คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [รู้จักตนเอง] คุณสมบัติการเป็นนักเขียน
+++ Admin Rin talk +++
ลองประเดิมด้วยนี่ก่อน ‘คุณสมบัติการเป็นนักเขียน’ เชื่อว่าหลายๆอาจจะยังไม่รู้ที หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองมีครบ แน่ใจเหรอ? เอาล่ะเราลองมาอ่านนี่ก่อน รับรองพวกเราจะเข้าใจเกี่ยวกับ นักเขียน และ การเขียนนิยาย มากขึ้น
Credit : ไม่ชัวร์ว่าใคร(เห็นมีชื่อว่าแคนนี่โผล่มา) แต่เราเอามาจาก
http://writer.dek-d.com/natami/story/viewlongc.php?id=615801&chapter=13
แก้ไขนิดนึง
(หาเครดิตเจอแล้ววุ้ย)
คุณสมบัติการเป็นนักเขียน
มีคำถามพลั่งพลูออกมามากมาย อาจจะรวมถึงพวกคุณหรือเพื่อนๆในห้องเรียนนี้ก็ได้ แต่คำถามที่ถามกันบ่อยมากที่สุดก็คือ “อยากเป็นนักเขียน ต้องทำอย่างไร?” ถ้าจะให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ “เริ่มเขียนเสียแต่ตอนนี้” นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้องครับ แต่มันก็ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมดเสียทีเดียว การจะเป็นนักเขียนที่ดีได้นั้น พวกคุณจะต้องค้นหาตัวเองก่อนว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ ซึ่งคุณสมบัติของการเป็นนักเขียนที่ดีมันมีดังนี้ครับ
1. มีจินตนาการ : นัก เขียนจะต้องทำงานอยู่กับความคิดของตัวเองและร่ายออกมาเป็นตัวอักษรให้คน อื่นๆเข้าใจ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก เพราะจินตนาการเป็นเสมือนพรสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง รองลงมาคือทักษะในการเขียน ไม่ต่างจากงานศิลปะ ถ้าผู้เขียนขาดจินตนาการ ก็จะมองไม่เห็นภาพของเนื้อเรื่อง พอมองไม่เห็นภาพ ก็จะถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดี สุดท้ายคนอ่านก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
2. มีความอดทน : การ เขียนนิยาย ใช่ว่าเขียนแค่เดือนสองเดือนก็เสร็จ บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะเสร็จ เหตุผลที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานขนาดนี้ก็เพราะต้องใช้เวลาในการตรวจทานและ แก้ไข ซึ่งน้อยมากๆถึงมากที่จะมีคนที่เขียนแล้วไม่ต้องกลับมานั่งแก้
“คุณเคนนี่คะ แต่ใครๆก็อยากจะเขียนนิยายให้เสร็จเร็วๆ เพื่อที่จะได้เอาไปให้คนอื่นอ่านต่อไวๆไม่ใช่เหรอคะ?”
ตรง นี้แหล่ะครับคือปัญหาของนักเขียนมือใหม่ ซึ่งมักจะขาดคุณสมบัตินี้เกือบจะทุกคน เมื่อพยายามเร่งเขียนให้จบเรื่องหรือจบตอน ก็จะขาดในเรื่องของของการตรวจทานแก้คำผิด ซึ่งทำให้นิยายของคนนั้นดูไม่มีคุณภาพ ต้องขอบอกไว้เลยว่า ใครที่ยังติดนิสัยแบบนี้อยู่ ให้รีบแก้ไขตัวเองได้แล้ว น้อยคนนักที่จะเขียนครั้งเดียวแล้วออกมาดูดี ไม่ต้องแก้เลย ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกคุณที่พึ่งจะเริ่มเขียนนิยายได้ไม่นาน
3. มีความรับผิดชอบ : นัก เขียนเป็นงานที่ต้องทำกับตัวหนังสือและจินตนาการ บางครั้งการทำงานก็สนุกจนลืมกินข้าวกินปลา แต่บางทีก็น่าเบื่อจนอยากจะเลิกเขียนแล้วไปทำอย่างอื่น แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือ ต้องรู้จักแบ่งเวลาระหว่างงานเขียนและกิจกรรมประจำวัน เช่น เรียนหนังสือ ช่วยงานบ้าน ทำการบ้าน หรือแม้แต่เวลาไปมีกุ๊กกิ๊กกับแฟน เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกับงานทั้งสองด้าน
“อ้าว? แต่คุณบอกว่างานเขียนต้องใช้ความอดทนมากไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าต้องให้แบ่งเวลาแล้วเมื่อไหร่จะเขียนเสร็จล่ะคะ?”
ท่าทางคุณจะยึดติดกับการทำให้เสร็จเร็วๆจังเลยนะครับ... จะช้าหรือเร็วมันไม่สำคัญหรอก แต่ อย่าลืมสิว่า คุณยังมีสถานภาพเป็นนักเรียนอยู่ ควรจะทุ่มเทให้กับการเรียนให้มาก การเขียนนิยายสำหรับคุณในตอนนี้ยังเป็นได้แค่งานอดิเรกเท่านั้น ไม่ได้จะพูดกีดกัน แต่จะบอกให้ฟังว่า ถ้าคุณจะยึดอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพหลักเลยนั้น คุณเตรียมใจที่จะต้องอดมื้อกินมื้อได้เลย เพราะงานเขียนมันไม่ใช่งานที่จีรังยั่งยืนซะทีเดียว ถ้าคุณไม่เก๋าจริง คุณไม่สามารถยืนอยู่บนเส้นด้ายแห่งวงการนักเขียนได้นานนักหรอก แม้แต่เจ.เค.โรลลิ่ง คนเขียนเรื่อง “แฮรี่พ็อตเตอร์” ยังต้องมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ หรือแม้แต่แร็บบิท คนเขียนเรื่อง “หัวขโมยแห่งบารามอส” ที่พวกคุณคลั่งไคล้ก็ยังต้องมีอาชีพประจำของเขาเพื่อยังชีพเช่นเดียวกัน
ชีวิต นักเขียนช่างแสนอาภัพมาก เพราะต้องอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม และอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ถ้าคุณไม่โผล่หัวไปทำกิจกรรมอย่างอื่น รับรองได้เลย ถ้าไม่เป็นเอ๋อไปซะก่อน ก็คงจะกลายเป็นบุคคลที่โลกลืมอย่าง “คราก เค้นท์” อย่างแน่นอน
4. ใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา : ไม่ ว่าคุณจะมีพล็อตเรื่องดีแค่ไหน แต่หากขาดความรู้ที่จะนำมาใช้เขียนอ้างอิงประกอบ มันก็ไม่ต่างจากการสร้างบ้านโดยขาดการวัดสเกลนั่นเอง ดังนั้น สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ ควรจะศึกษาหาข้อมูลที่จำเป็นต่อเรื่องที่คุณจะเขียนให้มากที่สุดเท่าที่จะ ทำได้ เช่น ถ้าคุณต้องการจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับนางสนมในพระราชวัง ก็ต้องไปหาสารคดีหรือบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวในพระราชวังมาอ่าน หรือถ้าคุณอยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับนางเอกที่เป็นแม่ครัว ก็ต้องไปหาตำราทำอาหารหรือดูทีวีที่มีรายการเกี่ยวกับทำอาหารมาดูอ้างอิง เป็นต้น
“แล้วถ้าจะเขียนเรื่องรักหวานแหววล่ะคะ? ต้องไปหาข้อมูลมาจากไหน?”
อัน นี้พวกคุณน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วล่ะมั้ง? เผลอๆน่าจะรู้ดีกว่าผมเสียด้วยซ้ำไป แต่ถ้าอยากจะได้ข้อมูลมากกว่านี้ก็ต้องไปศึกษาจากเรื่องเล่าของคนที่เคย( และ)มีความรัก ประกอบกับอ่านหนังสือพวกบทกวี บทความจากนิตยสารที่มีข้อคิดและปรัชญาเกี่ยวกับความรัก จะช่วยให้คุณมีทัศนคติเกี่ยวกับความรักเป็นของตัวเอง ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการเขียนนิยายมากทีเดียว
“แล้วถ้าผมอยากจะศึกษาเกี่ยวกับสำนวนถ้อยคำภาษาที่ใช้ในการเขียน ผมจะไปหาข้อมูลจากไหนได้บ้างครับ?”
เป็น คำถามที่ดีมากครับ สำหรับโวหารนั้น ผมอยากจะให้พวกคุณได้ลองไปศึกษานิยายของคนอื่น โดยเฉพาะนิยายที่ขึ้นชื่อว่าภาษาสวยงาม สำนวนดี ขอให้อ่านมากๆ ยิ่งคุณอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคำศัพท์ดีๆอยู่ในคลังสมองไว้เขียนมากขึ้น ซึ่งผมเองก็จะพยายามอ่านนิยายให้มากขึ้นเหมือนกัน เพราะส่วนตัวผมแล้วผมไม่ค่อยอ่านนิยายทนสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะนิยายที่ใช้ศัพท์สูง ซึ่งนั่นทำให้นิยายของผมไม่ค่อยเด่นในเรื่องของภาษาเท่าไหร่นัก
5. เปิดใจยอมรับความคิดเห็นจากคนอื่นๆ : บาง ครั้งผู้เขียนอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่า นิยายของตนนั้นมีจุดเด่นหรือจุดด้อยตรงไหน ด้วยเหตุนี้ พวกคุณจึงต้องยอมรับในคำวิจารณ์ของผู้อ่าน แม้ว่ามันจะรุนแรงไปก็ตาม แต่ถ้านั่นเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานิยายเรื่องต่อไป มันก็คุ้มแล้วที่จะยอมให้คนสับแหลก ดังนั้น ผู้เขียนจึงต้องยอมอดทน และยอมรับในทัศนคติเกี่ยวกับนิยายของที่มีต่อผู้อื่น
“แล้วเราควรจะให้ใครเป็นผู้วิจารณ์นิยายของเราล่ะคะ?”
จะ เป็นคนใกล้ตัวก็ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ก็ได้หมด แต่ผมอยากจะแนะนำว่า ควรจะหาผู้วิจารณ์ที่ไม่สนิทชิดเชื้อจนเกินไป โดยเฉพาะพ่อแม่ เนื่องจากความสนิทนี่แหล่ะ ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถวิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาเข้าใจว่าถ้าไปวิจารณ์ในจุดด้อย กลัวจะทำให้คุณเสียความรู้สึก แนะนำว่าควรจะเอานิยายไปโพสลงอินเตอร์เน็ตหรือไม่ก็ลองเอาไปให้อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยได้ลองอ่านดู น่าจะช่วยพวกคุณได้
เป็นไงบ้างเอ่ย? อ่านมาถึงนี้แล้วมีลูกศรปักแทงใจดำกี่ดอกกันแล้วเอ่ย? (ของเราเยอะมากแต่ละข้อนี่โดนไปเต็มๆ) อ่านมาแล้วก็ลองไปพัฒนากันดูนะ
ปล. ไอ้บรรทัดสุดท้ายที่ว่าให้อาจารย์ภาษาไทยอ่านน่ะ ใครกล้าบ้างยกมือหน่อย =_=;;; (แค่เอาให้เพื่อนสนิทอ่านก็อายจนจะเอาหัวมุดแผ่นดินหนีไปดาวอังคารได้อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับอาจารย์ภาษาไทย(นึกหน้าอาจารย์คนนั้นไว้)กันล่ะ)
ปล.2 (เพิ่งนึกได้) เออเนอะ...แค่เราเอานิยายที่เราแต่ง(เขียนเขี่ยๆตามประสาไก่ญาติห่างๆของซิมซีมิ(?)ลงในสมุด)ไปให้เพื่อนอ่านยังอายซะขนาดนั้น แต่เรากลับเอามาลงเด็กดีให้ประชาชาติทั่วอาณาจักรได้ประจักษ์กันได้โดยไม่อาย (ไม่ได้หลอกด่านะ เพราะเราก็เป็น = =;;;) อืม...น่าแปลกจริงๆ... เพื่อนๆคิดว่าไงกันบ้าง?
ความคิดเห็น