คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 14 : Stay with me
Chapter 14 : Stay with me
หลังจากผ่านวันนั้นมาได้ วันสุดท้ายของภาคเรียนม.4 วันที่แสนพิเศษของซึงยุน ชีวิตของเขาทั้งสองคนจากที่ปกติมีความสุขอยู่แล้ว ก็ดูจะมีความสุขมากขึ้นกว่าเก่า แผนที่คังซึงยุนได้วางไว้ว่าเขาจะพิชิตใจจินวูจนสำเร็จ และในวันนี้เขาทำได้ ซึงยุนไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ เขามีความสุขมาก มากยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอีก และยิ่งเป็นแฟนกันช่วงปิดเทอม ทำให้เขาทั้งสองคนมีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแบบเต็มอิ่ม ไปเที่ยวด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เรียกว่าแทบจะใช้เวลาทุกวินาทีร่วมกันเลยก็ว่าได้
ช่วงปิดเทอมใหญ่จินวูถูกย้ายมาอยู่ที่คอนโดซึงยุน ก็แทฮยอนเพื่อนเขาน่ะสิ บอกว่าตอนปิดเทอมจะย้ายไปอยู่ที่คอนโดของมินโฮสักพักเพื่อจะติวข้อสอบเข้าคณะสถาปัตย์ คณะในฝันของคนทั้งคู่ แต่ผมว่ามันก็แค่ข้ออ้างของคนติดแฟนเท่านั้นแหละ แล้วดู ก็เลยทิ้งผมให้อยู่ที่หอคนเดียว แต่ดีที่ผมยังมีที่พึ่งคือคังซึงยุน เพื่อนรักปากบวม แต่ตอนนี้คงเรียกเพื่อนไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาเรียกว่าคนรักปากบวมซะแล้วสิฮะ
มันแปลกนะที่เลื่อนสถานะจากเพื่อนสนิทมาเป็นแฟน ตอนแรกเราสองคนก็ยังอายๆ ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ากัน ไม่สิ ผมคนเดียวมั้งที่อาย ก็ตอนแรกเป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ แล้ววันนึงต้องมาเป็นคนรักกัน มันก็ต้องมีความรู้สึกแปลกๆไปบ้าง แต่เพราะคังซึงยุน คนขี้เหย้าขี้แหย่ แกล้งผมมันทุกวัน ทำให้เดี๋ยวนี้ผมทำตัวสบายขึ้นกว่าเมื่อก่อน แล้วก็กล้าที่จะไปไหนมาไหนกับซึงยุนตามประสาคนรักแบบไม่เคอะเขิน และก็เพราะซึงยุนอีกนั่นแหละ ที่ทำให้ผมต้องหอบผ้าหอบผ่อนพร้อมแบกกีต้าร์ตัวโตย้ายมาอยู่ที่คอนโดของคนขี้บังคับ ด้วยเหตุผลทีว่าผมน่ะขี้หลงทาง ตัวเล็กบอบบางแถมยังเชื่อคนง่าย เกิดถูกลักพาตัวเข้าป่าดงดิบแล้วถูกกระทำชำเราจะทำยังไง นั่นล่ะครับเหตุผลของเขา ผมผู้ซึ่งมีคุณสมบัติทุกประการตรงตามที่ซึงยุนบอกก็เถียงไม่ออกสิครับ สุดท้ายเลยต้องทำตามคำสั่งของซึงยุนอย่างว่าง่าย
“แกร๊ก” ประตูบานขาวเปิดออก จินวูก้าวเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่คุ้นเคยอีกครั้ง
“เอากระเป๋าไว้ในห้องฉัน เสื้อผ้าเอาใส่ตู้เลยนะ ฉันย้ายของตัวเองไปใส่อีกตู้ละ” จูงมือคนตัวเล็กมาที่ห้องนอน แล้วเล่ารายละเอียดที่คนตัวเล็กจะต้องทำให้ฟัง
“กีต้าร์วางไว้มุมห้องข้างทีวีละกัน เผื่ออยากเล่นจะได้หยิบมาง่ายๆ”
“อือฮึ” พยักหน้าตามอย่างว่าง่ายแล้วเดินตามซึงยุนไป
“นี่เป็นห้องครัวนะ ถ้านายหิวก็มาตรงนี้ ตู้เย็นอยู่นี่”
“นี่ซึงยุน ฉันคงไม่ได้หลงทางง่ายขนาดหาทางมาตู้เย็นไม่เจอหรอกนะ”
“ใครจะไปรู้” ส่งสายตาขี้เล่นมาพร้อมพาคนตัวเล็กเดินต่อ
“นี่ห้องน้ำ โถชักโครกอยู่นี่ ปวดฉี่ก็มาตรงนี้ โอ๊ย”
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ” พูดพร้อมเตะเข้าที่หน้าขาของร่างสูงอย่างแรง
“ฮ่าๆ โอเคๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ลูบผมนุ่มของคนตัวเล็กแล้วพามาหยุดอยู่ที่ห้องนั่งเล่นใจกลางห้อง เป็นการสิ้นสุดทัวร์แนะนำห้องของซึงยุน
“ส่วนเรื่องที่นอน….” ซึงยุนเว้นวรรคคำ แอบลอบมองปฏิกิริยาจากสายตาของคนตัวเล็ก
“นายนอนบนเตียงไปละกัน เดี๋ยวฉันเอาฟูกมาปูนอนข้างล่างเอง” ลอบยิ้มออกมาเมื่อเห็นคนตัวเล็กถอนหายใจ ซึงยุนไม่รู้ถึงสาเหตุการถอนหายใจนั่นหรอก แต่ดูจากสีหน้าแล้วจินวูคงผิดหวังที่ไม่ได้นอนเตียงเดียวกับผมแน่ เอ้ะนี่ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่านะ
“ปะ รีบเก็บของ เดี๋ยวไปหาอะไรกินกัน”
“กินที่คอนโดก็ได้นี่ ฉันทำอาหารเป็นนะ” จินวูขมวดคิ้วทำหน้างง ด้วยความที่อยากโชว์ฝีมือทำอาหาร เลยออกตัวไปว่าทำอาหารเป็น ก็มีครัวเตรียมพร้อมแล้ว คนทำอาหารก็มีแล้ว จะรอะไรอยู่ล่ะ
“แต่…ไม่มีของสด” ซึงยุนตอบเสียงเรียบ ทำหน้าเหมือนกับยังไงวันนี้ก็จะต้องออกไปให้ได้
“ย๊าส์ คอนโดบ้าอะไรเนี่ยไม่มีของสด” ขึ้นเสียงดังแบบหงุดหงิด แต่ถึงยังไงก็ยังไม่น่ากลัวอยู่ดีสำหรับคังซึงยุน
“ก็เลยจะออกไปซื้อนี่ไง นะ ซื้อมาทำตอนเย็นก็ได้นี่ แต่กลางวันนี้ไปกินข้างนอกกัน นะๆๆ” เดินเข้ามากอดแขนคนตัวเล็ก ยื่นปากทำสายตาออดอ้อนแล้วส่ายตัวไปมา คิดว่าน่ารักมากหรอฮะ ที่จินวูไม่ค่อยอยากออกไปไหนเพราะจำเป็นต้องประหยัดเงิน เงินที่เขาใช้อยู่ก็เป็นของลุงกับป้าเขาทั้งนั้น ท่านทั้งสองขยันทำงานและส่งเงินมาเป็นค่าเลี้ยงดูให้เขาและซึงรีทุกเดือน จินวูคิดว่าอะไรที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด แต่ถึงยังไงจินวูก็แพ้สายตาขี้อ้อนของลูกหมาที่กำลังเกาะแขนข้างขวาของเขาอยู่ดี
“ก็ได้ อ๊ะ”
“ฟอด” ขโมยหอมแก้มคนตัวเล็กฟอดใหญ่ ทันทีที่ปลายจมูกฝังลงไปในแก้มขาวใส ซึงยุนก็ผละตัวออกมาทันที ดวงตากลมโตยังคงเบิกกว้างและมองมาที่ซึงยุน
“ไปเปลี่ยนชุดไป” ใบหน้าอูมผละออกมา ส่งยิ้มกว้างให้เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรแล้วลากคนตัวเล็กไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ มือเรียวจัดการเปิดออกแล้วหยิบเสื้อผ้าของคนตัวเล็กออกมาเลือกอย่างพิถีพิถัน หยิบชุดที่ต้องการได้แล้วก็ส่งให้คนตัวเล็ก
“อ่ะ ใส่ตัวนี้ เปลี่ยนแล้วออกมาเร็วๆ หิว” ซึงยุนคนขี้บังคับก็ยังคงคอนเสปต์ขี้บังคับเหมือนเดิม อ้อนเขาได้ไม่เท่าไหร่ก็กลับมาบังคับเขาอีกแล้ว หวานกันได้ไม่นานก็กลับมากัดกัน คงเพราะแบบนี้แหละที่ทำให้จินวูไม่ทำตัวเคอะเขินเวลาอยู่กับซึงยุน จินวูรับเสื้อผ้าจากคนตัวสูงแล้วเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนชุดทันที ใช้เวลาไม่นานก็ออกมา จินวูในเสื้อยืดสีขาวและยีนส์ตัวเก่งขายาวที่มีรอยขาดประปราย ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเพราะเข้าเดือนเมษาทำให้ซึงยุนเลือกเสื้อผ้าที่บางที่สุดให้จินวูใส่
“ทำไมเอาขายาวให้ฉัน ยีนส์ขาสั้นก็มี มันร้อนนะ” ออกมายืนหน้าห้องน้ำ ตรวจสภาพความเรียบร้อยของเสื้อผ้าแล้วบ่นซึงยุนที่เลือกเสื้อผ้าไม่ตรงใจตัวเอง
“ก็แดดมันแรง เกิดใส่ขาสั้นขาก็ดำหมดพอดี” เปล่าหรอก ก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นมามองขาสวยๆของแฟนเขาน่ะสิ ก็ขาวซะขนาดนั้นใครจะไม่มอง แฟนใครใครก็หวงนะ
“ว่าแต่….ใส่แบบนี้แล้วก็ดูเท่ห์ไปอีกแบบ ลืมภาพจินวูคนน่ารักไปเลย” มองคนตัวเล็กตาค้างแล้วพูดออกมายิ้มๆ
“อ้ะแน่นอน คนมันเท่ห์ทำอะไรก็เท่ห์” คิมจินวูคนไม่เจียมสังขาร สภาพตัวเองน่ารักแล้วยังจะอยากมาเท่ห์อีก คนอะไรกัน จินวูยกนิ้วโป้งและนิ้วชี้มาวางใต้คาง ท่าเก๊กคลาสสิกที่ใครๆก็ต้องทำกันเมื่อโดนชมว่าเท่ห์
“ฮึ่ยย อย่าน่ารักให้มันมาก ฉันหลงจะตายแล้วเนี่ย” บีบจมูกคนตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวจนจินวูยู่หน้า
“อื้ออ พอแล้ว”
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
ปิดเทอมของทุกคนคงจะมีแต่ความสุข ได้ไปเที่ยวกับครอบครัว ได้ออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ได้ทำอะไรๆที่ชอบ แต่คงไม่ใช่สำหรับจินฮวาน ห้องสมุดเป็นสถานที่แรกและที่เดียวที่จินฮวานนึกถึงเมื่อปิดเทอมมาถึง หลังจากผลสอบออก
ถึงแม้ลำดับที่และคะแนนยังออกมาดี ดีมากด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังไม่พอ ถ้าเขายังไม่ได้มากกว่าจินวู สายตาท่าทางสบายๆของจินวูหลังรู้เกรดวันนี้ทำให้จินอวานอารมณ์เสีย เลือดเอาชนะและความอิจฉาริษยาสูบฉีดพล่านทั่วร่างกาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งที่เขาขยันมากแล้วแท้ๆ อยู่ในห้องสมุด จมกับกองหนังสือทั้งวันทั้งคืน ทุ่มเทเวลาทุกวินาทีให้กับกระดาษสีขาวพวกนั้นแล้ว แต่ทำไมเขายังแพ้จินวู คนที่วันๆเอาแต่ดีดกีต้าร์ ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน หัวเราะเฮฮาอย่างมีความสุข จินฮวานแทบจะไม่เคยเห็นจินวูแตะหนังสือเลยสักครั้งเดียว แต่ทำไมพอผลสอบออกมา มันกลับดี ดีมากและดีกว่าเขาทุกครั้ง จินวูมีทุกอย่าง มีเพื่อน มีความสามารถ มีแต่คนรัก มีทุกอย่างที่เขาไม่มี ทำไมกัน ทั้งๆที่ตอนนั้นก็มีเรื่องอื้อฉาวจากภาพหลุดนั้นแล้ว แล้วทำไมจินวูยังมีเพื่อนคบอยู่ได้ จินฮวานไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักอย่าง
‘ลูกต้องเป็นหมอ อ่านหนังสือซะ เชื่อป๊า’
คำพูดของพ่อที่ปลูกฝังให้เขาต้องเป็นหมอยังวนเวียนอยู่ในหัวนับตั้งแต่วันที่จินฮวานออกมาจากสถาบันสอนเต้น ทั้งพ่อและแม่ของจินฮวานไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมจินฮวานถึงตัดสินใจไม่เรียนต่อที่นั่น แต่ถึงไม่รู้สาเหตุ มันก็เป็นผลดีแล้วที่จินฮวานจะได้ทำในทางที่พ่อและแม่ได้กำหนดไว้ให้
การเป็นหมอ เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วสำหรับอาชีพในอนาคต พ่อและแม่ของจินฮวานคิดแบบนั้น ดูเป็นอาชีพที่มั่นคง รายได้เยอะ และอยู่ง่ายเพราะทำงานแค่ในโรงพยาบาล ไม่ต้องออกไปไหน ถ้าจินฮวานสอบติดหมอได้พ่อและแม่ของจินฮวานคงมีความสุขที่สุดในโลก แต่การวางแผนอนาคตให้จินฮวานแบบนั้น มันกลับกลายมาเป็นความกดดันให้กับคนตัวเล็ก จินฮวานไม่ได้อยากเป็นหมอ จินฮวานไม่ชอบที่จะทำงานงกๆอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีอุปกรณ์การแพทย์สีเงินวางอยู่ตรงหน้าเป็นชั่วโมง จินฮวานไม่ชอบ การได้ออกไปข้างนอก สูดอากาศบริสุทธิ์ ปล่อยตัวตามสบายนั่นแหละที่จินฮวานชอบ แต่มันจะมีอาชีพไหนบ้างที่จะสบายแบบนั้น หมอคงเป็นทางเลือกสุดท้ายและทางเลือกเดียวที่จินฮวานคงหนีไม่พ้น
กองหนังสือหลากสีสันถูกวางตั้งเรียงกันบนโต๊ะยาวสีน้ำตาล ปากกาถูกขีดเขียนยุกยิกลงบนกระดาษขาวทับกันไปมา ลายเส้นจากหนักๆก็เริ่มจางลงเพราะน้ำหนักมือของคนตัวเล็กที่เบาลงด้วย เปลือกตาเรียวค่อยๆลงมาปิดตาดำและทับกันสนิท ความง่วงเข้าครอบงำจินฮวาน ด้วยการที่หักโหมอ่านหนังสือตลอด ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน นอนไม่พอ หัวของจินฮวานหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะไอเย็นเฉียบที่เข้ามากระทบผิวกาย
“อ่ะกินนี่ จะได้ตาสว่าง” กระป๋องน้ำส้มสีเงินถูกยื่นมากระทบแก้มคนตัวเล็ก ฮันบินส่งยิ้มให้แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามจินฮวาน
“ขอบใจนะ” ส่งยิ้มบางให้ฮันบินแล้วหยิบกระป๋องน้ำส้มขึ้นมาแกะดื่ม
“ออกไปข้างนอกมั่งเหอะ ปิดเทอมแล้วไปพักผ่อนบ้าง” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความเป็นห่วง และไม่วายมือกลับยกหนังสือทั้งหมดไปวางไว้ที่ชั้นเดิม เก็บเครื่องเขียนของคนตัวเล็กลงประเป๋าแล้วกุมมือเรียวของจินฮวานออกไปข้างนอกทันที ด้วยแรงที่น้อยกว่ามากทำให้จินฮวานต้องเดินตามออกไปด้วยความไม่เต็มใจ
“พาออกมาทำไม ฉันจะอ่านหนังสือต่อ” เงยหน้าพูดกันตัวสูงทั้งๆที่มือก็ยังถูกฮันบินกุมอยู่
“ยังมีหน้ามาถามอีก นายไม่เบื่อรึไงอยู่แต่ในห้องสมุด ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง”
“แต่ฉันจำเป็น”
“รู้ว่าจำเป็น แต่ห่วงสุขภาพของตัวเองบ้าง รู้มั้ยว่าเป็นห่วงแค่ไหน” คำพูดของฮันบินทำให้จินฮวานหยุดเดิน เงยหน้ามองคนตัวสูงด้วยท่าทางงงๆ
“เป็นห่วง?”
“อืม เป็นห่วงมาก ที่ฉันเฝ้าตามดูนายทุกวัน ทั้งๆที่ก็ควรจะออกไปเที่ยวเล่นอย่างมีความสุขตามประสาวัยรุ่นบ้าง แต่ฉันกลับไม่ทันก็เพราะอะไรล่ะ”
“……”
“เลิกทำให้เป็นห่วงสักทีเถอะ มีอะไรก็ระบายออกมา อย่าเก็บไว้คนเดียว” ดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดและพูดระบายสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมาทั้งหมด มันอึดอัด อึดอัดที่คนในอ้อมกอดของเขาไม่รับรู้สิ่งที่เขาพยายามบอกมาเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่เขาเฝ้าตามคนตัวเล็กมาที่ห้องสมุด คอยอยู่เป็นเพื่อน เพราะเขารู้ว่าจินฮวานอยู่คนเดียวมาตลอด และเป็นไปไม่ได้ที่คนตัวเล็กบอบบางอย่างจินฮวานต้องอาศัยในโรงเรียนด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาอยู่เคียงข้างคนตัวเล็กตั้งแต่วันนั้นมา
ยิ่งอยู่ด้วยไปนานๆมันก็ยิ่งรู้สึกดี ไม่ใช่เพียงแค่ใบหน้าน่ารักเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกดี แต่เพราะความสบายใจที่คนตัวเล็กมีให้เขา จินฮวานรู้สึกเหมือนปลดปล่อยเวลาได้อยู่กับฮันบิน คงเพราะเขาเป็นคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างคนตัวเล็ก ทำให้จินฮวานไม่ค่อยแคร์อะไรเวลาอยู่กับเขา เวลาจินฮวานมีปัญหาอะไรก็คอยจะปรึกษาฮันบิน ยกเว้นก็แต่เรื่องในอดีตที่จินฮวานไม่เคยเล่าอะไรให้ฮันบินฟังเลย และดูเหมือนเรื่องในอดีตนั้นจะคอยกวนใจจินฮวานและเป็นสาเหตุให้คนตัวเล็กเครียดจนเป็นแบบที่เห็นอยู่ในสภาพนี้ ฮันบินแค่อยากให้คนตัวเล็กในอ้อมกอดเขาได้ผ่อนคลายบ้าง อยากให้จินฮวานได้ใช้ชีวิตสบายๆแบบคนอื่นบ้าง
“ฮันบิน”
“ฉันรักนายนะ อย่าทำให้เป็นห่วงจะได้มั้ย” กระชับกอดแน่นขึ้น คำๆนี้ที่อยากพูดอออกไปวันนั้นที่จินฮวานถาม เขาอยากบอกมันออกไปให้จินฮวานได้รู้ แต่เขาแค่อยากให้คนตัวเล็กมั่นใจมากกว่านี้ มั่นใจว่าเขารู้สึกกับจินฮวานแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ฮันบินอดทนนับรอวันนั้นที่จะมาถึงไม่ไหว ยิ่งเห็นจินฮวานอยู่ในสภาพนี้ เส้นความอดทนของฮันบินที่ขึงตึงขึ้นเรื่อยๆมันก็ขาดลงในที่สุด
“แต่..”
“นายจะคิดยังไงก็เรื่องของนาย ขอแค่ให้ฉันได้อยู่ดูแลนายแบบนี้นะ ขอร้องล่ะ”
“อืม” ครางตอบในลำคอภายใต้อ้อมกอดของฮันบิน ไอความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วร่างของคนทั้งสอง ความรู้สึกที่ตรงกันทำให้จินฮวานมั่นใจในคำตอบของตัวเองในวันนั้น เพียงแต่เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกไปว่ารู้สึกเหมือนกัน เขาไม่อยากผูกมัดความสัมพันธ์ของทั้งเขาและฮันบินด้วยคำว่าแฟน เขากลัว กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย จินฮวานไม่รู้ว่าคำว่ารักของฮันบินจะเหมือนกับของซึงฮุนมั้ย จินฮวานเลยเลือกที่จะให้ความสัมพันธ์ของเขาและฮันบินอยู่ในแบบที่คลุมเครือแบบนี้ต่อไป รู้สึกดีต่อกันแต่ยังไม่ใช่แฟน ถึงจะอึกอักและดูลำบากไปบ้าง แต่มันก็ดีกว่าที่จะใช้คำว่าแฟนมาผูกมัด
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
“เอาอันนี้ อกไก่อีกสองแพ็ค ต้นหอม ผักชี แครอท ดอกกะหล่ำด้วย นั่นๆตรงนั้น ไปเร็วซึงยุน” เสียงใสตะโกนเจื้อยแจ้วบอกรายการของสดที่จะต้องซื้อเข้าคอนโด จินวูชี้นิ้วไปทางนู้นทีทางนี้ที ขาเล็กวิ่งไปวิ่งมา ซึงยุนที่ทำหน้าที่เข็นรถเข็นถึงกับต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี ทั้งแรงแขนที่ใช้เข็นรถเข็น แรงขาที่ต้องใช้ออกแรงวิ่ง ไหนจะต้องคอยฟังรายการจากคนตัวเล็ก สายตาคอยสอดส่องว่าคนตัวเล็กจะไปไหน จะหลงอีกหรือป่าว โอ้ย บอกเลยว่าตอนนี้ซึงยุนหัวปั่นยิ่งกว่าไดนาโมรถจักรไอน้ำอีก
“เดี๋ยวๆ จินวูช้าๆ เราเหนื่อย” พูดตะโกนเสียงแหบแห้ง แต่ไม่ทันหลังเล็กที่วิ่งไปไกลแล้ว ซึงยุนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่ง วิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะตามคนตัวเล็กไปให้ทัน
“ฮู้ ฮู ฮู” เสียงผิวปากอย่างสบายใจของคนตัวเล็กที่เดินตัวปลิวออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต แตกต่างจากซึงยุนที่มือสองข้างเต็มไปด้วยถุงพลาสติกใส่ของที่ซื้อมาพะรุงพะรังไปหมด
“แหม่ สบายจังนะ”
“แน่นอน ทีนี้ก็ไปหาอะไรกินกันได้ละ”
“โอ้ย นี่แหละคำที่ฉันรอฟังมานาน” ซึงยุนอุทานออกมาด้วยความดีใจ ลืมความเหนื่อยความเมื่อยที่เกาะอยู่บนร่างกายไปหมดสิ้น ขายาวก้าวเดินไปหาจินวูอย่างกระฉับกระเฉง ย้ายของในมือขวามาถือรวมในมือข้างซ้าย และคว้ามือเล็กของจินวูมาจับประสาน ถึงจะถูกขัดขืนด้วยแรงอันนิดน้อยจากจินวูก็ไม่เป็นผลอะไรกับซึงยุน ซึงยุนกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นขึ้น ส่งยิ้มกว้างแล้วเดินนำคนตัวเล็กไปยังร้านอาหาร จินวูส่ายหน้าน้อยๆให้คนบ้าหอบฟาง
“ถ้าอยากจะจับมือกันขนาดนี้นะ เอามานี่ ฉันช่วยถือ” แบ่งของในมือข้างซ้ายซึงยุนมาถือไว้อีกแรง ซึงยุนมองจินวูที่กำลังแบ่งถุงพลาสติกไปจากมือแล้วก็อดที่จะยิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็กไม่ได้
ซึงยุนและจินวูเดินมาเรื่อยๆจนเจอร้านสเต็กเล็กๆข้างทาง ด้วยการตกแต่งร้านที่น่ารักเชิญชวนให้คนอย่างจินวูเข้าไป ทำให้ตอนนี้ทั้งสองคนเข้ามานั่งอยู่ที่โต๊ะติดกระจกในร้าน หยิบเมนูมาแล้วเลือกอาหารที่จะสั่ง
“รับอะไรดีครับ” บริกรเอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ เสียงที่คุ้นเคยทำให้ซึงยุนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองตามต้นเสียงนั้น
“จะ…แจ็ค” อุทานเสียงเงียบแต่ก็หลบไม่พ้นสายตาของบริกร
“หื้ม รู้จักกันหรอซึงยุน” จินวูที่นั่งตรงข้ามเห็นท่าทางของซึงยุนเปลี่ยนไปเลยเอ่ยถาม
“ปะ เปล่า” จินวูมองซึงยุนสลับกับบริกรด้วยท่าทางงงๆแต่ก็หันกลับมาสนใจเมนูตรงหน้าต่อ ไม่มีท่าทีเอะใจอะไร ซึงยุนก็เช่นเดียวกัน หลังจากอุทานแล้วก็รีบก้มหน้าแล้วสั่งอาหารต่อโดยที่สายตาก็ยังจ้องอยู่ที่เมนู
“สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่นึงครับ” จินวูสั่งอาหารกับบริกร
“สเต็กแซลม่อนพริกไทยดำ” ซึงยุนเอ่ยสั่งเสียงเรียบ แจ็คสันจดรายการอาหารตามที่ได้รับมา มือหนากำปากกาและกระดาษแน่น ความรู้สึกเคียดแค้นกลับมาอีกครั้งเมื่อเห็นหน้าซึงยุน แต่ก็ต้องข่มเอาไว้เพราะตนทำงานอยู่
“น้ำล่ะ” กัดฟันพูดแล้วเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“เอ่อ น้ำส้มละกันฮะ ซึงยุนเอาป่าว”
“อื้ม” ตอบสั้นๆด้วยสีหน้าเรียบ ตอนนี้ซึงยุนไม่อยากจะพูดอะไรออกไปทั้งนั้น ความหวาดกลัวเผยขึ้นผ่านทางแววตาและสีหน้า มือและขาสั่นไปหมด ซึงยุนภาวนาให้การสั่งอาหารนี้ผ่านไปเร็วๆ จุนฮเวยกยิ้มมุมปาก ปิดสมุดออดอร์แล้วเดินไปหลังร้าน
“ยุน”
“หื้ม”
“เป็นไรป่าว” เอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ตอนที่บริกรมารับออเดอร์ ซึงยุนก็มีท่าทางเปลี่ยนไป จนถึงตอนนี้บริกรไปแล้ว ซึงยุนก็ยังมีท่าทางเหมือนเดิม จินวูอดห่วงไม่ไหวเลยถามออกไป
“ป่าวหรอก” ส่งยิ้มบางให้จินวู ซ่อนใบหน้าที่หวาดกลัวเอาไว้ภายใน เขาไม่อยากทำให้จินวูเป็นห่วง นั่นมันก็แค่เรื่องในอดีต จบแล้ว มันจบแล้ว ซึงยุนได้แต่บอกกับตัวเอง
บรรยากาศการกินมื้อกลางวันเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้นเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ จินวูชวนคุยนู่นนี่ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มบนใบหน้าหวานทำให้ซึงยุนลืมใบหน้าของแจ็คสันไปหมดสิ้น เหตุการณ์ในวันนั้นจะร้ายแรงแค่ไหน แต่พอแค่ได้เห็นรอยยิ้มรูปสามเหลี่ยมของจินวูแล้วก็ทำให้ดีขึ้นมาก
จินวูและซึงยุนกลับมาถึงคอนโด แขนยาววางถุงพลาสติกไว้บนโต๊ะและจัดการยัดของสดใส่ตู้เย็น ส่วนคิมจินวูก็เดินเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเที่ยวมาทั้งวัน ใช้เวลาไม่นานจินวูก็ออกมาจากห้องน้ำ และถึงคิวที่ซึงยุนต้องไปอาบต่อ คนตัวเล็กเดินเข้ามาในครัว จัดการเลือกของสดในตู้เย็นแล้วเอาออกมาเตรียมทำอาหารมื้อเย็นสำหรับเขาทั้งคู่
เครื่องครัวที่ดูสะอาดเหมือนเพิ่งซื้อมาเพราะแทบจะไม่เคยผ่านการใช้งานถูกจัดวางเป็นระเบียบที่ชั้นวาง จินวูคว้าหม้อมาใส่น้ำ ตั้งเตาแล้วเอาหม้อไปวาง ระหว่างรอให้ร้อนได้ที่ มือเล็กก็จัดการหั่นผักและสับหมูไปพลาง นี่เป็นครั้งแรกที่จินวูทำอาหารให้คนอื่นทาน ไม่นับแทฮยอนเพราะเปรียบเหมือนคนในครอบครัวไปแล้ว เพราะปกติก็ทำกินเองที่หอกับแทฮยอนสองคน จินวูประหม่า เขากลัวว่าอาหารจะออกมารสชาติไม่ถูกปากซึงยุน แต่ด้วยความตั้งใจ มันต้องอกมาดีแน่ๆ จินวูคิดแบบนั้น
กลิ่นน้ำซุปหอมโชยไปถึงห้องนอน คังซึงยุนผู้ที่อาบน้ำเร็วมากอย่างกับวิ่งผ่านน้ำก็ออกมาพอดี ร่างสูงจัดการใส่เสื้อยืดคอกลมสีฟ้าตัวบาง สวมกางเกงขาสั้นแล้วเดินตามกลิ่นแสนยั่วยวนมา
“อ๊ะ” จินวูสะดุ้งเพราะสัมผัสจากด้านหลัง คนขี้ฉวยโอกาศใช้มือเรียวสอดเข้ามาตรงเอวกอดแน่นเหมือนจินวูเป็นหมอนข้าง แล้วเอาคางมนมาวางแหมะบนไหล่เล็กของจินวูอีก ลมหายใจอุ่นๆที่รดต้นคอทำให้จินวูจั๊กจี้ คนตัวเล็กเลยเผลอหัวเราะออกมา
“อะ ฮ่ะๆ ฮ่าๆ อย่าหายใจแบบนั้น ยุนน จั๊กจี้ ฮ่าๆ” หมดกัน แทนที่จะโรแมนติก กลับมีแต่เสียงหัวเราะเท่านั้นที่ได้มา แต่ซึงยุนยังไม่ลดละความพยายาม หัวเราะแบบนี้แสดงว่าชอบ ซึงยุนหายใจแรงและกอดรัดคนตัวเล็กแน่นเข้าไปอีก จินวูดิ้นพล่านอยู่ในอ้อมกอดซึงยุน มือเล็กปล่อยช้อนที่ใช้คนซุปแล้วหันมาจัดการกับคนตัวสูง มื้ออาหารแรกของซึงยุนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอบอวลทั่วห้อง
แกงจืดหมูสับและไข่เจียวต้นหอมถูกนำมาวางไว้กลางโต๊ะ กลิ่นอาหารหอมโชยทำให้ซึงยุนอดไม่ได้ที่จะลองชิม
“หืม อร่อยอะ” ซึงยุนตาลุกวาวเมื่อตักน้ำซุปเข้าปาก
“แต่ก็สู้โจ๊กหมูของนายวันนั้นไม่ได้หรอก” ยิ้มกว้างออกมาเมื่อนึกถึงรสชาติของโจ๊กหมูที่เขากินวันนั้น
“หื้มโจ๊กหมู….อ่อ เอ่อคือ” ซึงยุนเงียบและอึกอักไปพักใหญ่เมื่อจินวูพูดถึงโจ๊กหมู
“ทะ ทำไม โจ๊กหมูทำไมหรอ”
“โจ๊กหมูน่ะฉันไม่ได้ทำเองหรอก….. ใช้ต้มจากซองสำเร็จรูปเอาน่ะ” เกาหัวด้วยความอายแล้วบอกความจริงกับจินวูออกไป
“อ้าว แต่วันนั้นฉันเห็นเศษผักกระจายเต็มเขียงเลยนะ”
“ฉันทำให้ตัวเองกินไง ข้าวผัดหมู แต่รสชาติแบบ…..” ซึงยุนเบะปากออกมาเมื่อนึกถึงข้าวผัดหมูที่ตัวเองลงทุนทำเองครั้งแรกในชีวิต
“เอ้า รู้ว่าตัวเองทำไม่เป็นแล้วทำไมไม่ไปซื้อจากซุปเปอร์เอาเล่า”
“ฉันกลัวนายรอนาน เลยลองทำเองซะเลย แต่โจ๊กหมูสำหรับนายฉันไม่ไว้ใจให้ตัวเองทำหรอก กลัวจะกินไม่ได้แล้วท้องเสียแบบฉัน ฮ่าๆ” สารภาพออกมาด้วยความจริงใจ จินวูเบิกตากว้างเมื่อรู้ความจริง
“โห่ย ฉันก็หลงคิดมาตั้งนานว่านายทำอาหารเป็น นายหลอกฉันหรอคังซึงยุน”
“ฮ่าๆๆๆ ก็ใครใช้ให้นายคิดไปเองกันเล่า โถ่ ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของอาหารมื้อเย็นดังขึ้น นี่คงเป็นการกินข้าวมื้อแรกที่ทำให้ซึงยุนมีความสุขมากขนาดนี้ ทั้งคู่กินข้าวไปยิ้มไปและหัวเราะไปด้วย บทสทนาบนโต๊ะอาหารวันนี้เป็นไปอย่างราบลื่น ซึงยุนคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายบรรยากาศรอบตัวเป็นพักๆ ซึ่งบรรยากาศรอบตัวเขาก็คงจะมีแต่คนตัวเล็กตรงหน้า รูปคิมจินวูเยอะแยะมากมายเต็มกล้องไปหมด เพราะว่าโอกาสไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน สักวันเขาและจินวูก็คงต้องจากกันไปอยู่ดี จะเหลือทิ้งไว้ก็เพียงแค่ความทรงจำ และกล้องถ่ายรูป เป็นเครื่องหยุดเวลาสำหรับความทรงจำได้ดีที่สุด ซึงยุนอยากจะเก็บความทรงจำมื้ออาหารครั้งนี้ไปตลอด
“ซึงยุน” เสียงหวานดังขึ้นจากบนเตียง ซึงยุนชะโงกหน้าขึ้นไปมองคนตัวเล็กที่นั่งหน้าจ๋อยกอดหมอนข้างอยู่
“ว่าไงครับ”
“มานอนบนเตียงก็ได้นะ” งุดหน้าอยู่กับหมอนข้างแล้วพูดเสียงอ่อน จินวูรู้สึกเกรงใจที่มาพักคอนโดซึงยุนแล้วยังมาให้เจ้าของห้องนอนที่พื้นอีกทั้งๆที่เตียงนี้กว้างมากพอนอนได้มากกว่าสองคนด้วยซ้ำ ซึงยุนยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เพราะกะไว้อยู่แล้วว่าคนตัวเล็กจะต้องใจดีให้เขานอนด้วยกันบนเตียง ร่างสูงรีบจัดการเก็บฟูก พับเก็บเป็นทบกองไว้ข้างผนังห้องแล้วกระโดดขึ้นเตียงไปนั่งข้างจินวู
“แต่…” จินวูหยุดพูดแล้วเอาหมอนข้างมาวางกั้นตรงกลางเตียงระหว่างเขาทั้งคู่
“ต้องมีไอ้นี่กั้น” ส่งยิ้มกว้างอย่างขี้เล่นเมื่อได้แกล้งซึงยุน ล้มตัวลงนอนและเอาผ้าห่มคลุมตัวอย่างสบายใจ
“จริงๆเลยนะ” ส่ายหน้าให้กับความฉลาดรู้ทันของจินวูแล้วล้มตัวลงนอน ถึงไม่ได้กอดก็ไม่เป็นไร ได้นอนข้างๆก็พอแล้ว ซึงยุนนอนหลับในคืนนี้ไปพร้อมกับรอยยิ้ม
.
.
.
.
.
หยุดนะเว้ย บอกให้หยุดไง’
เสียงชายหลายคนตะโกนไล่หลังมา ซึงยุนรีบเร่งฝีเท้า มือขวาถือกล้องที่ห้อยคอไว้ เขาต้องรักษาให้ดีเพราะเป็นกล้องตัวแรกที่เขาได้มาด้วยเงินเก็บของตัวเอง แต่ยิ่งซึงยุนวิ่งขาเขาก็ยิ่งหมดแรง เสียงตะโกนเรียกจากข้างหลังดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ และ
“ตุบ” ซึงยุนสะดุดก้อนหินล้มลง ถึงจะเจ็บแต่ซึงยุนก็ไม่มีเวลามากังวลกับความเจ็บนั่น ขายาวยันพื้นเตรียมลุกแต่ก็ไม่พ้น ซึงยุนล้มลงอีกครั้งจากน้ำหนักมือของชายแปลกหน้าที่กระชากคอเสื้อลง
‘มึงถ่ายอะไรไว้’ เสียงหยาบกร้านเอ่ยถามเขา ซึงยุนหน้าซีด ไม่ตอบคำถาม
‘กูถาม ตอบสิวะ’ ซึงยุนส่ายหน้า เขาไม่ปริปากพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น และทันใดนั้นใบหน้าอูมก็ถูกหมัดแกร่งปะทะเข้าอย่างแรงทั้งด้านซ้ายและด้านขวา เลือดกบปากและรอยช้ำบนใบหน้าทำให้ซึงยุนไม่มีแรงจะต่อกรกับชายที่กำลังคร่อมอยู่บนร่างของซึงยุนตอนนี้
“อือ พอแล้ว อย่า อือออ” เสียงครางและมือที่ป่ายไปมาของคนข้างๆทำให้จินวูต้องตื่นขึ้นมากลางดึก
“ไม่เอา อืออ เจ็บ” ซึงยุนละเมอพูดออกมา คงเพราะเหตุการณ์เมื่อเย็นทำให้ซึงยุนนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีตและเก็บมาฝัน
“ยุน เป็นอะไร ซึงยุน”
“อือออ”
เหงื่อที่ซึมออกมาตามฝ่ามือและต้นคอทำให้จินวูตกใจ ร่างเล็กขึ้นคร่อมซึงยุน มือเล็กเขย่าแรงๆที่ไหล่มนของซึงยุนหวังจะให้ตื่นจากฝันร้ายนั่นสักที
“ยุนตื่นสิยุน ซึงยุน” และมันได้ผล ทันทีที่ซึงยุนสะดุ้งตื่นก็โผเข้ากอดจินวูทันทีและคนตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าจะขัดขืน ซึงยุนกอดจินวูแน่น ไม่ใช่เพราะอยากฉวยโอกาสหรืออะไร เพียงแต่กอดเพราะรู้สึกว่าโล่งอก โล่งอกที่เขายังมีจินวูยังอยู่ข้างๆ โล่งอกที่เรื่องเมื่อกี้มันเป็นแค่ฝัน กอดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหา จินวูกอดตอบ มือเล็กลูบเบาๆที่แผ่นหลังกว้าง “ฝันร้ายหรอ”
“อือ” กระชับกอดแน่นขึ้น ซึงยุนได้แต่คิดว่าถ้าเรื่องที่เขาฝันมันกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกครั้งจะทำยังไง ถ้าเกิดมีเหตุที่ทำให้เขาต้องทิ้งจินวูไปเขาจะทำยังไง จินวูจะอยู่ยังไง เขาคงรู้สึกผิดมากถ้าต้องทำให้จินวูมีเสียน้ำตา โชคดีที่ครั้งนี้มันเป็นแค่ฝัน แต่ซึงยุนก็ไม่รู้ว่าฝันในครั้งนี้จะเป็นลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่า
“ไม่ต้องกลัวนะ เค้าอยู่นี่ทั้งคน” ประโยคที่ออกมากปากของจินวูทำให้ซึงยุนน้ำตารื้น เสียงใสเอ่ยออกมาด้วยความรัก รักที่บริสุทธิ์ คนตัวเล็กในอ้อมกอดเขาน่ารักเกินไป จินวูไร้เดียงสาเกินไปที่จะต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้ ซึงยุนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าวันนั้นมาถึงมันจะเป็นยังไง
ซึงยุนคลายอ้อมกอดจากคนตัวเล็ก ผละออกมาแล้วกดจมูกโด่งฝังลงไปในแก้มนิ่มด้วยความรัก สูดดมความหอมจากคนตัวเล็กตักตวงให้ได้มากที่สุด หอมแก้มข้างซ้ายเสร็จก็ย้ายมาข้างขวา และเช่นเดิมที่จินวูไม่มีการขัดขืน มีแต่ความงุนงงที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าหวาน
“ฉันรักนายนะคิมจินวู ฉันจะไม่ทิ้งนายไปไหนอีก ฉันสัญญา” ซึงยุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง คำพูดหวานเลี่ยนที่ปกติจะไม่ออกมาจากปากซึงยุน แต่วันนี้ดันออกมาได้ ยิ่งทำให้ความสงสัยของจินวูเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจอะไรมาก เพราะคิดว่าซึงยุนยังไม่หายตกใจจากฝันร้ายนั้น
“ฮ่าๆ รู้น่า ฉันรู้ นายไม่มีวันทิ้งฉันไปไหนหรอก” พูดพลางจิ้มแก้มของซึงยุน ใบหน้าอูมเริ่มมีรอยยิ้มบางผุดขึ้นมา แต่ก็ยังไม่วายคิดเรื่องฝันร้ายอยู่ดี จากยิ้มบางถูกเปลี่ยนเป็นยู่ปาก ปากล่างบวมๆที่ถูกซ่อนไว้กลับถูกยื่นออกมา ซึงยุนเบะปากแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่เพราะรอยยิ้มกว้างจากใบหน้าหวานและนิ้วที่ยังจิ้มแก้มอยู่จึงทำน้ำตาที่ถูกกลั้นไว้ไม่ไหลออกมา จินวูขำท่าทางตลกของซึงยุน เลยเปลี่ยนเอานิ้วที่จิ้มแก้มไปจิ้มที่ริมฝีปากล่างทันที
“อย่าทำแบบนี้ เหมือนบาบูนเลยรู้มั้ย ร้องไห้แล้วไม่หล่อเลยนะ”
“จุ๊บ” ยื่นปากอูมๆที่ถูกล้อว่าหมือนบาบูนเข้าไปสัมผัสที่ริมฝีปากบางของคนตัวเล็กแล้วผละออกมาอย่างรวดเร็ว ถึงอยากจะทำมากกว่านี้ก็เถอะ แต่ซึงยุนรู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา คนตัวเล็กคงยังไม่พร้อม
“ไม่เป็นบาบูนแล้ว” ส่งยิ้มกว้างอันเอิบอิ่มมาให้จินวู ถึงในห้องจะมืด มีเพียงแสงไฟจากยอดตึกคอยส่องสว่างมาเท่านั้น แต่ซึงยุนก็สัมผัสได้ว่าอนนี้คนตัวเล็กคงหน้าแดงอยู่แน่ๆ จินวูรีบล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงหัวแล้วอนหันหลังให้กับหมอนข้างและผ้าห่ม
“จินวู”
“อะไรอีก” ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความเขินไว้
“ขอบใจนะ”
“อื้อ”
ขอบใจที่ในวันนี้ยังอยู่ข้างๆเขา ขอบใจที่คอยกอดปลอบเขากลางดึก ขอบใจสำหรับแก้มนิ่ม ขอบใจหรับจุ๊บแสนหอมหวาน และขอบใจ.........กับความรักที่มีให้กัน
ตอนที่14~~~
ยังคงความฟินไว้เหมือนเดิมนะ ใครที่รีเควสความฟินมา ไรต์จัดให้แบบโนลิมิต 5555
เพราะหลังจากนี้……ดราม่าจะมาแล้วข่า ฮืออ แต่ตอนหน้าก็ยังฟินอยู่นะ ยังไม่อยากทำร้ายคนอ่าน อิ้อิ้
เห็นใช่มั้ย เห็นเงาดราม่าแล้วใช่มั้ย บ๊อบบี้เอย แจ็คสันเอย มันมากันแล้ววว
ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านและสกรีมแท็ก #ฟิคเมมโมรี่ ในทวิตนะคะ ไรต์ปริ่มมากเลยนนๆทีจะมีคนมาเล่น 5555 ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกแชร์เลยนะคะ รักทุกคนที่หลงเข้ามาเช่นเดิม *กอดแรงง*
ความคิดเห็น