คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : บทที่ 14 (100%) +แจ้งข่าว
เฟิงชิงถิงได้ยินเสียงคนเหล่านั้น นั่นก็แปลว่าสือซานเหลียงย่อมได้ยินเช่นกัน เสียงของคนเหล่านั้นทำให้สือซานเหลียงที่นั่งเหม่อหันไปมองและคำรามในลำคออย่างดุดัน เขาจำได้ว่าคนเหล่านั้นคือกลุ่มคนที่คิดจะทำร้ายเขา
“ฮื่ม”
เฟิงชิงถิงได้ยินก็รีบปิดปากสือซานเหลียงเพื่อไม่ให้เสียงของเขาลอดออกมา
“ศิษย์พี่ได้ยินเสียงใดหรือไม่”
“เสียงใด” หยวนถังเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจกับคำถามของไป๋มู่เท่าใดนัก เพราะกำลังคิดถึงเรื่องสือซานเหลียงมีสองคนอยู่
เฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงนั้นอยู่ห่างจากกลุ่มของศิษย์สำนักเมฆาขาวไกลพอสมควร แต่แววตาคมกริบของไป๋มู่ที่หันมามองพุ่มไม้ที่พวกนางหลบซ่อนอยู่ก็เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา นี่ก็จวนใกล้เวลาที่คนพรรคโลหิตอัคคีนัดเอาไว้แล้ว นางจะหลบหนีจากคนพวกนี้ไปได้อย่างไร
“ฮื่ม...” สือซานเหลียงคำรามอีกครั้งคิดจะลุกขึ้น
เฟิงชิงถิงรีบดึงแขนเขาไว้ปิดปากเขาแน่นพร้อมกับส่ายหน้ารัว เป็นเชิงบอกให้เขาอย่าปรากฏตัวหรือส่งเสียง สือซานเหลียงเห็นท่าทีของนางก็จ้องนางนิ่ง ไม่คำรามและไม่ลุกขึ้น จับมือเล็กที่ปิดปากมาสำรวจดูคล้ายกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด
เห็นเขาเลิกสนใจคนสำนักเมฆาขาวเฟิงชิงถิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยามนี้ก็แค่รอเวลาเท่านั้น นางมองประตูหลังที่อยู่ห่างไม่ไกล คิดคำนวณว่าหากนางพาสือซานเหลียงย่องออกไป จะมีคนสังเกตเห็นหรือไม่ นอกจากกลุ่มของคนสำนักเมฆาขาวแล้วก็ยังมีชาวยุทธ์อีกหลายกลุ่ม
ในที่สุดนางก็ตัดสินใจ โยนก้อนหินก้อนใหญ่ไปทางเรือนปักผ้า เสียงนั้นทำให้หลายคนหันไปมอง
“ข้าว่าต้องมีคนแอบอยู่ในนั้นแน่ๆ” จอมยุทธ์สาวที่แต่งกายคล้ายแม่ชีบอก ดูท่าว่าคงจะเป็นคนสำนักง้อไบ๊
“พวกเราไปดูกัน” ศิษย์ง้อไบ๊อีกคนเสนอ แล้วกลุ่มของพวกนางก็เดินไปทางนั้น ยังมีชาวยุทธ์อีกหลายคนเดินตาม
หยวนถังที่เห็นกลุ่มคนสำนักง้อไบ๊เดินไปสำรวจเรือนปักผ้าจึงหันไปสั่งศิษย์น้องของเขาบ้าง “เช่นนั้นพวกเราก็แยกกันหา เผื่ออาจจะพบเบาะแส”
ศิษย์น้องต่างแยกย้ายกันไป รวมถึงไป๋มู่และหยวนถังด้วย
เฟิงชิงถิงเห็นคนเหล่านั้นต่างเดินแยกย้ายกันไปคนละทางไม่มีผู้ใดสนใจสนใจพุ่มไม้ของนาง อีกทั้งประตูหลังก็ปลอดคน จึงเป็นโอกาสให้นางพาสือซานเหลียงย่องไปที่ประตู นางดึงมือที่เต็มไปด้วยเหงื่อขึ้นออกจากมือใหญ่ แล้วตลบไปจับมือเขาแทน ส่วนมืออีกข้างก็กำห่อสัมภาระไว้แน่นด้วยท่าทางเตรียมพร้อม
นางต้องออกไปเจอคนพรรคโลหิตอัคคี นางไม่ต้องการให้มีการปะทะกัน เพราะหากมีการปะทะกันเมื่อใดเหล่าชาวยุทธ์ก็จะมารวมตัวกันอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าพรรคโลหิตอัคคีมีมากเท่าใด แต่การมารับตัวสือซานเหลียงในยามวิกาลเช่นนี้พวกเขาคงไม่ขนคนเป็นโขยงมาแน่ๆ ดังนั้นทางที่ดีนางควรจะไปรออยู่ด้านนอกและเมื่อคนพรรคโลหิตอัคคีมาเมื่อใดนางก็จะรีบให้พวกเขาพานางหลบหนีไปทันที
แต่ไม่คิดว่าขณะที่นางพาสือซานเหลียงไปถึงประตู เท้ากลับเหยียบกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่ง
“เปาะ”
เสียงกิ่งไม้ที่หักนั้นไม่ได้ดัง แต่ก็ไม่ได้เบามากนัก นางสะดุ้งสุดตัวหันกลับไปหากลุ่มคนที่เพิ่งเดินห่างออกไป
“พวกท่านมาจากสำนักใด” ไป๋มู่ที่อยู่ห่างออกไปได้ยินเสียงหันกลับมา
“ข้าไม่มีสำนัก” เฟิงชิงถิงพยายามดัดเสียงให้ดุดันและเฉียบขาดขึ้น โชคดีที่อยู่ใต้ซุ้มประตูทำให้แสงจันทร์ส่องมาไม่ถึงเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียง นางใช้เงามืดนั้นพรางใบหน้าและตัวตนเอาไว้ มือข้างหนึ่งยังกุมมือสือซานเหลียงไว้แน่นเพราะกลัวเขาจะตรงเข้าไปหาเรื่องไป๋มู่ หากสือซานเหลียงเผยตัวในตอนนี้ คาดว่าเขาคงไม่รอดแน่
“แล้วพวกท่านกำลังจะไปที่ใด” เสียงนั้นคล้ายมีความคลางแคลงใจบางอย่างพร้อมกับเดินเข้าหา
“พวกข้าคิดจะออกไปดูด้านนอกเสียหน่อย” นางเปิดประตูหลังด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
“ศิษย์พี่ด้านนั้นมีควันไฟ อีกทั้งยังมีคนเห็นคนรูปร่างคล้ายๆ สือซานเหลียงหลบออกไปขอรับ” เสียงศิษย์สำนักเมฆาขาวตะโกนบอกไป๋มู่
“ได้ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้” ไปมู่ตะโกนตอบ ก่อนจะหันไปทางเฟิงชิงถิง “พวกเจ้าก็มาดูด้วยกันสิ”
“ได้” เฟิงชิงถิงพยักหน้า แต่เพียงแค่เห็นไป๋มู่หันกลับตรงไปยังจุดที่มีกลุ่มควัน เฟิงชิงถิงก็รีบดึงตัวสือซานเหลียงวิ่งออกจากประตูอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้า หยุดนะ!”
เฟิงชิงถิงไม่ได้สนใจเสียงที่ไล่ตามมา นางรู้แค่ว่าต้องหนีไปจากตรงนี้ ขอแค่เจอคนพรรคโลหิตอัคคี นางและสือซานเหลียงก็จะปลอดภัย แต่เท้าที่ซอยถี่ก็ต้องชะงักกลางคัน เมื่อเงาหลายสายมาปรากฎอยู่ตรงหน้า
“แม่นาง พวกท่านคือใครกันแน่” ไป๋มู่ที่ใช้วิชาตัวเบาเหินร่างตนเองมาดักหน้าเอ่ยถาม เพราะยามที่เจอกับไป๋มู่เฟิงชิงถิงมีหน้ากากแปลงโฉมปลอมตัวไว้ตลอดเขาจึงจำนางไม่ได้ วันนี้ที่นางไม่ได้แปลงโฉมเพราะเกรงว่าจะทำให้คนพรรคโลหิตอัคคีสับสน เขามองใบหน้านางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาไปจับที่ใบหน้าของชายร่างสูงใหญ่ข้างนางก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงคาดไม่ถึง “สือซานเหลียง...”
สือซานเหลียงเองก็รู้สึกถึงไอคุกคาม ยามนี้เขาไม่ได้เหม่อนิ่งอีกต่อไป เคลื่อนกายมาบังร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะกวาดตามองเหล่าชาวยุทธ์ที่เริ่มเข้ามารายล้อมด้วยสายตาดุร้าย
“ไม่ได้นะอาเหลียง” เฟิงชิงถิงกุมมือของสือซานเหลียงแน่น
ไม่ได้ หากสือซานเหลียงต่อสู้กับคนมีวรยุทธ์ สุดท้ายสัญชาตญาณของเขาก็ต้องทำให้เขาเค้นลมปราณออกมาใช้เป็นแน่ และหากโคจรลมปราณเขาก็จะบาดเจ็บ
“เจอสือซานเหลียงแล้ว” คนผู้หนึ่งตะโกนบอก ก่อนจะพุ่งร่างเข้าหาโดยไม่สนใจอาวุธไร้ตาจะทำร้ายสตรีตัวน้อยที่จับจูงกันอยู่แม้แต่น้อย
ดาบเล่มใหญ่สะท้อนแสงจันทร์พร้อมกับประกายวาบที่สาดส่องมายังร่างใหญ่ สือซานเหลียงใช้ความว่องไวยกขาถีบมือที่กำด้ามดาบทำให้ดาบที่พุ่งเป้าเข้ามาหาถูกเปลี่ยนทิศไปทางอื่น แรงถีบนั้นทำให้ร่างของเจ้าของดาบเล่มใหญ่เปลี่ยนทิศเช่นกัน
เฟิงชิงถิงเห็นว่าคนผู้นั้นกำลังเสียหลักนางก็สาดผงในขวดกระเบื้องเข้าใส่ ผลปรากฏว่าคนผู้นั้นโยนดาบในมือทิ้งเลิกสนใจสือซานเหลียงแล้วเปลี่ยนมาเกาตามร่างกายแทน
“เหตุใดข้าจึงคันเช่นนี้” เขาเกาไปพร้อมกับแปลกใจ
ผงคันสินะ เฟิงชิงถิงคิดในใจ
ในห่อผ้าที่นางใส่ขวดยาเอาไว้แบ่งออกเป็นสองช่อง ช่องหนึ่งสำหรับใส่ขวดยารักษา ส่วนอีกช่องหนึ่งใส่ยาที่ไว้สำหรับป้องกันตนเอง เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็ว เฟิงชิงถิงไม่สามารถมาคิดหรือเลือกได้ว่านางควรสาดยาชนิดใดใส่เขา หยิบสิ่งใดได้ก็สาดใส่เข้าไปทันที
“เมื่อครู่แม่นางสาดสิ่งใดใส่เขา” ไป๋มู่ที่ยืนดูเหตุการณ์มาโดยตลอดหรี่ตามองเฟิงชิงถิงคล้ายกำลังประเมินนางใหม่
“แค่ผงคัน แต่หากยิ่งเกาจะยิ่งคัน” เฟิงชิงถิงตอบ มองคนที่เริ่มรายล้อมมากขึ้น คิดว่าแค่ผงคันคงไม่สามารถหลุดพ้นจากวงล้อมนี้ได้
ชายคนนั้นเกาตามใบหน้าและลำตัวไปพร้อมกับชี้หน้าเฟิงชิงถิง “นางมาร เจ้าลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก ผิดที่ข้าประมาทเจ้าเกินไป”
“ท่านมีสิทธิ์ใดมาเรียกข้าว่านางมาร” ก่อนนี้เคยมีแต่คนเรียกนางว่าหมอเทวดาตัวน้อย แต่นั่นนางต้องผ่านการรักษาคนจำนวนเป็นร้อยเป็นพัน แต่ยามนี้นางแค่สาดผงคันใส่คนที่เรียกว่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะแค่คนเดียว นางก็กลายเป็น ‘นางมาร’ แล้วหรือ น่าขันยิ่งนัก
“หากไม่ใช่นางมารแล้วจะเป็นผู้ใด สตรีดีๆ ไม่มีผู้ใดจับมือกับบุรุษต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ ไร้ยางอายยิ่งนัก” สตรีที่เป็นศิษย์สำนักง้อไบ๊ ก้าวออกมาหนึ่งก้าวกล่าวหานางด้วยสายตาเย้ยหยัน
วาจานั้นทำให้เฟิงชิงถิงก้มมองมือตนเองและมันก็เป็นจริงตามที่ศิษย์สำนักง้อไบ๊เอ่ย เพราะตั้งแต่เมื่อครู่นางก็จับมือสือซานเหลียงมาโดยตลอด แต่ไม่รู้ว่ายามนี้เหตุใดจึงกลายเป็นสือซานเหลียงเป็นฝ่ายจับมือนางเอาไว้
ครั้งนี้เฟิงชิงถิงไม่ได้รู้สึกอับอายแม้แต่น้อยที่นางและเขากำลังจับมือกันอยู่ต่อหน้าผู้อื่น นางมีเหตุผลของนางเอง เหตุผลที่ว่า นางต้องการปกป้องเขาจากเหล่าคนที่เรียกตัวเองว่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ
ดวงตาหวานที่เริ่มมีประกายโทสะมองไปยังศิษย์สำนักง้อไบ๊ผู้นั้น เจ้าของใบหน้างดงามเหยียดยิ้มเย็นก่อนจะปล่อยวาจาเชือดเฉือนออกมา “น่าขันยิ่งนัก สตรีเช่นข้าจับมือกับบุรุษก็ถูกเรียกเป็นนางมาร แล้วสตรีเช่นพวกเจ้าเล่า ยามวิกาลเช่นนี้กลับทำตัวไม่สมเป็นสตรีในห้องหอ ไม่ฝึกเย็บปัก ไม่ต่อโคลงกลอน แต่กลับเอาเวลามาจับดาบถือกระบี่คอยตามบุรุษ ดูก็รู้ว่าอย่างพวกเจ้านั้นหาได้มีสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมติดตัวแม้แต่น้อย คุณสมบัติเช่นนี้ยังมีหน้ามากล่าวหาข้าอีกหรือ”
“เจ้า!” ศิษย์สำนักง้อไบ๊แทบจะเต้นผาง แต่เพราะเกรงว่าจะเสียจริตพวกนางจึงได้แต่มองเฟิงชิงถิงด้วยแววตาชิงชัง ทุกคนต่างชี้ปลายกระบี่มาทางนางอย่างไม่ได้นัดหมาย “นั่นเพราะพวกเราต้องการกำจัดภัยของยุทธภพต่างหาก”
เห็นใบหน้าศิษย์สำนักง้อไบ๊เปลี่ยนสีเป็นแดงสลับคล้ำเฟิงชิงถิงก็เริ่มคลายโมโหลงไปบ้าง
“ดูนางต่อปากต่อคำก็รู้แล้วว่าเป็นพวกชอบทำผิดจารีต ไร้ศีลธรรม หากเป็นเช่นนั้นพวกเราคงไม่ต้องออมมือ จัดการชายโฉดหญิงแพศยาคู่นี้ให้เสร็จไปในคราเดียว” ชาวยุทธ์อีกคนหนึ่งตะโกนบอก ตั้งท่าโจมตีใส่สือซานเหลียงกับเฟิงชิงถิงเต็มที่
สือซานเหลียงเห็นเช่นนั้นก็คำรามเสียงดังตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่เหล่าชาวยุทธ์เช่นกัน ดีที่เฟิงชิงถิงกระชับมือเขาไว้เขาจึงยังอยู่ข้างนางไม่ได้โจมตีผู้ใด
“เช่นนั้นพวกข้าจะสั่งสอนนางมารผู้นี้เอง นางจะได้ไม่ไปสร้างความเสื่อมเสียให้กับสตรีเช่นพวกเรา” ศิษย์ง้อไบ๊อีกนางหนึ่งก้าวขึ้นมาสองก้าวใช้กระบี่ชี้หน้าเฟิงชิงถิงด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม
เฟิงชิงถิงเลือดขึ้นหน้า ตั้งแต่เกิดไม่เคยมีผู้ใดเรียกนางว่าหญิงแพศยามาก่อน แค่นางอยู่ข้างคนพรรคมารนางก็กลายเป็นทั้งนางมารและแพศยาในคราเดียว ช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน
“หากพวกเจ้าเข้ามาอย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน” เฟิงชิงถิงหยิบขวดกระเบื้องในห่อผ้าที่มีรอยตะปุ่มตะป่ำ คิดว่าหากเหล่าศิษย์สำนักง้อไบ๊บุกเข้ามา นางจะใช้ผงอัปลักษณ์นี้สาดใส่หน้าพวกนาง ให้พวกนางเสียโฉมไปสักหลายวันหน่อยเพื่อคลายโทสะที่ถูกเหยียดหยาม
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ใช้ผงอัปลักษณ์ ทุกคนก็ถูกเสียงฝีเท้าม้าที่ดังฝ่าความมืดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หันเหความสนใจ ไม่นานอาชาตัวใหญ่สามสิบกว่าตัวก็ปรากฏขึ้น อาชาเหล่านั้นควบวิ่งมาโดยไม่ชะลอความเร็ว ทำให้เหล่าชาวยุทธ์ต่างกระโดดหลบจ้าละหวั่น เมื่อมันวิ่งเข้ามาใกล้เฟิงชิงถิงและสือซานเหลียง ขบวนม้าก็เบี่ยงทิศไปเล็กน้อยชะลอความเร็วและหยุดเลยจากนางไปไม่ไกล ส่วนสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางยามนี้คือรถม้าคันใหญ่คันหนึ่งมีม้าแปดตัวเทียมอยู่
----------
แจ้งให้ทราบนะคะว่าไรท์จะทำการลงนิยายและปิดตอนไปเรื่อยๆ นะคะ ซึ่งจะลงให้อ่านเนื้อหาในแต่ละครั้งเป็นเวลาหนึ่งวัน หลังจากนั้นก็อัพเนื้อหาในตอนต่อไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้จนจบเรื่องนะคะ โดยจะเริ่มตั้งแต่บทต่อไปซึ่งเป็นบทที่ 17 ค่ะ ซึ่งหมายถึงอีกสองบทจึงจะเริ่มทำการอัพและปิดตอนค่ะไปเรื่อยๆค่ะ
ไรท์แจ้งให้ทราบไว้ก่อนจะได้เตรียมตัวกันทันค่ะ
ความคิดเห็น