ตอนที่ 14 : ตอนที่ 13(100%)
เพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากซย่าเจี่ยลุ่ยทำให้อาการโดยรวมของเฟิงชิงถิงดีขึ้นมากในวันต่อมา อาการไข้ลดลงเหลือแต่อาการปวดระบมและอาการบาดเจ็บตามร่างกายยังไม่หาย ที่น่ากลัวคงเป็นรอยช้ำม่วงที่ปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด และมีบางส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า สือซานเหลียงก็เอาแต่มองรอยพวกนั้นอย่างไม่วางตา
วันนี้ก็ไม่ต่างกับเมื่อวาน เฟิงชิงถิงได้ยินเสียงโวยวายด้านนอกเรือนพัก ถามจากชุ่ยเอ๋อร์ก็รู้ว่าเป็นนายท่านต้วนผู้นั้น แล้วชุ่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยด้วยความแปลกใจ
“แต่วันนี้นายท่านต้วนไม่ได้มาหาเรื่องเจ้าค่ะ เขาบอกว่ามาดีและต้องการพบแม่นางเลี่ยงเจ้าค่ะ”
“ต้องการพบข้า” เฟิงชิงถิงเองก็แปลกใจ แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาเข้าพบ เพราะอาการของเฟิงชิงถิงยังไม่ดีเท่าใดนัก นางจึงให้ชุ่ยเอ๋อร์ประคองไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง แล้วให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปพาคนแซ่ต้วนขึ้นมาหานาง
“แม่นางเลี่ยงใช่หรือไม่ ใช่แม่นางเลี่ยงหรือไม่” ต้วนเล่อเดินเข้ามาในห้อง เห็นสตรีใบหน้างดงามแต่ซีดเซียวนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง เขาก็กระวีกระวาดเดินมาถามอย่างกระตือรือร้น แต่เฟิงชิงถิงสังเกตว่าท่าเดินและการขยับกายเขาดูแปลกๆ
“ข้าแซ่เลี่ยง ไม่ทราบว่านายท่านต้วนต้องการพบข้าด้วยเรื่องใดเจ้าคะ” นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สือซานเหลียงเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ
เฟิงชิงถิงคิดว่ายามนี้แม้จะเดินทางไปที่พรรคโลหิตอัคคีนางก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี ทำได้แค่รักษาตัวให้ดีขึ้นอีกสักพักแล้วค่อยออกเดินทาง และเพื่อให้นางสามารถพักอยู่ที่นี่ได้ นางจึงยอมให้คนแซ่ต้วนเข้าพบหาทางดูว่าจะจบปัญหานี้อย่างไรโดยไม่ต้องให้มือปราบเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ดูท่าคนแซ่ต้วนจะไม่ได้มาหาเรื่องนางอย่างที่นางคิด
ร่างท้วมขาวในชุดผ้าไหมเนื้อดีคุกเข่าลงตรงหน้าหญิงสาว เขาโขกหัวลงบนพื้นหลายคราดั่งว่านางเป็นบรรพชนของเขาที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่ปาน
“แม่นางเลี่ยงโปรดรับการคารวะจากข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว โปรดให้อภัยข้าและลูกชายข้าด้วยขอรับ”
“ท่านต้วนมีสิ่งใดก็ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ” เฟิงชิงถิงไม่ชอบให้ผู้ใดมาคุกเข่าคารวะนางเช่นนี้ คนแซ่ต้วนก็อายุน่าจะใกล้สี่สิบเห็นจะได้นางเป็นลูกของเขาได้ด้วยซ้ำ แต่นางไม่มีแรงจะขัดขวางเขาจึงพยักหน้าให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปช่วยห้าม แต่กลายเป็นว่าคนแซ่ต้วนมีท่าทีตื่นตระหนกกว่าเดิม กอดขานางแน่นพลางอ้อนวอน
“แม่นางเลี่ยง ข้าจะไม่ยอมลุกขึ้นหากแม่นางไม่ยอมให้อภัยข้ากับลูกชายของข้า”
ผลั๊ก!
ร่างท้วมที่กอดขานางอยู่ถูกเท้าขนาดใหญ่ภายใต้รองเท้าหุ้มข้อถีบเข้าให้เต็มเปา จนร่างที่ถูกถีบหงายหลังกลิ้งหลุนๆ อยู่สามตลบก่อนจะหยุดอยู่ที่กำแพงห้องอย่างไม่เป็นท่า เฟิงชิงถิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่คนผู้นั้นก็หาได้ยอมแพ้ไม่ เขารีบตะเกียกตะกายตั้งหลักก่อนจะคลานเข้าหานางอีกครั้ง
“อาเหลียงอย่าทำเขา”
สือซานเหลียงเห็นเช่นนั้นก็ตั้งท่าจะถีบอีกครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงหวานร้องห้ามเขาก็ชะงัก แต่ก็มองชายร่างท้วมที่คลานเข้ามาใกล้ด้วยสายตาไม่ชอบใจ
เฟิงชิงถิงตกใจที่อยู่ดีๆ สือซานเหลียงก็ถีบคนแซ่ต้วนจนเขากลิ้งไปไกล พอเขาคลานกลับเข้ามาสือซานเหลียงก็ทำท่าจะถีบอีก นางร้องห้ามไปตามสัญชาตญาณไม่คิดว่าสือซานเหลียงจะหยุดการกระทำไม่ถีบคนแซ่ต้วนจริงๆ แม้นางจะแปลกใจแต่ก็มีเรื่องที่นางสนใจมากกว่า
“นายท่านต้วนท่านลุกขึ้นมาเถิด” นางบอกคนแซ่ต้วนอีกครั้ง
ตอนแรกต้วนเล่อคิดจะคลานเข้าหา แต่เห็นเท้าใหญ่ที่เง้อขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ไม่กล้าคลานเข้าไปใกล้มากแต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้น ยกมือไหว้นางดั่งคนขอชีวิต “ได้โปรดเถิดแม่นางเลี่ยง โปรดให้อภัยลูกข้าและข้าด้วยเถิด ต่อไปนี้ข้าสัญญาว่าจะสั่งสอนเขาดีๆ ไม่ให้เขาไปรังแกผู้ใดอีก”
เพราะต้วนเล่อยกมือไหว้นางอยู่สาบแขนเสื้อจึงตกไปถึงข้อศอก เฟิงชิงถิงสังเกตเห็นว่าแขนสองข้างของเขามีรอยม่วงคล้ำอยู่หลายแห่ง ดูก็รู้ว่าร่องรอยนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน
“แขนท่านไปโดนสิ่งใดมา” นางถาม
“เอ่อ...ข้าหกล้ม ข้าหกล้ม” คนแซ่ต้วนตอบอย่างลนลาน
เฟิงชิงถิงไม่อยากจะเชื่อ แต่สายตาของเขานั้นเหมือนวิงวอนต่อนางว่าอย่าถามเขาอีกเลย นางจึงไม่ได้ถามต่อ และไม่คิดจะต่อความยาวเรื่องต่างๆ อีกต่อไป
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด เรื่องอื่นก็ขอให้แล้วต่อกัน ฝั่งของข้าเองก็ผิดที่ไม่สามารถคุมสติอารมณ์ได้ คุณชายต้วนเองก็เป็นแค่เด็ก ยังไม่รู้ประสา”
“ไม่ขอรับ ไม่ๆ คนของแม่นางไม่ผิด ไม่ผิดสักนิด เป็นลูกชายของข้าเองที่ไม่รู้เรื่อง ต่อไปข้าจะสั่งสอนให้เขาเอาแต่ร่ำเรียน ไม่ออกไปหาเรื่องผู้ใดอีกเป็นอันขาด”
“ขอบคุณท่านต้วนที่ใจกว้าง เช่นนั้นก็ลุกขึ้นเถิด”
ได้คำตอบที่พอใจแล้วต้วนเล่อก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางเก้ๆ กัง เหมือนจะเจ็บยอกไปทั้งร่าง เฟิงชิงถิงมองออกเพราะนางเป็นหมอ แต่นางก็ไม่ได้ถามต่อ กำลังจะลุกขึ้นต้วนเล่อก็รีบห้ามเอาไว้
“แม่นางไม่ต้องลุก แค่ท่านให้อภัยพวกเราก็ถือว่าเป็นบุญคุณมากแล้ว ต่อแต่นี้ท่านไม่ต้องห่วงว่าลูกของข้าจะมารังแกคุณหนูลี่อีก ข้าสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนั้นแน่นอน ส่วนนี้เป็นเงินปลอบขวัญของข้าให้แม่นางเลี่ยงโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ต้วนเล่อยื่นกล่องไม้ใบไม่เล็กไม่ใหญ่มาให้นางด้วยมืออันสั่นเทา
“ข้าไม่ต้องการเงินปลอบขวัญ แต่ก็ขอบคุณน้ำใจของท่าน”
“ไม่ได้ๆ ท่านต้องรับไว้ ได้โปรดแม่นางโปรดรับเงินนี้ไว้ด้วยเถิด ข้าขอร้องแม่นาง” ต้วนเล่ออ้อนวอนด้วยดวงตาแดงก่ำทำท่าจะร่ำไห้ออกมา
เมื่อเห็นความลำบากใจของเขาแล้ว นางจึงรับกล่องเงินนั้นไว้ เมื่อรับเสร็จ ต้วนเล่อก็ยื่นของอีกอย่างให้นาง มันเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง
“ข้าไม่ได้เปิดอ่านแน่นอน ขอแม่นางโปรดวางใจ”
เฟิงชิงถิงมองจดหมายในมือเขา ต้วนเล่อไม่สนใจรีบยัดจดหมายใส่มือนางคล้ายว่าจดหมายนั้นเป็นดั่งเปลวไฟที่กำลังเผามือเขาจนทนไม่ไหวต้องรีบส่งต่อให้คนอื่น เมื่อเขายัดจดหมายใส่มือเฟิงชิงถิงได้สำเร็จก็รีบร้อนเอ่ยลาและจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ชุ่ยเอ๋อร์ก็อดที่จะบ่นถึงท่าทางประหลาดของเขาไม่ได้
แล้วความสงสัยทุกอย่างก็ถูกคลี่คลาย หลังจากเฟิงชิงถิงเปิดจดหมายฉบับนั้นออกมาอ่าน ข้อความในจดหมายเป็นเนื้อความเพียงสั้นๆ ง่ายๆ ว่า
‘ขอบคุณแม่นางเฟิงที่ดูแลท่านประมุขอย่างดี พวกเราพรรคโลหิตอัคคีซึ้งในน้ำใจของแม่นางยิ่งนัก แต่เพราะยามนี้สาขาพรรคที่ด่านชายแดนต้าหลวนถูกชาวยุทธ์จับตาอยู่ ไม่สะดวกที่จะต้อนรับท่านประมุขกลับไป รอไม่นานให้พวกเราวางใจที่ซ่อนตัวใหม่แล้วจะรีบมารับตัวพวกท่านไปทันที ระหว่างนั้นโปรดพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ และไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีผู้ใดตามแม่นางและท่านประมุขเจอ’
ลงชื่อด้านท้ายจดหมายว่า ‘ถานเฟิงทูตซ้ายพรรคโลหิตอัคคี’
เฟิงชิงถิงเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดนายท่านต้วนผู้นั้นจึงเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ หากไม่ใช่ถูกคนของพรรคโลหิตอัคคีสั่งสอนแล้วจะมีผู้ใดได้อีกเล่า
ดังนั้นจดหมายฉบับนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า คนพรรคโลหิตอัคคีรู้แล้วว่าสือซานเหลียงอยู่ที่ใด ยามนี้ก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น คิดแล้วนางก็โล่งใจไปอีกเปราะหนึ่ง
อาการบาดเจ็บของเฟิงชิงถิงดีขึ้นตามลำดับ แม้ต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกนานหน่อย แต่การบาดเจ็บของนางก็ไม่เป็นปัญหาในการดำเนินชีวิตเท่ากับช่วงแรกๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องที่ต้องลำบากใจอยู่ดี
เรื่องที่น่าลำบากใจที่สุดคือเรื่องธุระส่วนตัวของนาง ก่อนหน้านี้นางลุกไม่ไหวเพราะอาการบาดเจ็บและพิษไข้ก็ต้องยอมอับอายที่ต้องทำธุระในห้องโดยให้สือซานเหลียงรออยู่นอกห้องแต่ดีที่มีฉากกั้นและประตูห้องกั้นเอาไว้ถึงสองชั้นนางจึงยังพอทำใจได้
หลังจากนอนพักรักษาตัวได้เจ็ดวันพอลุกไหวจึงคิดว่าใช้สุขาดีที่สุด เพราะคิดว่าแค่หลบไปไม่นานสือซานเหลียงคงไม่สนใจเหมือนเช่นเมื่อก่อนแต่ครั้งนี้กลับต่างกันเพราะสือซานเหลียงกลับเดินตามนางมาคล้ายว่าไม่ยอมให้นางคลาดสายตาแม้แต่นิดเดียว เรื่องนี้ทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด
“อาเหลียงไม่ต้องตามข้ามา” เฟิงชิงถิงหน้าร้อนผ่าวเมื่อสือซานเหลียงเดินตามมาถึงหน้าสุขา
“ท่านเหลียงคงจะเป็นห่วงแม่นางเลี่ยงหน้าดูนะเจ้าคะ รีบเข้าสุขาไปเถิดเจ้าค่ะ ดูท่าคงไม่ไปไหนแน่ๆ” ซินฝูที่วันนี้มีหน้าที่ดูแลนางเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม
“ท่านป้าข้าเดินกลับเองได้ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง” เฟิงชิงถิงหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม
“เช่นนั้นป้าไปก่อนนะเจ้าคะ หากมีสิ่งใดก็เรียกป้าหรือชุ่ยเอ๋อร์ได้นะเจ้าคะ” ซินฝูบอกก่อนจะจากไป
ยามนี้เหลือเพียงเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงเพียงสองคนนางจึงบอกกับเขาให้ถอยห่างห้องสุขาไป แต่สือซานเหลียงหรือจะเข้าใจ
เฟิงชิงถิงจึงจูงเขาเดินห่างจากห้องสุขาไกลกว่าเดิม แต่เมื่อนางเดินกลับไปที่ห้องสุขาเขาก็เดินตามมาด้วย
นางอยากจะร้องไห้
“เช่นนั้นปิดหูเอาไว้” เฟิงชิงถิงสั่ง
สือซานเหลียงไม่ขยับเฟิงชิงถิงจึงต้องเดินไปหาเขาใช้แขนข้างที่ไหล่ไม่เจ็บยกมือเขาปิดหูทีละข้าง“ห้ามเอามือลงจนกว่าข้าจะออกมา” นางบอกเขาก่อนจะปิดหูอีกข้างของเขาไว้
ก่อนเข้าสุขานางก็มองเขาอีกครั้ง เห็นเขายังเอามือปิดหูเช่นที่นางทำไว้ก็เข้าห้องสุขาได้อย่างสบายใจขึ้นเล็กน้อยแต่ที่นางไม่รู้คือแม้นางจะปิดหูเขาไว้แต่เพราะเขามีพื้นฐานวรยุทธ์ที่ดีแม้จะปิดหูเขาก็ยังพอได้ยินเสียงนางอยู่ดี
หากนางรู้ คาดว่าอย่างไรคงไม่ยอมให้เขาอยู่หน้าห้องสุขาเด็ดขาด!
หลังจากเหตุการณ์ที่สือซานเหลียงทำให้เฟิงชิงถิงบาดเจ็บ เหล่าสตรีนักปักผ้าน่าจะกลัวสือซานเหลียงมากขึ้น แต่พวกนางกลับดูหวาดกลัวเขาน้อยลง อีกทั้งบางคนยังมองนางด้วยสายตาอิจฉาอีกต่างห่าง เมื่อเฟิงชิงถิงถามกับชุ่ยเอ๋อร์จึงได้ความว่า
“ที่จริงก่อนหน้านี้เรากลัวท่านเหลียงเพราะหน้าตาและท่าทางที่ดุดันของเขาเจ้าค่ะ แต่วันที่เขาทำแม่นางเลี่ยงบาดเจ็บนั้น ท่าทางเขาน่าสงสารมากเจ้าค่ะ เขาทั้งคลุ้มคลั่งทั้งตกใจ กอดแม่นางเลี่ยงไม่ปล่อย พวกนางเห็นท่านเหลียงเป็นเช่นนั้นก็เห็นใจ และยิ่งรู้ว่าท่านเหลียงไม่แตะอาหารที่ข้านำไปให้หากแม่นางเลี่ยงไม่ได้กิน เอาแต่เดินตามแม่นางเลี่ยงไม่ยอมคลาดสายตา พวกนางก็ยิ่งเห็นใจท่านเหลียงเจ้าค่ะ”
เฟิงชิงถิงมองสือซานเหลียงที่นั่งเหม่ออยู่ที่มุมห้องด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“ที่ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ท่านเหลียงไม่ได้คำรามใส่ผู้ใดแล้วนะเจ้าคะ ดูเหมือนการที่ให้แม่นางเลี่ยงบาดเจ็บจะทำให้ท่านเหลียงคลายความดุดันลงเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์เอ่ยตามที่ตนเองคิด
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เฟิงชิงถิงยิ้มให้ใบหน้าที่เหม่อลอยของสือซานเหลียง นางเองก็เริ่มคิดว่าสือซานเหลียงเปลี่ยนไปเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอาการดีขึ้น หรือเขาอาจจะสงบเสงี่ยมเพราะรู้สึกผิดที่ทำนางบาดเจ็บ แต่คนสติไม่ดีนั้นคิดได้ด้วยหรือ เรื่องนั้นนางไม่แน่ใจ
เอาเป็นว่าช่วงนี้สือซานเหลียงไม่ออกฤทธิ์ออกเดชก็ถือว่าดีแล้ว เพราะนางเองก็บาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่สะดวก หากเขายังก่อเรื่องไม่เลิก คาดว่าอีกไม่นานชาวยุทธ์คงสืบรู้แน่ว่าสือซานเหลียงประมุขพรรคมารกบดานอยู่ที่นี่
ช่วงหลังมานี้เฟิงชิงถิงไม่ได้ออกไปที่ใดจึงไม่รู้ข่าวเรื่องภายนอกเท่าใดนัก กลางวันนางจึงเลือกมานั่งอยู่ที่เรือนปักผ้า ฟังเรื่องที่เหล่าสตรีที่มือไม่ว่างแต่ปากว่างทั้งหลายสนทนากัน เป็นการได้รู้ข่าวภายนอกโรงผ้าปักไปพร้อมกับให้สือซานเหลียงเคยชินกับการอยู่กับคนหมู่มากด้วย ซึ่งช่วงนี้สือซานเหลียงสามารถนั่งอยู่ในกลุ่มคนที่คุยกันจอแจโดยไม่บ่น น่ารำคาญ อย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดีอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเหล่าสตรีต่างวัยที่นั่งปักผ้าเป็นงานหลักนั้นก็ดูต้อนรับนางและสือซานเหลียงไม่น้อย มักจะหาเรื่องมาชวนคุยและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังโดยไม่ปิดบัง
“แม่หนูเลี่ยงเจ้าไม่ออกไปด้านนอกก็ดีแล้ว ยามนี้ในตลาดคนเดินกันแน่นกว่าเดิมอีก ทั้งชาวยุทธ์ทั้งคนต่างแคว้นเดินสวนกันจนข้ายังปวดหัว ยิ่งอาการบาดเจ็บเช่นนี้ด้วย หากต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้ ข้าผ่านตลาดทุกวันแล้วจะซื้อมาให้ ไปเบียดกับคนพวกนั้นอาการช้ำในกำเริบพอดี” สตรีอายุประมาณห้าสิบบอกเฟิงชิงถิงอย่างมีน้ำใจ
ยามนี้ทุกคนต่างเรียกเฟิงชิงถิงว่าแม่หนูเลี่ยง เรียกสือซานเหลียงว่าอาเหลียงกันทุกคน เหลือเพียงชุ่ยเอ๋อร์และซินฝูที่ยังคงยึดมั่นในหน้าที่และหลักปฏิบัติว่า แขกของฮูหยินก็เหมือนญาติสนิทของฮูหยิน พวกนางจึงเรียกเฟิงชิงถิงว่า แม่นางเลี่ยงเช่นเดิม
“ขอบคุณท่านป้าที่หวังดีเจ้าค่ะ” เฟิงชิงถิงเองก็อยากจะซื้อของบางอย่างเพื่อทำหน้ากากแปลงโฉมเพิ่มเช่นกัน แต่เพราะยามนี้แขนอีกข้างยังใช้ไม่ดีหากทำยามนี้หน้ากากอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติ จึงรอให้แขนหายดีก่อนจึงค่อยทำ
“แต่จะว่าไปก็แปลกนะ ข้าเห็นชาวยุทธ์พวกนั้นบางคนถือรูปเหมือนของชายผู้หนึ่งและสตรีนางหนึ่งด้วย หน้าตามีหนวดมีเคราน่ากลัวเหมือนอาเหลียงเนี่ยแหละ ถ้าข้าไม่ได้ยินเขาคุยกันว่าเป็นประมุขพรรคมารอะไรสักอย่าง ข้าต้องคิดว่าเป็นอาเหลียงแน่ๆ ส่วนสตรีนั้นหน้าตาก็สะสวยแต่คาดว่าไม่ใช่คนแถวนี้เพราะข้าไม่คุ้นหน้า” สตรีอีกคนเอ่ย
พวกคนสำนักเมฆาขาวคงจะวาดรูปสือซานเหลียงและรูปของนางยามพวกเขาเจอครั้งสุดท้ายแจกจ่ายให้ชาวยุทธ์เป็นแน่ โชคดีที่ยามนั้นนางสวมหน้ากากแปลงโฉมใบหน้าจึงไม่เหมือนยามนี้ เฟิงชิงถิงคิดแล้วก็ลอบถอนหายใจ เห็นทีคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว...
ระยะหลังมานี้เฟิงชิงถิงเริ่มเคยชินกับการลืมตาขึ้นมาแล้วต้องเห็นสือซานเหลียงนอนอยู่ข้างกาย บางครั้งในเวลาที่เฟิงชิงถิงเข้านอนนางก็นอนคนเดียวตลอด แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าสือซานเหลียงอยู่บนเตียงเดียวกับนางทุกครั้ง
หากจะให้คิดก็คงเหมือนสุนัขที่ต้องการความอบอุ่นตัวหนึ่ง เพราะนอกจากที่มานอนใกล้นางแต่ไม่ได้สัมผัสนางเขาก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นแต่อย่างใด นางจึงคิดว่าเพราะสือซานเหลียงสติไม่ดีจึงมีท่าทีแปลกๆ เช่นนี้ หลังจากคิดได้ นางก็ไม่ได้ต่อว่าหรือห้ามเขาอีกเลย เพราะรู้ว่าห้ามอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง และในเมื่อเขายอมนอนใกล้นางเช่นนี้ นั่นแปลว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางเริ่มเรียกว่าสนิทกันแล้วใช่หรือไม่
ก่อนหน้านี้เฟิงชิงถิงคิดจะโกนหนวดเคราให้เขา ปรากฏว่าถูกเขาทั้งปัดมือทั้งคำรามใส่ อย่างไรก็ไม่ยอมให้นางโกนให้ แต่เพราะยามนี้ชาวยุทธ์ต่างมีรูปของสือซานเหลียงอยู่ในมือ หากเผยแพร่ออกไปมากเท่าใดฐานะของสือซานเหลียงก็อาจจะเปิดเผยได้ไวเท่านั้น ดังนั้นนางจึงคิดจะโกนหนวดเคราให้เขา
เป็นดังคาด ครั้งนี้สือซานเหลียงไม่ขัดขืนที่นางโกนหนวดให้แม้แต่น้อย เขายอมนั่งให้นางโกนหนวดให้พร้อมกับเสียงทุ้มที่คล้ายหัวเราะในลำคอเหมือนมีเรื่องดีบางอย่าง การขยับน้อยๆ เพราะการหัวเราะในลำคอ ทำให้เฟิงชิงถิงยิ่งกลัวว่าจะทำมีดบาดคอเขาจนได้แผล แต่ว่าเขาอารมณ์ดีอยู่ใช่หรือไม่
“ฟู่” นางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไหล่ขวาที่เจ็บเกร็งไปบ้างแต่ก็ยังพอทนไหวเพราะใกล้จะหายดีแล้ว มองดูบุรุษที่นั่งตรงหน้าแล้วจิตใจก็สั่นไหวขึ้นมาแปลกๆ
ยามนี้ใบหน้าของสือซานเหลียงเกลี้ยงเกลาด้วยฝีมือของนาง แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงคือใบหน้าภายใต้หนวดเคราของเขาจะทำให้หัวใจของนางเกิดอาการแปลกๆ
นางลืมไปได้อย่างไรว่าใบหน้าที่แท้จริงเขาเป็นอย่างไร คิ้วหนารูปกระบี่เฉียงขึ้นเข้ากับดวงตาคมเข้มดุดัน จมูกโด่งเป็นสันรับกับปากได้รูปที่ปิดสนิทเผยให้รู้ว่าเป็นคนนิสัยเฉียบขาด แนวกรามแข็งแรงที่เข้ากับโครงหน้ายิ่งทำให้คนผู้นี้มีกลิ่นอายความหยิ่งผยองและเผด็จการ เมื่อรวมไปถึงรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายแล้ว สือซานเหลียงในยามนี้ก็ดูองอาจผึ่งผายแต่ก็แฝงความร้ายกาจเอาไว้ไม่ต่างกับสือซานเหลียงผู้เป็นประมุขพรรคโลหิตอัคคีแม้แต่น้อย ต่างกันที่แววตาดุดันไม่ได้ดูร้ายกาจเท่าใดนัก ออกจะดูอ่อนโยนด้วยซ้ำเวลามองนาง
อ่อนโยนหรือ!
เฟิงชิงถิงตกใจกับความคิดของตนเอง เขาจะมองนางอย่างอ่อนโยนได้อย่างไร นางเข้าใจผิดแล้ว อีกทั้งเขายังสติไม่ดีอีกต่างหาก นางคงคิดไปเอง
ใบหน้าของสือซานเหลียงไม่เพียงสร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้เฟิงชิงถิง แต่ยังสร้างความตื่นตะลึงให้เหล่านักปักผ้าไม่น้อย
“นี่คืออาเหลียงจริงหรือ” หนึ่งในกลุ่มสตรีนักปักผ้ามองใบหน้าสือซานเหลียงด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ไม่คิดว่าอาเหลียงโกนหนวดเคราแล้วจะหน้าตาดีเช่นนี้ หากข้าอ่อนกว่านี้สักยี่สิบปี แม่หนูก็คงจะมีคู่แข่งตัวฉกาจแล้ว” ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจกับคำหยอกเย้านี้ มีเพียงเฟิงชิงถิงทีพูดสิ่งใดไม่ออกเพราะความอับอาย
“ในที่สุดกลุ่มปักผ้าของเราก็มีของสวยๆ งามๆ ไว้ดูเล่นกันแล้ว เช่นนี้แล้วข้าคงมีแรงใจมาปักผ้าทุกวันเลย” สตรีในวัยห้าสิบกว่าเอ่ยแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
ทุกคนหันไปดูสือซานเหลียงที่นั่งนิ่งแล้วก็หัวเราะชอบใจออกมาเช่นกัน เฟิงชิงถิงเองก็ไม่ต่างกับผู้อื่นนางหัวเราะกับท่าทีขี้เล่นของเหล่านักปักผ้า
‘ขึ้นสิบห้าค่ำ ยามสือ รอรับประตูหลังโรงผ้าปัก ระวังคนสำนักเมฆาขาว’
ข้อความสั้นๆ นี้ถูกนำมาไว้ในห้องพักของเฟิงชิงถิง นางเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องอย่างเปิดเผยในเช้าวันหนึ่ง ดีที่นางตื่นก่อนที่ชุ่ยเอ๋อร์จะเข้ามา เมื่อเห็นกระดาษและอ่านเสร็จนางก็ทำลายทันที
ข้อความนี้เป็นข้อความจากคนของพรรคโลหิตอัคคีไม่ผิดแน่ อีกสามวันเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ วันนั้นคนพรรคโลหิตอัคคีจะมารับตัวสือซานเหลียง เมื่อนางพาเขาไปและให้คนที่มีวรยุทธ์แก่กล้าทะลวงจุดลมปราณให้ เขาก็จะหายจากอาการสติไม่ดี แล้วความสัมพันธ์ของนางและเขาก็คงจบลงเพียงเท่านั้น
นางยินดีที่ได้รู้ว่าในที่สุดสือซานเหลียงก็จะหายจากอาการสติไม่ดี แต่นอกจากความยินดีแล้วนางก็พบว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่เจืออยู่ในนั้นด้วย ความรู้สึกคล้ายความเศร้าใจ แต่นางเศร้าใจด้วยเรื่องใดกันเล่า
“แม่นางเลี่ยงเจ้าคะ ตื่นหรือยังเจ้าคะ” ความคิดที่ล่องลอยของเฟิงชิงถิงถูกเสียงเรียกของชุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่หน้าประตูดึงกลับมา
เฟิงชิงถิงเลิกสืบหาความรู้สึกเศร้าหมองในใจของตนเอง แล้วกลับมาคิดถึงเรื่องอนาคตอีกครั้ง ในเมื่อสือซานเหลียงกำลังกลับไปเป็นสือซานเหลียงคนเดิมแล้ว ทุกอย่างก็มีแต่จะกลับเป็นดังเดิม นางก็คงต้องออกเดินทางเพียงลำพังเช่นเดิม ดังนั้นตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรให้นางพ้นจากเงื้อมือของคนแคว้นเจิ้งไปได้เท่านั้นเอง
ก่อนที่เฟิงชิงถิงจะไป นางคิดจะไปบอกลาซย่าเจี่ยลุ่ยเพราะซย่าเจี่ยลุ่ยมีบุญคุณให้ที่อยู่และดูแลนางยามได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่ในเที่ยงวันต่อมาซย่าเจี่ยลุ่ยมาโรงผ้าปักนางจึงได้ทำอย่างที่ตนตั้งใจ
“ป้าซินบอกว่าท่านช่วยรักษามือของพวกนางจนอาการดีขึ้น แล้วจะบอกว่าข้ามีบุญคุณต่อเจ้าได้อย่างไร เจ้าต่างหากที่ช่วยให้โรงปักผ้าของข้าไม่ขาดนักปักผ้าฝีมือดี” ซย่าเจี่ยลุ่ยเอ่ยหลังจากที่เฟิงชิงถิงกล่าวขอบคุณนาง
“หากเรื่องที่ข้าช่วยรักษามือของพวกนางเป็นการช่วยเหลือกิจการของฮูหยินข้าก็ยินดี” เฟิงชิงถิงบอก
หลายวันมานี้จากที่เฟิงชิงถิงมานั่งร่วมสนทนากับเหล่าสตรีผู้มีอายุนั่งปักผ้านางก็สังเกตเห็นว่ามีหลายคนที่มือมีอาการไม่ต่างกับซินฝู สาเหตุคงมาจากปักผ้ากันเป็นเวลานาน ท่านป้าเหล่านี้ดีต่อเฟิงชิงถิงกันเกือบทุกคน เฟิงชิงถิงจึงอดไม่ได้ที่จะเสนอตัวรักษาอาการมือของพวกนางโดยอ้างว่าตนเองก็เคยเป็น เหล่าท่านป้าต่างก็ดีใจยินยอมให้เฟิงชิงถิงรักษาและเชื่อคำแนะนำของนางเพราะเห็นว่ามือของซินฝูอาการดีขึ้น
“หากมีโอกาสข้าก็อยากให้เจ้ากลับมาเยี่ยมเราบ้าง” ซย่าเจี่ยลุ่ยเอ่ยต่อ
“หากมีโอกาส ข้าจะกลับมาแน่นอนเจ้า” เฟิงชิงถิงบอก
“เช่นนั้นขอให้แม่นางเลี่ยงเดินทางโชคดี”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ซย่าเจี่ยลุ่ยและเฟิงชิงถิงถือโอกาสใช้อาหารมื้อเที่ยงมื้อนั้นเป็นการเลี้ยงอำลา แต่พวกนางไม่รู้ว่าระหว่างที่พวกนางดื่มน้ำชาคารวะในการล่ำลานั้น บ่าวในครัวที่ซย่าเจี่ยลุ่ยเพิ่งรับมาไม่นานนั้นมีท่าทีแปลกๆ บ่าวคนนั้นยกอาหารเข้ามาก็แอบมองสือซานเหลียงไปพลาง จนเมื่อเขาทำงานของตนเสร็จแล้วก็รีบร้อนออกจากโรงผ้าปักไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อยืนยันกับแขกกลุ่มหนึ่งที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นว่าเขาเจอคนในรูปภาพแล้ว แม้ยามนี้คนในรูปภาพจะไม่มีหนวดและเคราแล้วก็ตาม
หลังจากลูกจ้างในครัวของโรงผ้าปักกลับออกไปพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง บุรุษสองคนในชุดสีฟ้าอ่อนก็หันมาสบตากัน
“ในที่สุดก็พบร่องรอยเขาจนได้ ครานี้จะต้องไม่พลาด” หยวนถังเอ่ยอย่างยินดี
“แล้วศิษย์พี่คิดจะทำอย่างไร” ไป๋มู่ลูบคางพลางเอ่ยถาม
“แจ้งชาวยุทธ์ เพื่อให้พวกเขาร่วมมือกับเรากำจัดภัยยุทธภพ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้สึกว่าสือซานเหลียงผู้นั้นดูแปลกๆ หรือ” ไป๋มู่ยังจำท่าทีของสือซานเหลียงในคราก่อนได้
“แปลกๆ แล้วอย่างไร คนผู้นั้นก็แปลกๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรามีหน้าที่แค่ช่วยท่านอาจารย์กำจัดภัยร้ายของยุทธภพเท่านั้น หากทำสำเร็จยุทธภพก็จะกลับมาสุขสงบดังเดิม ไป๋มู่เจ้าอย่าเอาแต่ถามเลย ข้ามีเรื่องต้องจัดการอีกมาก ต้องส่งข่าวเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์รู้ อีกทั้งยังต้องให้ศิษย์น้องไปกระจายข่าวให้ชาวยุทธ์รู้อีกต่างหาก หากเจ้าว่างก็มาช่วยข้าหน่อย ไปตรวจสอบว่าคนผู้นั้นใช่สือซานเหลียงจริงหรือไม่” หยวนถังบอก
“ขออภัยศิษย์พี่ บังเอิญข้าเพิ่งจำได้ว่ามีธุระขอตัว” ไป๋มู่บอกด้วยสีหน้าทะเล้นก่อนจะรีบเผ่นออกจากห้องไป
“เจ้าศิษย์น้องไร้ประโยชน์ หากไม่ถือว่าเป็นญาติของเจ้าสำนักข้าจะลงโทษให้เจ้าคัดกฎสำนักร้อยจบ”
“ขออภัยศิษย์พี่ คัดไปก็เท่านั้นข้าจำได้ขึ้นใจแล้ว” เสียงทะเล้นตอบกลับมาก่อนร่างจะหายวูบไป
หยวนถังมองศิษย์น้องด้วยใบหน้าระอาเต็มทีก่อนจะหันไปทำงานของตนเอง ส่วนคนที่ถูกตำหนิใบหน้าก็เปลี่ยนจากทะเล้นกลับเป็นจริงจังอีกครั้ง เขากระโดดข้ามกำแพงมุ่งไปยังทิศของโรงผ้าปักทั้งที่ปากบอกว่าไม่ไป
--------------------------------------------
------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สนุกดีค่ะ รอตอนต่อไป มาเร็วๆนะ
ทีนี้หมั่นโถวก็จะถูกกินแล้ว ถ้ารักษาหาย
เราว่าช่วงประทับความสัมพันธ์สำคัญออก
อย่าลืมว่าพี่ใหญ่สติไม่ดี ถ้าไม่สร้างช่วงเวลานี้ให้เกิดขึ้นพอเหมาะ เวลาพี่ใหญ่คืนสติ แล้วมาชอบหมั่นโถวมันจะรู้สึกปลอมๆ เพราะพื้นนิสัยแกบ้าพลัง ไม่ค่อยคิดเรื่องชญ
หมั่นโถวจ๋า อาการนี้เค้าเรียกว่ารักนะ ^__^
ไป๋มู่จะมาดีหรือร้าย คงจะหนีไม่ทันแล้วเพราะคนพวกนี้มาก่อนวันนัด น่าเป็นห่วง ขอบคุณค่ะ
มาต่อไวๆ...
คือ สนุกดีค่ะ แต่อยากให้ลงเร็วๆ อย่าหายนาน
มาต่อไวไวนะ
การดำเนินเรื่องเห็นหลายคนบ่นว่าช้า
เราคิดว่าเพราะมันเป็นการลงเนื้อหาแบบออนไลน์เป็นตอนๆ จึงทำให้ดูช้ากระมัง แต่ถ้าอ่านรวดเดียวเป็นเล่มก็ปรกตินะ
สำหรับเราชอบอ่านนิยายที่มีพัฒนาการของตัวละคร และไม่ชอบนางเอก-พระเอกแมรี่ซู เก่งเร็ว รักเร็ว เราว่าเราชอบการดำเนินเรื่องแบบนี้มากกว่า
ไรท์จะให่กลับพรรคโดยไว หรือยืดออกไปอีกหลายตอนนะ
5555 ชินล่ะ นิยายไรท์สนุกนะ แต่ติดที่ว่ายืดเยื้อไปมาก
เลยทำให้คนที่อ่านแบะไม่ได้ตามจริงๆ แบบเรา คงประมาณว่า
อีกหลายๆ ตอนมาอ่านทีเดียว เรื่องก็ยังไม่เดินไปไหน 555
แต่เราเข้าใจไรท์มันคงเป็นสไตล์การเขียนของไรท์ เรื่องพล็อต
ต่างๆ มันถูกวางไว้หมดแล้ว คนที่ชอบอ่านอะไรไวๆ คงไม่ชิน