ตอนที่ 26 : ตอนที่ 25(100%)
ค่ำคืนอันเงียบสงัด ที่ห้องพักแห่งหนึ่งในโรงเตี๊ยมชายแดนแคว้นเจิ้ง ในห้องอันสลัวที่เกิดจากเทียนไม่กี่ดวงทำให้มองเห็นบุรุษใบหน้างดงามแต่ซีดขาวนั่งอยู่บนตั่งยาว เขากำลังมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเฉยชา
ลมเย็นพัดมากระทบใบหน้าของเขา ความเย็นกรีดลึกลงไปในผิวหนัง แต่คนผู้นั้นก็หาได้แสดงความสะทกสะท้านไม่ เขาปล่อยให้ลมเย็นยะเยียบพัดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาจนด้านใน ห้องที่เคยอบอุ่นเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แต่คนผู้นั้นก็หาได้ขยับกายไม่ เขานั่งนิ่งอยู่นานจนได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่เตียงนอนจึงหันไปมอง
ร่างบางที่นอนหลับใหลถูกปลุกขึ้นมาเพราะความหนาวเย็นที่แผ่กระจายเข้าสู่ผิวกาย แม้จะมีผ้าห่มผืนหนาแต่ก็ยังทำให้ร่างบางนั้นสั่นเทา เปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยับ แพขนตาที่ทาบทับกันเริ่มเคลื่อนไหวกระพือน้อยๆ คล้ายกับปีกผีเสื้อที่กำลังจะเริ่มโผบิน ไม่นานนักเปลือกตาก็เริ่มเปิดขึ้นทีละน้อย เผยให้เห็นนัยน์ตาดำสนิทฉ่ำหวานที่กวาดตามองสิ่งแวดล้อมในห้องก่อนจะขยับกายลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า
“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงทุ้มของคนที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างห่างจากเตียงออกไปพอสมควรเอ่ย
เฟิงชิงถิงไม่ได้แสดงความหวาดหวั่นใดๆ ออกมา นางเพียงมองไปตามเสียง จึงเห็นว่ามีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ ท่าทางเกียจคร้านแต่ยังเปี่ยมไปด้วยความยโสเช่นคนชั้นสูง เขาจะเป็นผู้ใดไปได้นอกเสียจาก…
“ท่านคือท่านอ๋องแคว้นเจิ้ง” นางถามพลางขยับไปจับหัวไหล่ด้านที่บาดเจ็บของตนเอง ภายใต้ชุดกระโปรงที่นางสวมใส่มีผ้าพันแผลพันไว้อย่างเรียบร้อย อาการเจ็บที่ควรจะมีก็ลดน้อยลงมาก นั่นแปลว่านางคงจะหมดสติไปหลายวัน แต่ระหว่างนั้นบาดแผลของนางก็ถูกรักษาอย่างดี นางลูบใบหน้าตนเองก็พบว่าหน้ากากของนางถูกลอกออกไปแล้ว พวกเขาเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว
“ส่วนเจ้าก็คือหมอเทวดาที่ข้าตามหา” คนตอบเสียงราบเรียบเช่นเดิม ไม่ขยับลุกจากตั่ง
“หากข้าบอกว่าไม่ใช่ท่านจะเชื่อหรือไม่”
แม้จะรู้ว่าเขาเป็นอ๋องแต่นางก็หาได้เปลี่ยนคำเรียกขานไม่ เพราะนางไม่ใช่คนแคว้นเจิ้ง และเขาเป็นคนที่นางรังเกียจ คนผู้นี้ก็ไม่ได้สนใจคำเรียกขานที่นางใช้เช่นกัน
“หากเจ้ายังไม่ใช่สตรีที่ข้าต้องการตัว เห็นทีข้าคงต้องสังหารเหล่าองครักษ์ทั้งหมดที่ทำงานผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า” สายตาคู่เฉยชามองตรงมายังเฟิงชิงถิง สำรวจนางตั้งแต่ศีรษะไล้ลงไปเรื่อยๆ แววตาคู่นั้นทั้งจาบจ้วงและไร้ซึ่งความสุภาพที่สุภาพชนควรจะมีต่อสตรีนางหนึ่ง แม้เฟิงชิงถิงจะไม่ชอบแววตานั้น แต่นางก็ยังคงแสดงท่าทีเรียบเฉยจ้องเขากลับอย่างไม่หวั่นเกรง แต่สุดท้ายก็ยอมรับในที่สุด
“ใช่ ข้าคือหมอเทวดา แต่ขอบอกกับท่านว่า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรักษาให้ท่าน”
“เพราะเหตุใด” คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ขอให้รู้ว่าไว้ข้าไม่ยินดีรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่าน” ที่นางไม่ยอมรักษาให้เจิ้งหลู่นั้นเพราะว่าเขาคิดจะขืนใจพี่สาวของนาง แล้วจะให้นางรักษาคนที่คิดร้ายกับพี่สาวได้อย่างไรกัน
“เจ้ารู้หรือว่าข้าบาดเจ็บที่ใด” เขาถามพลางครุ่นคิด “หรือเจ้ากำลังคิดเพิ่มค่าให้ตนเอง เอาเป็นว่าหากเจ้ารักษาอาการของข้าให้หายได้ เจ้าต้องการสิ่งใดข้าย่อมหาให้เจ้าได้”
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดทั้งนั้น” เฟิงชิงถิงเอ่ยตัดบท
“เจ้ารู้ว่าข้าคือชินอ๋องแห่งแคว้นเจิ้ง ดังนั้นเจ้าก็คงจะรู้ว่านอกจากฮ่องเต้แคว้นเจิ้งแล้วข้าไม่เป็นสองรองผู้ใด”
“ข้าไม่ต้องการลาภยศหรือเงินทองใดๆ จากท่านทั้งนั้น”
ร่างสูงลุกขึ้นจากตั่ง เดินตรงมาช้าๆ หยุดที่ข้างเตียงหลังใหญ่ เขาเชยคางมนของหญิงสาวขึ้นสบตาพร้อมกับรอยยิ้มที่แปลความหมายไม่ได้ “ไม่ต้องการลาภยศใดๆ จากข้าหรือมีแผนต้องการมากกว่านั้นกันแน่ ข้าให้ตำแหน่งฮองเฮาแคว้นแก่เจ้าไม่ได้ แต่ข้าสามารถให้ตำแหน่งชายาเอกของชินอ๋องแก่เจ้าได้ หากเจ้าต้องการตำแหน่งชายาก็บอกมาตามตรง”
“ข้าไม่สนใจตำแหน่งชายาของท่าน แล้วก็ปล่อยมือสกปรกของท่านออกไปเสีย” เฟิงชิงถิงเบี่ยงใบหน้าออกจากมือเรียวอันเย็นเฉียบ แต่มือนั้นก็รวดเร็วเกินกว่านางจะเบี่ยงหลบได้ เขาเปลี่ยนจากเชยคางนางเป็นบีบคางนางให้หันกลับไปหาเขาอย่างรวดเร็ว แรงบีบนั้นทำให้เฟิงชิงถิงต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ นางไม่ได้ร้องออกมาและไม่คิดจะปัดป้องด้วยรู้ว่าปัดป้องอย่างไรก็คงไม่เป็นผล
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของนาง พร้อมกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความข่มขู่ “หมอเทวดาเฟิง เจ้าก็แค่สตรีนางหนึ่ง หากอยากมีชีวิตรอดต่อไปก็จะทำตามความต้องการข้า รักษาอาการบาดเจ็บของข้าเสีย แล้วข้าจะปล่อยตัวเจ้าไปโดยที่ไม่บุบสลาย”
เฟิงชิงถิงฝืนยิ้มออกมาอย่างยากลำบากเพราะถูกมือใหญ่นั้นบีบคางเอาไว้ “หากข้ายังยืนยันคำเดิมเล่า”
คางที่ถูกบีบเจ็บแปลบขึ้นมามากกว่าเก่า พร้อมกับเสียงทุ้มที่แฝงความอำมหิตเอาไว้ “แล้วเจ้าอยากโดนสิ่งใดก่อนเล่า ทรมาน ขืนใจ ยาพิษ ข้าจะได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าโดยที่เจ้าไม่ต้องร้องขอ”
“อยากทำสิ่งใดก่อนก็เชิญ แต่คำขู่ของท่านยิ่งทำให้ข้ารู้ว่า ข้าคิดถูกแล้วที่ปฏิเสธท่าน” ดวงตาคู่หวานจ้องกลับอย่างไม่หวั่นเกรง
“อยากลิ้มรสความทรมานมากใช่หรือไม่” เขาเค้นเสียงต่ำ มือที่บีบคางนางออกแรงเพิ่มขึ้นจนคางของนางแทบจะหัก แต่นางก็ยังข่มกลั้นความเจ็บนั้นเอาไว้ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เขาได้เห็น ในขณะที่คนทั้งสองต่างจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงคนผู้หนึ่งที่อยู่หน้าประตูก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านอ๋อง ได้เวลาหมอหญิงมาเปลี่ยนผ้าพันแผลและดื่มยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้ไม่ต้องทำ” เจิ้งหลู่บอกเสียงห้วน
“แต่ว่า...”
“ข้าบอกว่าไม่ต้องทำ ก็ไม่ต้องทำอย่างไรเล่า!” เขาสะบัดมือออกจากคางมน หันกลับไปตวาดคนที่อยู่หน้าประตู
ซ่วนจื่อที่ถูกตวาดพร้อมกับแววตาดุร้ายที่จ้องมาก็รีบคุกเข่ายอมรับความผิด “บ่าวผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอท่านอ๋องโปรดอภัย แต่หากหมอเทวดาไม่ได้ดื่มยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตรงเวลา แผลของนางอาจจะอักเสบได้พ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้งหลู่หรือหลู่ชินอ๋อง เดินตรงไปหยุดตรงหน้าซ่วนจื่อที่คุกเข่าอยู่ บอกกับเขาด้วยเสียงเฉยชา “หากเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าก็จงไปเสีย ไม่ต้องติดตามข้าอีกต่อไป”
ซ่วนจื่อได้ยินเช่นนั้นก็โขกศีรษะเสียงหลายต่อหลายครั้ง “บ่าวผิดไปแล้วๆ ขอท่านอ๋องทรงอภัย”
“หมอเทวดาเฟิง ข้าให้เวลาเจ้าตัดสินใจห้าวัน หากเจ้ายังดื้อดึง ไม่ยอมรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า ก็อย่าคิดว่าข้าจะใช้ไม้อ่อนกับเจ้าให้เสียเวลา” เจิ้งหลู่หันไปบอกกับเฟิงชิงถิง ก่อนจะถีบร่างซ่วนจื่อที่ขวางอยู่หน้าประตูออกให้พ้นทางแล้วเดินออกไปด้วยโทสะที่ยังไม่เหือดหาย
ซ่วนจื่อที่ถูกถีบนั้นเด้งตัวกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โขกศีรษะให้คนที่เพิ่งเดินจากไป จนร่างสูงลับตาไปแล้วจึงหยุดโขก เขาลุกขึ้นมาด้วยท่าทีปกติ เดินเข้ามาในห้องมองเฟิงชิงถิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร เห็นหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ก็รีบไปปิดให้พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ
“ที่จริงท่านอ๋องไม่ได้ทรงกราดเกรี้ยวเช่นนี้บ่อยนัก แต่เป็นเพราะแม่นางทำให้ท่านอ๋องโกรธ ทรงไม่ชอบคนที่แข็งข้อ ยิ่งกับสตรีด้วยแล้ว ทรงชอบสตรีที่อ่อนหวาน หากแม่นางอ่อนหวานว่าง่ายกับท่านอ๋องหน่อย ท่านก็จะไม่เจ็บตัวเช่นนี้”
ซ่วนจื่อเดินกลับมาที่เตียง ใช้ตะเกียงส่องที่คางมนของนางแล้วก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “พรุ่งนี้คงช้ำ”
เฟิงชิงถิงเอนตัวหนีแสงตะเกียงไปด้วยท่าทีไม่ไว้ใจนัก แต่คนผู้นั้นกลับไม่สนใจท่าทีของนาง “ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่าหยางซ่วนจื่อ เป็นขันทีคนสนิทของท่านอ๋อง เรียกข้าว่าซ่วนจื่อก็ได้ ส่วนท่านข้ารู้แล้วว่าคือหมอเทวดาเฟิง นามว่าชิงถิง” เขายิ้มใสซื่อให้นางอีกครั้งอย่างเป็นมิตร
รอยยิ้มของซ่วนจื่อทำลายปราการของเฟิงชิงถิงได้อย่างง่ายดาย นางผ่านคนมามาก พอจะรู้บ้างว่ารอยยิ้มใดจริงใจ รอยยิ้มใดไม่จริงใจ นางเลิกระแวงเขา เลื่อนสายตาไปมองรอบห้องใหม่อีกครั้ง
“ข้านอนมานานกี่วันแล้ว ที่นี่คือที่ใด”
“วันนี้ก็วันที่สี่แล้ว ตอนนี้เราพักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ด่านชายแดนแคว้นเจิ้ง พรุ่งนี้ยังต้องออกเดินทางต่อ ท่านอ๋องสั่งแค่ไม่ให้ท่านเปลี่ยนผ้าพันแผลและดื่มยา แต่ไม่ได้ห้ามกินอาหาร ยามนี้แม่นางคงหิวแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปสั่งคนทำน้ำแกงมาให้ โปรดรอสักครู่” เขาเหน็บผ้าห่มให้นางก่อนจะรีบออกจากห้องไป
หลังจากซ่วนจื่อออกจากห้องไปแล้ว เฟิงชิงถิงก็สำรวจตนเอง ของใช้ของนางนั้นไม่ได้อยู่กับตัวนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่กระบอกเข็มนั้นนางพกติดตัวตลอดแต่ยามนี้กลับไม่พบ
เฟิงชิงถิงก็เริ่มร้อนใจที่กระบอกเข็มของตนไม่อยู่ แต่ก็ถอนใจออกมาด้วยคาดว่าคนพวกนั้นไม่ทิ้งของๆ นางแน่ เพราะเข็มเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาดังนั้นคงมีผู้ใดเก็บไว้ เมื่อเบาใจเรื่องกระบอกเข็มแล้วเฟิงชิงถิงก็เริ่มเหม่อลอยไปถึงเรื่องอื่น
สี่วันแล้วหรือที่นางจากสือซานเหลียงมา ยามนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ภาพครั้งสุดท้ายก่อนที่นางจะหมดสติไปคือตอนที่เขากอดร่างนางเอาไว้ แววตาในตอนนั้นของเขายังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของนาง แค่ภาพนั้นปรากฏขึ้นมา หัวใจของนางก็คล้ายมีบางอย่างบีบรัดจนเจ็บปวด เขาจะเป็นอะไรหรือไม่ เขาหนีเหล่าชาวยุทธ์พ้นหรือไม่ เขาจะเสียใจหรือไม่ที่ไม่มีนางข้างกาย เขาจะบ้าคลั่งหรือที่ไม่มีนางอยู่ด้วย
เฟิงชิงถิงคิดไปพร้อมกับหัวใจที่บีบรัด ความเศร้าใจเข้ามาปกคลุมจิตใจของนาง ไม่ต่างกับตอนที่ท่านปู่จากนางไปใหม่ๆ ใจของนางจะเจ็บปวดและรู้สึกว่างเปล่าอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การจากเขามามีผลเช่นนี้ต่อนางนี่เอง แล้วเขาเล่า นอกจากบ้าคลั่งแล้วเขาจะรู้สึกสิ่งใดกับนางหรือไม่ นางไม่อาจจะรู้ได้
เฟิงชิงถิงใช้หัวไหล่ข้างที่ไม่เจ็บพิงหัวเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งที่นางเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาแท้ๆ แต่นางกลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด
“สือซานเหลียง” นางเรียกชื่อเขาเพื่อให้หัวใจที่บีบรัดคลายความเจ็บปวดขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนล้า...
“ฮูหยิน!” สือซานเหลียงลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งคว้าอากาศอย่างร้อนรน คล้ายกับสิ่งสำคัญที่สูญหายไปกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็พบแต่ความว่างเปล่า
สือซานเหลียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเพิ่งกลับมาจากห้องฝึกยุทธ์เพื่อโคจรลมปราณที่กลับมาเป็นปกติให้คล่องขึ้นและรักษาอาการบาดเจ็บภายในไปในตัว เมื่อใช้เวลาสองชั่วยามในการโคจรลมปราณสือซานเหลียงก็กลับมาที่ห้องหนังสือ นั่งพักสายตาครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหวานอันคุ้นเคย แต่ไม่คิดว่าเป็นเขาที่หูแว่วไปเอง
“ท่านประมุข ได้เวลาดื่มยาแล้วขอรับ” ถานเฟิงที่อยู่นอกประตูห้องหนังสือบอก
“อืม” เสียงที่บอกนั้นบ่งบอกว่าอารมณ์ของเขาไม่ดีเท่าใดนัก
ผีสือเข้ามาพร้อมกับชามยาใบใหญ่ สือซานเหลียงรับชามยาที่ยังมีควันลอยกรุ่นยกขึ้นดื่มในคราเดียวก่อนจะคืนผีสือไป มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ก่อนจะถามเสียงห้วน
“มีข่าวเรื่องใดบ้าง”
“เรียนท่านประมุข ยามนี้คนแคว้นเจิ้งที่จับตัวฮูหยิน เดินทางข้ามแดนไปยังแคว้นเจิ้งแล้วขอรับ”
ดวงตาคู่ดุดันที่เมื่อครู่มองออกไปนอกหน้าต่างตวัดกลับมามองคนตรงหน้า แววตามีประกายไฟวาวโรจน์แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ผีสือจึงเอ่ยต่อ “แม้ฮูหยินจะบาดเจ็บแต่ดูแล้วนางคงได้รับการรักษาอย่างดี เพราะจากที่สืบมาในคณะเดินทางนั้นมีหมอหญิงเดินทางไปด้วย ท่านประมุขไม่ต้องเป็นห่วง”
“เมื่อใดข้าจึงจะออกไปตามตัวนางได้”
แม้คำถามจะดูคล้ายขอความเห็น แต่แววตาที่ข่มขู่นั้นกลับบอกว่า “หากเจ้าตอบไม่ดี ก็เตรียมตัวตายได้เลย”
แต่ผีสือผู้ที่รับใช้สือซานเหลียงมานานเป็นสิบปีหรือจะหวาดกลัวกับแววตาข่มขู่นั้น ขนาดเขาเป็นคนสั่งให้คนล่ามโซ่ท่านประมุขเขายังรอดมาได้ นับประสาอะไรแค่เรื่องเล็กน้อย
“หากท่านประมุขสัญญาว่าจะไม่ใช้แรงและลมปราณหักโหมจนร่างกายบอบช้ำ และไม่เร่งเดินทางมากจนเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อน พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางได้ขอรับ” ย่อมต้องตอบรักษาตัวเองรอดไว้ก่อน
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ออกเดินทาง” สือซานเหลียงบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่กดดันเท่าเมื่อครู่
“ไม่ได้นะ ท่านประมุข ท่านจะออกไปตามฮูหยินในยามนี้ไม่ได้” ถานเฟิงเปิดประตูเข้ามาห้ามอย่างร้อนใจ หันไปถลึงตาใส่สหาย “ผีสือ ท่านประมุขยังบาดเจ็บอยู่ หากออกไปยามนี้ไม่เท่ากับไปเป็นเป้าให้ชาวยุทธ์โจมตีหรือไร ไม่สู้รออีกสิบวัน สิบห้าวัน ให้อาการบาดเจ็บภายในของท่านประมุขหายดีแล้วค่อยออกเดินทางไม่ดีกว่าหรือ”
ผีสือหันไปมองถานเฟิงด้วยสายตาไม่พอใจ เพราะเรื่องโซ่นั่นทำให้เขาเกือบโดนโซ่รัดคอตาย ดีที่ใช้วาจาอันหนักแน่นว่าทำไปด้วยความภักดีจึงได้รอดมาได้ ส่วนถานเฟิงนั่นหรือ ใช้ข้ออ้างเรื่องสืบข่าวหนีออกไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ต้องรับแรงกดดันใดๆ ยามนี้อย่างไรเขาก็ต้องทำให้ท่านประมุขหายเคืองเขาเสียก่อน ไม่เช่นนั้น เขาคงต้องถูกท่านประมุขล้างแค้นย้อนหลังเป็นแน่
“จากเหตุการณ์ที่ชาวยุทธ์บุกไปยังที่หลบซ่อนของเราคราที่แล้ว มีชาวยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่บาดเจ็บและล้มตาย คาดว่ายามนี้คงต้องใช้เวลารักษาตัวกันอีกสักพักใหญ่ อีกทั้งยามนี้ข้ามีสิ่งนี้อีกด้วย” ผีสือนำของบางอย่างออกมาจากอกเสื้อออกมาให้ถานเฟิงดู
“หน้ากากแปลงโฉม” ถานเฟิงสำรวจหน้ากากแปลงโฉมในมือของผีสือด้วยความสนใจ
ผีสือพยักหน้าอย่างภูมิใจ “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันฮูหยินสอนวิธีการทำหน้ากากแปลงโฉมให้ข้า ข้าลองทำดู แม้จะไม่แนบเนียนเหมือนฮูหยิน แต่คนทั่วไปก็จับผิดได้ยาก ด้วยสิ่งนี้ไม่มีผู้ใดจำท่านประมุขได้”
“เช่นนี้ข้าก็เบาใจ” ถานเฟิงบอก
“แล้วเรื่องจ้าวเหมยกุ้ยเล่า” สือซานเหลียงมองทูตซ้ายและขวาก่อนจะหันไปมองทางอื่น
ทั้งถานเฟิงและผีสือได้ยินชื่อนี้ต่างคุกเข่าประสานมือ “ท่านประมุขโปรดลงโทษ เป็นข้าเองที่ไว้ใจจ้าวเหมยกุ้ยมากจนเกินไป” ถานเฟิงเอ่ย
“จับตัวนางมาได้หรือยัง” สือซานเหลียงไม่เอ่ยเรื่องความผิด
“นางคงเห็นความน่ากลัวของพรรคเราแล้ว ยามนี้จึงเอาแต่หนีอย่างเดียว” ถานเฟิงตอบ
“ทำลายพรรคบุปผารัญจวนเสีย จับตัวนางมาให้ได้ ข้าจะให้นางรู้ว่าการอยู่ไม่สู้ตายมันเป็นอย่างไร” ใบหน้าของสือซานเหลียงดุร้ายขึ้นหลายส่วนเมื่อเอ่ยถึงจ้าวเหมยกุ้ย
“ว่าแต่ท่านประมุขจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ขอรับ” ถานเฟิงถาม
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” สือซานเหลียงยิ้มให้คนทั้งสอง แต่รอยยิ้มนั้นกลับชั่วร้ายอย่างน่าประหลาด
“แล้วแม่นางเฟิง เอ่อ...ฮูหยิน นางกับท่าน...” ถานเฟิงถามไม่เต็มปากนัก
“นางคือฮูหยินของข้า” สือซานเหลียงไม่เอ่ยให้มากความ ก่อนจะสั่งการต่อ “ไปเตรียมคนของเราเอาไว้ พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทาง”
“ขอรับท่านประมุข” คนทั้งสองรับคำ
“ท่านประมุขอาการบาดเจ็บภายในของท่านยังไม่หายดี ไม่สามารถหักโหมร่างกายได้” ผีสือเตือนอีกครั้ง
“ข้ารู้แล้ว” สือซานเหลียงบอกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะโบกมือให้คนทั้งสองออกไป
หลังจากถานเฟิงและผีสือออกไปแล้ว สือซานเหลียงก็นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเขาก็กระวนกระวายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สาเหตุของความกระวนกระวายใจนั้น ยามที่ลมปราณตีกลับเขาไม่รู้สาเหตุ แต่ยามนี้เขารู้แล้ว สาเหตุที่เขากระวนกระวายใจเพราะไม่มีเฟิงชิงถิงอยู่ข้างกาย นางคือยาที่ทำให้จิตใจของเขาสงบ หากไม่มีนางคงไม่มีวันใดที่จิตใจของเขาจะสงบลงได้อีกแล้ว
สือซานเหลียงมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งที่เพิ่งจะเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงไปไม่นาน แต่หิมะแรกกลับโปรยปรายลงมาไวกว่าปกติ หิมะเกร็ดหนึ่งปลิวเข้ามาในห้องร่วงหล่นลงมาที่มือของเขา เกร็ดหิมะส่องประกายอยู่ชั่วครู่ก่อนจะละลายกลายเป็นน้ำหยดเล็กอยู่บนฝ่ามือใหญ่ ไม่นานหยดน้ำหยดเล็กก็กลายเป็นไอหายไปจากฝ่ามือของเขา
สตรีนางนั้นก็ไม่ต่างกับหิมะสักเท่าใด นางสวยงามและบริสุทธิ์ จิตใจที่ดีงามของนางก็ไม่ต่างกับหิมะยามละลาย นางแทรกซึมเข้าสู่หัวใจเขาทีละน้อย นางมาอยู่ในมือเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็หายไปทั้งที่อยู่ในสายตาของเขาแท้ๆ
ดวงตาคู่คมกล้ามองมือที่ว่างเปล่าก่อนจะกำมือตนแน่นขึ้นพร้อมกับสายตาที่มุ่งมาด หากเป็นเกล็ดหิมะเขายอมให้มันละลายได้ แต่กับสตรีนามว่าเฟิงชิงถิง เขาจะไม่ยอมให้นางหายไปเช่นหิมะเกล็ดเมื่อครู่เป็นอันขาด เขาจะไม่ยอมให้นางละลายหายไปต่อหน้า เขาจะต้องพานางกลับมาอยู่ในสายตาของเขา อยู่เคียงข้างไปกับเขาตลอดไป...
หลังจากผ่านเหตุการณ์ชาวยุทธ์ฝ่ายคุณธรรมบุกไปสังหารประมุขพรรคมารล้มเหลว เหล่าชาวยุทธ์ไม่น้อยที่บาดเจ็บจนต้องพักรักษาตัวอยู่แต่ในโรงเตี๊ยม แต่วันนี้เป็นวันสำคัญพวกเขาจึงยอมออกมาจากห้องพักตั้งแต่เวลาสายเพื่อเดินทางไปยังบ้านหลังหนึ่ง เพื่อทักทายคนที่เพิ่งจะเดินทางมาถึง
“ท่านเจ้าสำนักไป๋” เหล่าชาวยุทธ์ต่างเอ่ยทักผู้มาใหม่พร้อมเพรียงกัน
บุรุษในชุดขาวที่เพิ่งเดินเข้าประตูบ้านมาพร้อมกับบุรุษข้างกายอีกสองคนคือไป๋อวิ๋นเจ้าสำนักเมฆาขาวนั่นเอง
ไป๋อวิ๋นมองเหล่าชาวยุทธ์ด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม ด้วยท่วงท่าที่สง่างามผึ่งผายและสีหน้าสุขุมแต่มีรอยยิ้มอารีอีกทั้งยังมีฝีมือวรยุทธ์ที่ล้ำลึก ทำให้เหล่าคนในยุทธภพต่างเลื่อมใสเขาไม่น้อย
“เกรงใจพวกท่านเกินไปแล้ว ข้าแค่เดินทางมาถึงพวกเหตุใดจึงออกมาต้อนรับกันอย่างเอิกเกริกเช่นนี้” ไป๋อวี๋เจ้าสำนักเมฆาขาว ประสานมือให้เหล่าชาวยุทธ์ที่มาต้อนรับด้วยความเกรงใจ
“ท่านอาจารย์” ศิษย์สำนักเมฆาขาวที่เพิ่งเข้ามาต่างเรียงแถวคาราวะไป๋อวิ๋นอย่างพร้อมเพรียง
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องการให้มีการต้อนรับเอิกเกริก แต่ดูพวกเจ้าสิ” ไป๋อวิ๋นตำหนิคนในสำนักอย่างไม่จริงจังนัก เขามองไปที่เหล่าชาวยุทธ์บาดเจ็บพลางเอ่ยถาม “เกิดเรื่องใดขึ้น เหตุใดพวกท่านถึงบาดเจ็บเช่นนี้”
“จะเป็นเพราะผู้ใดไปได้เล่าหากไม่ใช่เพราะคนพรรคโลหิตอัคคี การปะทะกันคราที่แล้วชาวยุทธ์บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย ท่านเจ้าสำนักไป๋มาก็ดีแล้ว ขาดท่านไปก็เหมือนขาดเสาหลักยุทธ์ภพ ลงมือกับคนพรรคโลหิตอัคคีคราใดไม่เคยสำเร็จ ครานี้มีเจ้าสำนักไป๋อยู่ด้วยพวกเราต้องกำจัดมารยุทธภพสำเร็จเป็นแน่” ชาวยุทธ์คนหนึ่งเอ่ย คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าเห็นพ้อง
“ถูกต้อง หากครั้งนี้มีเจ้าสำนักไป๋เป็นผู้นำ พวกเราต้องชนะเป็นแน่” ชาวยุทธ์อีกคนหนึ่งพูด
“พวกท่านก็เยินยอเกินไป ข้าก็แค่ชาวยุทธ์คนหนึ่งในยุทธภพ หาใช่เสาหลักในยุทธภพอย่างที่ท่านเอ่ยไม่” ไป๋อวิ๋นบอก
“ยามนี้ยุทธภพยังขาดผู้นำ หากเสร็จภารกิจทำลายพรรคมารอย่างพรรคโลหิตอัคคีไปได้ ตำแหน่งเจ้ายุทธภพพวกเราคงต้องยกให้ท่านแล้ว”
“ใช่ๆ” ชาวยุทธ์ต่างเห็นดีไปด้วย
“อนาคตอาจจะมีผู้ที่เหมาะสมกว่าข้าก็เป็นได้” ไป๋อวิ๋นมีสีหน้าลำบากใจ
“จะมีผู้ใดเหมาะไปกว่าท่านเจ้าสำนักไป๋อีกเล่า”
“ใช่ๆ”
“ขอบคุณพวกท่านที่สนับสนุน เรื่องนี้ยังอีกนาน เช่นนั้นก็รอให้เราจัดการกับเรื่องพรรคโลหิตอัคคีให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด ดังนั้นพวกท่านต้องรักษาตัวให้หายโดยเร็วเพื่อที่เราจะได้กำจัดประมุขพรรคมารผู้นั้น”
“ได้ๆ ท่านเจ้าสำนักก็คงเดินทางมาเหนื่อยเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราไม่รบกวนแล้ว”
ไป๋อวิ๋นยืนส่งจนชาวยุทธ์จนคนสุดท้ายจากไป หลังจากนั้นเขาจึงเข้าไปนั่งพักที่ห้องโถง
“น้ำชาขอรับอาจารย์” หยวนถังเป็นผู้ยกน้ำชามาให้ ไป๋อวิ๋นรับไว้ก่อนจะถาม
“ไป๋มู่เล่า”
“ออกไปหาข่าวเรื่องพรรคโลหิตอัคคีขอรับ”
“อืม” ไป๋อวิ๋นพยักหน้า “คนของเราบาดเจ็บมากหรือไม่”
“เอาการอยู่ขอรับ แต่โชคดีไม่สาหัสถึงแก่ชีวิต”
“ดีแล้ว พวกเขาเหนื่อยมามาก ให้พวกเขาพักผ่อนมากๆ ไม่ต้องมาคารวะอาจารย์ รักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วว่ากัน” ไป๋อวิ๋นบอกก่อนจะจิบน้ำชา
“แล้วเรื่องปราบพรรคมารเล่าขอรับ”
“ขอเพียงรู้ว่าสือซานเหลียงอยู่ที่ใด ครานี้ต้องไม่พลาดแน่ เพราะก่อนที่อาจารย์จะมาได้สั่งให้คนส่งเทียบเชิญสามสำนักใหญ่แล้ว คาดว่าอีกไม่นาน ไต้ซือม่อฝ่าแห่งเส้าหลิน ฝานเยียนฉีจากบู๊ตึ๊ง ม่ออานหลู่จากสำนักฝ่ามือเหล็ก แม้แต่คนตระกูลมู่หรงที่ทำคุณูประการให้แก่ต้าหลวนข้าก็ส่งเทียบเชิญไปแล้ว เหล่าอาจารย์ของพวกเจ้าหลังจากจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเสร็จก็จะรีบตามมาเช่นกัน คาดว่าอีกไม่นานก็มาถึง ถึงยามนั้น ต่อให้มีสิบสือซานเหลียงพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเราแน่นอน” ไป๋อวี๋บอกอย่างมาดมั่น
“เช่นนั้นก็ดีขอรับ ศิษย์จะไปแจ้งเรื่องนี้ให้เหล่าศิษย์น้องในสำนักของเรา” หยวนถังเอ่ยอย่างยินดี
“ไปเถิด” ไป๋อวิ๋นพยักหน้า
หลังจากได้รับคำอนุญาตจากไป๋อวิ๋น หยวนถังก็รีบออกไปบอกข่าวดีแก่เหล่าศิษย์น้อง ปล่อยให้ไป๋อวิ๋นนั่งจิบน้ำชาไปมองดูสิ่งแวดล้อมในบ้านด้วยความพอใจโดยไม่รู้ว่า บ้านหลังนี้ถูกซื้อมาด้วยราคาแพงลิบที่ไป๋อวิ๋นเองก็คาดไม่ถึง
ในวันต่อมา ด้านสือซานเหลียงนั้น เมื่อได้ขึ้นม้าแล้วเขาก็ไม่สนใจสิ่งใด ควบม้าห้อตะบึงออกจากบ้านพักที่เป็นที่หลบซ่อนออกไปอย่างรวดเร็ว ลำบากเหล่าผู้คุ้มกัน ถานเฟิงและผีสือที่ต้องรีบควบม้าตามไปติดๆ
ทั้งที่เตือนแล้วว่าท่านประมุขจะหักโหมร่างกายไม่ได้เพราะยังบาดเจ็บภายในไม่หาย แต่สือซานเหลียงหาได้ฟังไม่ เขาควบม้ามุ่งหน้าไปยังด่านชายแดนต้าหลวนจนแทบจะไม่ได้พัก เวลาพักเดียวคือช่วงเวลากินอาหารและยา และเพื่อให้ม้าพักเหนื่อยและกินหญ้าในตัว แม้ถานเฟิงและผีสือจะทัดทานอย่างไร ท่านประมุขก็หาได้ฟังไม่ เขาบอกเพียงว่าร่างกายของเขาไม่ได้บอบบางเพียงนั้น แล้วก็ควบม้าเร่งเดินทางต่อไป
ด้วยหน้ากากแปลงโฉมสือซานเหลียงจึงไม่ถูกชาวยุทธ์ฝ่ายคุณธรรมสังเกตเห็น การเดินทางเป็นไปได้อย่างสะดวก เพียงสามวันเท่านั้น กลุ่มของสือซานเหลียงก็สามารถตามคณะเดินทางของเจิ้งหลู่ได้ทัน
“คณะเดินทางของสารเลวแคว้นเจิ้งนั่นเดินทางถึงไหนแล้ว” สือซานเหลียงถามกับสายที่ทำหน้าที่คอยติดตามคณะเดินทางของเจิ้งหลู่อย่างลับๆ ทันทีที่คนผู้นั้นเข้ามาคารวะ
“เรียนท่านประมุข อีกสี่ลี้มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ยามนี้พวกเขากำลังพักรถม้าเพื่อกินอาหารเที่ยงขอรับ”
“ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง” เขามองไปยังทิศที่คนของเขารายงาน ดวงตาคมกล้าคล้ายดั่งมีประกายไฟลุกโชน
“ปลอดภัยดีขอรับ”
“อาการบาดเจ็บของนางเป็นอย่างไรบ้าง”
“มีหมอหญิงคอยมาดูอาการทุกวันขอรับ แต่ว่า...” สายข่าวเริ่มอ้ำๆ อึ้งๆ
“มีสิ่งใดก็บอกมาให้หมด” เสียงของสือซานเหลียงเริ่มต่ำลงเรื่อยๆ คล้ายกำลังข่มอารมณ์ใดสักอย่างอยู่
“เหมือนคนแคว้นเจิ้งจะตั้งใจทรมานฮูหยิน นี่ก็เป็นวันที่สามแล้วที่นางไม่ได้กินอาหารขอรับ” เพื่อไม่ให้คนของเจิ้งหลู่จับได้ เขาจึงแค่คอยสอดแนมอยู่ไกลๆ แต่เท่าที่เห็นคือนอกจากหมอหญิงที่ถือชามยาแล้วเข้าไปในรถม้าของฮูหยินแล้ว สามวันมาแล้วที่เขาไม่เห็นคนส่งอาหารเข้าไปในรถม้าของฮูหยิน
สือซานเหลียงสูดหายใจเข้าปอด หน้าอกสะท้อนขึ้นลงรุนแรงตามโทสะที่เริ่มไต่สูงขึ้น เขาเค้นเสียงรอดไรฟันออกมาคำหนึ่ง “สวะ!”
ผีสือที่อยู่ด้านหลังรีบก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง “ท่านประมุขหากท่านโมโหมากจะทำให้กระเทือนถึงภายในจนกระอักเลือดได้ โปรดระงับอารมณ์ด้วย”
สือซานเหลียงตวัดสายตาอันดุร้ายไปมองผีสือ ผีสือแค่ยิ้มรับ ใบหน้าคมคายแต่ดุดันจึงหันกลับไปยังสายข่าวคนเดิม “แล้วอย่างไรต่อ”
“คนของเรารายงานว่ามีทหารหนึ่งกองร้อยเพิ่งจะเคลื่อนทัพมาเพื่ออารักขาอ๋องผู้นั้นกลับเมืองหลวงเจิ้ง คำนวณจากการเดินทางแล้ว เย็นนี้ทหารพวกนั้นน่าจะพักกองอยู่ไม่ห่างหมูบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งห่างจากที่นี่ไปประมาณห้าสิบลี้ พรุ่งนี้เคลื่อนทัพอีกไม่นานก็คงสมทบกับคณะเดินทางของอ๋องผู้นั้น”
“ท่านประมุข” ถานเฟิงได้ยินก็เกรงว่าท่านประมุขจะใจร้อนรีบไปชิงตัวฮูหยิน แม้ยามนี้ดูเหมือนเป็นโอกาสดีเพราะคณะเดินทางของเจิ้งหลู่นั้นยังมีองครักษ์คุ้มครองไม่เท่าใด ง่ายต่อการชิงตัวฮูหยิน แต่เรื่องจากนั้นเล่า...
ท่านประมุขยังบาดเจ็บไม่หาย ฮูหยินเองก็บาดเจ็บ ชิงตัวฮูหยินมาได้ ไม่แคล้วก็ต้องถูกทหารแคว้นเจิ้งหนึ่งกองร้อยนั้นตามล่า ทั้งท่านประมุขทั้งฮูหยินร่างกายไม่พร้อมทั้งคู่ ส่วนคนของเขาแม้ยามนี้ลมปราณจะกลับมามากแล้วแต่ก็ไม่เต็มที่ ดังนั้นการชิงตัวฮูหยินในยามนี้แม้จะเป็นโอกาสที่ดี แต่คาดว่าคงหนีรอดไปได้ไม่นาน ชาวยุทธ์ที่รอสะสางอยู่ที่ต้าหลวนอีกเล่า
กรามแกร่งของสือซานเหลียงขบกันแน่น แม้ยามนี้เขาจะเป็นห่วงสตรีในดวงใจมากเพียงไร แต่เขาก็ไม่อาจคิดสั้นเอาแต่ใจพาคนทั้งพรรคไปตายได้ นิ่งงันอยู่ครู่จึงถามต่อ
“นายกองที่คุมทหารมาอารักขาไอ้สารเลวนั่น คือผู้ใด”
สายของเขาครุ่นคิดเล็กน้อย “น่าจะมีนามว่า เฮ่ออาตัน ขอรับ”
“เฮ่ออาตัน?” สือซานเหลียงทวนคำ
ถานเฟิงทบทวนนามนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เฮ่ออาตันเป็นบุตรคนรองของ เฮ่อปาตัวแห่งเผ่าอุยเฉา แปดปีที่แล้วเขาถูกส่งไปเป็นบรรณาธิการให้คนแคว้นเจิ้งเพื่อแสดงความภักดีที่เผ่าอุยเฉามีให้แก่แคว้นเจิ้งขอรับ เขาถูกส่งตัวมาตั้งแต่อายุสิบสองปียามนี้ก็ยี่สิบปีพอดี”
“ถึงแม้จะถูกส่งมาเป็นบรรณาการแต่เฮ่ออาตันก็หาใช่ลูกเสือไร้เขี้ยว แม้จะถูกคนแคว้นเจิ้งเยาะเย้ยถากถางอีกทั้งยังโดนรังแกไม่น้อย แต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่เรี่ยวแรงที่มีมากเขาจึงสามารถข้ามขั้นจากพลทหารไปเป็นหัวหมู่เมื่ออยู่ในสนามรบ เคยทำผลงานจนได้เลื่อนขั้นเป็นรองแม่ทัพ แต่ด้วยท่าทีโอหังไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา หลายปีมานี้ยศของเขาจึงขึ้นๆ ลงๆ ตอนนี้มีตำแหน่งแค่หัวหน้ากองร้อยขอรับ”
“เจ้าเคยเห็นรูปร่างหน้าตาเขาหรือไม่” สือซานเหลียงเริ่มคิดสิ่งใดได้
“เมื่อสิบปีก่อนตอนที่ลาพักไปท่องเที่ยว ข้าเคยเจอเขาที่เผ่าอุยเฉา ตอนนั้นเขาเพิ่งสิบขวบจึงคาดคะแนรูปร่างเขาไม่ได้ แต่คนเผ่าอุยเฉามักมีรูปร่างสูงใหญ่ รวมถึงข่าวลือที่ได้ยิน ดังนั้นเรื่องรูปร่างเฮ่ออาตันก็คงสูงใหญ่ไม่น้อย”
เอ่ยถึงตรงนี้ถานเฟิงที่อยู่ข้างกายสือซานเหลียงมานานก็เริ่มจับเค้าลางได้ว่าท่านประมุขต้องการสิ่งใด “ท่านประมุขหรือว่าท่านคิดจะ...”
“เห็นทีข้าคงต้องไปดูหน้าเฮออาตันสักคราเสียแล้ว” มุมปากของสือซานเหลียงโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางผีสือเพื่อสั่งการ “ผีสือ เจ้าล่วงหน้าไปก่อน อย่างไรก็ต้องเห็นหน้าเฮาอาตันผู้นั้นให้ได้ก่อนพลบค่ำ”
หลังจากรับคำสั่งจากสือซานเหลียงผีสือก็ทิ้งม้า ใช้วิชาตัวเบามุ่งไปยังทิศที่เหล่าทหารเจิ้งอยู่อย่างรวดเร็ว ส่วนสือซานเหลียงและคนอื่นๆ ก็ชักม้าเปลี่ยนจากเส้นทางหลักเป็นเส้นทางรองเพื่ออ้อมคณะเดินทางของเจิ้งหลู่ไปยังทัพทหารเจิ้งแทน
เย็นวันนั้นทหารที่ส่งมาอารักขาเจิ้งหลู่ก็พักค้างแรมอยู่ใกล้กับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งตามที่สายข่าวบอกเอาไว้ ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น จวบจนใกล้รุ่งสางก่อนจะเรียกรวมพลไม่นาน เฮ่ออาตันที่กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่กลับถูกชายชุดดำกลุ่มหนึ่งลอบทำร้าย
เสียงการต่อสู้ทำให้ทหารนายอื่นรีบฉวยดาบแล้ววิ่งมาคุ้มกันนายกอง แต่เมื่อมาถึงก็เห็นหัวหน้ากองยืนนิ่งบอกกับเหล่าทหารว่า คนชุดดำพวกนั้นรู้ว่าสู้ไม่ไหวจึงหนีไปแล้ว ยามนี้ไม่มีเรื่องใดแล้วให้ทุกคนต่างแยกย้าย เหล่าทหารแปลกใจไม่น้อยจึงถามว่ารู้หรือไม่ว่าเป็นกลุ่มใด และมีเป้าหมายใด เฮ่ออาตันได้แต่ส่ายหน้าจนใจ คิดอยู่นานก็คิดไม่ออก สุดท้ายจึงบอกให้ทุกคนคอยระวังตัวเอาไว้ เพราะอาจจะถูกคนในที่มืดโจมตีเอาได้ก่อนจะเรียกรวมพลเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปสมทบกับเจิ้งหลู่
--------------------------------------------
มาแล้วนะคะ
ตอบคำถามคร่าวๆ นะคะ ว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด นิยายน่าจะทันงานหนังสือพอดีค่ะ
ส่วนอีบุ๊คน่าจะหลังจากนั้นประมาณเดือนหนึ่งหรือสองเดือนค่ะ
ส่วนเนื้อเรื่องนะจะลงตอนนี้กับตอนหน้าแล้วก็กลับไปปั่นต่อสั่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ค่ะ
ถึงตอนนี้ก็ยังเขียนไม่จบเลย แต่จะพยายามให้ทันงานหนักสือค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอดนะคะ
--------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไปให้ไว ช่วยให้ได้ สามี 55555
อาเหลียงจะไปช่วยหมั่นโถวแล้ว รอคร่า
คำว่า มุข
หายนะคะ
โจทก์พี่ใหญ่สือนี่เยอะจริง นึกถึงตอนเผชิญหน้ากัน คงตึงมือน่าดูเชียว
ว่าแต่ตระกูลมู่หรงที่สำนักเมฆาขาวเชิญมานี่จะใช่บ้านน้องเขยหรือเปล่าน่อ ไม่ต้องสปอยล์ก็ได้ค่ะ แต่ถ้ามาเป็นนักแสดงรับเชิญแก้คิดถึงคงดีไม่น้อย