงตอบว่า “ขอโทษนะที่จำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร…”
เธอยังคงรักษารอยยิ้มและเอียงศีรษะน้อยๆ กำลังสับสนอย่างเห็นได้ชัด
“โอเรกิซังใช่มั้ยคะ? โอเรกิ โฮทาโร่ ห้อง 1-B?”
ผมพยักหน้า
“ฉันอยู่ห้อง 1-A ค่ะ”
รีบจำฉันเดี๋ยวนี้นะ? เหมือนว่าเธอมองเป็นนัยๆ บอกว่าทำนองนั้น…นี่ความทรงจำผมแย่จริงๆ เหรอเนี้ย?
เดี๋ยวนะ เธอมาจากห้อง A แล้วผมอยู่ห้อง B มีโอกาสที่พวกเราจะเจอกันมาก่อนเหรอ?
ถึงจะอยู่ชั้นเดียวกัน แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่นักเรียนต่างห้องจะได้คุยกันนอกจากจะมีโอกาสรู้จักผ่านทางกิจกรรมชมรมหรือเพื่อน ตัวผมไม่มีทั้งสองอย่างเข้ามาเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับนักเรียนคนอื่น มีเหตุการณ์เดียวที่ผมคิดคือโรงเรียนจะมีพิธีปฐมนิเทศเริ่มการศึกษา นอกจากนั้นผมก็ไม่เคยคิดจะไปแนะนำตัวกับนักเรียนห้องอื่นเลย ไม่สิ เดี๋ยวนะ มีโอกาสที่นักเรียนจะได้เจอกันในระหว่างคาบเรียนนี่นา เป็นไปได้ว่าอาจจะมีคาบเรียนเดียวกันกับครูคนเดียวในเวลาเดียวกัน มันต้องเกี่ยวกับคาบศิลปะหรือพละแน่ๆ หรือจะเป็นในช่วงมัธยมต้นมีพิธีปัจฉิม แต่เหมือนที่โรงเรียนมัธยมปลายจะมีสถาบันศึกษาเป็นหลัก และวิชาพละก็แยกชายหญิง นอกจากนั้นก็…
“พวกเราเรียนวิชาดนตรีด้วยกันใช่มั้ย?”
“ใช่ค่ะ!”
จิตันดะสั่นหัวแรงๆ
แม้จะคิดออกเองก็เถอะ ผมก็ยังประหลาดใจอยู่ดี ผมคิดว่าผมเรียนคาบดนตรีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นตั้งแต่ที่เข้ามาเรียนที่นี่ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะจำใบหน้าหรือชื่อได้เลย! ในทางกลับกันผู้หญิงที่ชื่อจิตันดะสามารถจดจำผมได้ถึงแม้จะเห็นแค่ครั้งเดียวงั้นเหรอ มันไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่แน่นอน เป็นไปไม่ได้…บอกผมที เธอมีระดับการจำและการสังเกตน่ากลัวมากแน่ๆ
มันคงจะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างคนที่ไม่เหมือนกันก็สามารถตีความหมายแตกต่างกันจากการอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ผมได้สติกลับคืนกลับมาก็ถามเธออีกครั้ง “มาทำอะไรที่ห้องธรณีวิทยาเหรอ?”
เธอตอบทันที “ฉันมาเข้าชมรมวรรณกรรมค่ะ ฉันคิดว่าฉันควรจะมาทักทายคุณ”
เข้าชมรมวรรณกรรม…หรือก็คือ…มีสมาชิกแล้ว
ในขณะที่ผมอยากให้เธอเดาว่าผมรู้สึกยังไง แต่ถ้าเธอบอกว่ามาเข้าร่วมชมรม พื้นที่ส่วนตัวผมก็สิ้นสุดลงน่ะสิ แล้วยังภาระหน้าที่ที่พี่สาวมอบให้ผมด้วย ผมไม่มีเหตุผลต้องเข้าร่วมชมรมวรรณกรรมแล้ว ผมพ่นลมออกมาภายในใจ…มันช่างเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นก็ถามเธอออกมา “ทำไมเธอถึงมาเข้าชมรมวรรณเหรอ?”
ฉันไม่ได้อยากเข้าชมรมนี้เลยสักนิด! ผมกำลังพยายามถ่ายทอดข้อความนี้โดยถามเป็นนัยๆ ผ่านทางคำถาม แต่เหมือนว่าเธอจะไม่ได้รับมัน แถมยังไม่มองอีกต่างหาก
“ฉันมีเหตุผลส่วนตัวที่มาเข้าร่วมชมรมนี้น่ะค่ะ”
เธอเลี่ยงจะตอบคำถามของผมทันที จิตันดะ เอรุ เป็นคนที่น่าสงสัยจริงๆ
“แล้วคุณโอเรกิล่ะคะ?”
“ฉัน?”
เจ้าเล่ห์ชะมัด แล้วทีนี้ผมควรจะตอบเธอยังไงดีละ? ผมคิดว่าเธอคงไม่เข้าใจหรอกว่าผมมาตามคำสั่งของพี่สาวเท่านั้น แต่เหมือนว่าผมจะเริ่มคิดนิดหน่อยแล้ว ผมคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลของผมเช่นกัน
ทันใดนั้นเองประตูก็เลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงที่ดังลอดเข้ามา บึ้ม “มาทำอะไรกันตรงนี้น่ะ ห๊ะ?”
เป็นอาจารย์นั่นเองที่โผล่มา คงกำลังตรวจตราความเรียบร้อยหลังเลิกเรียน ด้วยร่างกายที่กำยำและผิวสีคล้ำทำให้เขาดูเหมือนเป็นครูสอนพละ ถึงเขาจะไม่ได้ถือดาบไม้ก็เถอะ ขณะที่เขากำลังผ่านไป เขามีบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกถึงอำนาจรอบๆ ตัวเขา
จิตันดะหมุนตัวกลับเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ระบายยิ้มที่เรียบร้อยและทักทายอาจารย์
“สวัสดีค่ะ อาจารย์โมริชิตะ”
เธอทำการทักทายอย่างสมบูรณ์แบบตามวิธีของเธอและก้มศีรษะลงด้วยความเร็วและมุมที่เหมาะสมกันอย่างลงตัว เธอดูมีมารยาทตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมไม่ได้ขอให้ช่วยแต่ผมก็รู้สึกอิจฉาเธอ อาจารย์โมริชิตะตกตะลึงในความมีมารยาทของเธอจนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก็ตอบกลับด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “ครูเห็นประตูไม่ได้ล็อคเลยเข้ามาดู พวกเธอเข้ามาทำอะไรกันโดยไม่ได้รับอนุญาติ บอกชื่อและห้องของพวกเธอมา”
…หะ? ไม่ได้รับอนุญาต เอ๊ะ?
“ผมโอเรกิ โฮทาโร่ ห้อง 1-B ตามจริงที่นี่คือชมรมวรรณกรรมครับ และผมเกรงว่าอาจารย์กำลังเข้ามาขัดจังหวะรบกวนกิจกรรมชมรมวรรณกรรมอยู่นะครับ”
“ชมรมวรรณกรรม…?”
เขาพูดต่อโดยไม่ซ่อนความสงสัยเลยแม้แต่นิด “ฉันคิดว่ามันถูกยกเลิกไปแล้วนะ”
“เหรอครับ นั่นเป็นเรื่องก่อนหน้านั้นครับ วันนี้มันถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า ถ้าอาจารย์ไม่เชื่อก็ลองไปเช็คกับอาจารย์ที่ดูแลพวกเราก็ได้นะครับ กับ เอ่อ…”
“อาจารย์โออิเดะค่ะ”
“อ้อ ใช่ ไปยืนยันกับอาจารย์โออิเดะได้นะครับ”
โมริชิตะลดน้ำเสียงให้เบาลงอย่างรวดเร็วในระดับที่เหมาะสมทันที
“โอเค ฉันรู้แล้ว เชิญพวกเธอทำกิจกรรมชมรมต่อเถอะ”
“แต่อาจารย์จะไม่ดูพวกเราหน่อยเหรอครับ”
“อย่าลืมคืนกุญแจตอนที่พวกเธอกลับล่ะ”
“ค่ะ”
โมริชิตะหันกลับมามองที่พวกเราอีกครั้งก่อนจะปิดประตูเสียงดัง จิตันดะโค้งตัวแล้วพูดเสียงดังขึ้นจากนั้นเธอก็กระซิบถามว่า “เขา…”
“หือ?”
“เขาเสียงดังจังเลยนะ อาจารย์คนนั้น”
ผมระบายยิ้ม
จะยังไงก็ช่าง
คิดว่าตอนนี้ผมคงไม่มีธุระอะไรต้องทำแล้วสินะ
“จริงสิ พวกเรามาแนะนำตัวเองกันดีกว่าแล้วก็กลับบ้านกันเถอะค่ะ”
“หือ วันนี้พวกเราไม่มีกิจกรรมอะไรเหรอ?”
“ค่ะ ฉันจะกลับบ้าน”
ผมสะพายกระเป๋าพาดบ่า ในเมื่อไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว ผมจึงหันหลังให้จิตันดะ
“ฉันฝากเธอล็อคประตูด้วยนะ”
“เอ๋”
จากนั้นผมก็จะได้ออกจากห้องภูมิศาสตร์ซักที
หรือเปล่า? พอผมจะออก จิตันดะก็ตะโกนหยุดผมไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
ผมหมุนตัวกลับมองไปที่จิตันดะทันที เธอมองเหมือนว่าอยากจะบอกอะไรสักอย่างที่ไม่คาดคิดมากๆ แล้วเธอก็พูดขึ้นว่า “ฉัน…ฉันล็อคประตูไม่ได้ค่ะ”
“เพราะ?”
“ฉันไม่มีกุญแจค่ะ”
จริงด้วย กุญแจอยู่กับผมนี่นา ดูเหมือนว่ากุญแจสำรองจะมีไม่มากพอที่จะให้ยืม ผมเลยล้วงหยิบกุญแจจากกระเป๋าตัวเองแล้วส่งไปให้เธอ
“อะ นี่ ฝากดูแล…ฉันหมายถึง ฝากดูแลมันด้วยนะ จิตันดะซัง”
ทว่าจิตันดะกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย เธอเพียงแค่มองดูกุญแจที่ห้อยลงมาจากนิ้วมือของผม ไม่ช้าเธอก็เอียงคอและถามว่า “โอเรกิซัง ทำไมคุณถึงได้ถือกุญแจล่ะคะ?”
น็อตในหัวของเธอหายไปหรือไงเนี้ย
“งั้นฉันจะเข้ามาได้ยังไงถ้าไม่มีกุญแจ เดี๋ยวนะ แล้วเธอใช้วิธี…โทษที เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไงนะ จิตันดะซัง”
“ตอนฉันเข้ามามันไม่ได้ล็อคค่ะ ฉันคิดว่าอาจจะมีคนเข้ามาก่อนฉันแล้ว ฉันเลยไม่จำเป็นต้องหยิบกุญแจมาด้วย”
เข้าใจแล้ว นอกจากเธอที่ไม่ได้รับจัดหมายจากอดีตสมาชิกชมรมเหมือนกับผมแล้วเธอจะไม่รู้ว่าไม่มีสมาชิกเหลือในชมรมสินะ
“งั้นเหรอ ตอนฉันมาประตูมันล็อคนะ”
ปรากฏว่ามันคือความผิดของผมที่ออกเสียงโดยไม่ตื่นเต้นแม้แต่น้อยเหมือนการแสดงออกผ่านดวงตาของจิตันดะที่เปลี่ยนไปทันที เธอจ้องมองอย่างแหลมคม เป็นผมหรือเธอที่มีลูกตาดำใหญ่ขึ้น? ผมไม่สนใจสีหน้าตกใจของตัวเอง เธอถามผมช้าๆ ว่า “คุณบอกว่าตอนที่คุณเข้ามาประตูมันล็อค…”
ในขณะที่กำลังรู้สึกสับสนต่อการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของผู้หญิงที่งามสง่าเช่นเธอ ผมก็พยักหน้า ไม่ว่าเธอจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จิตันดะก้าวเท้าหนึ่งก้าวมาทางผม
“งั้นก็หมายความว่าฉันถูกขังจากข้างในใช่มั้ยคะ?”
เสียงที่หนักแน่นและชัดเจนดังมาจากทีมเบสบอลที่อยู่ข้างนอก ผมไม่มีธุระกงการอะไรกับห้องนี้แล้ว แต่จิตันดะก็เหมือนว่ายังอยากจะพูดอะไรอยู่ ผมถอนหายใจอย่างจำยอมและวางกระเป๋าลงบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ
ถ้าข้างในมันล็อคอย่างที่จิตันดะพูดมา มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ? ผมคิดหน่อยแล้วกัน กุญแจอยู่กับผม ในขณะที่จิตันดะอยู่ในห้อง ผมจำไม่ได้ว่าเคยล็อคประตูซะด้วย ช่างเป็นคำตอบที่ง่ายดาย
“ไม่ใช่ว่าเธอล็อคห้องเองจากข้างในเหรอ?”
เธอตกใจทันทีที่ได้ยินและปฏิเสธอย่างชัดเจน
“ฉันไม่เคยทำแบบนั้นค่ะ”
“แต่กุญแจอยู่กับฉัน จะเป็นใครได้ที่ล็อคประตูนอกจากเธอ?”
“…”
“มันก็มีบางครั้งไม่ใช่เหรอที่คนเราจะลืมว่าล็อคประตูไปแล้วหรือเปล่า”
จิตันดะดูจะไม่ได้ใส่ใจกับการอธิบายของผมเท่าไหร่นัก เธอชี้ไปที่ข้างหลังของผม
“เพื่อนของคุณอยู่ข้างนอกหรือเปล่าคะ?”
ผมหันหลังแล้วพบกับเงาปกเสื้อสีดำจากด้านหลังช่องว่างของประตูที่แง้มเพียงเล็กน้อย เขาจ้องมองอย่างรวดเร็วและพบกับผม ผมเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาเหมือนกับกำลังยิ้ม ผมเลยเปล่งเสียงออกมาว่า “ซาโตชิ! หนึ่งในงานอดิเรกของนายคือการแอบดูคนอื่นคุยกันเหรอ!”
ประตูถูกเปิดออกและก็เหมือนอย่างที่คาดไว้ คนที่เข้ามาคือฟุคุเบะ ซาโตชินั่นเอง ผมรู้สึกอายสุดๆ เขาพูดอย่างเปิดเผยว่า “โทษทีๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบฟังอะไรนะ”
“ถึงนายไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง? แต่มันก็จบลงที่ว่านายมาแอบฟังนั่นแหละ”
“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันไม่ได้จะเข้ามาในเวลาที่ฉันเห็นโฮทาโร่กำลังใช้เวลาอันแสนมีค่าร่วมกับสาวน้อยตามลำพังในช่วงเวลาอาทิตย์อัสดงอันสุดแสนจะพิเศษนี่นา ฉันไม่อยากให้มันจบลงด้วยการเตะฉันออกไปหรอกนะ”
หมอนี่พล่ามเรื่องอะไรฟะ?
“ฉันคิดว่านายอยู่ที่บ้านแล้วซะอีก”
“ก็ใช่ ฉันก็ว่างั้น แต่ฉันเห็นนายกับเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างในห้องจากบันไดข้างล่าง ให้ตายสิ เหมือนกับว่าประสบการณ์แอบมองทอมเลย”
ผมเมินคำพูดที่ซาโตชิเห็นพวกเราจากด้านนอก นั่นคือวิธีการล้อเล่นแบบปกติของหมอนั่น พวกเราอาจจะได้จบบทสนทนากับหมอนี่อย่างจริงจังซะที
แต่ดูเหมือนว่าจิตันดะจะหลงกลนะ
“เอ๊ะ เอ่อ ฉัน…”
เธอแสดงมันออกมาทางสีหน้าก่อนจะหายไปและถูกแทนที่ด้วยท่าทางตื่นเต้นแทน ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นพวกชอบแสดงออกทางสีหน้า เธอทำท่าอยากจะพูด “ดูสิ ตอนนี้ฉันตื่นเต้นจังเลยค่ะ” กับสภาพกังวล ในขณะที่ผมเห็นท่าทางแบบนั้นของเธอเป็นเรื่องสนุก ผมก็ไม่ปล่อยให้เวลานั้นผ่านไปนาน
โชคดีที่ผมเปิดเผยมุขตลกของทาคาชิได้ “เธอจริงจังด้วยเหรอ?”
“ไม่แน่นอนค่ะ”
เฮ้อ เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก และนี่ก็คือคติประจำใจของซาโตชิ “จะยิงมุขก็ต้องยิ่งให้ถูกจังหวะ มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดในทันที”
“…โอเรกิซัง คนนี้คือ…?”
เมื่อหมดช่วงมุขตลกของซาโตชิ จิตันดะก็ถามด้วยความอิดโรยเล็กน้อย ให้ตายสิ ผมควรจะแนะนำซาโตชิให้เธอรู้จักสินะ หรือว่าพวกเราจะไม่ทำดี ผมพูดสั้นๆ ว่า “หมอนี่คือซาโตชิ มนุษย์จอมลวง”
“จอมลวง?”
ผมคิดว่านี่คือคำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับซาโตชิ และดูเหมือนว่าซาโตชิจะอารมณ์ดีอยู่ไม่ใช่น้อย
“ฮ่าๆ แนะนำได้เยี่ยมนี่โฮทาโร่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ แล้วเธอคือ…”
“จิตันดะ จิตันดะ เอรุค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของจิตันดะ ซาโตชิก็ตอบสนองอย่างที่คาดไม่ถึง หมอนี่ทำตัวเป็นใบ้รับประทาน สำหรับคนที่พูดมากอย่างซาโตชิ มันเป็นปฏิกิริยาที่เห็นได้ยากเป็นอย่างยิ่ง
“จิ…จิตันดะซัง?…จิตันดะคนนั้นน่ะเหรอ?”
“เอ่อ ฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมายของจิตันดะที่คุณพูดเท่าไหร่ แต่ฉันมั่นใจค่ะว่ามีแค่ฉันที่ชื่อจิตันดะเท่านั้นในโรงเรียนแห่งนี้”
“ต้องเป็นอย่างงั้นอยู่แล้ว ฉันตื่นเต้นไปหมดแล้ว”
ซาโตชิตื่นเต้นอย่างแท้จริง แต่ถ้าซาโตชิตื่นเต้นอยู่ งั้นผมก็ต้องตื่นเต้นตามหมอนี่สินะ ผมเรียนรู้จากสมัยก่อนที่บางครั้งหมอนี่ก็มีวิธีหาข้อมูลข่าวสารทุกประเภทที่น่าตื่นตาตื่นใจ แล้วอะไรที่ทำให้หมอนี่ตื่นเต้นกันนะ ผมไม่เคยเดาได้เลย
“ซาโตชิ นายพูดเรื่องอะไร?”
“พูด? พูดเรื่องอะไร ฉันรู้นะว่านายไม่ค่อยรับรู้ข่าวสาร แต่นายจะบอกว่านายไม่เคยได้ยินตระกูลจิตันดะเลยเหรอ?”
ซาโตชิตกใจและถอนหายใจออกอย่างเกินพอดี แน่นอนว่านี่คือมุขตลกๆ ของซาโตชิ ตั้งแต่ที่ผมรู้จักเขา หมอนี่ชอบรู้เรื่องราวที่ไร้ประโยชน์เป็นอย่างดี ผมไม่ระอายใจเลยที่เริ่มจะได้รับรู้เรื่องของคนคนหนึ่ง
“ครอบครัวของจิตันดะซังน่ะเหรอ?”
ซาโตชิพยักหน้าอย่างพอใจ และเขาก็เริ่มอธิบาย
“เป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่มีน้อยนิดในเมืองคามิยามะ ที่โดดเด่นมากที่สุดคือ ‘สี่ตระกูลเลขยกกำลัง’ หนึ่งคือตระกูลจูมอนจิ (十文字) ที่ทำงานศาลเจ้าอะเรคุซึ ตระกูลที่สองตระกูลซารุซึเบริ (百日紅) ตระกูลที่ทำงานร้านหนังสือ ตระกูลที่สาม ตระกูลจิตันดะ (千反田) กับที่นาจำนวนมหาศาลของพวกเขา และตระกูลมังนินบาชิ (万人橋) เจ้าของที่ดินบนภูเขา อักษรคันจิตัวแรกของนามสกุลพวกเขาหมายถึงเลขยกกำลังของเลขสิบน่ะ ดังนั้นเลยเรียกพวกเขาว่า ‘ตระกูลเลขยกกำลัง’ (十百千万) ไงล่ะ แล้วก็มีตระกูลอื่นๆ ที่ดังพอๆ กับสี่ตระกูลนี้ด้วยนะ คือตระกูลไอเรสึที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลท้องถิ่น กับตระกูลโอโทเกโตะที่มีอำนาจพอสมควรเลยล่ะในเรื่องของการศึกษาน่ะ”
ผมถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออกและกระพริบตา ถามด้วยความสงสัย “ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงเหรอซาโตชิ”
“อ้าวๆ นี่ฉันเคยโกหกกับเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”
ถ้าซาโตชิพูดว่าเป็นความจริง มันก็คงจะเป็นความจริงมากที่สุด ตระกูลที่มีชื่อเสียงในยุคนี้งั้นเหรอ? ซาโตชิยังคงทำหน้าบึ้ง จิตันดะเลยช่วยเหลือหมอนี่
“ฉันเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนนะคะ แต่ฉันไม่ค่อยแน่ใจเรื่องชื่อเสียงตระกูลนะคะ”
“มันเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“ฉันเคยได้ยินเรื่อง ‘สี่ตระกูลเลขยกกำลัง’ น่ะค่ะ”
ผมเริ่มมองไปที่ซาโตชิ เขาเริ่มยักไหล่ของตัวเอง
“ฉันไม่ได้พูดโกหกซะหน่อย”
“แต่ทั้งหมดนั่นนายก็แต่งเองไม่ใช่หรือไง”
“ก็ฉันอยากจะเล่าแบบเป็นจุดเริ่มของตำนานนี่นา”
ดูเหมือนว่าซาโตชิอยากจะให้เรื่องทั้งหมดจบลง เขาปรบมือและพูดว่า “จะอะไรก็ช่าง โฮทาโร่ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นตรงนี้นะ?”
นายแน่ใจแล้วเหรอที่อยากจะรู้เรื่องนี้น่ะ ดังนั้นผมเลยทำให้เรื่องยาวๆ สั้นลงด้วยการอธิบายรายละเอียดให้ซาโตชิฟัง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยาวมว๊ากกกกกกกกกกกกกก 55555 นี่ขนาดแค่ครึ่งตอนแรกนะเนี้ย
ไม่รู้ว่าเราแปลน่าเบื่อไปป่าว อาจจะทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน T^T ขออภัย
คหส. พอแปลแล้วรู้สึกว่า ทำไมโฮทาโร่พูดมากอย่างงี้ฟะ =[]=
ถึงเอ็งจะพูดในใจ แต่แปลลำบากเหลือแสน T-T
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ :]
ความคิดเห็น