ตอนที่ 5 : บทที่ 4 (100%)
“ประสกตื่นก็ดีแล้ว อาตมาเพิ่งจะทายางูขาวของประสกไป มันบาดเจ็บ ประสกเองก็บาดเจ็บเหมือนกันเดี๋ยวอาตมาจะทายาให้” หลวงจีนหัวเหม่งคลี่ยิ้มเห็นฟันขาว
“แล้วงูของข้าอยู่ที่ใด” เมื่อนึกถึงงูขาวที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วง
“มันเลื้อยไปพักผ่อนกับสหายของมัน ไม่นานก็คงกลับมา”
เห็นหลวงจีนผู้นี้ดูไม่มีพิษไม่มีภัย หลิวอี้เทียนจึงไม่ได้คิดระแวง แต่อย่างไรยามนี้เขาก็เป็นถึงขั้นจอมมาร ดังนั้นจะตีสนิทกับคนแปลกหน้าง่ายไม่ได้
“ข้ากับเจ้าเรารู้จักกันหรือ” หลิวอี้เทียนถามอย่างไว้เชิง
หลวงจีนยิ้มให้ “เจอกันวันนี้ก็ถือเป็นวาสนาที่ได้รู้จักกันแล้ว”
ก็แปลว่าไม่รู้จัก แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหลวงจีนผู้นี้จะไม่ทำร้ายเขา
“ประสกคงไม่ไว้ใจที่อาตมาดีต่อท่านใช่หรือไม่” หลวงจีนเอ่ยถามคล้ายกับรู้ความคิดของเขา
“ถูกต้อง” หลิวอี้เทียนตอบตามตรง
“เช่นนั้นอาตมาแนะนำตนเองก่อน อาตมามีชายาว่าเหลิ่งจิ้ง ผ่านมาทางนี้เพราะวาสนานำพา ที่ได้พบประสกนอนสลบอยู่กับงูขาวตัวนั้นก็เพราะวาสนานำพาเช่นกัน”
“ข้า...หยวนเฮยสือ ว่าแต่ท่านเอ่ยเพียงวาสนานำพาจะไม่เป็นข้ออ้างที่ดูง่ายดายไปหน่อยหรือ” เหตุผลไม่มีความเป็นตรรกะและหลักวิทยาศาสตร์แม้แต่น้อย
เหลิ่งจิ้งไม่ได้ร้อนใจ เขายังคงคลี่ยิ้มเช่นเดิมอธิบายต่อไปว่า “ประสกจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ประสก แต่อาตมามีชะตาต้องช่วยเหลือสามชีวิต ดังนั้นที่ได้เจอและช่วยเหลือประสกนั่นถือว่าเป็นชะตาของอาตมาต้องมีร่วมกับประสกดังนั้นถือเป็นวาสนา”
เอ่ยจบหลวงจีนก็ลุกขึ้นมือหนึ่งถือใบไม้ที่ตำละเอียดมาทางเขา หลิวอี้เทียนลังเลว่าจะยอมให้ทายาดีหรือไม่เพราะกลัวว่าจะเป็นแผนวางยา หลวงจีนก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “แม้ภายนอกประสกจะดูไม่เป็นอะไร แต่ภายในประสกบอบช้ำมาก อีกทั้งที่หน้าอกกระดูกก็หักไปสามท่อนด้วย”
“ท่านรู้ได้อย่างไร” หลิวอี้เทียนก้มมองหน้าอกตนเอง เพิ่งจะรู้ว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อ เห็นว่าที่หน้าอกมีรอยม่วงช้ำจนน่ากลัว กดลงไปเล็กน้อยก็เจ็บแปรบๆ”
“ที่จริงประสกไหล่หลุดด้วยแต่อาตมาจัดไหล่ให้แล้วตอนที่ประสกหมดสติ ดังนั้นจึงเหลือเพียงกระดูกซี่โครงที่ต้องทายาให้กระดูกด้านในสมานกันดี” เหลิ่งจิ้งเอ่ยพร้อมกับเริ่มป้ายยาที่หน้าอกของเขา “ช่วงนี้ท่านห้ามเคลื่อนไหวรวดเร็ว และห้ามออกแรงมาก ไม่เช่นนั้นกระดูกจะสมานไม่ดีรู้หรือไม่”
หลิวอี้เทียนรู้สึกว่าสิ่งที่ทาลงมาทำให้หน้าอกที่ปวดแปรบบรรเทาอาการปวดลงเขาก็เริ่มวางใจหลวงจีนผู้นี้
“แผลที่หัวไหล่ของท่านที่ถูกอาวุธลับนั้นมียาพิษ แต่ดีที่งูขาวของท่านดูดพิษจากตัวของท่านไปหมดแล้ว ยามนี้ท่านจึงรอดพ้นจากอันตราย”
“งูขาวช่วยข้าไว้หรือ”
“ถูกต้อง งูตัวนั้นมันภักดีต่อท่านมาก”
ยิ่งฟังหลิวอี้เทียนก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาเกลียดงู แต่งูตัวนั้นกลับเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเขา ช่างเป็นสัตว์ที่ภักดีต่อเขาจริง ต่อไปนี้เขารังเกียจงูตัวไหนก็ได้ แต่เขาจะไม่รังเกียจเจ้างูขาวตัวนี้เด็ดขาด
ขณะที่หลิวอี้เทียนกำลังสำนึกบุญคุณต่อเจ้างูขาว เหลี่ยงจิ้งก็เอ่ยเตือนว่า “อาตมาจะสวมเสื้อให้ หากมีผู้ใดมาเจอท่านในสภาพนี้คงไม่เหมาะเท่าใด”
แม้จะคิดในใจว่าจะมีใครมาในป่าลึกแบบนี้ แต่การเปลือยร่างกายช่วงบนในป่าลึกก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาคุ้นชิน ดังนั้นจึงยอมให้เหลียงจิ้งช่วยสวมเสื้อให้ สวมเสื้อเสร็จไม่เท่าใด ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากป่าทางหนึ่ง
เสียงนั้นมีทั้งร้องตะโกนด้วยความตกใจ ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด อีกทั้งยังมีเสียงคำสั่งอันดุดัน
“ตามจับตัวมาให้ได้ อย่าให้หนีไปได้!”
หลิวอี้เทียนสะดุ้งโหยง รีบหลบหลังเหลิ่งจิ้งในทันทีเพราะคิดว่าจะมีคนมาจับตัวเขาไป
“นี่คือชะตาของอาตมา แต่ครานี้คงต้องให้ประสกช่วยด้วย” เหลิ่งจิ้งเอ่ยพลางมองต้นเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ใก้เข้ามาเรื่อยๆ
ไม่นานนักก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งทะลุพุ่มไม้ออกมาก หลิวอี้เทียนตกใจจับจีวรของเหลิ่งจิ้งแน่น แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ร่างของคนที่พุ่งทะลุพุ่มไม้มานั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด บนตัวของเขามีงูอยู่หลายตัวเกาะติดอยู่ งูพวกนั้นมีทั้งขนาดเล็กไปถึงงูเหลือมตัวใหญ่พวกมันทั้งพันเกี่ยวและกัดเจ้าของร่างสูงใหญ่จนเห็นเลือดหยดเป็นทาง
เหลิ่งจิ้งรีบตรงไปหาชายคนนั้นพร้อมกับเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ประสกไม่ต้องกลัว อาตมามีชะตาที่ต้องช่วยเหลือท่าน ดังนั้นโปรดไว้ใจอาตมา”
“เดี๋ยว ท่านหลวงจีน บุ่มบ่ามเข้าไปอย่างนั้นเดี๋ยวงูพวกนั้นก็กัดตายหรอก” หลิวอี้เทียนเตือนด้วยความหวังดี
“อาตมาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นพวกเจ้าไปเสีย”
แต่ไม่คิดว่าเพียงแค่หลวงจีนประหลาดผู้นี้เอ่ยเพียงคำเดียวงูที่อยู่บนตัวของชายแปลกหน้าก็เลื้อยหายไปหมด
“พูดงูรู้เรื่องด้วย” หลิวอี้เทียนมองอย่างตกตะลึงก่อนจะโวยวายว่า “อย่าให้พวกมันมาหาข้านะ ข้าไม่ชอบงู”
“ประสกไม่ต้องกลัว งูพวกนี้ทำร้ายทุกคนที่เข้ามาในเขตของมัน แต่พวกมันจะไม่ทำร้ายคนผู้หนึ่งอย่างแน่นอน นั้นก็คือประสกผู้เป็นเจ้าของประสาทเขาเทียนซานแห่งนี้” เหลิ่งจิ้งอธิบายพลางประคองชายบาดเจ็บไปยังอีกทางหนึ่ง
“ท่านจะไปที่ใด” หลิวอี้เทียนรีบถาม เพราะกลัวจะถูกทิ้งเอาไว้ในป่าเพียงลำพัง
“พาเขาไปซ่อน คนของท่านมาเมื่อใด ท่านก็ไล่เขาไป นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยคนผู้นี้ได้ ต้องรบกวนประสกแล้ว” เหลิ่งจิ้งยิ้มให้หลิวอี้เทียนก่อนจะพาร่างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดหลบไปอีกทางหนึ่ง
“เดี๋ยวสิ อย่างทิ้งข้าเอาไว้”
“ประสก ช่วยคนนั้นได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น” เสียงนั้นดังเพียงให้หลิวอี้เทียนได้ยินเพียงคนเดียว ส่วนเหลิงจิ้งและชายบาดเจ็บได้หายไปแล้ว
“ทางนี้!” เสียงตะโกนดังเข้ามาใกล้
หลิวอี้เทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน เมื่อครู่นี้หลวงจีนคนนั้นบอกว่าคนพวกนี้เป็นคนของเขาไม่ใช่หรือ เช่นนั้นคงไม่เป็นอันตราย
“เร็ว มีรอยเลือด อ๊าก!”
“งูมากเกินไป มันกัดข้า”
หลิวอี้เทียนได้ยินว่างูก็เริ่มขยาด ถอยหลังหนี แต่ไม่คาดว่าเขาถอยเพียงแค่สองก้าว ร่างของชายชุดดำสองคนก็วิ่งพรวดออกมาจากพุ่งไม้ไม่ต่างกับชายคนแรกเมื่อครู่นี้ อีกทั้งยังมีงูกัดเต็มตัวไม่ต่างกันอีกต่างหาก
“อ๊ากกกก” ชายคนหนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวด แต่เมื่อเห็นว่าตรงหน้าเขาเป็นผู้ใด ชายคนนั้นก็พุ่งเข้าหาทันที “ท่านจอมมารช่วยข้าด้วย ท่านจอมมาร!”
“ถอยไปอย่ามายุ่งกับข้า งูทั้งนั้นถอยไป” หลิวอี้เทียนเห็นชายคนนั้นพุ่งมาหาเขาก็วิ่งหนี มีงูอยู่เต็มตัวยังวิ่งมาเขาอีก น่ากลัวชะมัด!
“ท่านจอมมาร!” ชายอีกคนที่เห็นว่าเขาเป็นใครก็รีบวิ่งมาหาเหมือนกัน แต่เป็นคนละข้าง คราวนี้เขาวิ่งหนีไปไม่ได้ พอจะวิ่งหนีไปทางด้านหน้าที่ไม่มีผู้ใดก็มีเสียงฟ่อดังขึ้นพร้อมกับเงาสีขาวพุ่งมาที่หัวไหล่ของหลิวอี้เทียน
หลิวอี้เทียนคิดจะปัดสิ่งที่พุ่งเข้ามา แต่เมื่อเห็นชัดว่าเป็นอะไร เขาก็ตัวแข็งทื่อ เขาทำร้ายงูที่ช่วยชีวิตตนเองไม่ได้
ถูกต้องสิ่งที่พุ่งมาหาเขาคือเจ้างูเขาตัวเดิมนั้นเอง มันเลื้อยเกาะที่หัวไหล่เขา ทำเสียงฟู่อีกสองครั้ง งูที่เกาะตามตัวคนที่พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ก็เลื้อยหายไปทีละตัว จนไม่เหลือสักตัวดี
“ขอบคุณท่านจอมมาร!” เมื่องูไปจนหมด ชายสองคนก็รีบคุกเข่าตรงหน้าของหลิวอี้เทียน
หลิวอี้เทียนเพิ่งนึกได้ว่าเขาวิ่งหนีคนพวกนี้เสียภาพลักษณ์ท่านจอมมารจึงกระแอมออกมาก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีดุดัน “ข้าเกือบลงมือสังหารพวกเจ้าแล้ว ผู้ใดใช้ให้เจ้าวิ่งเข้ามา ดีที่ข้าหลบพวกเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าได้โดนฝ่ามือของข้าแน่”
“พวกเราผิดไปแล้วขอรับ เพราะดีใจเกินไปที่เห็นท่านจอมมารพวกเราจึงไม่ยั้งคิดขอรับ” ชายคนหนึ่งตอบ คิดว่าโชคดีเหลือเกินที่ท่านจอมมารยอมหลบหลีกพวกเขา ไม่เช่นนั้นตามนิสัยของท่านจอมมาร ผู้ใดเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตต้องถูกฝ่ามือของท่านจอมมารสังหารอย่างเดียว
“ข่างเถิด” หลิวอี้เทียนแสร้งโบกมือตัดรำคาญ
หลังจากนั้นก็มีเหล่าบุรุษอีกหลายคนมารวมตัวกันตรงหน้าเขา เมื่อมาครบจนหมดก็คุกเข่าประสานมือเอ่ยเสียงดัง “ท่านจอมมาร โปรดอภัยที่พวกเราเข้ามายังสถานที่ต้องห้ามของประสาทเขาเหลียงซานของรับ!”
หลิวอี้เทียนพยักหน้าน้อยๆ เพราะเพิ่งรู้ว่าที่นี่เป็นเขตต้องห้าม จึงถามเสียงเข้มออกไปว่า
“แล้วพวกเจ้าเข้ามาเพราะเหตุใด”
“เว่ยอี้ขอรับ พวกเราจับคนของรัชทายาทเว่ยอี้และคนของเขากลับมาที่ปราสาทเขาเทียนซานตามคำสั่งของท่านกุนซือเปยขอรับ แต่ไม่คาดว่าขณะที่เรากำลังจะส่งพวกเขาเข้าไปยังคุกคุมขัง รัชทายาทและคนของเขากลับขัดขืนและหนีออกมา คนจำนวนหนึ่งหนีมาในเขตต้องห้าม และเพราะคำสั่งของท่านกุนซือเปยว่าหากตายก็ต้องเห็นศพ พวกเราจึงจำเป็นต้องฝ่าฝืนกฎขอรับ” ชายคนหนึ่งเอ่ย
หลิวอี้เทียนมองคนเหล่านั้นด้วยความรู้สึกอยากจะถอยหนี เพราะทุกคนต่างมีรอยเขี้ยวจากการถูกกัดของงูจนแผลบางสั่งทั้งเหวอะหวะและเลือดไหลอาบไปทั่วร่าง บางคนสีหน้าคล้ำไปคล้ายกับถูกพิษ
“จับตัวได้หรือไม่”
“ยังไม่ได้ขอรับ” เสียงที่ตอบนั้นอ่อยลงก่อนจะรีบเอ่ยต่อไปว่า “ในเขตต้องห้ามนี้มีงูมีพิษอยู่หลายชนิด อีกทั้งยาพิษก็มีเพียงท่านพ่อบ้านของปราสาทเขาเหลียงซานเท่านั้นที่มี ดังนั้นนอกจากท่านจอมมาร คนที่ก้าวเข้ามาในเขตต้องห้ามอย่างไรเสียก็ไม่รอดอยู่ดี”
หลิวอี้เทียนตะหงิดใจกับคำที่บอกว่า ‘นอกจากท่านจอมมาร คนที่ก้าวเข้ามาในเขตต้องห้ามอย่างไรเสียก็ไม่รอดอยู่ดี’
โอเค...ที่บอกว่าเขารอด ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ตั้งที่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีงูมาวอแวเขาสักตัว นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าของร่างเข้ามาได้ แต่ว่า...
สายตาเหลือบไปทางด้านหลัง แล้วคิดต่อไปว่า แล้วไอ้หัวเหม่งคนนั้นทำไมยังรอดล่ะ นั่นหมายความว่า อาจจะมีข้อยกเว้นบางอย่างที่งูในเขตต้องห้ามไม่ทำร้ายหลวงจีนคนนั้น
ช่างเถอะ ขอแค่ตัวเขาไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว เรื่องอื่นจะต้องคิดมากไปทำไม
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็เลิกตามหาเถิด รีบกลับไปทำแผลเสีย” หลิวอี้เทียนโบกมือไล่ เพราะไม่อยากเห็นสภาพของเหล่าบุรุษตรงหน้า มันไม่น่าดูแม้แต่น้อย
ทุกคนที่คุกเข่าอยู่ต่างเงยหน้ามองท่านจอมมารด้วยแววตาตกตะลึง “ท่านจอมมาร...”
“ยังไม่รีบไปอีก ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้า” ที่ไม่อยากเห็นหน้าหากให้พูดจริงๆ คือไม่อยากเห็นรอยแผลและรอยเลือดที่น่าเกลียดน่ากลัวพวกนั้นต่างหาก
หลิวอี้เทียนหันหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่มองภาพเหล่านั้น ท่าทีนั้นทำให้คนของเขาต่างคิดว่าท่านจอมมารไม่อยากเห็นหน้าพวกตน นี่ยังถือว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะหากเป็นเมื่อก่อนทำงานพลาดคือตายสถานเดียว แต่นี่ท่านจอมมารกลับเพียงแค่ไล่พวกเขาออกไป แต่ไม่ได้เอ่ยเรื่องความตายแม้แต่น้อย
“ขอบคุณท่านจอมมารที่เมตตา ต่อไปพวกเราจะไม่ทำงานผิดพลาดเช่นนี้อีกขอรับ หากมีผิดพลาดอีกพวกข้าจะยินยอมรับความตายโดยที่ท่านไม่ต้องเอ่ยขอรับ” ชายคนหนึ่งก้มหน้าประสานมือเอ่ยเสียงดัง
“พวกเราจะไม่ทำพลาดอีกแล้วขอรับ!” คนอื่นต่างประสานเสียง
“ไปได้แล้ว” หลิวอี้เทียนรีบไล่
“รับคำบัญชา” คนเหล่านั้นประสานเสียงอีกครั้ง ก่อนจะถอยห่างออกไปจากท่านประมุขทีละน้อย
พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดท่านประมุขจึงอยู่ที่นี่ แต่ก็ถือว่าโชคดีไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงตายกันหมดแล้ว
“โชคดีที่ท่านประมุขอยู่ที่นี่ อีกทั้งวันนี้ยังอารมณ์ดีไม่เอาความเรื่องที่พวกเราทำงานพลาด” ชายคนหนึ่งในกลุ่มที่เข้ามาตามจับตัวรัชทายาทเอ่ย่ขึ้น
“ใช่ แต่ต่อไปอย่าได้ทำพลาดเช่นนี้อีก เพราะท่านประมุขไม่ได้ใจดีเช่นนี้บ่อยๆ” อีกคนหนึ่งเสริมด้วยสีหน้าจริงจัง ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วศพของรัชทายาทและคนของเขาพวก เราจะทำอย่างไร” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ก็ต้องไปรายงานกับท่านกุนซือเปยเพื่อให้เขาทำเรื่องขอเข้าเขตต้องห้าม แล้วค่อยกลับมาหาศพอย่างไรเล่า คนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะได้รับผงกันอสรพิษได้ หรือเจ้าอยากโดนงูกัดตาย” สหายอีกคนตอบ
“ผู้ใดอยากโดนงูกัดตายกันเล่า หากเลือกได้ข้าไม่อยากมาที่นี่แล้ว”
“ข้าก็เช่นกัน” สหายอีกคนหน้าเขียวคล้ำตอบด้วยเสียงอ่อนแรง
“เจ้าคงถูกงูพิษกัดไปไม่น้อย รีบกลับปราสาทไปขอยาถอนพิษจากท่านพ่อบ้านกันเถิด”
ทุกคนพยักหน้าประคองร่างสหายที่อาการหนัก รีบกลับขึ้นไปยังปราสาทอย่างรวดเร็ว
------------
นานๆ จะมาที ให้มาบ่อยๆ ก็เขียนไม่ทัน
ตอนนี้สปีดการเขียนช้ากว่าเต่าอีก 555+ แล้วจะพยายามมากกว่านี้นะคะ
つづく...
--------------------------------------------
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
ด้านล่างเป็นลิ้งค์เพจนะคะ
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
------------------------------------
กดแฟนเพจตรงนี้จ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สู้ๆถึงจะไม่ค่อยได้อ่านแต่เรื่องนี้สนุกดี