NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮูหยินของข้า (Re-up)

    ลำดับตอนที่ #26 : บทที่ 14 (50%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26.15K
      78
      23 ม.ค. 66

    เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันที่คนพรรคโลหิตอัคคีนัดหมายว่าจะมารับตัวพวกนางไป เฟิงชิงถิงจึงทำการฝังเข็มและนวดมือของเหล่าสตรีนักปักผ้าเรียงคน อีกทั้งยังกำชับเรื่องที่ควรทำและไม่ควรทำเพื่อถนอมมือของพวกนางให้สามารถใช้ปักผ้าได้นานๆ ด้วย ขาดก็แต่ซินฝูที่ไม่อยู่ในเรือนปักผ้าเพราะยามนี้ลูกสาวของนางมาเยี่ยม

    ท่านป้าบอกว่าหากถึงลำดับของนางแล้วค่อยไปตามเจ้าค่ะ ข้าจะไปตามเดี๋ยวนี้ชุ่ยเอ๋อร์บอก

    เช่นนั้นข้าไปเองเฟิงชิงถิงบอกก่อนจะเดินไปอีกห้อง

    สือซานเหลียงที่นั่งเหม่ออยู่เห็นเฟิงชิงถิงลุกไปอีกห้องเขาก็เดินตาม

    เมื่อไปถึงหน้าห้องเล็กอีกห้องหนึ่งเฟิงชิงถิงกำลังจะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงประหลาดบางอย่าง ดังจ๊วบและจั๊บๆ เบาๆ มือที่คิดจะเคาะประตูก็ชะงักก่อนจะล่าถอยออกมา

    ลูกสาวของซินฝู นามว่าหูเม่ย ยามนี้มาเยี่ยมซินฝูพร้อมกับพาทารกอายุหกเดือนมาด้วย เสียงที่ดังจั๊บๆ เมื่อครู่คาดว่าคงเป็นเสียงที่หูเม่ยกำลังให้นมลูก เฟิงชิงถิงคิดว่านางไม่ควรเสียมารยาทเข้าไปตอนนี้

    เฟิงชิงถิงรู้เรื่องมารยาท แต่สือซานเหลียงไม่!

    หลังจากที่ได้ยินเสียงแปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร เมื่อเห็นว่าประตูไม่ถูกเปิดออกเสียที ร่างใหญ่ที่อยู่ด้านหลังร่างเล็กก็ก้าวขึ้นไปด้านหน้ากระแทกประตูเปิดออกอย่างรุนแรง

    ว้าย!”

    เป็นดั่งที่เฟิงชิงถิงคิด บุตรสาวของซินฝูกำลังให้นมลูกของนางอยู่จริงๆ สตรีนางนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ เปิดสาบเสื้อให้อ้าออกข้างหนึ่งเผยให้เห็นเนื้อนวลเนียนสีขาวอมชมพูที่กำลังคัดเต่ง และยามนี้มือเล็กๆ สองมือกำลังเกาะอยู่ที่ก้อนเนื้อนวลเนียนนั้น ปากก็ดูดเอาของเหลวด้านในจนเกิดเสียงดังจ๊วบๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย

    เด็กน้อยยังคงดูดนมมารดาไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มารดาของเด็กน้อยกลับหวีดร้อง ด้วยความอับอายและตกใจ ดวงหน้าของนางแดงเรื่อขึ้นมาทันที

    ขออภัย!” เฟิงชิงถิงรีบขอโทษก่อนจะจับบานประตูเพื่อปิดมันลงอีกครั้ง

    แต่สือซานเหลียงกลับไม่ยอม เขาดันบานประตูข้างหนึ่งเอาไว้ไม่ให้เฟิงชิงถิงปิด ดวงตาจ้องไปที่เด็กทารกที่กำลังดื่มกินนมจากเต้าอย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งเห็นว่าหยาดน้ำสีขาวขุ่นไหลย้อยออกจากปากเล็กสายตาของสือซานเหลียงก็ยิ่งจ้องเขม็ง เฟิงชิงถิงต้องรวบรวมแรงเต็มกำลังจึงจะปิดประตูลงได้ แต่เดาว่าคงเป็นเพราะสือซานเหลียงยอมปล่อยบานประตูนั่นเอง

    อาเหลียงท่านทำสิ่งใด รู้หรือไม่ว่าการกระทำเมื่อครู่นี้เสียมารยาทมากเพียงใดเฟิงชิงถิงต่อว่าเขาด้วยความโมโห

    แต่สือซานเหลียงนั้นก็ดูเหมือนจะโมโหเช่นกัน เขาหันไปมองบานประตูที่ปิดลงก่อนจะมองมาที่นางด้วยสายตาที่เรียกได้ว่าโยนความผิดให้นางเต็มๆ

    ท่านมองข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหลังจากนางถาม สายตาสือซานเหลียงที่มองใบหน้าของนางก็เลื่อนต่ำลงไป และหยุดนิ่งอยู่บนร่างของนาง ส่วนที่เขาหยุดมองอยู่นานนั้นคือส่วนที่นูนออกมาจากหน้าอก

    เฟิงชิงถิงถอยหลังกอดอกปกป้องไม่ให้เขามองส่วนนั้นของนางทันที ท่านหมายความว่าอะไร

    หมั่นโถว

    นางรู้ว่าเขาเรียกหน้าอกนางว่าหมั่นโถวเช่นเดียวกับที่เขาเรียกนาง แต่เขาต้องการอะไร แล้วแววตาไม่พอใจนั่นคืออะไร!?

    หมั่นโถวเขาชี้ไปที่ประตูที่เมื่อครู่เปิดกว้าง สายตานั้นยังคงมองหาเรื่องนางไม่เลิก

    เสียงหวีดร้องของหูเม่ยเมื่อครู่นี้ทำให้เหล่านักปักผ้าในห้องข้างๆ ต่างรีบออกมาดู แต่เมื่อเห็นว่ายามนี้อาเหลียงกำลังทะเลาะกับแม่หนูเลี่ยง ทุกคนจึงแอบมองอยู่เงียบๆ เพราะไม่เข้าใจว่าพวกเขาทะเลาะเรื่องใดกัน

    หมั่นโถวของข้า!” สือซานเหลียงเริ่มคำรามอย่างไม่พอใจ มือใหญ่ชี้ไปที่หน้าอกของเฟิงชิงถิง

    นี่เป็นของข้าไม่ใช่ของท่าน

    หมั่นโถวกินได้!” เขาบอกพร้อมกับใบหน้าที่เดือดดาลมากกว่าเก่า

    นี่คงเป็นคำที่ยาวที่สุดเท่าที่เขาคุยกับนาง แต่มันเป็นคำที่นางไม่อยากให้ออกจากปากของคนผู้นี้มากที่สุด

    มันกินไม่ได้!” เฟิงชิงถิงหน้าแดงก่ำกอดอกตนเองแน่นกว่าเก่าเช่นกัน

    หมั่นโถวกินได้ หมั่นโถว!” เขาเถียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ พร้อมกับชี้ไปในห้องที่ปิดอยู่

    เฟิงชิงถิงคิดจะอ้าปากเถียง แล้วนางก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อครู่ที่เขาเปิดประตูเข้าไปเพราะอาจจะสงสัย แต่ที่เขารั้งประตูและมองภาพแม่ให้นมลูกอยู่นานนั้นเพราะว่าเขาเห็นว่าสิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นหมั่นโถวนั้น แท้จริงแล้วมันกินได้!

    เห็นนางไม่ตอบสือซานเหลียงจึงเอ่ยต่อ กินหมั่นโถว

    มันกินไม่ได้ฟิงชิงถิงตอบเสียงอ่อนนางอยากจะร่ำไห้

    จะกินหมั่วโถวสือซานเหลียงยื่นคำขาด มองสิ่งที่นางกอดปกป้องด้วยแววตาจริงจัง

    เหล่าสตรีที่แอบมองต่างกลั้นหัวเราะไปตามๆ กัน แต่สุดท้ายก็มีคนหนึ่งกลั้นเอาไว้ไม่ไหว นางหัวเราะพรืดเสียงดังออกมาทำให้คนอื่นๆ ระเบิดหัวเราะออกมาตามๆ กัน

    เฟิงชิงถิงเห็นว่ามีพยานในความอับอายของนางมากมาย ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวจนแทบไหม้ กอดอกไม่ยอมปล่อยตะโกนบอกเขาอีกครั้งว่า มันกินไม่ได้!แล้ววิ่งหนีไป

    คิ้วหนาขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจสุดขีด ขณะที่ร่างใหญ่เคลื่อนตามร่างบางที่วิ่งหายออกไป สตรีนางหนึ่งก็เดินมาประกบข้างของเขาอย่างไม่กลัวตาย

    อาเหลียง เห็นแก่เจ้าที่เอาแต่มองแม่หนูเลี่ยงตลอด อีกทั้งยังรักนางไม่เสื่อมคลาย ข้าจะบอกเคล็ดลับอะไรให้ หากอยากกินหมั่นโถวของนาง ต้องเลิกเรียกนางว่าหมั่นโถว แล้วเรียกนางว่าฮูหยินแทน เข้าใจหรือไม่

    หมั่นโถวสือซานเหลียงเอ่ยอย่างเหม่อลอย

    ดวงตาที่เหม่อลอยเมื่อครู่ก้มลงจ้องสตรีสูงอายุนางนั้นนิ่ง สตรีนางนั้นเห็นเขาจ้องก็ยิ้มให้แล้วเอ่ยซ้ำอีกครั้ง อยากกินหมั่นโถวของนางต้องเรียกนางว่าฮูหยิน จำเอาไว้ ฮูหยิน

    ฮูหยิน...เขาเอ่ยคล้ายกับคนถูกสะกดจิต

    ถูกต้อง จะกินหมั่นโถวต้องให้นางเป็นฮูหยิน

    ฮูหยิน ฮูหยิน หมั่นโถวสือซานเหลียงเอ่ยสองคำนี้สลับกันไปมาก่อนจะเดินตามทางที่เฟิงชิงถิงเพิ่งจะวิ่งออกไป

    ดูเหมือนสือซานเหลียงจะถูกปลูกฝังในเรื่องที่ไม่ถูกต้องไปเสียแล้ว หรือว่ามันคือเรื่องที่สมควรแล้วกันแน่?

    เฟิงชิงถิงแทบจะเป็นบ้า นางถูกสือซานเหลียงกวนใจเรื่องหมั่นโถวทั้งวัน เขาเอาแต่เดินตามนางเอ่ยถึงหมั่นโถวไม่เลิก บางครั้งก็เรียกนางว่าฮูหยิน เขาไม่สนใจว่าตอนที่เขาพูดนั้นมีคนนอกอยู่ด้วยหรือไม่ ยามที่นางกลับไปฝังเข็มให้ซินฝู นางต้องขอโทษซินฝูและลูกสาวของซินฝูอยู่หลายครั้ง แต่ถึงกระนั้นสือซานเหลียงก็ยังตามมาบอกว่าจะกินหมั่นโถวไม่เลิก เขาไม่อายแต่นางอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี อีกทั้งสายตาที่เขามองนางนั้นเหมือนต้องการจะเอาผิดที่นางโกหก นางไม่ได้โกหกแต่เขาไม่เข้าใจเองต่างหาก

    ทั้งที่ยามนี้เขาเองก็ไม่หิวเสียหน่อยเหตุใดจึงคิดแต่จะกินหมั่นโถวของนางท่าเดียว!

    คืนต่อมาซึ่งเป็นคืนที่คนพรรคโลหิตอัคคีนัดหมายว่าจะมารับ หลังจากเก็บของต่างๆ เข้าในห่อผ้า เฟิงชิงถิงก็กลับมานั่งรอเวลาอยู่ที่เตียง อีกสองเค่อจะถึงเวลาที่คนพรรคโลหิตอัคคีนัดนางไว้ ยามนี้ถือว่าค่ำมากแล้ว เพื่อไม่ให้ผิดวิสัยนางจึงดับเทียนแล้วนั่งเงียบๆ อยู่ในความมืด

    เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พร้อมกับความคิดของเฟิงชิงถิงที่ลอยไปไกล นางนั่งเหม่อมองร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

    อีกไม่นานท่านก็จะได้เจอคนพรรคของท่านแล้ว ดีใจหรือไม่

    ทั้งที่รู้ว่าคงไม่ได้คำตอบแต่นางก็ยังคงเอ่ยถามกับเขา แล้วตัวนางเองเล่าดีใจหรือไม่ที่อีกไม่นานจะต้องแยกจากเขาแล้ว ในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

    ยังไม่ทันที่นางจะได้คำตอบจากตนเอง หญิงสาวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินหน้าห้อง เวลากลางคืนเงียบกว่ากลางวัน จึงทำให้นางได้ยินเสียงฝีเท้านั้นได้ชัดเจน

    ขณะที่นางคิดว่าคนพรรคโลหิตอัคคีอาจจะมาเร็วกว่าเวลานัด พวกเขาจึงมารับนางถึงห้อง นางก็เห็นเงาดำสองสายที่พาดอยู่ที่หน้าต่าง เงานั้นแม้จะไม่ชัดเจนแต่เฟิงชิงถิงก็เดาได้ว่าเป็นเงาของบุรุษทั้งสองคน เงามือข้างหนึ่งของคนทั้งสองถือบางอย่างอยู่ สิ่งที่พวกเขาถือนั่นคือดาบเล่มใหญ่ สัญชาตญาณบอกกับนางว่าให้ระวังตัว

    เฟิงชิงถิงควานมือในห่อผ้าหยิบขวดกระเบื้องออกมาใบหนึ่งแล้วย่องไปอยู่ที่ข้างหน้าต่างที่คนลึกลับด้านนอกทั้งสองยืนอยู่

    จะดีหรือที่เรามาก่อนเวลานัดรวมพลชาวยุทธ์ชายหนึ่งในสองกระซิบ

    ย่อมดีอยู่แล้ว คิดดูสิว่าหากเรากำจัดสือซานเหลียงได้ ทุกคนในยุทธภพก็จะยกย่องนับถือเรา ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะยกตำแหน่งเจ้ายุทธภพให้เราเลยก็ได้ชายอีกคนกระซิบบอก

    เจ้าสืบมาแน่แล้วหรือว่าเขาอยู่ในห้องนี้

    แน่แล้ว อีกทั้งยังบาดเจ็บอยู่ด้วย เป็นโอกาสของเราที่จะกำจัดเขาได้ง่ายดายขึ้น ส่วนเรื่องเขาบาดเจ็บมีคนรู้ไม่มาก ใช้โอกาสนี้หลอกผู้อื่นว่าเรากำจัดเขาอย่างยากเย็นสร้างชื่อเสียงให้ตนเองได้อีกไม่น้อย

    เช่นนั้นก็ตามนั้นเสียงนั้นบ่งบอกว่าตัดสินใจเด็ดขาด

    ชาวยุทธ์สองคนที่มาแอบยืนคุยอยู่หน้าห้องพักของนางคงเป็นหน้าใหม่เพิ่งเข้ามาในยุทธภพไม่นาน หวังแต่จะสร้างชื่อเสียง แต่ก็เป็นพวกตื้นเขิน ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงไม่มาปรึกษากันตรงหน้าห้องเป้าหมายเป็นแน่

    แต่ถือเป็นโชคดีของเฟิงชิงถิง เพราะหากไม่มีชาวยุทธ์สองคนนี้นางก็คงไม่รู้ว่ายามนี้ชาวยุทธ์กำลังรวมพลกันเพื่อล้อมจับสือซานเหลียง

    เฟิงชิงถิงเปิดฝาจุกกระเบื้องพร้อมกับขยับร่างมาอยู่ข้างประตู มองเงาร่างสองสายที่กำลังเปิดประตูเข้ามา และเมื่อประตูเปิดออก ร่างสูงใหญ่สองร่างพุ่งเข้ามาเฟิงชิงถิงก็สาดผงยาสลบของนางใส่หน้าเขาพวกทันที ร่างสูงใหญ่ยังไม่ทันจะได้ทำสิ่งใดก็ตาเหลือกก่อนจะล้มตึงไปทั้งคู่

    เกิดสิ่งใดขึ้นซินฝูที่อยู่ห่างออกไปสองห้องได้ยินเสียงแปลกๆ จึงถือตะเกียงออกมาดู เมื่อเห็นว่ามีชายร่างใหญ่สองคนล้มคาอยู่หน้าประตูห้องของเฟิงชิงถิงก็ร้องด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นว่าในมือของทั้งสองมีดาบเล่มใหญ่ก็ยิ่งแตกตื่น นี่มันคือสิ่งใด โจรปล้นหรือ ไม่ได้การ ข้าต้องรีบไปแจ้งทางการ

    เฟิงชิงถิงรู้ว่าอีกไม่นานชาวยุทธ์จะมาล้อมเรือนปักผ้าแห่งนี้เอาไว้ เพื่อความปลอดภัยนางควรให้ซินฝูไปอยู่ที่อื่น จึงรีบรั้งเอาไว้

    ท่านป้า คืนนี้ท่านพาลูกสาวและหลานของท่านไปที่บ้านของฮูหยินเถิด เรื่องชายสองคนนี้ข้าจัดการเอง

    แต่เราควรจะเรียกมือปราบเจ้าคะซินฝูค้าน

    เชื่อข้า ท่านรีบพาพวกนางไปจะปลอดภัยกว่า ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจะดีที่สุดเฟิงชิงถิงจ้องซินฝูด้วยแววตาจริงจัง หากชาวยุทธ์รวมกลุ่มกันจริงๆ มือปราบแค่หยิบมือจะช่วยสิ่งใดได้

    ได้เจ้าค่ะซินฝูยอมเชื่อในที่สุด

    เมื่อซินฝูพาลูกและหลานออกไปแล้ว เฟิงชิงถิงก็จัดการแปลงโฉมชาวยุทธ์ที่นอนหมดสติอยู่ให้มีใบหน้าเหมือนสือซานเหลียง

    ยาสลบตัวนี้ของนางออกฤทธิ์แรงก็จริง หากผู้ใดสูดเข้าไปจะหมดสติไปทันที แต่ข้อดีของมันคือเค่อกว่าพวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมา

    หลังจากเฟิงชิงถิงหายจากอาการบาดเจ็บ นางก็เอาเวลาส่วนหนึ่งไปทำหน้ากากให้สือซานเหลียง เพราะรู้ว่าเขามีรูปร่างสูงใหญ่และมีจุดเด่นที่ผู้อื่นสามารถพบเจอง่ายซึ่งเป็นเรื่องยากต่อการหลบหนี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลี่ยงในการเป็นจุดสนใจไม่ได้ เพื่อให้คนที่ต้องการตัวสือซานเหลียงสับสน ก็คือทำให้มีสือซานเหลียงหลายๆ คนก็สิ้นเรื่อง จากการพุ่งเป้าเพียงคนแค่คนเดียวก็จะกลายเป็นแบ่งเป้าหมายแยกกันออกไป คนที่ติดตามสือซานเหลียงตัวจริงก็จะน้อยลง

    นางคิดเรื่องนี้ได้แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้นำมาใช้จริงๆ

    หลังจากแปลงโฉมชาวยุทธ์สองคนเสร็จ เฟิงชิงถิงก็รีบดับเทียนและตะเกียงจนหมด รีบพาสือซานเหลียงไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้หนาใกล้ประตูหลังของเรือนปักผ้า

    หลบได้ไม่นานนางก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างรอบกาย มือเล็กจับมือใหญ่แน่นเมื่อเห็นว่าภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ร่างของชาวยุทธ์เริ่มปรากฏอยู่รอบบริเวณเรือนปักผ้าทีละคน พื้นที่ที่เคยกว้างขวางยามนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ไม่เว้นแม้แต่หลังคาเรือนปักผ้า เรือนพัก เรือนครัว ทุกที่ต่างมีชาวยุทธ์ทั้งหญิงและชายถืออาวุธประจำกาย พร้อมที่จะลงมือจู่โจมคู่ต่อสู้ได้ตลอดเวลา

    ทุกคนต่างแลกสายตากันเหมือนว่าพวกเขารู้ว่าเมื่อมาถึงแล้วจะต้องทำอย่างไร กลุ่มหนึ่งพยักหน้าให้กันก่อนจะพุ่งไปยังเรือนพักที่เฟิงชิงถิงเพิ่งออกมา ไม่นานก็มีเสียงร้องโวยวายด้วยความตกใจ

    พวกเจ้าคิดจะทำร้ายข้าเพราะเหตุ

    เจ้า เจ้าคือสือซานเหลียง ข้าจะจัดการกับเจ้าด้วยมือของข้าเอง

    เจ้าต่างหากคือสือซานเหลียง

    ข้าไม่ใช่สือซานเหลียง เจ้าจำคนผิดแล้ว คนผู้นั้นต่างหากคือสือซานเหลียง

    หลังจากถกเถียงกันครู่หนึ่งเสียงการต่อสู้เริ่มขึ้น ไม่นานก็มีคนตะโกนว่า สือซานเหลียงมีสองคน จับตัวพวกเขาเอาไว้!”

    เฟิงชิงถิงมองลอดพุ่มไม้เห็นมีเงาสองสายหนีออกจากเรือนพักไปคนละทิศ มีชาวยุทธ์อีกหลายคนแบ่งกลุ่มออกเป็นสองทางตามเงาร่างสองสายนั้นไป

    แม้จะมีคนติดกับเรื่องสือซานเหลียงตัวปลอม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะติดกับแผนการเช่นนี้ทุกคน

    ศิษย์พี่ ข้าว่ามันแปลกๆ นะขอรับ

    ข้าก็คิดเช่นนั้น จึงไม่ให้เหล่าศิษย์น้องตามไปอย่างไรเล่า

    เสียงสนทนาที่ดังแว่วมาทำให้เฟิงชิงถิงมองไปตามเสียง เพราะวันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เมื่อมองลอดพุ่มไม้ออกไปหาต้นตอของเสียง เฟิงชิงถิงก็เห็นชายในชุดสีฟ้าอ่อนใบหน้าคุ้นตา นางจำได้ว่าคนผู้นี้คือไป๋มู่ศิษย์สำนักเมฆาขาวนั่นเอง ส่วนคนที่เขาคุยด้วยนั่นก็คือหยวนถังศิษย์พี่ของเขา ด้านหลังนั้นเป็นกลุ่มศิษย์สำนักเมฆาขาวอีกหลายคน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×