ตอนที่ 12 : ตอนที่ 11 (100%)
การอยู่ในหอพักเรือนผ้าปักผ่านไปอย่างราบรื่น แต่เรื่องที่เฟิงชิงถิงแปลกใจคือ เหตุใดตอนเช้าสือซานเหลียงมักนอนอยู่บนเตียงของนาง เมื่อวานนางตื่นขึ้นมาก็พบเขานอนอยู่บนเตียงของนาง แต่เพราะเรื่องเข็มที่หายไปทำให้นางลืมนึกถึง ตอนค่ำนางจึงคิดว่าเขาอาจจะชอบนอนเตียงเล็ก นางจึงยกเตียงเล็กให้เขา ส่วนนางไปนอนเตียงใหญ่เอง แต่กลายเป็นว่าเช้าวันนี้เขาก็ยังนอนอยู่บนเตียงหลังเดียวกับนางอยู่ดี
ดังเช่นเช้านี้ เมื่อตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของสือซานเหลียงอยู่ห่างหน้าอกของนางไม่เท่าไหร่ นางก็ใจหายวาบ หายงุนง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว
“สือซานเหลียง บุรุษกับสตรีไม่ควรใกล้ชิด ท่านรู้บ้างหรือไม่” นางอดจะถลึงตาใส่เขาไม่ได้
สือซานเหลียงที่นอนหลับตาอยู่ รู้สึกได้ว่าร่างบางลุกขึ้นนั่งเขาก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งตามด้วยท่าทางไม่รีบร้อน อีกทั้งยังไม่สนใจสายตาที่ถูกนางถลึงใส่หรือคำถามที่นางถามเขา
“สือซานเหลียงตกลงท่านชอบนอนเตียงใดกันแน่” เห็นเขาไม่ตอบนางก็เริ่มไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ข่มความไม่พอใจนั้นกลับเข้าไปเหมือนเดิม
จะเอาอะไรกับคนบ้าเช่นเขาเล่า
เฟิงชิงถิงถอนใจยาวอีกครั้ง ตั้งแต่พบสือซานเหลียงนางจำไม่ได้ว่าถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว ตั้งแต่พบกับเขาแทบจะไม่มีเช้าใดที่นางตื่นขึ้นมาอย่างสงบสุข
“เฮ้อ” นางถอนหายใจอีกครั้ง เห็นเงาคนที่เดินผ่านมายังห้องของนาง เฟิงชิงถิงก็รีบลงจากเตียงใหญ่ออกห่างสือซานเหลียงในทันที
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะเบาๆ
“แม่นางเลี่ยง ตื่นหรือยังเจ้าคะ ชุ่ยเอ๋อร์ยกอ่างน้ำล้างหน้ามาให้เจ้าค่ะ”
“เข้ามาได้ชุ่ยเอ๋อร์” เฟิงชิงถิงบอกด้วยเสียงราบเรียบ
ที่จริงแล้วเฟิงชิงถิงไม่ชินกับการมีสาวใช้เท่าใดนัก ก่อนที่นางจะอยู่คนเดียวนางก็อยู่กับท่านปู่สองคนมาตลอด อยู่กันแบบชาวบ้านทั่วไปไม่มีสาวใช้ ทุกอย่างนางล้วนทำเองหมด ยามนี้มีชุ่ยเอ๋อร์ทำนู่นทำนี่ให้ นางจึงไม่เคยชิน แต่ชุ่ยเอ๋อร์ก็ยืนยันว่าเป็นคำสั่งของฮูหยินไม่อาจจะขัดได้สุดท้ายเฟิงชิงถิงจึงยินยอม
ชุ่ยเอ๋อร์ยกอ่างน้ำใบเล็กเข้ามาพร้อมกับผ้าสะอาดผืนเล็กสองผืน นางวางอ่างน้ำไว้ที่มุมห้องซึ่งมีฉากกั้นไว้ เมื่อวางเสร็จก็ส่งยิ้มให้เฟิงชิงถิง
“ขอบใจเจ้ามาก ชุ่ยเอ๋อร์” เฟิงชิงถิงบอกด้วยใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวเพราะร้อนตัวที่อยู่ร่วมห้องกับบุรุษ แต่ก็ทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามอีกเรื่อง “คุณหนูลี่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” เฟิงชิงถิงคิดจะไปตรวจอาการลูกสาวของซย่าเจี่ยลุ่ยและออกไปสืบข่าวเรื่องพรรคโลหิตอัคคีด้วย
“ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าหายไข้แล้ว” ชุ่ยเอ๋อร์ตอบ พยายามไม่หันไปมองบริเวณเตียงหลังใหญ่ที่มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ แม้จะนั่งเงียบๆ แต่ท่าทางดุดันนั้นก็ข่มขวัญสตรีขวัญอ่อนเช่นนางไม่น้อย “ฮูหยินบอกว่าวันนี้จะเข้ามาที่โรงผ้าปักและจะมาหาแม่นางเลี่ยงด้วยเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอลงไปเตรียมอาหารให้พวกท่านก่อนนะเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์บอกก่อนจะรีบออกไป
เมื่อพ้นจากประตูห้องไปได้ ชุ่ยเอ๋อร์ก็ปาดเหงื่อที่ผุดซึมออกมาอย่างโล่งอก คนผู้นั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว แม้แต่นั่งเฉยๆ ไม่ได้คำรามหรือจะทำร้ายนาง แต่กลิ่นอายความดุดันนั้นก็ยังคงแผ่กระจายออกมาจนชุ่ยเอ๋อร์ไม่อยากจะอยู่ในห้องนั้นนาน ไม่รู้ว่าแม่นางเลี่ยงทนได้อย่างไร หากเป็นญาติของนาง นางก็คงไม่กล้าอยู่กับคนสติไม่ดีเช่นนี้ น่ากลัวเกินไป ว่าแล้วก็คิดไปถึงสิ่งที่ป้าซินสันนิษฐาน
“ท่าทางดุดันเช่นนั้นเป็นข้าอย่างไรก็ไม่มีวันรักแน่ ป้าซินต้องคิดผิด” ชุ่ยเอ๋อร์ส่ายหน้ารวดเร็ว “พวกเขาจะเป็นอะไรบ่าวเช่นข้าก็ไม่เกี่ยวด้วยเสียหน่อย” นางรำพันกับตัวเองก่อนจะกลับไปทำงานอย่างอื่นต่อ
หลังจากเช็ดหน้าและสางผมให้สือซานเหลียงแล้วเฟิงชิงถิงก็จัดการกับตัวเองอย่างลวกๆ นางไม่อยากให้สือซานเหลียงรอนานเพราะกลัวเขาจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา อีกทั้งนางก็ไม่เคยชินที่ให้ผู้ใดมานั่งมองนางเวลาสางผม
ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะอาการลมปราณตีกลับ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนๆ เวลาที่แววตาดุดันคู่นั้นจับจ้องตรึงนิ่งไม่ไหวติงเช่นนั้น
“ไปกินข้าวกันเถิด ท่านคงรอนานแล้ว” สางผมเสร็จนางก็ลุกขึ้นบอกกับเขา กลบเกลื่อนร่องรอยความเขินอายด้วยสีหน้าราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่รู้ว่าเขาสติไม่ดี แต่หัวใจของนางกลับเต้นแรงแปลกๆ เพราะถูกเขามองนาน
แต่ยังไม่ทันออกเดิน สือซานเหลียงก็ยื่นของบางอย่างให้นางด้วยใบหน้าดุดัน นางก้มมองมือเขาที่กำบางอย่างแน่นก็ต้องแปลกใจ
“เข็มของข้า ท่านหาเจอหรือ” นางเงยหน้าถามเขาด้วยความซึ้งในน้ำใจ เมื่อคืนนางก็พยายามหาแต่ไม่เจอ หรือว่าเมื่อวานที่เขาเอาแต่นั่งเหม่อในห้องนั่นคือกำลังมองหาเข็มให้นาง
เขาไม่ได้ตอบแต่ใบหน้านั้นดุดันกว่าเก่าคล้ายว่าต้องข่มอารมณ์บางอย่างเอาไว้อย่างถึงที่สุด เฟิงชิงถิงรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่คิดจะตอบนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณแล้วหยิบเข็มในมือเขา แต่กลายเป็นว่าเขาไม่ปล่อยเข็มในมือให้นางง่ายๆ
“ฮื่ม...” ยิ่งเฟิงชิงถิงพยายามดึงเข็มในมือเขาออก เขาก็ยิ่งกำเข็มแน่น พร้อมกับคำรามในลำคออีกต่างหาก
ยื้อกันไปมาอยู่นานสุดท้ายเฟิงชิงถิงก็เงยหน้าขึ้นถามเขา
“สือซานเหลียง ท่านไม่ได้หามาให้ข้าหรอกหรือ”
คิ้วหนาขมวดแทบจะเป็นปม ใบหน้านิ่วด้วยความขัดใจ เขาแหงนหน้าคำรามเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งจนเฟิงชิงถิงสะดุ้ง แต่เขาก็ยอมปล่อยเข็มในมือ
เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างโล่งอกรีบเก็บเข็มลงในกระบอก คิดว่าการยอมคืนเข็มให้นางเป็นเรื่องขัดต่อความรู้สึกของเขามาก แต่เขาก็ยอมคืนให้นาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดอย่างไร ดวงตาคู่หวานมองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่ชอบเข็มก็เพราะนาง นางจึงสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปนี้หากไม่จำเป็นถึงชีวิตของผู้ใดนางจะไม่ใช้เข็มกับเขาอีกเป็นอันขาด
นางเดินไปลูบแขนของเขาเอ่ยอย่างปลอบโยน “สือซานเหลียง ข้าสัญญาว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่ใช้เข็มกับท่านอีก ไปกินข้าวกันเถิด” เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่ตอบรับกับคำพูดของนาง เฟิงชิงถิงจึงเดินออกไปห้องอาหารโดยมีสือซานเหลียงเดินตาม
ร่างสูงใหญ่เดินตามมาอย่างว่าง่าย คิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายออกพร้อมกับสายตาคู่ดุดันที่เลื่อนไปมองแขนที่เพิ่งถูกลูบเบาๆ อย่างเหม่อลอย ก่อนจะรำพันออกมา “หมั่นโถว”
“ข้ารู้ว่าท่านหิวแล้ว นี่อย่างไรเล่าเรากำลังไปกินข้าว” นางยิ้มตอบคิดว่าเขาคงหิวข้าว ไม่ได้คิดว่าเขามีความหมายอื่นแฝงแต่อย่างใด
กินอาหารเช้าเสร็จไม่นาน ซย่าเจี่ยลุ่ยก็มาพอดี นางจูงลูกสาวเข้ามาหาเฟิงชิงถิง มีไฉ่เอ๋อร์ตามมาด้วย
“ลี่เอ๋อร์ มาคารวะและขอบพระคุณ แม่นางเลี่ยงเสีย” ซย่าเจี่ยลุ่ยบอกกับลูกสาว วันนี้เห็นว่าอาการของเด็กหญิงดีขึ้นมาก ไข้ก็แทบไม่มีจึงรีบพานางมาขอบคุณผู้มีพระคุณเสียก่อน
“ลี่เอ๋อร์คารวะแม่นางเลี่ยงเจ้าค่ะ ขอบพระคุณมากที่ท่านช่วยชีวิตลี่เอ๋อร์เอาไว้เจ้าค่ะ” เด็กน้อยทำตามคำสั่งมารดาอย่างว่าง่าย พวงแก้มสีขาวอมชมพูสีเรื่อกว่าครั้งที่แล้ว แต่เมื่อเห็นบุรุษร่างใหญ่ท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ข้างผู้ที่มารดาเรียกว่าแม่นางเลี่ยงเด็กน้อยก็อดจะหวาดกลัวไม่ได้
“เด็กดี” เฟิงชิงถิงยิ้มก่อนจะตรวจชีพจรให้เด็กน้อย “อาการดีขึ้นมากแล้วแต่ยังมีไข้อยู่เล็กน้อย ฮูหยินไม่น่าพานางออกมาตากลมเลย” เห็นคนอื่นเรียกซย่าเจี่ยลุ่ยว่าฮูหยิน เฟิงชิงถิงจึงเรียกตาม
“ข้าอยากให้ลี่เอ๋อร์มาขอบคุณแม่นางเลี่ยงไวๆ ตอนนี้ก็อาการดีขึ้นมากแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้ต้องแอบออกไปข้างนอกอีกแน่ ข้าไม่ไว้ใจ” ซย่าเจี่ยลุ่ยรู้นิสัยลูกสาวดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่วงอาการของเด็กน้อยอยู่ดี “แม่นางเลี่ยง ไม่ทราบว่าอาการของลี่เอ๋อร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่”
เฟิงชิงถิงมองซย่าเจี่ยลุ่ยก่อนจะยิ้มให้เด็กน้อย “เช่นนั้นลองบอกท่านน้ามาสิว่าวันก่อนนั้น ก่อนที่ลี่เอ๋อร์จะไม่รู้เรื่องว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มีเรื่องใดกัน”
เด็กหญิงเม้มปากแน่นจนซย่าเจี่ยลุ่ยแปลกใจ “มีเรื่องที่ไม่ได้เล่าให้แม่ฟังหรือลี่เอ๋อร์”
ดวงตาคู่สุกใสเริ่มแดงก่อนจะมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ เสียงเล็กบอกอย่างอู้อี้ “ลี่เอ๋อร์อยากกินน้ำตาลปั้น จึงออกไปซื้อ เมื่อซื้อเสร็จก็เดินกลับบ้าน แต่ระหว่างทางเจอต้วนอี่เข้า เขาล้อลี่เอ๋อร์ที่ลี่เอ๋อร์ไม่มีท่านพ่อ ลี่เอ๋อร์โกรธเขามากผลักเขาล้มแล้วก็วิ่งหนีมา หลังจากนั้นลี่เอ๋อร์ก็จำไม่ได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าค่ะ” เอ่ยจบน้ำตาเม็ดใสก็ร่วงเผาะลงข้างพวงแก้มทั้งสองข้าง
“โถ ลี่เอ๋อร์ของแม่” ซย่าเจี่ยลุ่ยเดินเข้าไปสวมกอดลูกสาว น้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน “ไม่มีท่านพ่อแต่แม่คนนี้ยังอยู่ แม่จะดูแลลี่เอ๋อร์จะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้ลี่เอ๋อร์เอง”
“ท่านแม่” เด็กน้อยกอดมารดาพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น
“ลี่เอ๋อร์” เพราะสงสารลูกสาวจับใจ ซย่าเจี่ยลุ่ยจึงพาลร้องไห้ตามลูกสาวไปด้วย แต่ทั้งสองก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงทุ้มตวาดออกมา
“รำคาญ!”
เฟิงชิงถิงหน้าแดงด้วยความอับอาย จะให้เขาไกลจากนาง นางก็ไม่ไว้ใจเกรงว่าเขาจะไปทำร้ายผู้อื่น จึงได้แต่ให้เขาอยู่ใกล้ตัวเช่นนี้ นางกระตุกแขนเสื้อของสือซานเหลียงที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆ ไม่ให้เขาเอ่ยสิ่งใด รีบหันไปยิ้มกับสองแม่ลูก
“ลี่เอ๋อร์หากคราวหน้าเด็กคนนั้นมาหาเรื่องเจ้าอีก เจ้าก็ไม่ต้องสนใจรู้หรือไม่ ยิ่งเราสนใจเด็กเกเรพวกนั้นก็ยิ่งได้ใจ อยู่ในนี้อาจจะอึดอัด อยากออกไปด้านนอกหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” ลี่เอ๋อร์ตอบด้วยเสียงสั่นๆ เพราะกลัวสือซานเหลียงที่ดุดัน
“เช่นนั้นท่านน้าขอคุยกับท่านแม่ของเจ้าสักครู่หนึ่งได้หรือไม่”
เด็กน้อยพยักหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาอีกครั้ง
“พาคุณหนูไปกินของว่างที่ห้องอาหารเถิด” ซย่าเจี่ยลุ่ยหันไปบอกสาวใช้คนสนิท อุ้มเด็กหญิงขึ้นมาซับน้ำตาก่อนจะให้ไฉ่เอ๋อร์พาออกไป
“ฮูหยินโปรดอย่าได้ถือสาอาเหลียง” เฟิงชิงถิงบอกกับซย่าเจี่ยลุ่ย หลังจากที่ลี่เอ๋อร์ถูกพาออกไปแล้ว
“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ” ซย่าเจี่ยลุ่ยคลี่ยิ้มจริงใจ
เฟิงชิงถิงเห็นเช่นนั้นก็เบาใจก่อนจะเอ่ยเข้าเรื่อง
“เช่นนั้น ข้าขอถามฮูหยินถึงอาการก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าลี่เอ๋อร์เคยมีอาการครั้งหนึ่งนั้นเนื่องจากสาเหตุใด”
“ตอนนั้นลี่เอ๋อร์ยังเด็กมาก สามีของข้าก็เพิ่งจากโลกไปไม่นาน ลี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าความตายคือสิ่งใด นางร้องหาแต่พ่ออยู่หนึ่งวันเต็มๆ จนมีไข้ ปลอบโยนอย่างไรนางก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้ แล้ววันนั้นนางก็มีอาการคล้ายกับอาการเมื่อสองวันก่อน” ซย่าเจี่ยลุ่ยเล่า
เช่นนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่กระทบกับจิตใจและสภาพร่างกายที่อ่อนแอ เฟิงชิงถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องการจากไปของสามีของฮูหยินคงสะเทือนใจลี่เอ๋อร์ไม่น้อย ต่อไปนี้หากเป็นไปได้อย่าทำให้นางสะเทือนใจอีก คาดว่าอาการของลี่เอ๋อร์จะไม่กลับมาอีก”
“ดีเหลือเกิน” ซย่าเจี่ยลุ่ยยิ้มอย่างยินดี
“แต่ท่านต้องหมั่นให้นางออกกำลังกาย และกินอาหารที่ดีต่อเด็กอายุเช่นนาง ไม่เลือกกินเพื่อที่นางจะได้แข็งแรง”
“แล้วต้องมียาหรือไม่”
“หากร่างกายของลี่เอ๋อร์แข็งแรง ไหนเลยที่จะต้องใช้ยา” เฟิงชิงถิงยิ้มตอบ
“ขอบคุณแม่นางเลี่ยงมาก” ซย่าเจี่ยลุ่ยเอ่ยอย่างซาบซึ้ง
“ข้าก็ทำเท่าที่จะทำได้เท่านั้น เรื่องอนาคตต้องดูว่าฮูหยินดูแลลี่เอ๋อร์อย่างไร”
ซย่าเจี่ยลุ่ยพยักหน้า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเสียงเบา “แม่นางเลี่ยง ท่านไม่ใช่หมอผี แต่ท่านเป็นหมอรักษาคนใช่หรือไม่”
“ในเมื่อฮูหยินรู้แล้วข้าก็ไม่คิดปิดบัง ไม่ผิดข้าไม่ใช่หมอผี แต่ที่ข้าโกหกท่านเพราะความจำเป็น” เฟิงชิงถิงยอมรับแต่โดยดี แม้นางจะเป็นคนช่วยลูกสาวของซย่าเจี่ยลุ่ยจริง แต่การโกหกต่อคนที่มองนางด้วยแววตานับถือและซาบซึ้งในบุญคุณ นางเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน
ซย่าเจี่ยลุ่ยคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา “ข้านึกแล้วว่าแม่นางเลี่ยงไม่ใช่หมอผี แม่นางเลี่ยงไม่เคยใช้ยันต์หรือพกสิ่งของที่นักพรตหรือหมอผีใช้สักอย่าง แต่ไม่ต้องกังวลใจข้าไม่มีวันบอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดรับรู้แน่นอน”
“ขอบคุณฮูหยินมาก” เฟิงชิงถิงยิ้มออกมาได้
“ขอบคุณสิ่งใดกันเล่า อย่างไรเรื่องที่แม่นางเลี่ยงช่วยลี่เอ๋อร์ก็ไม่มีวันเปลี่ยน” ซย่าเจี่ยลุ่ยบอก
ขณะนั้นเองประตูห้องก็ถูกเคาะพร้อมกับเสียงของซินฝู “ฮูหยินเจ้าค่ะ สีจิ้งมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เรียกเขาเข้ามา” ซย่าเจี่ยลุ่ยบอกกับคนนอกห้องก่อนจะลุกจากเก้าอี้เพื่อเตรียมตัวออกไป “เรื่องญาติของแม่นางเลี่ยงข้าบอกกับสีจิ้งแล้ว เขาเป็นคนส่งสินค้าให้กับโรงผ้าปักของเรา กว้างขวางในแถบชายแดนต้าหลวนและเจิ้งมาก ที่สำคัญเขาเก็บความลับได้ แม่นางเลี่ยงไม่ต้องกังวล แม้แต่ข้าเองก็บอกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องรายงาน ดังนั้นต้องการจะใช้สิ่งใดหรือต้องการให้เขาสืบเรื่องใดก็เชิญตามสบาย”
หลังจากนั้นชายร่างใหญ่ในอาภรณ์สีทึมผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เขาคำนับซย่าเจี่ยลุ่ยคราหนึ่ง “ข้าน้อยสีจิ้งคารวะฮูหยิน” ซย่าเจี่ยลุ่ยพยักหน้าให้เขา ดวงตาคู่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานมองไปทางเฟิงชิงถิครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “สีจิ้งคารวะแม่นางเลี่ยง
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ซย่าเจี่ยลุ่ยบอกก่อนจะออกจากห้องไป
เฟิงชิงถิงที่ตั้งตัวไม่ทันนิ่งไปครู่หนึ่ง นางมองบุรุษนามว่าสีจิ้งอย่างไตร่ตรอง ดูจากใบหน้าที่กร้านแดดและผมขาวที่แซมอยู่ในเรือนผมสีดำประปราย คาดเดาว่าคนผู้นี้อายุสี่สิบกว่าๆ เห็นจะได้ ท่าทางของเขาดูเปิดเผยแต่นางก็รู้สึกว่าเขาดูฉลาดเฉลียวเกินไป หากเขารู้ว่าสือซานเหลียงเป็นประมุขพรรคมารเล่า...
“แม่นางเลี่ยงไม่ต้องกังวลใจ แม้ข้าจะเป็นแค่คนนอกแต่ข้าก็เห็นคุณหนูลี่เอ๋อร์เหมือนกับหลานแท้ ฮูหยินเองก็ให้เกียรติข้า ดูแลข้าอย่างดี เรื่องที่ท่านช่วยเหลือคุณหนูข้ารู้หมดแล้ว ข้าไม่คิดจะอกตัญญูต่อผู้มีบุญคุณแน่นอน ดังนั้นมีเรื่องใดที่ต้องการให้ข้าทำโปรดบอก หากไม่ใช่เรื่องปล้นฆ่าหรือผิดต่อศีลธรรมข้ายินดีทำให้แน่นอน”
ตัวเฟิงชิงถิงเองก็ใช่ว่าจะมีทางเลือกมากนัก หากนางออกไปสืบเรื่องพรรคโลหิตอัคคีเอง นางก็ไม่รู้ว่าทหารเจิ้งจะเลิกติดตามนางหรือยัง อีกทั้งนางก็ไม่ไว้ใจให้สือซานเหลียงอยู่ตามลำพัง หากนางไปที่ใดเขาก็ต้องไปกับนาง ตัวเขาเองก็ใหญ่โตเป็นเป้าสายตาได้ง่าย อีกทั้งยามนี้ชาวยุทธ์ก็มีมาก หากให้เขาออกไปเช่นนี้ก็เป็นการเสี่ยงให้เขาถูกจับได้เปล่าๆ
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านแล้ว” ในที่สุดเฟิงชิงถิงก็เอ่ยความต้องการที่แท้จริงให้สีจิ้งล่วงรู้
เฟิงชิงถิงบอกกับสีจิ้งว่านางกำลังตามหาญาติซึ่งเป็นคนพรรคโลหิตอัคคี อยู่ที่สาขาด่านชายแดนต้าหลวน แต่เพราะนางไม่ใช่คนแถวนี้จึงไม่รู้ว่าสาขาพรรคโลหิตอัคคีนั้นอยู่ที่ใด เมื่อได้ฟังความจากเฟิงชิงถิงสีหน้าของสีจิ้งก็มีแววตื่นตระหนกและแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ ถามแค่ว่าญาตินามว่าอะไร เฟิงชิงถิงคิดแล้วก็ตอบไปว่า ‘สือซานเหลียง’ สีจิ้งรับปากว่าจะช่วยตามหาให้แล้วจากไป แต่ก่อนไปสายตานั้นก็เหลือบไปทางชายร่างใหญ่ที่นั่งเหม่อลอยอยู่ข้างเฟิงชิงถิงด้วยสายตาบางอย่าง
“สือซานเหลียง ครั้งนี้เราต้องเดิมพันกับสีจิ้งผู้นี้แล้ว” เฟิงชิงถิงหันไปเอ่ยกับสือซานเหลียงด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
เวลาใกล้ค่ำ หลังจากเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงกินอาหารเย็นเสร็จ เฟิงชิงถิงก็คิดจะช่วยชุ่ยเอ๋อร์ละซินฝูเก็บจานอาหารแต่ไม่เคยเป็นผลสักครั้ง เพราะนางจะถูกชุ่ยเอ๋อร์ดันร่างออกมาจากห้องอาหารพร้อมกับบอกว่า “แม่นางเลี่ยงอย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ หากฮูหยินรู้ต้องตำหนิบ่าวแน่ๆ ไปเถิดเจ้าค่ะ”
แววตาที่อ้อนวอนของชุ่ยเอ๋อร์ทำให้เฟิงชิงถิงยอมถอยออกมา แต่ขณะที่นางกำลังออกจากห้องอาหารเสียงจานชามหล่นแตกก็ดังขึ้น
“เกิดสิ่งใดขึ้น” เฟิงชิงถิงเดินกลับเข้ามาในห้องอาหาร
“ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ เป็นป้าเองที่สะเพร่า ถือชามไม่ดีทำให้ชามหลุดมือ” ซินฝูตอบ มือข้างหนึ่งจับข้อมืออีกข้างเอาไว้
“มือของท่านป้าเป็นอะไรเจ้าคะ” นางเดินเข้าไป จับมือของซินฝูขึ้นมาตรวจ เห็นว่ามือข้างนี้มีนิ้วนิ้วหนึ่งที่งอค้างไม่สามารถขยับและยืดมันได้ นางจึงเงยหน้าถามซินฝู “เมื่อครู่ท่านเจ็บมือข้างนี้ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“อาการเช่นนี้เป็นมานานหรือยัง” นางกดฝ่ามือข้างที่มีปัญหาเพื่อตรวจอาการ
“เมื่อก่อนก็เป็นเจ้าค่ะ แต่ว่าไม่มากยังพอขยับนิ้วได้ แต่พอนานเข้านิ้วก็เริ่มขยับไม่ได้” ซินฝูนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บฝ่ามือที่ถูกกด
“เหตุใดท่านจึงไม่ให้หมอตรวจอาการ”
“ข้าคิดว่ามันเป็นไปตามอายุที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ได้คิดสิ่งใดมากเจ้าคะ พอระยะหลังอาการเริ่มหนักขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ไปพบหมอเจ้าค่ะ” ที่เอ่ยเช่นนี้เพราะในโรงผ้าปักก็มีสตรีที่มาอาการคล้ายนางอยู่เช่นกัน
เฟิงชิงถิงจูงมือซินฝูไปนั่งที่โต๊ะ วางมือของสตรีสูงอายุไว้บนโต๊ะก่อนจะเริ่มฝังเข็มให้ ชุ่ยเอ๋อร์เก็บกวาดจานชามที่แตกเสร็จก็เดินเข้ามาดูอย่างสนใจ
“แม่นางเลี่ยงฝังเข็มรักษาให้ท่านป้าหรือเจ้าคะ”
“ใช่” เฟิงชิงถิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไปพร้อมกับฝังเข็มเล่มต่อไป เมื่อฝังเข็มในจุดที่จำเป็นจนครบจึงถามกับซินฝูอีกครั้ง “ส่วนใหญ่ท่านป้าทำสิ่งใดเป็นประจำบ้าง”
ซินฝูเอียงหน้าครุ่นคิด “ก็เรื่องทั่วไปนะเจ้าคะ นอกจากปัดกวาดห้องหับก็มีซักผ้าและปักผ้านั่นแหละเจ้าค่ะ”
ด้วยนิ้วและมือข้างที่มีอาการทำให้เฟิงชิงถิงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะการใช้มือปักผ้าเป็นประจำ การที่ทำอะไรซ้ำๆ อย่างเดิมเป็นประจำทำให้เส้นเอ็นเริ่มมีปัญหา หากไม่รักษาก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดจนไม่สามารถรักษาหายได้ โชคดีที่อาการของซินฝูที่แม้จะมีอาการหนักแล้วแต่เพิ่งเป็นไม่นานจึงพอจะรักษาได้
“เส้นเอ็นนิ้วนี้ของท่านมีปัญหา ต่อไปนี้ท่านก็ปักผ้าให้น้อยหน่อย ซักผ้าก็คงต้องหาคนอื่นช่วยบิดผ้าให้ เพราะการบิดผ้าแรงๆ ทำให้ต้องใช้แรงข้อมือและกำมือมากจะมีผลต่อเส้นเอ็นที่มีปัญหาและอาการก็จะไม่หาย”
“ข้าก็ว่าอยู่ ตอนบิดผ้าข้าเจ็บฝ่ามือมากเจ้าค่ะ ตอนนี้ปักผ้าก็ไม่ค่อยได้ทำเพราะเจ็บเช่นกัน”
เฟิงชิงถิงถอนเข็มที่ฝังออกพลางบอก “อีกสองวันข้าจะฝังเข็มให้ท่านอีก แต่ต่อไปนี้ทุกวันขอให้ท่านแช่มือกับน้ำอุ่นเพื่อให้เส้นเอ็นคลายตัว ขยับมือตามที่ข้าแนะนำ”
ว่าแล้ว เฟิงชิงถิงก็ขยับมือเป็นตัวอย่างให้ซินฝู สาวใช้ต่างวัยพยายามจำวิธีขยับมือของเฟิงชิงถิงจนครบ ซินฝูเองมองดูมือที่เฟิงถูกเข็มถอนออกก็พบว่านิ้วที่งอและไม่สามารถขยับได้ ยามนี้เหมือนจะงอน้อยลงอีกทั้งยังสามารถขยับได้เล็กน้อยอีกด้วย
“แม่นางเลี่ยงท่านเป็นหมอด้วยหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์เห็นนิ้วข้างที่งอของป้าซินงอน้อยลงก็ถามอย่างเลื่อมใส
เฟิงชิงถิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยเสียงราบเรียบเช่นเดิม “เมื่อก่อนมือของข้าเคยมีอาการเช่นนี้ ถูกท่านหมอฝังเข็มให้บ่อยๆ จึงจำได้ วิธีการที่ข้าสอนพวกท่านไปท่านหมอก็สอนให้กับข้า” เอ่ยจบแล้วก็เสริมต่อ “อาการเหล่านี้มักเป็นกับคนที่ใช้มือทำสิ่งใดเป็นประจำอย่างที่ข้าบอก นางกำนัลในวังหลวงมักเป็นกันมาก ทั้งฝ่ายเย็บปักและฝ่ายซักล้าง ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”
“อ่อ” ซินฝูและชุ่ยเอ๋อร์ พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
เฟิงชิงถิงเห็นเช่นนั้นก็ลอบถอนใจก่อนจะรีบบอก “หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าขอตัวก่อน หากปล่อยให้เขารอนานเขาอาจจะโกรธได้” นางพาดพิงไปถึงสือซานเหลียงที่ยืนเหม่ออยู่หน้าประตูห้องอาหารอยู่นานแล้ว
“ขอบคุณแม่นางเลี่ยงมากนะเจ้าคะ” ซินฝูซาบซึ้งในน้ำใจ
“แค่เรื่องเล็กน้อย แต่อย่าลืมที่ข้าบอก” เฟิงชิงถิงกำชับอีกครั้งก่อนจะพาสือซานเหลียงกลับห้องพัก
คืนนั้นหลังจากที่ฝังเข็มให้สือซานเหลียงเสร็จ เฟิงชิงถิงก็ให้เขาเลือกว่าจะนอนเตียงใด แต่กลายเป็นว่าเมื่อนางเลือกนอนเตียงเล็ก เขาก็เดินตามมาที่เตียงเล็ก เมื่อนางเลือกยืนที่เตียงใหญ่เขาก็มายืนอยู่ที่เตียงใหญ่ จนนางเริ่มเหลืออดกับเขาจึงไปนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง เขาก็เดินมานั่งตามนาง
เฟิงชิงถิงจนใจกับผู้ชายคนนี้จริงๆ เขาไม่เคยทำให้นางสงบสุขได้แม้แต่วันเดียว
คืนนั้นเฟิงชิงถิงตัดสินใจนั่งหลับที่โต๊ะกลางห้อง เพื่อตัดปัญหาไม่ให้เขาแอบมานอนร่วมเตียงกับนาง กลางดึกคืนนั้นระหว่างที่นางนอนหลับฟุบอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางไม่ค่อยสบายนัก ร่างสูงใหญ่ก็มานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ของร่างเล็ก
ดวงตาคู่ดุดันมองเสี้ยวหน้าหวานที่ต้องแสงจันทร์อย่างเลื่อนลอย มองมือเรียวขาวดุจหยกสลักแล้วก็เผลอลูบแขนข้างที่ถูกมือบางลูบเบาๆ ในตอนเช้าอย่างไม่ตั้งใจแต่คิ้วก็ขมวดขึ้น พร้อมกับมองมือบางนั้นอย่างฉงนสงสัย เขาสูดลมหายใจดมกลิ่นหอมจากร่างบางก่อนจะวางแขนทั้งสองไว้บนโต๊ะ แนบหน้าลงบนแขนตนเองท่าเดียวกับที่นางทำ
ในค่ำคืนที่ฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามา อากาศที่เคยเย็นสบายจึงเริ่มเย็นมากขึ้น ด้วยความอบอุ่นที่แผ่ออกจากร่างใหญ่ ร่างเล็กที่นั่งหลับโดยไม่ได้คลุมผ้าจึงเอียงร่างเข้าไปหาความอบอุ่นนั้นโดยสัญชาตญาณ ร่างเล็กขยับเข้าใกล้ร่างใหญ่ก่อนจะแนบไหล่เล็กเข้าหาไหล่หนากำยำ แล้วไม่นานนางก็หลับลึกด้วยความสบายที่เพิ่มมากขึ้น
เปลือกตาที่เพิ่งปิดลงเปิดขึ้นมามองร่างเล็กที่ซุกเข้ามาด้วยสายตางงงันปนตกตะลึง ร่างใหญ่นิ่งขึงมองดูร่างเล็กนั้นนิ่งนานด้วยความประหลาดใจ มือใหญ่ขยับเพราะคิดจะลูบหน้าอกของตนเองที่เต้นแรง แต่เมื่อขยับแล้วทำให้ร่างเล็กนั้นขยับตามไปด้วย ร่างใหญ่จึงชะงักนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ในม่านราตรีที่ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อย สายลมไร้รูปร่างโบกพัดให้หมู่ไม้ในยามราตรีไหวโยกเป็นเงาทาบลงมายังพื้นห้อง เงาสะท้อนนั้นทำให้บรรยากาศในห้องอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด ดวงตาคู่หนึ่งมองเสี้ยวหน้าหวานอยู่นาน เพราะแววตานั้นเลื่อนลอยคล้ายสติของคนผู้นั้นไม่อยู่กับตัว จึงไม่สามารถคาดเดาว่าเขากำลังมองเจ้าของใบหน้าหวานหรือแค่ล่องลอยตามประสาคนสติไม่ดีกันแน่...
เช้าวันต่อมา เฟิงชิงถิงก็แทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดิน นางไม่เคยทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้ แต่เมื่ออยู่กับสือซานเหลียงนานเข้า นางก็รู้สึกว่าช่างเป็นสตรีที่ไร้ยางอายขึ้นทุกวัน แม้แต่ตอนหลับก็ตาม
นางตกใจมากเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วรู้ตัวว่าตนเองนั้นพิงซบอยู่ที่หัวไหล่หนาของสือซานเหลียง ช่างน่าอายยิ่งนัก แต่ดีที่นางตื่นขึ้นมาก่อนที่ชุ่ยเอ๋อร์จะเข้ามาเห็น ไม่เช่นนั้นนางคงจะรู้สึกแย่ไปกว่านี้
เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยแต่สือซานเหลียงกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ครึ่งค่อนวัน
--------------------------------------------
ต่อไปค่ะ
แล้วจะรีบมานะคะ
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คุณป้าเรื่องนี้มีสกลิการมโนที่สูงปรี๊ด ๆ 555
คนบ้าก็มีอารมณ์อ่อนไหวเหมือนกันนะ ยอมให้นอนอิงถึงเช้าเลย ^_^
นึกภาพตามแล้วขำพี่ใหญ่
ความรักของคนบ้าเป็นอย่างนี้นี่เอง
เราว่าพล็อตนี้ต้องทำการบ้านหนักเลยนะคะ จิตวิทยาคนบ้ายากแท้หยั่งถึง หายบ้าเร็วก็ไม่หนุก
ชอบเรื่องนี้ คนบ้า กับหมั่นโถว 5555
เวิ่นเว้อคงเรื่องจริงค่ะ 5555ผ่านมาหลายตอนแล้ว
เรื่องก็ยังไม่ไปไหนเลย ถ้าไม่ชอบคงเหนื่อยที่จะตามอ่าน
แต่พอดีเราชอบอิๆ แต่ก็มีบ้างที่เบื่อๆ เพราะขนาดรอให้
หล่ยตอนมาอ่านทีเดียว เรื่องก็ยังไม่ไปไหนเลย
ขนาดสติยังไม่ดียังน่ารักขนาดนี้อะ ถ้าปกติแล้วพี่ไม่จับนางเอกขังไว้เลยหรอ555555