ตอนที่ 25 : ตอนที่ 24(100%)
ก่อนหน้านี้เพราะสือซานเหลียงลอกหน้ากากแปลงโฉมชิ้นสุดท้ายของเฟิงชิงถิงไปเล่น นางจึงใช้ช่วงเวลาว่างทำหน้ากากแปลงโฉมขึ้นมาใหม่ อีกทั้งสือซานเหลียงก็ไม่มีหนวดเคราแล้ว เฟิงชิงถิงจึงทำหน้ากากให้เขาด้วย โดยไม่คาดคิดว่านางจะนำออกมาใช้รวดเร็วเช่นนี้
หลังจากกลับไปที่เรือนพัก นอกจากเก็บของใช้จำเป็นแล้วเฟิงชิงถิงก็รีบแปลงโฉมให้สือซานเหลียงและตัวนางเองเพื่อง่ายต่อการหลบหนี โดยครั้งนี้นางแปลงโฉมเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง
“ฮูหยิน ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่” ผีสืออยู่ด้านนอกห้องถาม
หลังจากได้ยินคำอนุญาตของเฟิงชิงถิง ผีสือก็ผลักประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน ขณะนั้นเฟิงชิงถิงที่กำลังมัดผ้าที่มวยผม มองความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนจะหันไปทางผีสือ
“ฮูหยิน” เขาจะเข้ามาถามว่าเก็บของเสร็จแล้วหรือไม่ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อในห้องนอนนั้นมีบุรุษแปลกหน้าอยู่สองคน
คนหนึ่งเป็นชายร่างใหญ่นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง กำลังมองหนุ่มน้อยที่ยืนสำรวจตอนเองอยู่หน้ากระจกด้วยแววตาเลื่อนลอย
“ข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว” เสียงหวานใสที่คุ้นเคยที่ออกมาจากปากหยักลึกของเด็กหนุ่มทำให้ผีสือเข้าใจในทันที หันไปมองชายร่างใหญ่อีกครั้ง แล้วก็นึกสิ่งใดได้
“จำได้ว่าคราก่อนฮูหยินได้แปลงโฉมชาวยุทธ์สองคนให้กลายเป็นท่านประมุข หากวันนี้ข้าอยากให้ท่านแปลงโฉมคนของเราสักคนเป็นท่านประมุขจะได้หรือไม่”
“ย่อมได้ อีกทั้งข้าจะสอนวิธีทำหน้ากากแปลงโฉมให้ท่านด้วย” เฟิงชิงถิงตอบรับทันที
แผนการเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะได้ความสามารถของเฟิงชิงถิง ถานเฟิงและผีสือตกลงกันว่า ให้ท่านประมุขและฮูหยินหลบหนีออกจากคฤหาสน์โดยใช้อุโมงค์ลับ ส่วนถานเฟิงจะอยู่คุ้มกันประมุขตัวปลอมอยู่ที่นี่เพื่อลวงเหล่าชาวยุทธ์
ยามนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่สวนส่วนกลาง ยังไม่ทันที่ทั้งสองกลุ่มจะแยกย้าย คนของถานเฟิงก็กลับมารายงานอีกครั้ง พร้อมกับกลิ่นคาวของโลหิต
“เรียนท่านทูตซ้ายถาน ชาวยุทธ์มีจำนวนมากเกินไป อีกทั้งยังมีชาวยุทธ์อยู่กลุ่มหนึ่งวรยุทธ์ลึกล้ำ เป็นหน่วยทะลวงเข้ามาในเคหาสน์ด้วยขอรับ”
ถานเฟิงหันไปทางสามพี่น้องสกุลเมี่ยว “ต้านพวกเขาเอาไว้”
ชายร่างยักษ์ทั้งสามที่มีลูกตุ้มหนามเหล็กเป็นอาวุธขานรับ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกไปจากคฤหาสน์เหล่าชาวยุทธ์ที่ฝ่าด่านของหน่วยบูรพาทมิฬต่างก็พุ่งเข้ามาล้อมคนพรรคโลหิตอัคคีเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ข้าจะให้ท่านประมุขปลอมล่อคนพวกนี้ไปก่อน พวกเจ้าก็มีโอกาสเมื่อใดก็หลบหนีไปทางอุโมงค์ลับ แล้วไปเจอกันตามที่นัดหมาย” ถานเฟิงกระซิบกับผีสืออีกครั้ง
“จับคนพรรคมารมาให้หมด ส่วนสือซานเหลียงอย่าได้ปล่อยเอาไว้!” เสียงชาวยุทธ์ประกาศก้องอย่างฮึกเหิม พวกเขาจ้องไปยังสือซานเหลียงตัวปลอมเป็นตาเดียว
“คุ้มครองท่านประมุข!” ถานเฟิงตะโกนสั่ง
ไม่มีการโต้คารมใดๆ ทั้งสิ้น เหล่าชาวยุทธ์ต่างกรูกันเข้ามาล้อมคนพรรคมารเอาไว้แล้วก็เริ่มโจมตีเข้าใส่กันในทันที โดยเฉพาะสือซานเหลียงตัวปลอมที่เป็นเป้าหมายหลักของทุกคน
ถานเฟิงรับมือชาวยุทธ์ไปพร้อมกับลอบมองท่านประมุขตัวจริง คิดว่าโชคดีเหลือเกินที่มีฮูหยินอยู่ด้วย การหลบหนีครั้งนี้ท่านประมุขคงไม่ได้รับอันตรายมากนัก ขณะที่เขากำลังส่งสัญญาณให้ท่านประมุขตัวปลอมฝ่าวงล้อมออกไป สายตากลับเหลือบไปเห็นบางอย่างเข้า คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นหันไปมองผีสือ
ผีสือพาคนของเขาคอยคุ้มกันสือซานเหลียงและเฟิงชิงถิงเอาไว้ ค่อยๆ พาพวกเขาไปยังทางเดินหลังภูเขาจำลอง แต่สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขาหันไปทางถานเฟิง เห็นสายตาที่มองมาเขาก็เหลือบไปอีกทางทันที ภาพที่เห็นคือมีจอมยุทธ์หญิงอยู่กลุ่มหนึ่งที่กำลังกวาดตามองสิ่งใดสักอย่าง แต่พวกเขาจำได้ว่าจอมยุทธ์หญิงเหล่านั้นคือคนของจ้าวเหมยกุ้ย
“คุ้มกันฮูหยินให้ดี” ผีสือกระซิบกับเหล่าผู้คุ้มกัน
ถานเฟิงและผีสือพยักหน้าให้กัน ถานเฟิงคุ้มกันสือซานเหลียงตัวปลอมฝ่าวงล้อมออกไปจนสำเร็จ มีเหล่าชาวยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่ติดตามไป อีกหลายคนกำลังจะตามไปแต่เสียงหนึ่งตะโกนห้ามขึ้นมา
“ตามไปแค่บางส่วนเท่านั้น อาจจะเป็นแผนลวง” เสียงนั้นคือไป๋มู่นั่นเอง เขากับเหล่าศิษย์พี่และศิษย์น้องมาทีหลังเพราะมีชาวยุทธ์กลุ่มหนึ่งลงมือก่อนเวลาที่นัดหมาย
คนของจ้าวเหมยกุ้ยกำลังคิดจะติดตามสือซานเหลียงตัวปลอมไป ได้ยินคำเตือนของไป๋มู่ พวกนางก็คิดได้ว่าท่านประมุขกำชับว่าเฟิงชิงถิงแปลงโฉมได้ ดังนั้นไม่แน่ว่าสือซานเหลียงที่เพิ่งหนีไปนั้นเป็นตัวปลอม พวกนางจึงเริ่มมองหาใหม่และเมื่อเห็นว่าในกลุ่มนั้นมีชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกำลังจับแขนชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งให้เขาเดินไปตามทางหลังภูเขาจำลอง พวกนางก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มหน้าตาธรรมคนนั้นคือเฟิงชิงถิง
เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเหล่าคนพรรคบุปผารัญจวนต่างพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณ ส่งสัญญาณให้กันเสร็จ สตรีหนึ่งในนั้นจะพุ่งเข้าไปหากลุ่มของผีสือ นางกรีดร้องเสียงเจ็บปวดออกมา มือข้างหนึ่งชี้ไปทางเด็กหนุ่มคนนั้น
“นางมารหมื่นพิษ นางคือนางมารหมื่นพิษปลอมตัวมา นางสาดผงพิษใส่ข้า” เมื่อเอ่ยจบปากของนางก็มีรอยสีแดงซึมออกมา นางจับหน้าอกของตนเองก่อนที่เลือดจะทะลักออกมาทางปาก ทรุดลงไปกองกับพื้น
เฟิงชิงถิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยามนี้คนมากมายต่างรายล้อม มีทั้งคนพรรคโลหิตอัคคีและชาวยุทธ์ที่หวังบุกเข้ามาโจมตี เนื่องจากมีคนพรรคโลหิตอัคคีปะปนอยู่ด้วย ไหนเลยนางจะกล้าใช้ยาพิษ เฟิงชิงถิงรู้ในทันทีว่ามีคนต้องการเปิดโปงนาง และเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ชาวยุทธ์หญิงอีกนางหนึ่งก็กรีดรองด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดก่อนจะกระอักเลือดออกมาเช่นกัน ครั้งนี้นางอยู่ใกล้เด็กหนุ่มคนนั้นมากกว่าสตรีคนเมื่อครู่
ไป๋มู่และหยวนถังที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกแปลกๆ แต่ด้วยทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาจึงคิดแค่ว่าหากจับตัวนางมารหมื่นพิษมาได้ก็อาจจะจับตัวสือซานเหลียงได้ แต่เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่จับผิดตัว
ในขณะที่หยวนถังกำลังจะตะโกนบอกให้ล้อมจับนางมารหมื่นพิษเอาไว้ ก็มีใครคนหนึ่งตะโกนออกมาก่อนด้วยความเดือดดาล “สังหารนางมารหมื่นพิษ ขจัดภัยให้ยุทธภพ”
“สังหารนางมารหมื่นพิษ!” เสียงชาวยุทธ์ตะโกนรับ
ยามนี้คลาดตัวสือซานเหลียงไปแล้วพวกเขาจึงพุ่งเป้ามายังนางมารหมื่นพิษที่ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มทันที
ผีสือเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งเดือดดาล คำรามเสียงดังสั่งการโดยไม่ต้องคิด “สังหารให้หมดไม่ว่าจะเป็นพรรคใด”
“ขอรับ” สิ้นเสียงดาบเล่มใหญ่ก็ตวัดลงไปยังสตรีที่แสร้งกระอักเลือดสองนางก่อนเป็นอย่างแรก แล้วค่อยฟันเหล่าชาวยุทธ์ที่พุ่งเข้าหาไม่ต่างกับหมาป่าที่กำลังรุมขย้ำเนื้อ
สือซานเหลียงเห็นว่ามีคนพุ่งตรงมายังเฟิงชิงถิงเขาก็คำรามพร้อมกับเปลี่ยนจากการถูกเฟิงชิงถิงจับจูงเป็นจับจูงนางเอาไว้ ปล่อยหมัดปล่อยเท้าเข้าใส่ผู้อื่นโดยไม่ลังเล
ขณะที่ทั้งสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด เฟิงชิงถิงที่อยู่ข้างกายสือซานเหียงเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองมายังนาง เขาพยักหน้าให้กันก่อนจะร่วมเข้ามาผสมโรงต่อสู้กับคนพรรคมาร และในตอนที่ฝ่ากลุ่มคนของผีสือเข้ามาใกล้เฟิงชิงถิงและสือซานเหลียง นางก็เห็นชายคนหนึ่งพยักหน้าให้ เขาไม่ได้พยักหน้าให้นาง นั่นก็แปลว่ามีคนอยู่ด้านหลังนาง เฟิงชิงถิงรีบหันไปดู นางจึงเห็นว่ายามนี้มีชายอีกคนกำลังเงื้อดาบขึ้นสูง หมายฟันลงมาที่ต้นแขนของสือซานเหลียงข้างที่จับแขนนางอยู่ให้ขาด
เฟิงชิงถิงเบิกตากว้างเมื่อเห็นดาบเล่มใหญ่กำลังเงื้อลงมา นางใช้ร่างตนเองกันเขาไว้พร้อมกับตะโกนร้อง
“อาเหลียงระวัง!”
ชายคนที่เงื้อดาบฟันเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นเอาร่างกายเข้าปกป้องเขาก็ยั้งมือ แต่สุดท้ายดาบเล่มใหญ่ก็ยังกรีดลึกลงไปยังร่างเล็กของเฟิงชิงถิงอยู่ดี
ร่างกายของเฟิงชิงถิงเกร็งแน่นก่อนจะอ่อนยวบ นางกอดร่างของสือซานเหลียงเอาไว้พร้อมกับกัดปากสะกดกลั้นความเจ็บปวด
สือซานเหลียงที่เมื่อครู่อาละวาดอยู่รู้สึกได้ถึงแรงกอดก็ก้มลงมอง เมื่อเห็นว่าชุดที่นางใส่มีรอยขาดอีกทั้งหัวไหล่บางมีรอยชื้นสีแดงแผ่เป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ยามนี้ร่างของนางคล้ายหมดแรงยืน เขาประคองนางลงนั่ง ใช้มือข้างหนึ่งวางมือบนรอยชื้นแดงก็เห็นว่าเจ้าของหัวไหล่นั้นนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เขาชูมืออันสั่นเทิ้มของตนเองขึ้นมองเมื่อเห็นว่าของเหลวสีแดงนั้นเป็นโลหิต แววตาดุร้ายเช่นสัตว์ป่าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันที เสียงทุ้มพร่าลอดออกมาจากปากเขาไม่ดังนัก
“ฮูหยิน”
ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาดึงเอาสติให้พล่าเลือนทีละน้อย แม้สติจะเริ่มเลือนลางแต่นางก็ยังห่วงสือซานเหลียง กลัวว่าเขาจะคลุ้มคลั่งจึงรีบบอกด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“อาเหลียง ข้าไม่เป็นไร” จนเมื่อนางเอ่ยจบ สติที่มีก็ดับวูบลงพอดี
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย สือซานเหลียงยังคงนั่งนิ่งมองเจ้าของร่างเล็กในอ้อมกอดด้วยแววตาไหวระริก เห็นว่าหมั่นโถวของเขาไม่ลืมตาขึ้นมาก็ยิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก กอดร่างบางเอาไว้แนบออก เรียกนางซ้ำๆ ด้วยความเคยชิน
“ฮูหยิน ฮูหยิน” เขาเขย่าร่างเล็ก แต่เขย่าเท่าใดนางก็ไม่ยอมขยับ สุดท้ายเป็นเขาที่หยุดเขย่าเอง...ร่างสูงใหญ่นิ่งงันคล้ายดั่งถูกสาปให้เป็นหิน ไม่สนใจแม้แต่ดาบของศัตรูที่พุ่งเข้ามา แต่ดาบนั้นก็เบี่ยงทิศไปเพราะผีสือที่อยู่ไม่ไกลนักใช้เม็ดยาลูกกลอนดีดเข้าใส่
แต่กำจัดดาบเล่มหนึ่งให้พ้นทางได้ ดาบอีกเล่มหนึ่งก็พุ่งเป้าไปยังสือซานเหลียงอีกครั้ง ผีสือคิดจะเข้าไปช่วยก็ถูกชาวยุทธ์ผู้อื่นสกัดไว้ เขาซัดคนผู้นั้นให้พ้นทางแต่ก็ยังเคลื่อนไหวช้าไป เพราะยามนี้ดาบได้เงื้อลงมายังกลางศีรษะของสือซานเหลียงแล้ว
“ท่านประมุขระวัง!”
ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ขณะที่ดาบเล่มใหญ่ตวัดลงมาปาดโดนมวยผมขอสือซานเหลียงจนผมที่รวบเอาไว้สยายเต็มแผ่นหลัง มือใหญ่ข้างหนึ่งรับดาบเล่มนั้นได้อย่างแม่นยำ เจ้าของดาบพยายามจะกดดาบลงไปแต่กลับไม่สามารถทำได้ เพราะมือใหญ่ที่จับเอาไว้
เจ้าของมือใหญ่จับดาบไว้แน่น แต่ดวงตายังมองอยู่ที่ร่างบางในอ้อมอก เขามองอีกครู่หนึ่งอย่าอาลัยก่อนจะวางร่างเล็กไว้บนพื้นอย่างทะนุถนอม เงยหน้าไปทางเจ้าของดาบ ดวงตาคู่คมกล้าฉายแววอำมหิตออกมาอย่างรุนแรงไม่ต่างกับร่างของเขาที่ยามนี้มีแต่ไอสังหาร เขาลุกขึ้นพลางมองคนตรงหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์ เจ้าของดาบเล่มนั้นพยายามจะยื้อดาบคืนเพราะรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึง แต่มือหนากลับกำดาบนั้นแน่นขึ้นไม่สนใจว่ามือที่จับดาบจะมีเลือดซึมออกมา
ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นถูกรังสีอำมหิตปกคลุมจนหนาวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย พวกเขาหันไปมองต้นตอของที่มาก็เห็นว่าชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังจับดาบชาวยุทธ์คนหนึ่งไว้แน่น ดาบสีเงินถูกสีแดงของโลหิตในมืออาบย้อม แต่เจ้าของมือนั้นกลับหาได้สนใจไม่
“อ๊ากกกกกก” ร่างใหญ่คำรามเสียงดังไม่ต่างกับฟ้าผ่าพร้อมกับระเบิดไอสังหารรุนแรง มือใหญ่ที่อาบไปด้วยเลือดจิกดาบจนมีเสียงเปรี๊ยะก่อนที่ดาบจะหักออกเป็นสองท่อน
เจ้าของดาบมองดูดาบของตนเองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และเพราะความตี่นตระหนกนั่นเองทำให้เขาคลาดกับบางอย่าง บางอย่างนั้นคือ ปลายดาบด้านที่หักได้ปักลงมายังกลางอกของเขาอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ที่จับปลายดาบนั้นออกแรงปักดาบหักเล่มนั้นจนทะลุร่างของเขาไปยังด้านหลังก่อนจะถอนดาบออกมาปล่อยให้เลือดพุ่งออกจากร่างไม่ต่างกับน้ำพุ เจ้าของมือใหญ่ไม่แม้จะหลบหลีกเลือดที่พุ่งมาโดนตัวและใบหน้าเขา เขามองชายเจ้าของดาบด้วยแววตาสาแก่ใจ
ส่วนชายเจ้าของดาบนั้นยังคงจับดาบที่หักแน่น ดวงตาเหลือกลาน ก้มมองดูเลือดที่พุ่งออกมาจากบาดแผลกลางอกด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงก่อนจะหงายหลังล้มลงบนพื้นขาดใจตาย
ยามนี้ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างใหญ่ที่เนื้อตัวอาบไปด้วยเลือด เขาลูบใบหน้าแดงฉานปาดคราบเลือดออก แต่เหมือนยังไม่พอใจ จึงลอกหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าที่แท้จริงออกมาด้วย เมื่อโฉมหน้าที่แท้จริงเผยออกมา ทุกคนก็ต่างตกตะลึง เพราะคนผู้นั้นคือสือซานเหลียงนั่นเอง
“สือ สือซานเหลียง” คนผู้หนึ่งชี้ไปที่ร่างใหญ่นั้น
สือซานเหลียงคำรามออกมาอีกครั้งพร้อมกับแตะร่างของคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้ากระเด็นออกไป
“สังหารสือซานเหลียง!” เมื่อเหล่าชาวยุทธ์คืนสติมาได้ก็รีบเข้าขวางสือซานเหลียงทันที
“แบ่งคนส่วนหนึ่งพาฮูหยินออกไป อีกส่วนหนึ่งคุ้มครองท่านประมุข” ผีสือรีบสั่งการ
ยามนี้ตัวตนของท่านประมุขถูกเปิดเผยแล้ว ไม่มีผู้ใดยอมปล่อยให้พวกเขารอดชีวิตไปง่ายๆ แน่ ทุกคนต่างเลิกสนใจเฟิงชิงถิงที่หมดสติ เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นสือซานเหลียงที่บ้าคลั่งไม่ต่างกับสัตว์ป่าดุร้าย แต่ก็ยังมีคนอีกบางส่วนที่ยังคงมีเป้าหมายคือเฟิงชิงถิงหนึ่งในนั้นคือคนของพรรคบุปผารัญจวนนั่นเอง
กลุ่มคนพรรคบุปผารัญจวนต้องการสังหารเฟิงชิงถิงตามคำสั่งของจ้าวเหมยกุ้ย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีคนของพรรคโลหิตอัคคีขวางอยู่ แต่ระหว่างที่พวกนางปะทะอยู่กับคนพรรคโลหิตอัคคีอยู่นั้น ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งแทรกเข้ามาและชิงตัวเฟิงชิงถิงที่หมดสติออกไปอย่างรวดเร็ว คนพรรคโลหิตอัคคีคิดจะตามไปชิงตัวกลับมาก็ถูกคนกลุ่มอื่นขัดขวาง
“ฮูหยิน!”
สือซานเหลียงเห็นว่าหมั่นโถวของเขาถูกคนอื่นพาตัวไปต่อหน้าต่อตา เขาคิดจะตามเฟิงชิงถิงไปเช่นกัน แต่เพราะถูกขัดขวางเอาไว้สุดท้ายจึงทำไม่ได้ดังใจคิด
เพราะหมั่นโถวของเขาบาดเจ็บ อีกทั้งตอนนี้ยังหายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหตุการณ์ทั้งสองทำให้ทุกอย่างในกายของสือซานเหลียงพลุ่งพล่านไปหมด ภาพที่เจ้าของหมั่นโถวของเขาถูกอุ้มพาไปทำให้ใจของเขาเจ็บปวดแปลก ๆ คล้ายมีเข็มนับพันนับหมื่นกำลังทิ่มแทงลงมา แผงอกกว้างหายใจรุนแรงแต่เจ้าตัวกลับรู้สึกว่าการหายใจของเขาไม่ได้สะดวกคล้ายมีสิ่งใดมาอัดอยู่ ความไม่สบายใจบางอย่างผุดขึ้นมาพร้อมกับความกราดเกรี้ยวที่ถาโถม
ใบหน้าของสือซานเหลียงแดงก่ำ ร่างสูงใหญ่สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เสียงลมหายใจฟืดฟาดรุนแรง ดวงตาดุร้ายแทบจะถลนออกจากเบ้า เขากวาดตามองเหล่าคนที่ขวางทางไม่ต่างกับศัตรูคู่อาฆาตก่อนจะคำรามเสียงกึกก้อง ซัดฝ่ามือใส่เหล่าชาวยุทธ์ที่ขวางทางพร้อมกับส่งลมปราณไปยังฝ่ามือนั้นส่งผลให้การลงมือของเขายิ่งดุดันและโหดเหี้ยม เหล่าชาวยุทธ์ที่โดนฝ่ามือนั้นบ้างก็กระเด็นออกไปหลายจั้งก่อนจะกระอักเลือดจนตาย บางคนที่หลบหลีกได้ก็บาดเจ็บสาหัสจนไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาได้อีก
หลังจากที่จัดการชาวยุทธ์จำนวนมากให้พ้นทางไปได้ สือซานเหลียงก็คิดจะตามเฟิงชิงถิงไปอีกครั้ง แต่เพียงขยับไปได้แค่ครึ่งก้าวร่างสูงใหญ่ก็โงนเงนคล้ายจะหมดแรงก่อนจะสำลักเลือดออกมาคำใหญ่ แม้จะสำลักเลือดออกมาแต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนักและทุกย่างก้าวเขาก็กระอักเลือดออกมาทุกคำ
เป็นเพราะเมื่อครู่สือซานเหลียงต้องการกำจัดเหล่าชาวยุทธ์ออกไปให้พ้นโดยเร็ว เขาจึงใช้ลมปราณโดยสัญชาตญาณ การใช้ลมปราณที่ยังไม่ถูกทะลวงให้หายทำให้เขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เหล่าชาวยุทธ์เห็นสือซานเหลียงกำลังอ่อนแรงและกระอักเลือดก็ไม่รอเวลา พวกเขาล้อมเข้ามาหมายสังหารสือซานเหลียงอีกครั้ง ผีสือ สามพี่น้องสกุลเมี่ยวและผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ต่างรีบสกัดคนเหล่านั้น แต่กลายเป็นสือซานเหลียงที่ยังไม่ยอมแพ้ เขาเงยหน้าขึ้นมามองเหล่าชาวยุทธ์ รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย กระโจนเข้าหาชาวยุทธ์ที่ไม่ต่างกับผู้หมาล่าเนื้อ ซัดฝ่ายตรงกันข้ามอย่างรวดเร็วจนไม่เห็นเงา แต่ไม่นานการเคลื่อนไหวของสือซานเหลียงก็ช้าลงเรื่อยๆ เขาเริ่มถูกเหล่าชาวยุทธ์ตีล้อมเข้ามาเรื่อยๆ จบสุดท้ายร่างสูงใหญ่ก็ถูกกลุ่มชาวยุทธ์ล้อมจนไม่เหลือที่ว่าง ผีสือและคนของเขาพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกชาวยุทธ์คนอื่นสะกัดกั้นเอาไว้
ในขณะที่ผีสือร้อนใจว่าท่านประมุขอาจจะไม่รอด เขาก็ได้ยินเสียงคำรามของท่านประมุข เสียงคำรามนั้นดังและยาวพร้อมกับระเบิดพลังลมปราณอันรุนแรงออกมา พลังลมปราณนั้นกระแทกร่างชาวยุทธ์ที่ลุมร้อมอยู่กระเด็นไปคนละทิศคนละทาง จนเหลือเพียงคนผู้เดียวที่ยืนอยู่ นั่นคือสือซานเหลียงนั่นเอง
ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่เพียงลำพัง ท่ามกลางเหล่าชาวยุทธ์ที่นอนบาดเจ็บเพราะถูกพลังอันรุนแรงระเบิดเข้าใส่ แต่ร่างนั้นยืนหยัดอยู่ได้ครู่หนึ่งก็ทรุดลงไปกับพื้นเลือดโลหิตสีแดงทะลักออกจากปากอีกจำนวนมาก สองเข่าของเขายันพื้นเอาไว้ ดวงตาเหม่อลอย ปากที่ยังมีเลือดไหลพึมพำคำว่า ฮูหยิน ออกมาก่อนจะหมดสติไป
“พาท่านประมุขออกไปเร็ว!” ผีสือที่ถูกแรงอัดจากลมปราณของสือซานเหลียงแต่ไม่มาก ใช้โอกาสเหล่าชาวยุทธ์บาดเจ็บจำนวนมากคิดพาสือซานเหลียงออกไป
น้องสามของสามพี่น้องสกุลเมี่ยวเป็นคนที่ร่างใหญ่ที่สุดรีบประคองร่างสือซานเหลียงขึ้นหลัง ใช้วิชาตัวเบาพาเขาหลบหนีออกไป มีผีสือ และคนอื่นๆ คอยคุ้มกันไม่ห่าง
“เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดท่านประมุขจึงเป็นเช่นนี้ แล้วฮูหยินเล่า” ถานเฟิงมองใบหน้าซีดขาวของสือซานเหลียงที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงอย่างเป็นกังวล
เมื่อครู่เขาเห็นซานเมี่ยวแบกท่านประมุกขึ้นหลังมาถึงบ้านที่ใช้เป็นที่หลบซ่อนก็พอจะรู้ว่าแผนการที่วางไว้คงผิดพลาด แต่เขาไม่คิดว่าจะร้ายแรงเช่นนี้
ผีสือบอกอย่างอ่อนใจ“ฮูหยินถูกคนชิงตัวไป คาดว่าจะเป็นคนแคว้นเจิ้ง ท่านประมุขเห็นก็คลุ้มคลั่ง ฝืนใช้ลมปราณจนกระอักเลือดและหมดสติไป หากประมุขฟื้นขึ้นมาต้องหาฮูหยินเป็นแน่”
“เรื่องนี้ต้องโทษจ้าวเหมยกุ้ย ข้าดูนางผิดจริงๆ” ถานเฟิงทุบกำปั้นลงบนกำแพงอย่างแรง
“ข้าให้คนไปสืบข่าวเรื่องฮูหยินแล้ว นางบาดเจ็บ แต่คนพี่พาตัวนางไปคงไม่ปล่อยให้นางมีอันเป็นไปแน่ ไว้เรื่องทุกอย่างจบลงเราค่อยจัดการจ้าวเหมยกุ้ย ยามนี้ข้าต้องตรวจดูอาการประมุขเสียก่อน อาการบาดเจ็บภายนอกไม่เท่าใดนัก แต่เพราะเขาโหมใช้ลมปราณโดยที่ยังไม่เข้าที่ ร่างกายภายในจึงบอบช้ำรุนแรง แม้ไม่สาหัสจนถึงแก่ชีวิตแต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกนาน”
สหายทั้งสองหันไปมองสือซานเหลียงอีกครั้ง ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ข้าไม่อยากคิดเลยว่าหากท่านประมุขฟื้นขึ้นมาแล้ว ที่หลบซ่อนแห่งนี้จะเป็นเช่นไร” ถานเฟิงกลุ้มใจ
“ก่อนที่เราจะหาที่หลบภัยที่ใหม่ได้ ห้ามให้ท่านประมุขทำลายบ้านหลังนี้ด็ดขาด” ผีสือบอก
บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่นัก อยู่บริเวณชายแดนแคว้นต้าหลวน เพราะบ้านหลังไม่ใหญ่พวกเขาจึงกว้านซื้อบ้านบริเวณใกล้เคียงอีกสิบกว่าหลังเพื่อให้เหล่าคนในพรรคได้แฝงตัวเป็นชาวบ้านอาศัยอยู่
“เห็นทีคงต้องให้คนไปหาที่ซ่อนตัวเพิ่มเสียแล้ว” หลังจากแน่ใจว่าอาการบาดเจ็บของท่านประมุขไม่มีอันตรายถึงชีวิต ถานเฟิงเปรยออกมา “ระหว่างที่ข้ายังหาที่หลบซ่อนดีๆ ไม่ได้ เจ้าก็อย่าเพิ่งให้ท่านประมุขทำลายบ้านหลังนี้ไปเสียก่อน”
“ข้าทำได้หรือไร เจ้าก็เห็น”
“ข้าเชื่อความสามารถของเจ้า” ถานเฟิงตบบ่าสหาย “ข้าต้องไปตรวจดูจำนวนคนบาดเจ็บและล้มตาย ยามนี้เรื่องท่านประมุขให้เจ้าดูแลไปก่อน ไปล่ะ” หลังจากโยนเผือกร้อนให้สหายได้ ถานเฟิงก็รีบจากไปโดยไม่ให้ผีสือมีโอกาสอ้าปากค้านแม้แค่คำเดียว
“กึก กึก...กึก”
ระหว่างที่เฟิงชิงถิงอยู่ในอาการกึ่งมีสติกึ่งหลับใหลอยู่นั้น นางได้ยินเสียงคล้ายล้อรถกำลังบดไปตามถนนอย่างช้าๆ ร่างของนางสะเทือนตามแรงสั่นสะเทือนนั้นแต่ไม่มากเพราะมีเบาะอย่างดีรองรับร่างนางอยู่ สุดท้ายแรงสะเทือนไม่มากนั้นก็คล้ายกับขับกล่อมให้นางดิ่งลึกลงไปในห้วงนิทรา ในช่วงที่สติใกล้จะลางเลือนอีกครั้ง เฟิงชิงถิงได้ยินเสียงการสนทนาเบาๆ
“ทูลท่านอ๋อง หมอหญิงเพิ่งจะมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ อีกทั้งยังป้อนยาแก้ปวดและยานอนหลับให้นางไปไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
“อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง”
“บาดแผลไม่สาหัสมากพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าอีกไม่นานอาการบาดเจ็บของนางก็จะหายดี สามารถตรวจและรักษาอาการบาดเจ็บท่านอ๋องได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“บอกให้หมอหญิงดูแลนางดีๆ หากนางหายไวข้าจะให้รางวัลแก่นาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่ายามนี้นางและสือซานเหลียงไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว เพราะหากเขาอยู่ เขาต้องอยู่เคียงข้างนาง คนพวกนี้คงเป็นคนแคว้นเจิ้งที่พานางมา แม้การสนทนานั้นทำให้นางอยากจะฝืนสติให้แจ่มชัดขึ้นมา เพื่อหาเหตุผลว่านางตกอยู่ในมือของคนแคว้นเจิ้งได้อย่างไร และควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่เพราะว่ายาที่นางถูกป้อนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ทำให้นางไม่สามารถรั้งสติของตนเองได้ ทั้งเหตุผลต่างๆ ทั้งความรู้สึกเสียใจที่ผุดขึ้นมาเมื่อรู้ว่าข้างกายของนางในยามนี้ไม่มีสือซานเหลียง ทุกอย่างเลือนไปพร้อมกับสติของนางที่จมเข้าสู่ความมืดมนอนธการอีกครั้ง
สามวันผ่านไป ที่หลบซ่อนใหม่ของคนพรรคโลหิตอัคคี ทั้งที่ถานเฟิงยังหาที่หลบซ่อนที่ใหม่ยังไม่ได้ แต่ยามนี้บ้านที่พวกเขาเข้ามาอยู่กำลังจะแตกแล้ว
เมื่อฟื้นขึ้นมาสือซานเหลียงก็คำรามเสียงดังด้วยความกราดเกรี้ยว อากาศที่เย็นเยียบยามนี้ยิ่งเย็นยะเยือกจนอากาศแทบจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง ดวงตาคู่ดุดันตวัดไปจ้องผู้คุ้มกันจนผู้คุ้มกันทั้งสองคล้ายกับจะแยกร่างพวกเขาเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงอันกรรโชกและดุร้าย
“ปล่อยข้า ข้าจะไปตามฮูหยินของข้า ปล่อย!”
“ท่านประมุขโปรดระงับโทสะด้วยขอรับ” ผู้คุ้มกันหนึ่งในสองที่คอยดูแลสือซานเหลียงบอกกับเขา
“ปล่อยข้า!” สือซานเหลียงเอ่ยพลางงอแขนที่แนบร่างขึ้นมา แต่เพราะติดโซ่เหล็กเส้นใหญ่ที่พันธการร่างตนเองเอาไว้หลายชั้นกับเตียงนอนจึงขยับร่างลุกขึ้นไม่ได้
“ท่านผีสั่งเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามแก้โซ่เหล่านี้ออกจากร่างท่านประมุขเด็ดขาดขอรับ”
แม้ผู้คุ้มกันทั้งสองจะมีสีหน้าราบเรียบ แต่หน้าผากของพวกเขากลับมีเหงื่อผุดซึมออกมา ทั้งคู่ต่างคิดตรงกันว่าท่านประมุขในยามบ้าคลั่งช่างน่ากลัวยิ่งนัก ดวงตาของท่านประมุขคล้ายจะเอ่ยได้ว่า “หากข้าหลุดจากโซ่นี้ไปได้พวกเจ้าไม่ได้ตายดีแน่”
พวกเขาได้แต่ปาดเหงื่อ โชคดีที่ผีสือเมื่อรู้ข่าวว่าท่านประมุขฟื้นแล้วก็รีบเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้พวกเขาถูกสายตาท่านประมุขสังหารไปเสียก่อน
“ปล่อยข้า เดี๋ยวนี้!” สือซานเหลียงคำรามลั่นเมื่อผีสือเข้ามาในห้อง
“เรียนท่านประมุข ยามนี้พวกเราคงปล่อยท่านไปไม่ได้ เพราะหากปล่อย ท่านคงจะทำลายที่หลบซ่อนของเราจนราบคาบ ก่อนจะหนีไปตามหาฮูหยิน รอให้ทูตซ้ายถานหาที่หลบซ่อนที่ใหม่ได้ก่อนแล้วข้าจะปล่อยท่าน ยามนั้นท่านจะทำลายสิ่งใดก็ได้ แต่ยามนี้เพราะยังไม่มีที่หลบซ่อนที่ใหม่ โปรดเข้าใจด้วย” ผีสืออธิบายเสียยืดยาว แม้จะรู้ว่าสือซานเหลียงยังไม่ปกติก็ตาม แต่ที่เขาอธิบายก็เพราะหากในยามท่านประมุขหายเป็นปกติ เขาก็ยังแก้ตัวได้ว่าเขามีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้
สือซานเหลียงถลึงตาใส่ผีสือคราหนึ่ง ใช้แรงทั้งหมดของตนเองยกแขนของตนเองขึ้นง้างสายโซ่ที่พันธนาการร่างของตนเองเอาไว้หลายต่อหลายเส้นขาดออกจากกันทีละเส้นๆ เสียงโซ่ขาดออกจากกันดังเคล้ง ติดต่อกันหลายครั้ง
ผีสือถอยร่างออกห่างพลางสั่ง “ให้ผู้คุ้มกันทั้งหมดมารวมตัวที่นี่ เรียกสามพี่น้องสกุลเมี่ยวมาด้วย”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหยุดท่านประมุขให้ได้
“หากอยากตายก็เข้ามา เรียงหน้าเข้ามาแล้วข้าจะสังหารเจ้าพวกหน้าโง่ที่ละคน” สือซานเหลียงคำราม โซ่เส้นสุดท้ายขาดผึงออกจากกัน
เมื่อเขาลุกขึ้นนั่งเหล่าผู้คุ้มกันจำนวนสามสิบกว่าคนก็ล้อมเตียงเอาไว้เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ เต็มที่ แต่กลับผิดคาดเพราะสือซานเหลียงเพียงแค่กวาดตามองคนเหล่านั้นก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำโต
“ท่านประมุข!” ผีสือเห็นสือซานเหลียงกระอักเลือดออกมาหลังจากเพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่นานก็ร้อนใจ รีบดีดยาลูกกลอนใส่ร่างใหญ่เพื่อสกัดจุดเขาไว้ อย่างแรกป้องกันไม่ให้ท่านประมุขลุกขึ้นมาอาละวาด อย่างที่สองเพื่อให้เขาสามารถตรวจอาการของท่านประมุขได้สะดวก
แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าก่อนที่ยาลูกกลอนจะสัมผัสโดนร่างของเขา มือใหญ่กลับปัดมันออกอย่างไม่ไยดี พร้อมกับสายตาคู่ดุดันที่จ้องคล้ายจะเย้ยหยัน “คิดจะใช้ยาลูกกลอนสกัดจุดข้า รอให้ข้าบ้าอีกรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยใช้ลูกไม้เดิม”
“ที่ทำไปเพราะความจำเป็น” เมื่อเอ่ยจบผีสือก็มองสือซานเหลียงไม่ต่างกับมองเห็นผี “ท่านประมุข ท่าน...ท่าน”
ท่าทางผีสือเหมือนจะทำสิ่งใดไม่ถูกไปชั่วครู่ แต่เมื่อคิดได้เขาก็รีบตรวจชีพจรให้สือซานเหลียง ชีพจรของท่านประมุขในยามนี้ไม่ได้สับสนเช่นเมื่อก่อน อีกทั้งลมปราณที่เคยตีกลับในยามนี้กลับไหลเวียนได้สะดวก
ผีสือจับชีพจรครั้งแล้วครั้งเล่า หมายให้ตนเองมั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดผิด หันไปสบตาสือซานเหลียง ดวงตาของสือซานเหลียงไม่ได้เหม่อลอยเช่นทุกครั้ง แต่กลับจ้องเขากลับอย่างท้าทาย นั่นก็แปลว่า...
“ท่านประมุข ท่าน...”
“ข้าเป็นอย่างไร” เสียงทุ้มห้าวถามห้วนๆ แต่ไม่ได้รู้สึกถึงความกดดันหรือดุร้าย
ดวงตาที่มองดูท่านประมุขเบิกกว้างกว่าเก่า โพล่งออกมาด้วยความยินดี “ท่านประมุข ท่านหายแล้ว ท่านหายแล้ว”
ถูกต้องแล้ว สือซานเหลียงหายจากอาการสติไม่ดีเพราะลมปราณกลับมาเป็นปกติแล้วนี้เอง
ผีสือแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา เรื่องที่คนบ้าจะโคจรลมปราณเพื่อทะลวงลมปราณตนเองนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ท่านประมุขก็ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาแล้ว เพราะท่านประมุขสามารถทะลวงลมปราณตนเองยามที่เป็นบ้าจนสำเร็จและหายดีในที่สุด คาดว่าต้องเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ท่านประมุขระเบิดลมปราณออกมาเป็นแน่ นี่เรียกว่าสวรรค์เห็นใจหรือไม่
ร่างผอมสูงรีบคุกเข่าตรงหน้าเตียงนอน ประสานมือเอ่ยอย่างยินดี “ยินดีด้วยขอรับ ท่านประมุขในที่สุดท่านก็หายดี”
เหล่าผู้คุ้มกันได้ยินเช่นนั้นต่างก็คุกเข่าประสานมือ เอ่ยพร้อมเพรียงกัน “ยินดีกับท่านประมุขที่หายดีขอรับ”
สือซานเหลียงยันร่างสูงใหญ่ลุกขึ้น กวาดตามองเหล่าคนที่ก้มหน้าด้วยใบหน้าที่ยังอ่อนล้าและซีดเซียวเพราะร่างกายภายในที่บอบช้ำ “พวกเจ้าคงลำบากเพราะข้ามามาก ขอบใจในความภักดีของพวกเจ้า”
“ในยามที่อยู่ในช่วงอันตรายที่สุดท่านประมุขก็ยังคงไม่ทอดทิ้งคนในพรรค พวกเราไม่รู้จะตอบแทนสิ่งใดนอกจากภักดีต่อท่านประมุข อยู่เป็นคนพรรคโลหิตอัคคีจวบจวนชีวิตจะหาไม่” หัวหน้าผู้คุ้มกันเอ่ย
“ดี” สือซานเหลียงพยักหน้าพอใจ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ใบหน้าของผีสือ น้ำเสียงผ่อนคลายเมื่อครู่แฝงไอสังหารเล็กน้อย “ว่าแต่ว่า ผู้ใดเป็นคนสั่งให้ล่ามโซ่ข้ามัดไว้กับเตียง”
เหล่าผู้คุ้มกันสามสิบกว่าคนก้มหน้าต่ำกว่าเดิม แต่มือข้างหนึ่งของพวกเขาชี้ไปที่จุดหมายเดียวกันนั่นคือผืสือนั่นเอง ผีสือได้แต่เผยรอยยิ้มข่มขื่นออกมา ยามนี้เขาจึงเข้าใจคำว่า ผู้ใกล้ชิดที่สุดไว้ใจได้น้อยที่สุดได้ถ่องแท้เป็นคราแรก ยามนี้เขาถูกเหล่าผู้คุ้มกันหักหลังเข้าให้แล้ว...
--------------------------------------------
โฮ๊ะๆๆๆ
ปล.น่าจะลงได้อีกสองตอนนะคะ ใกล้จะจบแล้ว
--------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โหโดนชี้ตัวขนาดนี้แล้ว ไม่รอดแน่
อร๊ายยยย พี่หายแล้ว เร็วค่ะเร็ว ฮูหยินจะโดนคนอื่นกินเอานะ ฮิ้ววว
รออออออออออ
รอค่าาาา
5555 รอตอนต่อไปจ้า
พี่หายแล้ว อยากเหฌนโหมดพี่สือแกล้งความจำเสื่อมอยุ่กับฮูหยิน