ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สิ่งที่ฉันเลือก
3. สิ่งที่ฉันเลือก
แน่นอนว่าการท้องทั้งที่ยังไม่มีสามีและยังไม่พร้อม การทำแท้งจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดซึ่งจะทำให้ฉันได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ได้ทำตามความฝันในที่ที่ฉันฝันมาแต่เด็ก ถ้าไม่มีเขาชีวิตของฉันสักวันหนึ่งอาจจะได้เฉิดฉายอยู่ในหน้าจอทีวีตามที่คิดไว้
แต่ฉันจะมีความสุขกับการเฉิดฉายนั้นได้จริงเหรอ ถ้าหากว่ามันต้องแลกมากับการที่ฉันได้ทำลายอีกหนึ่งชีวิตซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไป ชีวิตที่กำลังจะได้ลืมตาดูโลก
เจ้าก้อนน้อยๆ ในท้องของฉัน...ถึงแม้จะเกิดขึ้นมาเพราะความผิดพลาด ถึงฉันจะไม่ได้ต้องการให้เขาเกิดมาด้วยความตั้งใจ แต่ถ้าจะให้ฉันทำแท้งฉันคงทำไม่ได้ เขาคือหนึ่งชีวิตที่กำลังก่อกำเนิดอยู่ในท้องของฉัน เขากำลังจะได้รับโอกาสให้ออกมาลืมตาดูโลก เขาไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น แล้วฉันจะทำร้ายเขาได้ยังไง
ฉันตัดสินใจดีแล้วว่าจะเก็บเขาไว้ ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่พร้อมที่จะมีลูก ถึงฉันจะต้องพลาดโอกาสเข้าไปทำงานในบริษัทที่ตัวเองใฝ่ฝันแต่ฉันก็ได้ให้โอกาสอีกหนึ่งชีวิตเติบโตขึ้นมา ฉันเชื่อว่าฉันสามารถเลี้ยงดูเขาได้ มันอาจจะลำบากหน่อยในช่วงแรกๆ แต่มันก็คงไม่แย่ไปเสียทั้งหมด
และพอผ่านมาถึงวันนี้ฉันก็คิดว่าฉันตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกจะเก็บเด็กคนนั้นไว้
"ชิน ลูก โทรศัพท์แม่ดัง ช่วยหยิบโทรศัพท์มาให้แม่ได้ไหมครับ"
ฉัน ซึ่งกำลังนั่งตรวจคำผิดของเนื้อหานวนิยายนักเขียนชื่อดังในหน้าจอโน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงาน ร้องบอกเจ้าตัวเล็กคิ้วดก ซึ่งกำลังนั่งดูสารคดีสัตว์โลกบนจอทีวีอย่างตั้งอกตั้งใจให้ไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนเตียงนอนมาให้
"แม่หอมชินด้วย"
เจ้าเด็กน้อยวัยสามขวบ ยอมลุกจากพื้นแล้วเดินมาจิ้มที่แก้มป่องตัวเองเพื่อให้ฉันหอม ฉันส่ายหัวไปมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดูก่อนจะก้มหอมแก้มสองข้างของเขา พอหอมเสร็จเจ้าแก้มป่องถึงได้ยอมไปหยิบโทรศัพท์มาให้
"ขอบใจครับลูก อาบัวโทรมาแน่ะ"
"อาบัวคนฉวย"
"ฮันแน่ ปากหวานนะเนี่ย ถ้าชมให้อาบัวได้ยินคงยิ้มแก้มป่อง"
ฉันพูดหยอกเย้าเจ้าเด็กปากหวาน ก่อนจะเปิดกล้องคุยกับยายบัว ซึ่งเป็นเพื่อนที่ยังติดต่อและสนิทกับฉันที่สุดตอนนี้
จริงๆ สามปีที่ผ่านมาชีวิตของฉันก็ผ่านอะไรต่างๆ มาค่อนข้างมาก ในเวลาที่ลำบากที่สุดใครจริงใจกับเราหรือใครหวังผลประโยชน์เห็นได้ตอนนั้น
ตอนฉันบอกว่าจะเก็บเด็กไว้ ยายลิล เพื่อนที่ฉันคิดว่าสนิทที่สุดและคอยช่วยทุกอย่างตั้งแต่สมัยเรียน นำเรื่องฉันท้องไปบอกทุกคนในบริษัท ฉันโดนตัดสิทธิ์ในการเข้าไปทำงานทันทีที่เรื่องถึงหูพี่เอม ยายลิลคือคนที่ได้งานในตำแหน่งนั้น ผ่านมาถึงตอนนี้ลิลก็ได้เป็นผู้ประกาศข่าวไปแล้วเรียบร้อย เวลาที่เธอเจอฉันไม่ว่าจะเป็นตอนที่ฉันอุ้มท้องหรือตอนตาชินคลอดออกมาแล้วเธอก็แทบไม่อยากจะทักฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่ายังไงสังคมของเราสองคนมันก็ต่างกัน ตอนนั้นลิลกลายเป็นผู้ประกาศข่าวได้ภายในหนึ่งปี ส่วนฉันที่เพิ่งคลอดลูกก็เป็นได้แค่คุณแม่ลูกอ่อน อุ้มลูกไปช่วยแม่ค้าที่ต้องการคนช่วยขายข้าวเหนียวหมูปิ้งตอนเช้าแลกกับเงินวันละไม่กี่ตังค์ รวมทั้งรับงานฝีมือต่างๆ มาทำที่ห้องในเวลาว่าง
ความจริงช่วงนั้นแม่ฉันโทรมาบอกให้ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่แทบจะทุกวัน แต่เป็นฉันเองที่ไม่กล้ากลับไปเพราะว่าชีวิตของฉันยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ฉันเรียนจบมาด้วยเกรดเกียรตินิยมสูงสุด แต่กลับหางานดีๆ ทำไม่ได้ ไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจให้แม่ แถมยังมีลูกที่เกิดมาแบบไม่รู้ว่าพ่อของเด็กเป็นใคร ฉันกลัวแม่จะอายคนอื่น ไม่อยากพาลูกกลับไปทำให้แม่ต้องลำบากช่วยเลี้ยง ไม่อยากกลับไปอาศัยเงินแม่กิน ไม่อยากให้ชาวบ้านนินทาจนแม่ต้องอาย...ฉันมีเหตุผลหลายอย่างมากๆ ที่ยังกลับไปตอนนั้นไม่ได้
ชีวิตของฉันลำบากกับการหางานฝีมือมาทำเพื่อให้ได้เงินพอเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเลี้ยงดูลูกที่กำลังเติบโตและส่งเป็นเงินกลับบ้านให้แม่ ส่งเป็นค่าเรียนหนังสือให้น้องนับหนึ่งปีเต็ม ระหว่างนั้นบัวคือเพื่อนที่มาหาฉันบ่อยๆ และมีอะไรที่พอช่วยได้บัวก็จะช่วย
ตอนที่ฉันคิดจะเก็บลูกไว้และตลอดเวลาหนึ่งปีหลังจากตาชินเกิดมาบนโลก ชีวิตของฉันค่อนข้างลำบาก คนรู้จักฉันทุกคนที่มารับรู้เรื่องราวในชีวิตของฉันต่างก็พูดกันว่าฉันพลาดโอกาสสำคัญไปแล้ว ยิ่งตอนที่เห็นลิลเฉิดฉายบนจอทีวี คนอื่นก็มักจะเอามาเปรียบเทียบว่าถ้าฉันเลือกทำแท้งแล้วเข้าไปทำงานตั้งแต่วันนั้น คนที่ประกาศข่าวในหน้าจอนั่นคงจะเป็นฉัน ไม่ใช่ลิล
เวลาได้เห็นลิลบนจอทีวี ฉันยอมรับว่าฉันเสียดายโอกาสที่เคยได้มา แต่ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงหน้าลูกแล้วหันกลับไปมองหน้าลูก...รู้ไหมว่าฉันไม่เคยเสียใจที่เลือกเขาเลย
เขาคือลูกชายสุดที่รักของฉัน คือหัวใจ คือความสุข คือกำลังใจ และเป็นอีกหลายๆ อย่างให้ฉันที่ทำให้ฉันต้องการฮึดสู้ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม เวลาที่ฉันเหนื่อยล้าหรือว่าท้อแท้ เวลาที่มองหน้าลูก เวลาที่เห็นเขายิ้ม เวลาได้ยินเสียงเขา จิตใจห่อเหี่ยวมันก็พลอยมีความสุขและทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ เขาคือคนที่ฉันอยากดูแลปกป้องให้ดีที่สุดให้สมกับที่ฉันเลือกเขาให้ได้เกิดมา
ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เราผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกันมากมาย แต่การว่างงานจนแทบสิ้นหวังในช่วงหนึ่งในระหว่างเลี้ยงลูก...ก็สอนให้ฉันได้เข้าใจว่าในวันที่ฉันหมดหวัง ในวันที่ฉันพลาดโอกาสดีๆ ตอนตัดสินใจเลือกชีวิตเขาไว้...มันก็ยังมีอีกหลายๆ โอกาสที่กำลังรอฉันอยู่และอาจจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมกับฉันมากกว่า ฉันแค่ต้องมองหาอะไรนอกกรอบ ฉันแค่ต้องลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่บางทีที่ผ่านมาฉันอาจจะนึกไม่ถึงและมองข้ามไป
และคนที่ให้โอกาสครั้งนี้กับฉันก็คือบัว...
จริงๆ ฉันกับบัวในสมัยเรียนเราไม่ค่อยสนิทกันมากนัก บัวเป็นลูกเศรษฐีเจ้าของโรงพิมพ์หนังสือ และคบหาอยู่กับเฮียไม้เอก ซึ่งเป็นลูกชายนักธุรกิจโด่งดังรวยพันๆ ล้าน เหมือนฉันกับบัวอยู่คนละระดับกันเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าเราเรียนห้องเดียวกัน มีพูดคุยกันบ้างตอนทำงานกลุ่ม พอเรียนจบมาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฉันกำลังอุ้มลูกขายหมูปิ้งช่วยป้าแม่ค้าในตอนเช้าๆ ปกติตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ฉันขายหมูปิ้งก็มีเจอเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันบ้าง เจอรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักบ้าง ทุกคนมองเหยียดหน่อยๆ และตอนที่บัวจอดรถแล้วลงมาซื้อครั้งแรกฉันก็คิดว่าบัวเองก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่เปล่าเลย...
บัวทักฉันว่าฉันจำเธอได้หรือเปล่า ถามว่าฉันสบายดีไหม บอกว่าได้ชิมหมูปิ้งร้านนี้จากเด็กในโรงพิมพ์แล้วเกิดติดใจจึงขับรถมาดูตามพิกัดและขออุ้มตาหนูกับฉันอย่างไม่รังเกียจ บัวดูเหมือนจะชอบตาหนูฉันมาก วันต่อมาพาเฮียไม้เอกซึ่งตอนนั้นแต่งงานกับเธอมาได้หนึ่งปีมาด้วย เฮียไม้เอกก็เป็นกันเองเช่นเดียวกับบัว ทั้งสองเอาแต่พูดว่ารู้สึกอิจฉาฉันมากที่ฉันมีลูก เพราะพวกเขาไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยังไม่มี จากนั้นทั้งสองก็แวะเวียนมาซื้อหมูปิ้งกับฉันทุกวัน กระทั่งวันหนึ่งบัวบอกว่าบัวกำลังจะเปิดคาเฟ่หนังสือเล็กๆ ตามความฝันตัวเองแต่ไม่มีเวลาจะอยู่ดูแลเพราะมีงานหลายอย่างต้องรับผิดชอบ ดังนั้นบัวจึงต้องการที่จะจ้างฉันไปช่วยดูให้...
แน่นอนว่าการท้องทั้งที่ยังไม่มีสามีและยังไม่พร้อม การทำแท้งจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดซึ่งจะทำให้ฉันได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ได้ทำตามความฝันในที่ที่ฉันฝันมาแต่เด็ก ถ้าไม่มีเขาชีวิตของฉันสักวันหนึ่งอาจจะได้เฉิดฉายอยู่ในหน้าจอทีวีตามที่คิดไว้
แต่ฉันจะมีความสุขกับการเฉิดฉายนั้นได้จริงเหรอ ถ้าหากว่ามันต้องแลกมากับการที่ฉันได้ทำลายอีกหนึ่งชีวิตซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไป ชีวิตที่กำลังจะได้ลืมตาดูโลก
เจ้าก้อนน้อยๆ ในท้องของฉัน...ถึงแม้จะเกิดขึ้นมาเพราะความผิดพลาด ถึงฉันจะไม่ได้ต้องการให้เขาเกิดมาด้วยความตั้งใจ แต่ถ้าจะให้ฉันทำแท้งฉันคงทำไม่ได้ เขาคือหนึ่งชีวิตที่กำลังก่อกำเนิดอยู่ในท้องของฉัน เขากำลังจะได้รับโอกาสให้ออกมาลืมตาดูโลก เขาไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น แล้วฉันจะทำร้ายเขาได้ยังไง
ฉันตัดสินใจดีแล้วว่าจะเก็บเขาไว้ ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่พร้อมที่จะมีลูก ถึงฉันจะต้องพลาดโอกาสเข้าไปทำงานในบริษัทที่ตัวเองใฝ่ฝันแต่ฉันก็ได้ให้โอกาสอีกหนึ่งชีวิตเติบโตขึ้นมา ฉันเชื่อว่าฉันสามารถเลี้ยงดูเขาได้ มันอาจจะลำบากหน่อยในช่วงแรกๆ แต่มันก็คงไม่แย่ไปเสียทั้งหมด
และพอผ่านมาถึงวันนี้ฉันก็คิดว่าฉันตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกจะเก็บเด็กคนนั้นไว้
"ชิน ลูก โทรศัพท์แม่ดัง ช่วยหยิบโทรศัพท์มาให้แม่ได้ไหมครับ"
ฉัน ซึ่งกำลังนั่งตรวจคำผิดของเนื้อหานวนิยายนักเขียนชื่อดังในหน้าจอโน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงาน ร้องบอกเจ้าตัวเล็กคิ้วดก ซึ่งกำลังนั่งดูสารคดีสัตว์โลกบนจอทีวีอย่างตั้งอกตั้งใจให้ไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนเตียงนอนมาให้
"แม่หอมชินด้วย"
เจ้าเด็กน้อยวัยสามขวบ ยอมลุกจากพื้นแล้วเดินมาจิ้มที่แก้มป่องตัวเองเพื่อให้ฉันหอม ฉันส่ายหัวไปมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดูก่อนจะก้มหอมแก้มสองข้างของเขา พอหอมเสร็จเจ้าแก้มป่องถึงได้ยอมไปหยิบโทรศัพท์มาให้
"ขอบใจครับลูก อาบัวโทรมาแน่ะ"
"อาบัวคนฉวย"
"ฮันแน่ ปากหวานนะเนี่ย ถ้าชมให้อาบัวได้ยินคงยิ้มแก้มป่อง"
ฉันพูดหยอกเย้าเจ้าเด็กปากหวาน ก่อนจะเปิดกล้องคุยกับยายบัว ซึ่งเป็นเพื่อนที่ยังติดต่อและสนิทกับฉันที่สุดตอนนี้
จริงๆ สามปีที่ผ่านมาชีวิตของฉันก็ผ่านอะไรต่างๆ มาค่อนข้างมาก ในเวลาที่ลำบากที่สุดใครจริงใจกับเราหรือใครหวังผลประโยชน์เห็นได้ตอนนั้น
ตอนฉันบอกว่าจะเก็บเด็กไว้ ยายลิล เพื่อนที่ฉันคิดว่าสนิทที่สุดและคอยช่วยทุกอย่างตั้งแต่สมัยเรียน นำเรื่องฉันท้องไปบอกทุกคนในบริษัท ฉันโดนตัดสิทธิ์ในการเข้าไปทำงานทันทีที่เรื่องถึงหูพี่เอม ยายลิลคือคนที่ได้งานในตำแหน่งนั้น ผ่านมาถึงตอนนี้ลิลก็ได้เป็นผู้ประกาศข่าวไปแล้วเรียบร้อย เวลาที่เธอเจอฉันไม่ว่าจะเป็นตอนที่ฉันอุ้มท้องหรือตอนตาชินคลอดออกมาแล้วเธอก็แทบไม่อยากจะทักฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่ายังไงสังคมของเราสองคนมันก็ต่างกัน ตอนนั้นลิลกลายเป็นผู้ประกาศข่าวได้ภายในหนึ่งปี ส่วนฉันที่เพิ่งคลอดลูกก็เป็นได้แค่คุณแม่ลูกอ่อน อุ้มลูกไปช่วยแม่ค้าที่ต้องการคนช่วยขายข้าวเหนียวหมูปิ้งตอนเช้าแลกกับเงินวันละไม่กี่ตังค์ รวมทั้งรับงานฝีมือต่างๆ มาทำที่ห้องในเวลาว่าง
ความจริงช่วงนั้นแม่ฉันโทรมาบอกให้ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านกับแม่แทบจะทุกวัน แต่เป็นฉันเองที่ไม่กล้ากลับไปเพราะว่าชีวิตของฉันยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ฉันเรียนจบมาด้วยเกรดเกียรตินิยมสูงสุด แต่กลับหางานดีๆ ทำไม่ได้ ไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจให้แม่ แถมยังมีลูกที่เกิดมาแบบไม่รู้ว่าพ่อของเด็กเป็นใคร ฉันกลัวแม่จะอายคนอื่น ไม่อยากพาลูกกลับไปทำให้แม่ต้องลำบากช่วยเลี้ยง ไม่อยากกลับไปอาศัยเงินแม่กิน ไม่อยากให้ชาวบ้านนินทาจนแม่ต้องอาย...ฉันมีเหตุผลหลายอย่างมากๆ ที่ยังกลับไปตอนนั้นไม่ได้
ชีวิตของฉันลำบากกับการหางานฝีมือมาทำเพื่อให้ได้เงินพอเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเลี้ยงดูลูกที่กำลังเติบโตและส่งเป็นเงินกลับบ้านให้แม่ ส่งเป็นค่าเรียนหนังสือให้น้องนับหนึ่งปีเต็ม ระหว่างนั้นบัวคือเพื่อนที่มาหาฉันบ่อยๆ และมีอะไรที่พอช่วยได้บัวก็จะช่วย
ตอนที่ฉันคิดจะเก็บลูกไว้และตลอดเวลาหนึ่งปีหลังจากตาชินเกิดมาบนโลก ชีวิตของฉันค่อนข้างลำบาก คนรู้จักฉันทุกคนที่มารับรู้เรื่องราวในชีวิตของฉันต่างก็พูดกันว่าฉันพลาดโอกาสสำคัญไปแล้ว ยิ่งตอนที่เห็นลิลเฉิดฉายบนจอทีวี คนอื่นก็มักจะเอามาเปรียบเทียบว่าถ้าฉันเลือกทำแท้งแล้วเข้าไปทำงานตั้งแต่วันนั้น คนที่ประกาศข่าวในหน้าจอนั่นคงจะเป็นฉัน ไม่ใช่ลิล
เวลาได้เห็นลิลบนจอทีวี ฉันยอมรับว่าฉันเสียดายโอกาสที่เคยได้มา แต่ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงหน้าลูกแล้วหันกลับไปมองหน้าลูก...รู้ไหมว่าฉันไม่เคยเสียใจที่เลือกเขาเลย
เขาคือลูกชายสุดที่รักของฉัน คือหัวใจ คือความสุข คือกำลังใจ และเป็นอีกหลายๆ อย่างให้ฉันที่ทำให้ฉันต้องการฮึดสู้ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม เวลาที่ฉันเหนื่อยล้าหรือว่าท้อแท้ เวลาที่มองหน้าลูก เวลาที่เห็นเขายิ้ม เวลาได้ยินเสียงเขา จิตใจห่อเหี่ยวมันก็พลอยมีความสุขและทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ เขาคือคนที่ฉันอยากดูแลปกป้องให้ดีที่สุดให้สมกับที่ฉันเลือกเขาให้ได้เกิดมา
ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เราผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกันมากมาย แต่การว่างงานจนแทบสิ้นหวังในช่วงหนึ่งในระหว่างเลี้ยงลูก...ก็สอนให้ฉันได้เข้าใจว่าในวันที่ฉันหมดหวัง ในวันที่ฉันพลาดโอกาสดีๆ ตอนตัดสินใจเลือกชีวิตเขาไว้...มันก็ยังมีอีกหลายๆ โอกาสที่กำลังรอฉันอยู่และอาจจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมกับฉันมากกว่า ฉันแค่ต้องมองหาอะไรนอกกรอบ ฉันแค่ต้องลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่บางทีที่ผ่านมาฉันอาจจะนึกไม่ถึงและมองข้ามไป
และคนที่ให้โอกาสครั้งนี้กับฉันก็คือบัว...
จริงๆ ฉันกับบัวในสมัยเรียนเราไม่ค่อยสนิทกันมากนัก บัวเป็นลูกเศรษฐีเจ้าของโรงพิมพ์หนังสือ และคบหาอยู่กับเฮียไม้เอก ซึ่งเป็นลูกชายนักธุรกิจโด่งดังรวยพันๆ ล้าน เหมือนฉันกับบัวอยู่คนละระดับกันเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าเราเรียนห้องเดียวกัน มีพูดคุยกันบ้างตอนทำงานกลุ่ม พอเรียนจบมาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฉันกำลังอุ้มลูกขายหมูปิ้งช่วยป้าแม่ค้าในตอนเช้าๆ ปกติตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ฉันขายหมูปิ้งก็มีเจอเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันบ้าง เจอรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักบ้าง ทุกคนมองเหยียดหน่อยๆ และตอนที่บัวจอดรถแล้วลงมาซื้อครั้งแรกฉันก็คิดว่าบัวเองก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่เปล่าเลย...
บัวทักฉันว่าฉันจำเธอได้หรือเปล่า ถามว่าฉันสบายดีไหม บอกว่าได้ชิมหมูปิ้งร้านนี้จากเด็กในโรงพิมพ์แล้วเกิดติดใจจึงขับรถมาดูตามพิกัดและขออุ้มตาหนูกับฉันอย่างไม่รังเกียจ บัวดูเหมือนจะชอบตาหนูฉันมาก วันต่อมาพาเฮียไม้เอกซึ่งตอนนั้นแต่งงานกับเธอมาได้หนึ่งปีมาด้วย เฮียไม้เอกก็เป็นกันเองเช่นเดียวกับบัว ทั้งสองเอาแต่พูดว่ารู้สึกอิจฉาฉันมากที่ฉันมีลูก เพราะพวกเขาไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยังไม่มี จากนั้นทั้งสองก็แวะเวียนมาซื้อหมูปิ้งกับฉันทุกวัน กระทั่งวันหนึ่งบัวบอกว่าบัวกำลังจะเปิดคาเฟ่หนังสือเล็กๆ ตามความฝันตัวเองแต่ไม่มีเวลาจะอยู่ดูแลเพราะมีงานหลายอย่างต้องรับผิดชอบ ดังนั้นบัวจึงต้องการที่จะจ้างฉันไปช่วยดูให้...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น