ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ KHR Fic. ] ร้ายนักนายมาเฟีย 10069

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 14

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 57


    นับตั้งแต่เมื่อวานที่เกิดเหตุการณ์ลักพาตัวมุคุโร่ไป คิเคียวได้ถูกมอบหมายงานให้ตามหารถคันนั้น

    อย่างเร่งด่วน การตามหาทำได้ค่อนข้างยากเพราะรถคันนั้นไม่มีป้ายทะเบียน ดังนั้นมิลฟิโอเล่จำเป็นต้องใช้อิทธิพลติดต่อขอใช้กล้องวงจรปิดทุกตัวกับทางตำรวจจนได้ภาพรถคันสีดำ รถคันนั้นได้แล่นเข้าไปที่ท่าเรือทันทีที่รถผ่านเข้าไปประตูก็ถูกปิดลง

     

    หลังจากนั้น 30 นาทีได้มีขบวนรถแบบเดียวกับที่จับตัวมุคุโร่วิ่งตามกันออกมามากมายประมาณ

    169 คันวิ่งแยกย้ายไปคนละทิศละทาง เท่าที่สังเกตจากกล้องวงจรปิดรถทุกคันไม่ได้ถูกติดแผ่นป้ายทะเบียนเหมือนกัน คิเคียวได้ส่งลูกน้องไปตรวจสอบพื้นที่ๆนั่นไม่เหลือรถจอดทิ้งไว้แม้แต่คันเดียว

     

    “ หึหึ...คงวางแผนมาเป็นอย่างดีสินะ ”

     

    เบียคุรันโยนแฟ้มรายงานลงกับโต๊ะ ใบหน้าคมคายแย้มยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

     

    “ เพราะจำนวนรถที่แยกย้ายมีมากเกินไป...ทำให้ไม่สามารถตามเจอได้ในทันทีครับ ”

     

    คิเคียวพูดเสียงเรียบ เนตรสีมรกตคอยสังเกตปฏิกิริยาของบอสที่ดูจะอารมณ์ดีไม่เข้ากับสถานการณ์

    แต่ลูกน้องคนสนิทอย่างเขารับรู้ได้เลยว่าบอสคงกำลังโมโหอยู่มากแน่ๆ

     

    “ ก็นะ...ฝีมือพวกนั้นก็คงไม่ธรรมดา...ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าทำเรื่องอย่างนี้หรอก ”

     

    เบียคุรันเอนกายชิดติดพนักเก้าอี้ส่วนมืออีกข้างถือถุงน้ำแข็งประคบบริเวณที่ถูกฟาด

     

    “ แล้วท่านเบียคุรันเป็นยังไงบ้างครับ?...ดีขึ้นรึยัง? ”

     

    “ ก็ยังปวดอยู่นิดหน่อยล่ะนะ ”

     

    พอถุงน้ำแข็งสัมผัสเข้าที่ขมับใบหน้าของเบียคุรันก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือ

    ว่าโชคร้ายที่หัวของเขาไม่แตก แต่กลับมีรอยเขียวช้ำมาแทน

     

    “ แล้วท่านเบียคุรันจะให้พวกผมทำยังไงต่อเหรอครับ? ”

     

    “ อูย!...นั่นสินะ...ในเมื่อเราไม่รู้ว่าคนที่จับตัวมุคุโร่คุงเป็นใคร...งั้นเราก็คงต้องรอให้ฝ่ายนั้นเป็นคน

    ติดต่อเรามาเองนั่นแหละ ”

     

    “ รับทราบครับ ”

     

    คิเคียวโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการน้อมรับคำสั่งก่อนที่จะหันกายเดินไปที่ประตูพร้อมกับแฟ้มรายงาน

     

    “ บอกโชจังว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าให้มาพบฉันที่มิลฟิโอเล่ ”

     

    “ แต่ว่าคุณโชอิจิอยู่ที่ญี่ปุ่นนะครับ ”

     

    “ หึหึ...ไม่ต้องห่วง โชจังจะต้องมาทันแน่...ถึงแม้ว่าเขาจะต้องลำบากก็ตามอ่ะนะ ”

     

    “ รับทราบครับ ”

     

    ..........

    ......

    ..

    .

    ภายในความมืดที่ถูกสร้างขึ้นด้วยผ้าบางๆผืนหนึ่ง เจ้าของเนตรที่ถูกปิดได้สติหลังจากที่ถูกบังคับให้

    รับกลิ่นอ่อนๆจากผ้าของชายชุดดำ พอออกแรงถึงได้รู้ว่าแขนทั้งสองข้างถูกจับมัดไพล่หลัง

     

    ...มันเกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหน?...

     

    “ พอตื่นขึ้นมาก็ไม่อยู่นิ่งเลยนะค่ะ ”

     

    เสียงผู้หญิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นมุคุโร่เริ่มเคลื่อนไหว

     

    “ คุณเป็นใคร?...จับผมมาทำไม? ”

     

    “ อะไรกัน...นี่คุณจำฉันไม่ได้เหรอค่ะ...นั่นสินะ ก็เราเจอกันแค่ครั้งเดียวเองนี่ ”

     

    ...เพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แล้วใครมันจะไปจำได้ล่ะ?...

     

    “ ถ้าอย่างนั้นผมก็คงจำคุณไม่ได้หรอกครับ?...แก้มัดผ้าที่ตาของผมสิครับ....จะได้รู้ว่าคุณเป็นใคร ”

     

    “ คุณเองก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะค่ะ ”

     

    มือบางทั้งสองข้างอ้อมไปด้านหลังของมุคุโร่เพื่อปลดผ้าปิดตาออก แสงจ้าจากไฟนีออนทำให้เนตร

    ต่างสีไม่สามารถลืมตาได้ในทันที

     

    “ คุณจับผมมาทำไม? ”

     

    มุคุโร่ขมวดคิ้วหลังจากที่รับรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร เนตรต่างสีมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

     

    “ ใจร้อนเกินไปหน่อยแล้วนะค่ะ...เรามาค่อยๆคุยกันดีกว่า ”

     

    “ คึหึหึ...คุยเหรอครับ...คุณจับผมมา แล้วยังมัดผมไว้อีก...คงไม่ใช่แค่การคุยธรรมดาใช่มั้ยครับ? ”

     

    หญิงสาวยิ้มอย่างเอ็นดูมือบางของเธอสัมผัสที่แก้มของมุคุโร่เบาๆ

     

    “ คุณนี่...ฉลาดพอๆกับเบียคุรันเลยนะค่ะ ”

     

    “ คึหึหึ...อย่าเอ่ยชื่อของคนๆนั้นอีกนะครับ...ผมไม่ชอบใจเลยที่บอกว่าผมเหมือนเขา ”

     

    “ กะแล้วเชียวว่าฉันเลือกคนไม่ผิด...คุณน่ะไม่ได้ชื่นชอบในตัวของคนๆนั้นจริงๆด้วยสินะค่ะ ”

     

    “ ผมไม่ได้อยู่กับคุณเบียคุรันเพราะว่าชอบเขาหรอกนะครับ...แต่เรื่องนั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ

    เลยนี่... ”

     

    เธอออกแรงบีบที่ปลายคางได้รูป แรงบีบมีมากพอที่ทำให้มุคุโร่พูดลำบาก

     

    “ ฉันรู้ค่ะ...ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ...ฉันส่งคนสะกดรอยตามคุณได้สักพักแล้ว...คุณโรคุโด มุคุโร่...

    รวมถึงสืบประวัติและรู้กระทั่งว่าคุณมาอยู่ที่นี่เพื่อชดใช้หนี้ที่ติดไว้...แต่นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นของเล่นฆ่าเวลาของเบียคุรันด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

     

    เนตรต่างสีเบิกกว้าง เธอคลี่ยิ้มอย่างพอใจพลางคลายมือออกเปลี่ยนมานั่งตรงหน้าขาของมุคุโร่แทน

     

    “ คุณต้องการอะไรกันแน่!!

     

    “ เร็วๆนี้จะมีการเซ็นสัญญาระหว่างแฟมิลี่ของเบียคุรันและของฉัน...การเจรจาไม่ค่อยจะดีเท่าที่ควร ...

    หมอนั่นเจ้าเล่ห์อย่างกับหมาป่า ”

     

    “ ดังนั้นคุณจึงจับตัวผมมาเพื่อขู่เขาเหรอครับ...คึหึหึ บอกไว้ก่อนเลยนะครับ ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมติด

    กับอะไรง่ายๆแบบนี้ ดีไม่ดีเขาอาจจะดีใจก็ได้นะครับที่ผมถูกกำจัด...แล้วอีกอย่างผมก็ไม่คิดจะขอให้เขามาช่วยหรอกนะครับ ”

     

    “ ฉันดูออกค่ะว่าคุณสำคัญกับเบียคุรันมากขนาดไหน...มากถึงขนาดกีดกั้นออกจากธุรกิจสกปรก...

    ปกป้องคุณจากมาเฟียอย่างพวกฉันและรู้ด้วยว่าคุณจะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากเขา ”

     

    หญิงสาวโอบแขนรอบคอมุคุโร่ ริมฝีปากบางกระซิบอย่างเย้ายวนที่ใบหู

     

    “ ที่จริงก็ว่าจะรออีกซักหน่อย...แต่พอดีว่าฉันได้รับรายงานจากลูกน้องที่คอยเฝ้าว่าคุณกำลังวิ่ง

    หนีเบียคุรัน...ถึงไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ก็เป็นโอกาสดี...กำหนดการจับตัวคุณก็เร็วกว่าที่คิดไว้...และอีกอย่างคุณไม่อยากได้ธุรกิจของตระกูลกลับคืนมาเหรอค่ะ? ”

     

    นิ้วเรียวเกลี่ยริมฝีปากของมุคุโร่ช้าๆ เธอสบตาเนตรต่างสีอย่างเย้ายวน

     

    “ คึหึหึ...ผมไม่คิดจะร่วมมือกับมาเฟีย ”

     

    “ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ...ฉันถึงอยากจะคุยกับคุณก่อนไงค่ะ...คุณมุคุโร่ “

    ..........

    ......

    ..

    .

    ...ให้ตายสิ เมื่อไหร่คนๆนี้จะเลิกเอาแต่ใจซักทีนะ นึกจะเรียกกลับก็เรียก ไม่เคยนึกถึงหัวอกคนอื่นบ้างเลย...

     

    โชอิจิบ่นออดแอดอยู่ในใจ ผมหนาสีส้มยังหวีไม่เข้าทรงดี เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ควรจะนุ่งทับ ชายเสื้อกลับ

    หลุดออกมาข้างนอกมือทั้งสองข้างลากสัมภาระอย่างทุลักทุเลเข้าห้องของบอสมิลฟิโอเล่

     

    “ อ้าว โชจังมาแล้วเหรอ?...มาไวจริงๆเลยนะ ”

     

    “ ไม่ต้องมาพูดอย่างนี้เลยนะครับ...ถ้าผมมาช้าคุณก็จะ... ”

     

    โชอิจิพูดไปได้นิดเดียวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นรอยเขียวจางบนใบหน้าหล่อเหลาของบอส เบียคุรันยิ้ม

    ตอบ

     

    “ ฉันจะทำไมงั้นเหรอ? ”

     

    “ จะทำไมก็ช่างเถอะครับ...หน้าของคุณไปโดนอะไรมา ”

     

    “ คนที่กล้าถามฉันก็มีแต่โชจังเนี่ยอ่ะนะ ”

     

    เบียคุรันลูบที่แผลเบาๆ

     

    “ นี่เป็นผลงานของมุคุโร่เขาน่ะ ”

     

    โชอิจิถึงกับหน้าซีดเขาไม่เคยคิดเลยว่ามุคุโร่จะกล้าทำร้ายและก็ไม่คิดเลยว่าเบียคุรันจะเสียท่าง่าย

    ขนาดนี้ โชอิจิวางกระเป๋าเดินทางลงกลางห้องก่อนจะเดินมาหยุดที่โต๊ะทำงาน

     

    “ คุณจัดการกับคุณมุคุโร่ไปแล้วเหรอครับ? ”

     

    “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฉันจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ...โชจัง ”

     

    “ เฮ้อ นั่นสินะครับ...แล้วที่รีบเรียกผมมามีเรื่องอะไรเหรอครับ ”

     

    เบียคุรันนั่งท้าวคาง เนตรสีอ่อนจ้องตรงมาที่โชอิจิอย่างเย็นชา ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มเย็นยะเยือก

     

    “ มุคุโร่...ถูกจับตัวไป...ต่อหน้าต่อตาฉันเลย ”

     

    “ เป็นไปได้ยังไงครับ ”

     

    เบียคุรันเอนกายชิดผนัก มือขวาล้วงซองขนมสีขาวนุ่มนิ่ม หยิบออกมาหนึ่งชิ้นในระดับสายตาออกแรง

    บีบอย่างสนุกมือก่อนจะส่งขนมชิ้นนั้นเข้าปาก

     

    “ ฉันคิดว่าจะต้องมีคนแอบสะกดรอยมุคุโร่คุงอยู่แล้วแน่ๆ...แต่พอดีว่าดันเกิดเรื่องบังเอิญขึ้น...ทำให้

    สบโอกาสน่ะนะ ”

     

    จนถึงตรงนี้โชอิจิก็ยังคงไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด การที่มุคุโร่ถูกสะกดรอยอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

    เพราะไม่ว่าใครที่อยู่ใกล้กับเบียคุรันย่อมตกเป็นที่สนใจอยู่แล้ว แต่เรื่องบังเอิญที่เบียคุรันพูดถึงและถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตานั้นคงเป็นไปไม่ได้

     

    “ เรื่องบังเอิญที่ว่า...เกี่ยวกับแผลบนหนาของคุณรึเปล่าครับ? ”

     

    “ หึหึ...ก็ส่วนนึงน่ะ ”

     

    “ แล้วคุณรู้ตัวคนลักพาตัวไปรึยังครับ? ”

     

    “ ก็กำลังรอฝั่งนู้นติดต่อมาน่ะ ”

     

    “ ใจเย็นเกินไปรึเปล่าครับนั่น ”

     

    เบียคุรันเหยียดยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงพลางเดินมาที่โชอิจิ มือซ้ายวางบนไหล่อดีตเลขา

     

    “ ฉันถึงต้องเรียกนายกลับมาไงล่ะ...โชจัง...เรื่องเทคโนโลยีไม่มีใครเก่งเกินนายอยู่แล้ว ”

     

    โชอิจิมองเบียคุรันอย่างไม่เชื่อหูตังเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเบียคุรันคงไม่พูดอะไรทำนองนี้หรือว่าการที่มีมุ

    คุโร่อยู่ใกล้ตัวอาจทำให้เขาอ่อนโยนขึ้น โชอิจิยิ้มรับพร้อมกับวางมือขวาลงบนหลังมือเบียคุรัน

     

    “ เชื่อใจผมได้เลยครับ...คุณเบียคุรัน ”

     

    เวลา 18.00 น. ของวันนั้น...

     

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่เบียคุรันกำลังนั่งประกอบไพ่เป็นทาวเวอร์สูงระดับสายตา เสียงนั้นรบกวน

    สมาธิทำให้ไพ่ทาวเวอร์ล้มลงอย่างง่ายดาย โดยมีโชอิจินั่งอยู่ข้างๆ มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอแสดงเบอร์ที่ไม่ขึ้นชื่อ แถมเขาเองก็ไม่คุ้นซะด้วย

     

    “ ฮัลโหล...ฉันเบียคุรัน ”

     

    “ นายคือเบียคุรัน เจสโซ่สินะ ”

     

    “ ถ้านายหมายถึงหัวหน้ามิลฟิโอเล่ด้วยคนๆนั้นก็คือฉันนี่แหละ ”

     

    โชอิจิรับรู้ได้ถึงความผิดปกติเขามองหน้าเบียคุรันที่ยังคงแย้มยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมกับเปิด

    อุปกรณ์ดักฟังที่ติดกับโทรศัพท์

     

    “ นายคือคนที่จับตัวมุคุโร่ไปสินะ ”

     

    เบียคุรันเริ่มเปิดประเด็นอย่างไม่รอช้า คนปลายสายมีน้ำเสียงหวั่นไหวเล็กน้อย

     

    “ นี่แกรู้ตัวแล้วเหรอ? ”

     

    “ กำลังรออยู่เลยต่างหาก...แล้วนายล่ะเป็นคนของแก๊งไหน? ”

     

    “ แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก!

     

    “ ทำไมล่ะ?...ทั้งที่กล้าจับคนของฉันไปแท้ๆ...แต่กลับไม่กล้าแสดงตัว...ขี้ขลาดจังเลยนะ ”

     

    เบียคุรันกดเสียงต่ำ ทำเอาคนที่นั่งข้างๆอย่างโชอิจิรู้สึกหวั่นไปด้วยเพราะเวลาที่บอสของเขาเอาจริงมัน

    น่ากลัวมากชนิดที่ว่าทำลายโลกทั้งโลกได้เลยทีเดียว

     

    “ ฉันว่าแกน่าจะห่วงเรื่องคนของแกมากกว่านะ...ใช้ได้เลยนี่หว่า ”

     

    “ นายหมายความว่ายังไง? ”

     

    “ ก็ไม่รู้สินะ...แค่อยากจะบอกว่าคนของแกไม่ค่อยทนมือทนเท้าเอาซะเลย... ”

     

    “ นี่แก!...ทำอะไรมุคุโร่ ”

     

    เบียคุรันดีดตัวขึ้นด้วยอารมณ์โมโหหน้าแข้งของเขากระแทกเข้ากับโต๊ะรับแขกจนสั่นไหว เสียงดังพอที่

    ทำให้คนในโทรศัพท์ได้ยิน

     

    “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรกัน...แค่นี้ก็ต้องโกรธกันด้วยเหรอ? ”

     

    “ ปล่อยตัวมุคุโร่มาเดี๋ยวนี้!!

     

    “ จะให้ปล่อยไปง่ายๆตามคำพูดของแกได้ยังไงล่ะ ”

     

    “ แล้วแกจะเอายังไง? ”

     

    “ มาหาฉันที่ตึกร้างนอกเมืองสิ...แล้วแกก็มาเอาคนของแกกลับไป ”

     

    “ หึ...ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่ามุคุโร่ยังมีชีวิตอยู่ ”

     

    ปลายสายรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ ขณะที่เขากำลังคุยกับเบียคุรันก็มีร่างบางนั่งอยู่ข้างๆตลอด

    เขาจ่อโทรศัพท์ที่หูของตัวประกัน

     

    “ คุณเบียคุรัน!

     

    เบียคุรันที่ได้ยินเสียงใสก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง เขามั่นใจได้ว่าตอนนี้ร่างบางปลอดภัยดีอยู่

     

    “ มุคุโร่คุง...เธอเป็นยังไงบ้าง...พวกนั้นซ้อมเธอรึเปล่า? ”

     

    “ คุณเบียคุรัน...ช่วย...ผม...ด้วยครับ ”

     

    มุคุโร่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทำเอาคนฟังรู้สึกร้อนรน

     

    “ รอฉันก่อนนะ...มุคุโร่...ฉันจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้แหละ ”

     

    “ คราวนี้คงมาเจอฉันได้แล้วสินะ ”

     

    จากเสียงของมุคุโร่กลับมาเป็นเสียงของคนลักพาตัวแล้ว

     

    “ แกต้องการอะไรกันแน่? ”

     

    “ ไว้แกมาถึงก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกันดีมั้ย?...เวลานัดคือ 3 ทุ่ม...อ่อ ขอเตือนไว้อีกอย่าง...แกห้าม

    พาคนของแกมาด้วย...อย่ามาเล่นตุกติกกับฉันล่ะ ”

     

    ปลายสายกดวางไปแล้ว  โชอิจิเริ่มมีท่าทีเคร่งเครียดการที่ฝ่ายตรงข้ามยื่นข้อเสนอแบบนี้ต้องไม่เป็น

    ผลดีแน่

     

    “ ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำตามคำพูดของมันนะครับ ”

     

    “ อืม...นั่นสินะ...ฉันมีทางเลือกอื่นรึเปล่าล่ะ? ”

     

    “ มีสิครับ...คุณก็ไม่ต้องไปพบพวกนั้นไง...คุณส่งใครไปก็ได้อยู่แล้วนี่ ”

     

    “ นี่โชจังกำลังจะบอกให้ฉันทิ้งมุคุโร่ไปนะ ”

     

    เบียคุรันเอ่ย เนตรสีอ่อนมองเรียบนิ่ง พอถึงตรงนี้โชอิจิก็พูดไม่ออกเขาก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด 

     

    “ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า...เธอรู้จักฉันดีนี่...ฉันจะไม่ยอมเป็นอะไรก่อนที่จะได้แต่งงานกับมุคุโร่คุง

    เด็ดขาด ”

     

    เบียคุรันพูดติดตลกเพื่อให้สถานการณ์ตึงเครียดได้คลี่คลายลงบ้าง แต่เจ้าของผมส้มกลับยิ่งหงุดหงิดมาก

    ขึ้นกว่าเก่า

     

    “ แต่ว่า...คุณเองก็สำคัญกับมิลฟิโอเล่เหมือนกันนะครับ ”

     

    โชอิจิตะโกนลั่นจนเบียคุรันยังรู้สึกอึ้ง ใบหน้าคมคายยิ้มอย่างอ่อนโยนกับท่าทางขึงขัง มือทั้งสองข้าง

    วางบนไหลของเพื่อนสนิท

     

    “ แต่มุคุโร่สำคัญกับฉันมากเหมือนกัน...เธอก็รู้นี่...เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงต้องเรียกนายกลับมา...อีก

    อย่างฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย...นี่เป็นความลับระหว่างเรานะ...หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...โชอิจิ นายห้ามบอกมุคุโร่เรื่องของฉันอย่างเด็ดขาด... ”

     

    ..........

    ......

    ..

    .

    ก่อนเวลานัด 1 ชั่วโมง ณ. ตึกมิลฟิโอเล่

     

    “ คุณจะไม่เปลี่ยนใจจริงๆเหรอครับ ”

     

    “ อืม...นี่เธอถามฉันกี่ครั้งแล้วเนี่ย? ”

     

    เบียคุรันเอ็ดขณะกำลังเช็คกระสุนปืน มือหนาหมุนลูกโม่หนึ่งรอบแล้วค่อยจะสะบัดให้มันเข้าที่ก่อนจะ

    เก็บเข้าซองปืนสะพายไหล่ เขาหยิบเสื้อสูทสีขาวสวมทับเพื่อปกปิด

     

    “ ผมว่าคุณน่าจะมีคนติดตามไปด้วยนะครับ...อย่างน้อยคุณก็ให้ผมตามไปด้วยคนก็ยังดี ”

     

     อย่าลืมหน้าที่ของเธอสิ...โชจัง...อีกอย่างถึงเธอไปด้วยก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้อยู่ดีใช่มั้ยล่ะ? ”

     

    โชอิจินิ่งเงียบเพราะน้ำเสียงตอนนี้เหมือนจะเป็นคำสั่งมากกว่าการขอร้อง

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของชายหนุ่มทั้งสอง เบียคุรันส่งสายตาไปที่โชอิจิให้ไปตรวจดู

    ว่าผู้มาเยือนยามวิกาลเป็นใคร

     

    “ คุณเบียคุรันอยู่มั้ยค่ะ? ”

     

    หญิงสาวพูดทันทีที่ประตูถูกเปิดออก

     

    “ มีธุระอะไรรึเปล่าครับ? ”

     

    “ พอดีฉันว่าจะชวนคุณเบียคุรันไปทานอาหารค่ำซักหน่อยค่ะ ”

     

    “ ต้องขอโทษด้วยนะครับ...พอดีว่าคุณเบียคุรันไม่อยู่ครับ ”

     

    “ งั้นเหรอค่ะ...เหมือนฉันจะเห็นรถของเขาจอดอยู่ที่ลานจอดรถนะค่ะ ”

     

    ถี่ถิงส่งสายตาอย่างคาดคั้นพร้อมกับมองไปที่ประตูที่แง้มเปิด คนโกหกไม่เก่งอย่างโชอิจิถึงกับกลืน

    น้ำลายลำบาก

     

    “ ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับที่คนของผมตอบคุณไปแบบนั้นน่ะ ”

     

    เบียคุรันก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มมือข้างขวาท้าวกับขอบประตู ส่วนมือข้างซ้ายแตะแผ่นหลังของโชอิจิ

    เบาๆเพื่อบอกว่าให้เขาถอยออกไปก่อน

     

    “ พอดีว่าผมเป็นคนสั่งเขาเองน่ะครับ ”

     

    “ อย่างนี้นี่เอง...แล้วนั่นคุณกำลังจะไปไหนรึเปล่าค่ะ? ”

     

    ถี่ถิงสัมผัสที่ใบหน้าหล่อเหลาเบาๆ ริมฝีปากแดงอวบอิ่มยิ้มอย่างเย้ายวน ดวงตาที่กรีดอย่างสวยงาม

    มองไล่ลงถึงแผงอกก่อนจะหันมาสบตากับเบียคุรันอีกครั้ง

     

    “ วันนี้คุณพอจะมีเวลาจะไปทานข้าวกับฉันมั้ยค่ะ? ”

     

    “ ต้องขอโทษจริงๆครับ...ผมมีธุระเร่งด่วนที่ต้องไปทำน่ะ ”

     

    “ แย่จังเลยนะค่ะ...แล้วธุระที่ว่าต้องให้ฉันช่วยรึเปล่าค่ะ? ”

     

    “ นั่นสินะครับ...ถ้าเป็นคุณล่ะก็ต้องช่วยผมได้มากเลยทีเดียว ”

     

    “ มีเรื่องอะไรเหรอค่ะ? ”

     

    “ ผมว่าเราเข้ามาคุยกันข้างในดีกว่านะครับ ”

     

    ทั้งสองนั่งอยู่บนโซฟาภายในห้อง เบียคุรันออกปากเล่าเรื่องราวที่มุคุโร่ถูกลักพาตัวไปโดยไม่เปิดเผย

    สถานะระหว่างเขากับมุคุโร่  หญิงสาวรู้แต่เพียงว่าคนที่ชื่อมุคุโร่เป็นแค่เลขาส่วนตัวเท่านั้น มือบางแตะที่ปลายคางเหมือนกับกำลังขบคิด

     

    “ แล้วคุณคิดที่จะทำยังไงต่อไปล่ะค่ะ? ”

     

    “ ก็คงต้องทำตามที่พวกนั้นว่ามานั่นแหละครับ ”

     

    “ มันจะดีแน่เหรอค่ะ?...แค่เลขาคนเดียว...ทำไมคุณถึงต้องเสี่ยงชีวิตไปช่วยด้วยล่ะ ”

     

    เธอพูดน้ำเสียงหยอกล้อเหมือนกับไม่เชื่อว่ามุคุโร่จะเป็นแค่เลขาส่วนตัวธรรมดา ดวงเนตรสีอเม

    ทีสต์มองกลับอย่างรู้ทัน ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์

     

     

    “ พอดีว่าผมไม่อยากจะใช้คนเปลืองแล้วล่ะครับ ”

     

    “ ถ้างั้นคุณต้องการให้ฉันช่วยอะไรล่ะค่ะ? ”

     

    “ พวกนั้นแค่บอกว่าไม่ให้เอาคนในแก๊งไป...แต่คุณยังไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับผม...ก็ถือว่าคุณ

    ไม่ใช่คนแก๊งเดียวกันไงครับ...อีกอย่างการพาผู้หญิงไปด้วยพวกนั้นต้องไม่ระวังตัวแน่ ”

     

    “ เจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนเลยนะค่ะ...คุณคงจะใช้เหตุการณ์นี้เพื่อดูฝีมือของฉันด้วยรึเปล่าค่ะ ”

     

    “ คิดมากเกินไปแล้วครับ...ว่ายังไงล่ะครับ...คุณจะช่วยผมรึเปล่า? ”

     

    " แน่นอนสิค่ะ "
     

    ............................................................................................................
     

    อยากจะขอสอบถามนักอ่านหน่อยค่ะ ตอนจบของเรื่องนี้อยากให้จบแบบไหนดีค่ะ ตอนนี้คิดไว้หลายแบบเลย แบบ Bad End , แบบ Happy หรือแบบทรมานใจดี เลือกไม่ถูกเลยจริงๆค่ะ ^-^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×