ตอนที่ 4 : ตอนที่ 3
สิ่งแรกที่เฟิงชิงถิงทำหลังจากที่ถูกร่างใหญ่ทับเอาไว้คือ พยายามแกะมือนั้นออกจากหน้าอกของนาง แต่เพราะร่างใหญ่ที่ทับเอาไว้ พยายามเท่าใดก็ไม่สามารถแกะออกได้
“ทำอย่างไรดี” นางหายใจหอบ ลองพยายามผลักดันร่างใหญ่ให้พลิกออกจากร่างของตนก็ทำไม่ได้
ยาที่นางใช้ล้มม้าได้หกตัวส่วนใหญ่จะทำให้สลบไปชั่วยามกว่า หากนางต้องถูกคนผู้นี้ทับเป็นชั่วยาม คาดว่าร่างของนางคงต้องแบนแน่ๆ
“หมั่นโถว” ร่างใหญ่พึมพำ ขยำหมั่นโถวของนางพลางทำเสียงปากแจ็บๆ อีกต่างหาก
เฟิงชิงถิงกัดริมฝีปากแน่น หากครั้งนี้นางพ้นจากเขาไปได้ คิดว่าคงต้องคิดหาวิธีบางอย่างจัดการกับเขาเสียแล้ว แต่ยามนี้คงต้องหาวิธีเอาร่างเขาออกไปจากตัวของนางก่อน
ขณะที่นางกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไง เสียงร้องเพลงพื้นบ้านประสานเสียงก็ดังมาตามทาง ต้องเป็นชาวบ้านละแวกนี้แน่ๆ
“ช่วยด้วย !” นางตะโกนสุดเสียงพยายามชะเง้อมองทั้งที่ยังนอนหงายอยู่ เห็นขบวนลาที่กำลังลากเกวียนมาทางนางพอดี “ช่วยข้าด้วย”
เสียงร้องเพลงประสานเสียงหยุดลง คนที่อยู่บนเกวียนเล่มแรกบอกกับคนบังคับลา
“ตาแก่ หยุดก่อน ตรงหน้ามีคนอยู่” เสียงนั้นเป็นสตรีวัยกลางคน
“ไหนกัน ข้าเห็นแต่มีก้อนหินก้อนเบ้อเร่อขวางทางเราอยู่” เสียงทุ้มแต่คาดว่าคงอายุมากกว่าคู่สนทนาไม่เท่าใดตอบ
“เจ้านี่ตาฝ้าฟางแล้วใช่หรือไม่ นั่นแหละคน”
“ช่วยข้าด้วย” เฟิงชิงถิงพยายามเรียกอีกครั้ง
“เดี๋ยวข้าลงไปดูก่อน”
“ระวังนะยายแก่”
“รู้แล้ว”
สตรีวัยกลางคนในชุดผ้าป่านสีเข้มลงมาจากเกวียน เดินมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากร่างที่นอนทับกันอยู่ก็อุทานออกมา “อั๊ยหยา! แม่นางน้อยเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมานอนอยู่ตรงนี้อีกทั้ง...”
ตาของนางยังไม่ได้ฝ้าฟาง ดังนั้นจึงเห็นว่าเสื้อของหญิงสาวเปิดออกจนเห็นหัวไหล่กลมมน แถมมือสกปรกของคนที่ล้มทับก็ยังจับอยู่ที่ก้อนเนื้อเนียนบนร่างบางนั้น
“หรือว่าเจ้ากำลังถูกโจรราคะปล้นสวาท”
“ไม่ใช่ ท่านป้า”
“ไม่ใช่หรือ” สตรีวัยกลางคนมองอย่างใคร่รู้ก่อนจะเอากำปั้นทุบมืออีกข้าง “อ้อ พวกเจ้าเป็นคู่สามีภรรยากันใช่หรือไม่”
จะบอกว่าไม่ใช่แต่สภาพเช่นนี้ จะตอบอย่างไรดี
“ยัยแก่ เกิดอะไรขึ้น” ชายวัยกลางคนลงมาจากเกวียน คนที่อยู่ในเวียนด้านหลังก็ลงมาตาม
“อย่าเพิ่งเข้ามา” หญิงชาวบ้านที่ถูกเรียกว่ายัยแก่หันมาบอกกับสามีและผู้อื่น ก่อนจะตะโกนเรียกคน “เจ้หลิว ซ้อฟาง มาช่วยข้าที”
หญิงชาวบ้านเจ้าของชื่อลงจากเกวียนเล่มด้านหลังแล้วเดินมาหาหญิงวัยกลางคนคนแรก “มีอะไรอาเจา”
“นี่อย่างไร” หญิงวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าอาเจาชี้ไปที่ร่างสองร่างที่ยังนอนนิ่ง
เฟิงชิงถิงหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นว่า หญิงชาวบ้านสองคนก็ร้องตกใจไม่ต่างกับหญิงนามอาเจา
“อั๊ยหยา เกิดอะไรขึ้น สมัยนี้โจรราคะมันลงมือกลางวันแสกๆ เลยหรือ”
เฟิงชิงถิงยังไม่ทันตอบ อาเจาหรือหมี่เจาก็ตอบให้ “ใช่ที่ใดกันเล่า พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยากัน”
“แล้วเหตุจึงเป็นเช่นนี้เล่าแม่หนู”
ครั้งนี้หญิงชาวบ้านอีกคนถามเฟิงชิงถิง
นางไม่กล้าบอกว่านางใช้ยาสลบกับเขา เพราะหากบอกไป คนอื่นอาจจะเข้าใจผิดว่าสือซานเหลียงเป็นคนร้าย “เราสองกำลังเดินทางไปต้าหลวน แต่เพราะเสบียงที่เตรียมมาไม่พอ คนผู้นี้จึงหิวจนหมดสติไปเจ้าคะ”
“จุ๊ๆ ๆ ๆ เวลาหิวๆ ผู้ใดให้ทำเรื่องเช่นนี้กันเล่า ดูสิคงหน้ามืดจนเป็นลมไป” เอ่ยจบหญิงชาวบ้านผู้นั้นก็หัวเราะอย่างมีเลศนัย
“แหม ซ้อฟาง เอ่ยเช่นนั้นก็ไม่ถูกนะ ยามสมัยสาวๆ แล้วตาแก่พวกนั้นยังหนุ่มๆ พวกเขาดูเวลาที่ใดกัน” เจ้หลิวยิ้มๆ
“นั่นสินะ เมื่อก่อนข้าก็เคยถูกลากเข้าป่าเพราะคนผู้นั้น ทำเอาตกใจแทบตายแต่ก็ตื่นเต้นดี” ซ้อฟางบอกอย่างไม่อาย ทำเอาอีกสองคนหัวเราะชอบใจตามไปด้วย
“ไม่ใช่เวลามาหัวเราะนะเจ้หลิว ซ้อฟาง มาช่วยพลิกร่างใหญ่ของคนผู้นี้ออกจากยัยหนูคนนี้ก่อนเถิด” หมี่เจาเตือน
“นั่นสินะ”
แล้วหญิงชาวบ้านทั้งสามก็พลิกร่างใหญ่ของสือซานเหลียงออกจากร่างเฟิงชิงถิงจนได้ เมื่อลุกขึ้นมาได้ นางรีบจัดการเสื้อผ้าให้เข้าที่จ้องมองคนที่นอนแผ่ด้วยความคับแค้นใจ
“กลิ่นคนผู้นี้เหม็นมาก ยัยหนูสามีเจ้าไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วเนี่ย” ซ้อฟางถาม
“เรื่องนั้น...” เฟิงชิงถิงตอบไม่ได้อีกครั้ง
“ตกลงมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่” เสียงทุ้มจากคนที่อยู่บนเกวียนถาม
“ไม่มีอะไร แค่คนสลบกลางทาง” หมี่เจาหันไปตอบก่อนจะหันมาหาเฟิงชิงถิง “ในเมื่อยามนี้สามีของเจ้าก็ยังไม่ฟื้น ฟื้นขึ้นมาก็คงไม่มีแรงเดินทาง เช่นนี้ก็มาพักที่หมู่บ้านของพวกเราก่อนดีหรือไม่ กินข้าวอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวแล้วค่อยออกเดินทางต่อ”
“เช่นนั้นก็ต้องขอรบกวนพวกท่านแล้ว” เฟิงชิงถิงตัดสินใจ หากรอให้สือซานเหลียงตื่นก็คงอีกนาน
“ไปเถิด แม่หนู ดูสิ คนผู้นี้แรงเยอะเกินไปแล้ว ผิวขาวแดงไปหมด ช่างไม่ถนอมบุปผาเอาเสียเลย แต่จะว่าไปคนหนุ่มคนแน่นก็เช่นนี้” หมี่เจาอดเอ่ยไม่ได้เมื่อผิวขาวตรงกลางสาบเสื้อเป็นรอยแดงจากมือใหญ่ ผลงานของสือซานเหลียง
เฟิงชิงถิงรีบปิดสาบเสื้อให้มิดกว่าเดิม ใบหน้าที่แดงก่ำก็ร้อนผ่าวแทบจะไหม้
“ดูสิเจ้าหน้าแดงเชียว ยังเป็นหนุ่มสาวก็ดีเช่นนี้แหละ ” ซ้อฟางยิ้ม
หลังจากนั้นร่างของสือซานเหลียงก็ได้เหล่าผู้ชายจากขบวนเกวียนช่วยกันหามขึ้นเกวียนและพากลับหมู่บ้าน
หมู่บ้านที่นางถูกพาไปชื่อหมู่บ้านใบชา เหล่าขบวนเกวียนห้าเล่มที่ผ่านมาช่วยนางนั้นคือกลุ่มชาวบ้านที่เพิ่งเก็บใบชาเสร็จ กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านเพื่อนำใบชาไปทำชาขั้นต่อไป
“พวกเจ้าคงหิว เดี๋ยวข้าจะไปทำกับข้าวให้” หมี่เจาที่อายุประมาณสี่สิบเอ่ยหลังจากกลับมาถึงหมู่บ้าน
เฟิงชิงถิงทิ้งให้ร่างของสือซานเหลียงนอนอยู่เกวียนไปก่อน หากให้ไปนอนบนเตียงของผู้อื่น ก็คงมีแต่กลิ่นเหม็นติดตัว อีกทั้งเพราะนางไม่พอใจเขาด้วย จึงปล่อยให้ร่างใหญ่นอนตากแดดอยู่เช่นนั้น ส่วนชาวบ้านคนอื่นต่างแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตนเอง
“หากท่านไม่ว่าอะไรข้าขอซื้อข้าวสารกับวัตถุดิบทำอาหารจะดีกว่า ไม่กล้ารบกวนพวกท่าน” ที่นางต้องทำเช่นนั้นเพราะยามนี้พอจะรู้ว่าสือซานเหลียงกินจุเพียงใด
“ไม่ต้องเกรงใจเช่นนั้นก็ได้”
“เขาเป็นคนกินจุมากเจ้าค่ะ ดังนั้นแค่พวกท่านพาเราสองคนมาพักที่นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า ครัวอยู่ทางนั้น ข้าวของในห้องครัว เจ้าจัดการไปได้เลย ข้าขอเอาใบชาไปเก็บก่อน”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างอย่างยินดี
เมื่อหมี่เจานำยอดชาที่เพิ่งเก็บออกไป เฟิงชิงถิงก็เข้าห้องครัวเริ่มหุงข้าวเตรียมอาหารจำนวนมาก
แม้ตอนทำอาหารนางจะยังเจ็บหน้าอกที่ถูกมือหนาของคนผู้นั้นทรมาน แต่นางรู้ว่าเพียงแค่ช้ำเท่านั้นจึงทำเพียงแค่ไม่ใส่ใจ คิดว่าทำอาหารเสร็จแล้วค่อยทายา ในที่สุดอาหารก็ถูกจัดเตรียมจนเสร็จ ขณะที่เฟิงชิงถิงกำลังถอดผ้ากันเปื้อนออก นางได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เสียงดังอยู่นอกครัว จึงเดินออกมาดู
“ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”
เฟิงชิงถิงแทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดคนผู้นี้จึงฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาควรจะหมดสตินานกว่านี้นี่
ภาพตรงหน้าคือเด็กชายอายุประมาณหกปี มือข้างหนึ่งกำสิ่งของบางอย่างปาดน้ำตาที่ไหลอาบ มืออีกด้านหนึ่งก็ถือท่อนไม้ขนาดพอดีมือเด็กน้อย ปลายไม้ชี้ไปทางร่างที่ใหญ่โตกว่าหลายเท่าด้วยความตกใจกลัว ร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านั้นกำลังเคลื่อนกายเข้าไปใกล้เด็กน้อย เด็กน้อยที่หวาดกลัวจึงหลับหูหลับตาฟาดท่อนไม้ใส่ร่างใหญ่นั้นสุดแรง แต่ร่างใหญ่ก็หาได้สะดุ้งสะเทือนไม่ อีกทั้งคนผู้นั้นยังคล้ายกับยิ่งโมโหมากกว่าเก่า ง้างมือขึ้นคิดจะซัดเด็กชายตรงหน้า
เฟิงชิงถิงรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรก็รีบวิ่งไปกอดร่างหนาจากด้านหลังเอาไว้พร้อมกับเรียกสติของคนผู้นั้น “สือซานเหลียงท่านจะทำร้ายเด็กไม่ได้นะ”
“ฮือ” เด็กน้อยถูกใบหน้าดุดัน ท่าทางดุร้ายขู่จนเสียขวัญเข่าอ่อนไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืน
“หนีไป!” เฟิงชิงถิงสั่งเด็กชาย ส่วนตนเองนั้นก็ใช้แรงสุดกำลังกอดร่างใหญ่ไม่ให้เขาทำร้ายผู้อื่น
“ฮือ” เด็กน้อยได้ยินคำสั่งก็พยายามลุกขึ้นปาดน้ำตาแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับร้องหาแม่ “ช่วยด้วย ท่านแม่”
สือซานเหลียงเห็นเด็กน้อยวิ่งหนีไปก็ยิ่งไม่พอใจ ปัดร่างเล็กที่กอดรัดตนเองเพียงครั้งเดียวร่างเล็กนั้นก็กระเด็นออกไปไกล มองไปทางเด็กน้อยผู้นั้นเพื่อคิดจะตามไป
เฟิงชิงถิงถูกแขนแข็งแรงนั้นปัดออกล้มไปกองกับพื้น เห็นร่างหนากำลังเดินตามเด็กน้อยผู้นั้นไป นางก็ขบฟันแน่น หยิบกระบอกใบเล็กที่เหน็บเอวเอาไว้เปิดออกแล้วหยิบเข็มเล่มหนึ่งออกมา
“ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องเช่นนั้นก็คงต้องใช้วิธีนี้” นางพุ่งร่างไปหาสือซานเหลียงอีกครั้ง โดยครั้งนี้มองไปยังจุดจุดหนึ่งบนร่างของเขา มืออีกข้างที่จับเข็มไว้แน่น และเมื่อไปถึงร่างหนานางก็ตัดใจทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำกับผู้ใดลงไป “ขออภัยที่ต้องทำเช่นนี้”
นางฝังเข็มลงไปบนแผ่นหลังร่างหนาตามจุดที่นางหมายเอาไว้อย่างแม่นยำ และเมื่อฝังลงไปลึกตามที่นางต้องการ ร่างสูงใหญ่ก็ทรุดฮวบลงพื้นคล้ายดั่งคนหมดแรงอีก แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้หมดแรง แต่เป็นเพราะเขาเจ็บปวดจนไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ต่างหาก
“อ๊าก!” เสียงทุ้มห้าวร้องโหยหวนดิ้นทะรนทุรายอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด
เฟิงชิงถิงแข็งใจมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่สบายใจนัก จุดฝังเข็มที่นางฝังลงไปนั้นเป็นจุดที่หากผู้ใดโดนแล้วจะทำให้ร่างกายเจ็บปวดไปทั่วร่างทรมานเจียนขาดใจ นางไม่คิดว่าจะฝังเข็มจุดนี้กับผู้ใด แต่ท่านปู่เคยบอกไว้ เป็นหมออย่างไรก็ควรเรียนรู้ทุกจุดบนร่างกาย นางจึงเรียนรู้จุดฝังเข็มจุดนี้ด้วย
สำหรับสือซานเหลียงนางไม่มีทางเลือกจริงๆ คิดไปถึงเรื่องเล่าของเถ้าแก่ร้านน้ำชาว่าเขาทำร้ายผู้อื่นจนเกือบตาย นางก็ไม่กล้าคิดว่าหากเขาคิดจะทำร้ายเด็กคนนั้นแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้น
“อ๊าก” แววตาดุดันนั้นจ้องนางคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพราะถูกไอสังหารของคนผู้นั้นพุ่งเข้าใส่ แต่เช่นนั้นก็ยังคงข่มทำใจกล้า “สัญญากับข้าก่อนว่าท่านจะเชื่อฟังข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ยอมเอาเข็มนั้นออกไปจากร่างท่าน”
สือซานเหลียงพยายามควานมือไปด้านหลังเพื่อหาเข็มที่ฝังอยู่บนร่าง แต่ทำอย่างไรก็หาไม่เจอ เขาดิ้นไปมาจนเข็มที่ฝังนั้นลึกเข้าไปอีก
“ห้ามขยับมากนะ ไม่เช่นนั้นท่านจะเจ็บไปมากกว่านี้”
“อ๊ากกกก” เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมออกมาจากขมับของเขาเสียงฟันกรามขบกันแน่น ใบหน้าดุดันบิดเบี้ยวและดูชั่วร้ายมากกว่าเดิม แต่เฟิงชิงถิงก็ยังคงข่มใจไม่ถอนเข็มออกมา
“ตอบข้ามากก่อน ว่าจะเชื่อฟังข้า” นางมั่นใจว่าสือซานเหลียงรู้เรื่องที่นางบอก เขาสติไม่ดีแต่เขาไม่ได้โง่
“เชื่อฟัง ข้าเชื่อฟัง” สุดท้ายเขาก็ทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหวยอมตอบออกมา
เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบเข้าไปถอนเข็มให้เขา แต่เมื่อถอนเข็มออกมามือใหญ่ข้างหนึ่งก็พุ่งเป้ามาที่ลำคอของนางอย่างรวดเร็ว นางเห็นเสี้ยวหน้าของเขาที่หันกลับมามอง แววตาดุร้ายนั้นเป็นสัญญาณเตือนให้นางกดปลายเข็มที่เพิ่งจะถอนออกกลับเขาไปที่เดิม พร้อมกับลำคอของนางถูกมือข้างนั้นบีบอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่นานนัก
“อ๊ากกกก” มือหนาคลายออกจากลำคอขาว ร่างของนางทรุดลงพื้นเพราะถูกบีบคอจนหมดเรี่ยวแรง ส่วนร่างใหญ่นั้นก็กลับมานอนเกลือกกลิ้งอยุ่บนพื้นอีกครั้ง
เฟิงชิงถิงหายใจหอบ ทั้งตกใจทั้งเจ็บที่ลำคอ คอนางเกือบจะหักแล้ว หากเมื่อครู่นางฝังเข็มช้ากว่านี้คาดว่าชีวิตนี้คงจบแค่นี้ การกระทำของสือซานเหลียงทำให้เฟิงชิงถิงที่เยือกเย็นเริ่มมีประกายดวงตาเย็นเยียบต่างจากทุกครั้ง
“ท่านโกหกข้า”
“ข้าจะฆ่าเจ้า”
ความโกรธของเขา ทำให้แววตาและวาจานั้นคล้ายกับคนปกติทั่วไป อีกทั้งไอสังหารนั้นยังแผ่กระจายออกมามากกว่าเดิม นางรู้ว่าเขากำลังทรมาน ร่างเขาเกร็งอย่างรุนแรงอีกทั้งยังหายใจถี่กระชั้น แต่ยามนี้นางต้องทำเป็นไม่สนใจ ช่วยเขาแล้วได้สิ่งใด นอกจากเจ็บตัวจากการถูกทำร้ายและคอยห้ามไม่ให้เขาทำร้ายผู้อื่น หากไม่ทำให้เขาเชื่อฟัง นางก็คงจะต้องโดนเขาทำร้ายต่อไป ดังนั้นยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือให้เขาเชื่อฟังนางให้ได้เสียก่อน
“ท่านฆ่าข้าได้ แต่ผู้ใดจะหาอาหารให้ท่านกิน ยอมเชื่อฟังข้าแล้วท่านจะมีอาหารกินตลอดไม่ดีกว่าหรือไร” นางใจเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว
“ฮึ่ม” เขาครางในลำคอด้วยความทรมานเหงื่อผุดซึมออกมามากกว่าเดิม ดวงตาคู่ดันมองนางอย่างไม่ไว้ใจ
นางขยับมานั่งอยู่ใกล้ร่างหนามองเขาด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว เอ่ยกับเขาอย่างอ่อนโยนกว่าเดิม “เชื่อใจข้า”
เขาไม่ได้ตอบ แต่เห็นว่าแววตานั้นดูเหนื่อยล้าและทรมานมากแล้ว นางจึงถอนเข็มออกจากแผ่นหลังกว้าง เมื่อเข็มถูกถอนออก ร่างที่เกร็งแน่นก็ผ่อนลงและอ่อนยวบ นอนแผ่หลาหายใจเข้าออกสม่ำเสมอกว่าเดิม
นางมองเขาอย่างอ่อนใจซับเหงื่อที่หน้าผากกว้างออกพร้อมกับย้ำอีกครั้ง “เชื่อใจข้าเถิด ข้าไม่ทำร้ายท่าน แต่ท่านก็ต้องห้ามทำร้ายผู้อื่น ท่านอยากร่วมทางกับข้าหรือไม่ ขอเพียงท่านไม่ทำร้ายผู้ใดเท่านั้น”
ท่าทีอ่อนโยนยามซับเหงื่อของนาง ทำให้แววตาดุดันที่นอนหมดสภาพนั้นมองดูนางอย่างฉงนสงสัย เขาเหม่อมองสตรีที่นั่งซับเหงื่อให้อยู่นาน นางรู้สึกได้ถึงแววตานั้นจึงหดมือกลับจ้องเขากลับพร้อมกับคลี่ยิ้ม “สัญญากับข้าได้หรือไม่ หากท่านสัญญา ข้าก็สัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านเจ็บปวดอีก”
ร่างหนาลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิจ้องนางอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกมา “หมั่นโถว”
นางรู้ว่าเขาคงหิวมาก จึงไม่ได้ใส่ใจ เก็บเข็มกลับเข้าไปในกระบอกแล้วเหน็บไว้ที่เอวเช่นเดิม “มา ข้าเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว”
นางลุกขึ้นคิดจะเดินกลับไปที่ห้องครัว เห็นเขาเดินตามมานางจึงบอก “ท่านไปรออยู่ที่เกวียนตรงนั้นเดี๋ยวข้าจะเอาอาหารไปให้” เอ่ยแล้วนางก็หมุนตัวเดินเข้าห้องครัวไป ส่วนร่างใหญ่ก็มองร่างบางที่เดินเข้าไปในห้องครัว หันกลับไปมองเกวียนที่นางชี้เมื่อครู่ สุดท้ายก็เดินโซเซไปที่เกวียนด้วยอาการแข็งทื่อดังเดิม
เฟิงชิงถิงตักอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใส่ชาม จัดใส่ถาดแล้วยกออกมา มีน้ำแกงหน่อไม้อ่อนต้มกระดูกหมู ผักผัดน้ำมัน และข้าวสองถ้วย ถ้วยใหญ่ของสือซานเหลียงถ้วยเล็กของนาง และนางยังแบ่งอาหารส่วนหนึ่งเอาไว้ให้สองสามีภรรยาที่ช่วยเหลือนางอีกด้วย
เพียงแค่วางอาหารลงบนเกวียน สือซานเหลียงก็ไม่รอช้า จัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว กลิ่นน้ำแกงหน่อไม้ทำให้น้ำลายของสือซานเหลียงแทบจะไหลย้อยออกมา มือหนาคว้าน้ำแกงชามใหญ่มาซดฮวบ ๆ
“ระวังยังร้อนอยู่!” นางเตือนเพราะกลัวน้ำแกงจะลวกลิ้นเขา
แต่ก็ไม่เป็นผลเขาซดจนหมดชาม แล้วพ่นไอร้อนออกจากปาก ดังโฮ่ โฮ่สองครั้งก็หยิบชามข้าวที่นางเพิ่งจะวางลงใช้ตะเกียบกวาดข้าวในชามเท่าชามน้ำแกงสองคำก็เกลี้ยงถ้วย ผักผัดน้ำมันก็ถูกเขายกจานขึ้นใช้ตะเกียบกวาดเข้าปากอย่างรวดเร็ว
เฟิงชิงถิงอ้าปากค้าง นางยังไม่ได้กินอาหารสักคำ อาหารตรงหน้าก็ไม่เหลือแล้ว
“หมั่นโถวอีก” เขายื่นจานผัดผักมาหานาง
นางรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้จึงนำสำรับอาหารที่เหลือแต่ภาชนะเปล่ากลับเข้าไปในครัวตักอาหารใส่แล้วยกกลับมาอีกครั้ง
ดวงตาของสือซานเหลียงเป็นประกายเมื่อเห็นว่ายังมีอาหารให้กินอีก ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับครั้งแรกคือเขากวาดอาหารไม่กี่ครั้งก็หมด ดีที่นางรีบคีบผักผัดน้ำมันใส่ชาม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทันเขาแล้ว
“อ้าวแม่หนู เพิ่งได้กินอาหารหรือ” หมี่เจาเดินกลับมาพร้อมกับซ้อฟาง
เฟิงชิงถิงวางชามข้าวลง เดินไปหาหมี่เจา “ขอบคุณท่านป้ามากที่ให้ข้าใช้ครัวและใช้อาหารของท่าน ข้าแบ่งส่วนหนึ่งไว้ให้พวกท่านด้วยไม่รู้ถูกปากหรือไม่”
“ไม่ต้องเกรงใจ แต่ดูอาหารของเจ้าคงอร่อยนะ ไม่เช่นนั้นสามีของเจ้าคงไม่กินเอากินเอาเช่นนั้น” หมี่เจาหันไปมองสือซานเหลียงที่กินอาหารจนเกลี้ยง ยามนี้หยิบชามข้าวชามเล็กที่เป็นของเฟิงชิงถิงกวาดรวดเดียวก็หมดชาม
“เขาเป็นคนกินเก่ง” นางตอบไปอย่างแกนๆ แต่คือเรื่องจริง
“แม่หนู เมื่อครู่ข้าผ่านบ้านแม่ของอาปัง แม่ของอาปังบอกว่า อาปังของนางเกือบถูกสามีเจ้าทำร้าย เกิดสิ่งใดขึ้น” หมี่เจาถาม
“เวลาเขาหิวเขาจะอาละวาด ต้องขออภัยแทนเขาด้วย แต่ต่อไปจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
“ว่าแต่สามีเจ้าก็ดูแปลกๆ นะ” ซ้อฟางที่สังเกตสือซานเหลียงอยู่ถามขึ้น แล้วก็ต้องผงะเมื่อคนที่นางเอ่ยถึงหันขวับมาจ้องนาง
“เรื่องนั้น...”
เฟิงชิงถิงกำลังหาคำพูดเหมาะๆ มาอธิบายแต่ซ้อฟางก็ขยับเข้าไปใกล้หมี่เจาพร้อมกับกระซิบ
“เขาสติไม่ดีใช่หรือไม่ ดูตาเขาขวางๆ อย่างไรก็ไม่รู้”
เฟิงชิงถิงพยักหน้า หันกลับไปมองก็เห็นว่าสือซานเหลียงกำลังมองมายังนาง จึงหันไปบอกสตรีทั้งสอง “ข้ากำลังคิดว่าจะพาเขาไปอาบน้ำ”
“ใช่แล้ว” ซ้อฟางยื่นเสื้อผ้าที่อยู่ในมือส่งให้เฟิงชิงถิง “นี่เป็นเสื้อของสามีข้าเอง ดูจากรูปร่างของสามีเจ้าเสื้อผ้าอาจจะตัวเล็กไปหน่อย แต่ข้าว่าดีกว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่”
“ขอบคุณท่านป้ามาก” เฟิงชิงถิงรับมาด้วยความยินดี นางกำลังคิดจะหาเสื้อผ้าใหม่ให้สือซานเหลียงพอดี
“เดี๋ยวก่อนนะ” หมี่เจาบอกก่อนเข้าไปในบ้าน ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับของในมือ “ข้าว่าเขาคงต้องใช้สิ่งนี้ด้วย” หมี่เจาส่งไยบวบให้
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
“ข้าว่าถ้าอาบถังน้ำคงต้องเปลี่ยนน้ำอีกหลายถัง ไปอาบที่ลำธารหลังหมู่บ้านเถิดอยู่ไม่ไกล” หมี่เจาบอกพร้อมกับชี้ไปทางหลังหมู่บ้าน
เฟิงชิงถิงรับคำก่อนจะพาสือซานเหลียงไปอาบน้ำ ตอนแรกนางก็หวั่นใจว่าเขาจะไม่ทำตาม แต่ผิดคาด เพียงแค่นางเรียกเขาสือซานเหลียงก็เดินตามนางไปแล้ว
“ดูสิ ยังเป็นสาวอยู่แท้ๆ ต้องมาดูแลสามีสติไม่ดี” ซ้อฟางมองตามร่างเล็กกับร่างสูงใหญ่ไปอย่างเห็นใจ
“นั่นสินะ ว่าแต่พวกเขาจะเดินทางไปไหนต่อไหนเพื่อสิ่งใด เห็นอยู่ว่าลำบาก” หมี่เจาไม่เข้าใจ
“หากให้ข้าเดา คาดว่าก่อนหน้านี้สามีของนางคงจะไม่ใช่เช่นนี้ แต่คงมีเหตุทำให้เขาสติไม่ดี นางคงหาหมอมารักษาอาการสามีของนาง พอหมอรักษาไม่หาย นางจึงเริ่มต้นออกเดินทางตามหาหมอที่สามารถรักษาสามีของนางได้อย่างไรเล่า” ซ้อฟางส่ายหน้าพลางถอนหายใจอีกครั้ง “ช่างน่าเห็นใจนัก”
“นั่นสินะ นางคงเหนื่อยมาไม่น้อย เมื่อครู่เจ้าเห็นที่ลำคอของนางหรือไม่ มีรอยแดงเพิ่มขึ้น คาดว่าสามีของนางคงเกิดอาการคลั่งแล้วลงมือกับนางเป็นแน่”
“หากไม่รักจริงคงไม่ทนเช่นนี้ เป็นข้าคงไม่ทน”
“ตอนที่สามีของนางยังสติดีอยู่คงจะรักนางมากเช่นกัน”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น บางครั้งชะตาชีวิตคนเราก็ช่างโหดร้ายนัก”
“เช่นนั้นข้าจะชวนนางพักอยู่ที่นี่นานๆ หน่อย อย่างน้อยก็ให้นางได้พักผ่อนบ้าง”
“ดีเหมือนกัน”
แล้วสตรีทั้งสองก็ถอนหายใจพลางส่ายหน้า เห็นใจให้กับชะตาของเฟิงชิงถิง โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกนางคาดเดานั้นผิดไปจากเรื่องจริงไปไกลลิบ
--------------------------------------------
แล้วจะรีบมาต่อนะคะ
---------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ความมโนนี้ท่านได้แต่ใดมาาาาา กร๊ากกกก
สมัยโบราณนี่ลำบากเนาะ แค่ถูกขยำหน้าอกก็คิดว่าเป็นสามีแล้ว ไม่เหมือนสมัยปัจจุบัน อ้างได้ร้อยแปดสถานะ
ร้อยล้านเหตุผล
สงสารน้องถิงนะพี่ใหญ่แย่งข้าวกินหมดเลยจะมีแรงไปจัดการกับเขาไหมเนี่ย เดี๋ยวตอนอาบน้ำได้อาละวาดอีกหรอก แล้วน้องเป็นสาวโสด เดี๋ยวเขินแย่เลย 555
รอให้อาบน้ำ ตัดผมเผ้า จะได้เป็นคนขึ้น
มีคนมาช่วยน้องถิงแล้ว แถมใจดีให้พักอาศัยในหมู่บ้าน สงสัยต้องจับท่านแม่ทัพอาบน้ำแล้ว ถ้าคุยกันรู้เรื่องนะ 555
อีกนานไหมคะที่พระเอกจะอาการดีขึ้น
รอค่ะ.