ตอนที่ 5 : บบที่ 4 พันธสัญญา (รีไรท์)
“เห็นหรือไม่อาจารย์เนี่ย ตั้งแต่มีข้ามาอยู่ด้วย กิจการของเจ้าก็ดีขึ้นไม่น้อย” เย่วไป๋หูรีบประจบประแจง หลังเขากลับมาจากตลาดพร้อมกับฟ่านจิ้ง
“อืม” เนี่ยมู่ซิ่งรับคำง่ายๆ นำสมุนไพรที่เพิ่งตากเสร็จเข้าห้องเพื่อเตรียมปรุงยา
ช่วงแรกที่เย่วไป๋หูออกไปขายยากับฟ่านจิ้ง ปีศาจจิ้งจอกคิดว่าเป็นเพราะช่วงนี้เขาทำตัวดีจึงได้รับความไว้วางใจเพิ่มขึ้น แต่เพิ่งมารู้ไม่นานว่าที่เนี่ยมู่ซิ่งยอมให้เขาออกไปขายยาทุกวัน เพราะเห็นว่าเย่วไป๋หูช่วยให้ขายยาหมดไวขึ้น
แม้จะเจ็บใจเมื่อมารู้ความจริงทีหลังว่าถูกหลอกใช้ แต่เย่วไป๋หูก็ยังเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป เพื่อให้เนี่ยมู่ซิ่งตายใจ คิดว่าเขากลับตัวเป็นปีศาจที่ดี แล้วค่อยตลบหลังเนี่ยมู่ซิ่งก็ยังไม่สาย
ฟ่านจิ้งเมื่อกลับมาถึงก็คำนับเนี่ยมู่ซิ่ง ก่อนจะช่วยอาจารย์ปรุงยา ปล่อยให้เย่วไป๋หูยืนมองอย่างไม่สบอารมณ์
ระหว่างที่ยืนมองดูศิษย์อาจารย์กำลังช่วยกันปรุงยา เย่วไป๋หูก็รู้สึกว่าสองคนนั้นไม่คล้ายกับคนสำนักปราบปีศาจสักเท่าใด แต่เหมือนคนสำนักยาจกเสียมากกว่า เสื้อผ้าของทั้งคู่เก่าและมีรอยปะชุนอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะของเนี่ยมู่ซิ่งที่ทั้งขาดและเปื่อย
สำนักทะยานฟ้าก็เช่นกัน ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เสื่อมโทรมคล้ายไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานาน หากจำไม่ผิด... เมื่อสี่ร้อยปีก่อนที่นี่ถือเป็นอันดับหนึ่งของเหล่าสำนักปราบปีศาจ และเป็นสำนักที่รุ่งเรืองของยุค ศิษย์ในสำนักล้วนแต่งตัวดีมีฐานะทั้งสิ้น แต่มายามนี้...
“หากจำไม่ผิด สำนักทะยานฟ้าของพวกเจ้านั้นโด่งดังมากและร่ำรวยมากไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดยามนี้จึงดูตกต่ำเช่นนี้” เย่วไป๋หูถามขึ้นระหว่างที่คนทั้งสามนั่งกินอาหารเย็นร่วมโต๊ะเดียวกัน
เนี่ยมู่ซิ่งปรายตามองเย่วไป๋หูแวบหนึ่ง ก่อนจะกินอาหารของตนต่อ เป็นฟ่านจิ้งที่ดวงตาเบิกโต พูดทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก
“สำนักทะยานฟ้าเคยมีช่วงเวลาแบบนั้นด้วยหรือ ตั้งแต่ที่ข้าอยู่มาก็ไม่เห็นสำนักจะร่ำรวยอย่างที่พี่เย่วเอ่ย ไม่มีผู้ใดมาจ้างให้อาจารย์ไปปราบปีศาจหรือปราบผีมาตั้งนานแล้ว ทั้งยังมีอาจารย์ปู่คอยเพิ่มหนี้สินให้อีกต่างหาก ไม่ร่ำรวย ทั้งยังมีแต่หนี้สิน” ประโยคหลังฟ่านจิ้งทำเสียงไม่พอใจ
“แล้วอาจารย์ปู่เจ้าไปที่ใดแล้วเล่า”
“ขึ้นไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ เพราะหนีหนี้” เมื่อถูกสายตาคมปราบของอาจารย์มองมาอย่างตำหนิ ฟ่านจิ้งจึงต้องรีบก้มหน้ากินข้าวต่อ
“นอกจากตกต่ำแล้ว ยังมีหนี้สินอีกหรือ” เย่วไป๋หูอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย สมควรแล้ว สำนักที่คุมขังตัวเขามาถึงสี่ร้อยปีคงจะถึงจุดจบอีกไม่นาน ช่างน่ายินดียิ่งนัก
ตกต่ำจนล่มจมกันไปเลย หึๆ
แม้จะแอบยินดีอยู่ในใจ แต่เย่วไป๋หูก็ยังคงถามด้วยวาจาคล้ายจะเป็นห่วง
“แล้วพวกเจ้าจะขายยาราคาแสนถูกอย่างนี้ไปตลอดเลยหรือ”
“ยาที่อาจารย์ปรุงนั้นมีสรรพคุณดีก็จริง แต่ชาวบ้านที่มาซื้อก็ไม่ได้ร่ำรวย หากขายแพงมากกว่านี้อาจารย์บอกว่าเป็นการหากำไรเกินควร”
“เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะเรียกปีศาจลูกกระจ๊อกของข้าให้มาขู่ชาวบ้านเล็กน้อย แค่นี้พวกชาวบ้านก็ต้องวิ่งเร่มาจ้างเจ้าไปปราบแล้ว สำนักของพวกเจ้าก็จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง”
เนี่ยมู่ซิ่งกลืนข้าวคำสุดท้าย ปรายตามองเย่วไป๋หู ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “หากเจ้าเรียกมา ข้าจะควักหัวใจของข้าออกมาให้เจ้าดูเล่น” พูดจบก็ลุกออกจากโต๊ะอาหารไปพร้อมกับถ้วยข้าวและตะเกียบของตัวเอง
เย่วไป๋หูได้ยินเนี่ยมู่ซิ่งเอาเรื่องฆ่าตัวตายมาขู่ ก็โกรธจนควันออกหู “นี่! ข้าแนะนำดีๆ เท่านั้น ไม่ชอบก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเอาเรื่องความเป็นความตายมาขู่เลย”
“พี่เย่ว ท่านใจเย็นๆ ก่อน” ฟ่านจิ้งรีบปลอบ เพราะยามนี้เริ่มคุ้นเคยกับเย่วไป๋หูขึ้นมาบ้าง
“อาจารย์เจ้าเป็นอะไร เลือดจะไปลมจะมาหรือไร ข้าแค่แนะนำ ไม่เห็นต้องมาอารมณ์เสียใส่กัน” เย่วไป๋หูสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ กรงเล็บงอกแล้วหด... งอกแล้วหดอยู่หลายรอบ
“ที่จริงอาจารย์ข้าไม่ใช่คนอารมณ์ร้ายหรือชอบอารมณ์เสียใส่ผู้ใด แต่อีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดจ่ายค่าหนี้ คาดว่าอาจารย์คงยังรวบรวมเงินได้ไม่ครบตามที่ต้องการจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี” ฟ่านจิ้งพูดเสียงอ่อย
“ตกลงอาจารย์เจ้าติดหนี้ผู้อื่นอยู่กี่เจ้ากันเนี่ย” เย่วไป๋หูถามด้วยความประหลาดใจ
แม้จะมาอยู่กับสองศิษย์อาจารย์ไม่นาน แต่เขาก็เห็นว่ามีเจ้าหนี้มาทวงหนี้เนี่ยมู่ซิ่งแทบจะวันเว้นวัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสำนักที่รุ่งเรืองจึงตกต่ำได้ถึงเพียงนี้
“อาจารย์ข้าไม่ได้ติดหนี้ผู้อื่นเสียหน่อย อาจารย์ปู่ต่างหากเล่าที่ติดหนี้” น้ำเสียงเด็กน้อยบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
ฟ่านจิ้งไม่ได้ไม่พอใจเย่วไป๋หู แต่คนที่เขาไม่พอใจคืออาจารย์ปู่ต่างหาก
“อาจิ้ง” เนี่ยมู่ซิ่งเอ่ยเรียกเมื่อได้ยินศิษย์รักพูดถึงอาจารย์ของตนเองในแง่ไม่ดี
“ข้าไปก่อนนะ อาจารย์ข้าไม่ชอบให้ข้าพูดเรื่องไม่ดีของอาจารย์ปู่ลับหลัง” ฟ่านจิ้งเก็บถ้วยเก็บตะเกียบตามเนี่ยมู่ซิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว
เย่วไป๋หูมองตามเด็กน้อย แววตาแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งร้าย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “อวดดีไปเถิดเนี่ยมู่ซิ่ง ข้าจะทำให้เจ้าศิโรราบแทบเท้าข้าให้จงได้ แล้วถึงเวลานั้นเมื่อใด ข้าสั่งให้เจ้าคลายโซ่ร้อยวิญญาณ เจ้าก็ต้องทำตาม และเมื่อข้าเป็นอิสระเมื่อใด เจ้าจะเป็นมนุษย์คนแรกที่ข้าจะกินเป็นอาหาร”
ตอนดึกคืนนั้น เนี่ยมู่ซิ่งกำลังนับเงินที่ต้องนำไปใช้หนี้กับเถ้าแก่เหมา เจ้าของหอสุราหมู่บ้านข้างๆ แล้วเขาก็ต้องถอนใจเมื่อเงินที่รวบรวมนั้นยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องผ่อนจ่าย เสียงถอนหายใจดังพร้อมกับเสียงฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างแรง
เนี่ยมู่ซิ่งมองออกไปยังนอกหน้าต่าง เห็นเม็ดฝนโปรยปรายลงมาก็เก็บเงินทั้งหมดเข้าลิ้นชัก ก่อนจะเดินไปปิดหน้าต่าง คาดว่าอีกไม่นานฟ่านจิ้งคงมาขอนอนด้วยเช่นเคย เพราะเด็กชายกลัวเสียงฟ้าผ่า
มุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู คาดว่าคงเป็นฟ่านจิ้งหอบหมอนมาหาเขาแล้ว เนี่ยมู่ซิ่งผละออกจากหน้าต่างที่ปิดลงแล้วเดินไปยังประตู แต่เมื่อเปิดออกคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่ฟ่านจิ้ง แต่กลับเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
“มีเรื่องอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ที่ห้องของข้าหลังคารั่ว จึงจะมาอาศัยห้องของอาจารย์เนี่ยนอนด้วย” เย่วไป๋หูเดินเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ
เนี่ยมู่ซิ่งได้แต่มองดูการกระทำของปีศาจจิ้งจอกด้วยคิดไม่ออกว่าจะเอ่ยสิ่งใด เขาจะห้ามเอาไว้ เย่วไป๋หูก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“อาจารย์เนี่ยคงไม่รังเกียจข้าผู้ที่ออกเงินจ่ายค่าที่พักใช่หรือไม่ ยามนี้ห้องพักข้าเปียกไปหมดแล้ว แม้แต่เสื้อผ้าของข้าก็เปียกเช่นกัน” เย่วไป๋หูจับเสื้อที่เปียกชุ่มของตนเองด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
เนี่ยมู่ซิ่งก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ผ้าต่วนเนื้อบางที่ปกปิดร่างกายส่วนบนของเย่วไป๋หูนั้นแนบลู่ไปกับเรือนกายเพราะความเปียกปอน
น้ำหยดหนึ่งไหลจากปลายคางมนลงสู่ลำคอขาวผ่านลูกกระเดือกเล็ก แล้วผลุบเข้าไปในสาบเสื้อที่ปกปิดเรือนร่างเพรียวเอาไว้
เนี่ยมู่ซิ่งหันหน้าหนีจากร่างขาวของเย่วไป๋หู ก่อนจะถาม “หลังคารั่วมากหรือ”
“มากไม่มากเสื้อของข้าก็เปียกชุ่มแล้ว” เย่วไป๋หูถอดเสื้อที่เปียกออก เผยผิวขาวอมชมพูให้คนตรงหน้าที่เพิ่งหันกลับมาได้เห็นอย่างชัดเจน
“เจ้าจะถอดเสื้อทำไม” หัวคิ้วของเนี่ยมู่ซิ่งขมวดมุ่น
“แล้วจะให้ข้านอนทั้งๆ ที่เสื้อเปียกเช่นนี้หรือไร” เมื่อถอดเสื้อออกจนหมด เย่วไป๋หูก็ปรายตามองเนี่ยมู่ซิ่งอีกครั้ง อวดเรือนกายอันขาวผ่องด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ดวงตาดอกท้อของเขามีประกายประหลาด ก่อนจะใช้น้ำเสียงเย้ายวนกับคนตรงหน้า “หรืออาจารย์เนี่ยเห็นข้าเปลือยท่อนบนแล้วจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวกัน แย่จริง ข้าเองก็มีเสื้อผ้าแค่ชุดเดียวเสียด้วย เสื้อตัวนอกของข้าก็อยู่ห้องโน้น ป่านนี้คงจะเปียกหมดแล้วเช่นกัน”
เนี่ยมู่ซิ่งเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อสีทึมตัวหนึ่งออกมายื่นให้เย่วไป๋หูโดยไม่มองอีกฝ่าย
“ขอบคุณอาจารย์เนี่ย” เย่วไป๋หูรับเสื้อมาสวม แต่เพราะเสื้อของเนี่ยมู่ซิ่งตัวใหญ่เกินไป ทำให้คอเสื้อกว้างและลึก สาบเสื้อที่กว้างและตกอยู่ข้างต้นแขนทำให้ไหล่มนเกลี้ยงเกลาถูกเผยสู่สายตาของเจ้าสำนักหนุ่ม คล้ายเย่วไป๋หูตั้งใจและไม่ตั้งใจในเวลาเดียวกัน “แม้จะใหญ่ไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้สวมใช่หรือไม่อาจารย์เนี่ย”
คิ้วหนาขมวดมุ่นมากกว่าเก่า “เจ้านอนห้องนี้ก็ได้ ส่วนข้าจะไปนอนห้องอาจิ้ง”
ขณะที่เนี่ยมู่ซิ่งกำลังจะเดินไปเปิดประตู เสียงของเย่วไป๋หูก็ดังขึ้นเสียก่อน
“หรืออาจารย์เนี่ยแท้จริงแล้วกลัวปีศาจจิ้งจอกเช่นข้า”
เนี่ยมู่ซิ่งชะงักเท้า น้ำเสียงของเย่วไป๋หูแฝงความร้ายกาจขณะเอ่ยต่อ
“คงกลัวละสิ ว่าข้าจะถือโอกาสตอนเจ้าหลับจับเจ้ามัดและทรมาน เพื่อให้เจ้าคลายโซ่ร้อยวิญญาณ”
คนที่ยืนตรงหน้าประตูนิ่งขึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมา เย่วไป๋หูเผยรอยยิ้มไร้พิษสงแล้วพูดต่อ
“อาจารย์เนี่ยไม่ได้กลัวใช่หรือไม่”
เนี่ยมู่ซิ่งนิ่ง มองเย่วไป๋หูด้วยแววตาราบเรียบ “ถูกต้อง ระวังไว้ก็ไม่เสียหาย เช่นนั้นเจ้าก็นอนห้องนี้คนเดียวแล้วกัน”
เนี่ยมู่ซิ่งหมุนตัวกลับไปเปิดประตูห้อง ปล่อยให้เย่วไป๋หูยิ้มค้างมุมปากกระตุก ด้วยไม่คิดว่าคนผู้นี้จะยั่วไม่ขึ้นเอาเสียเลย
แต่ขณะที่เนี่ยมู่ซิ่งกำลังจะก้าวออกไป ฟ่านจิ้งก็วิ่งเข้ามาในห้องเสียก่อน แล้วร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอีกรอบ
“อ๊า อาจารย์... ข้าขอนอนด้วย” ฟ่านจิ้งทำท่าจะวิ่งไปที่เตียง แต่เมื่อเห็นว่าในห้องนี้มีบุคคลเพิ่มมาอีกหนึ่งก็แปลกใจ “พี่เย่ว ท่านก็กลัวเสียงฟ้าผ่าเช่นกันหรือ”
“ห้องเขาหลังคารั่วจึงเข้ามาพักห้องนี้ อาจารย์จึงคิดจะไปนอนที่ห้องเจ้า”
“ไม่เอานะขอรับอาจารย์ เตียงห้องข้าเล็ก เช่นนั้นก็นอนที่นี่สามคนเลยก็ได้ เตียงของท่านใหญ่กว่า” มีแสงแวบวาบอีกครั้ง ตามด้วยเสียงฟ้าร้องดังลั่น ฟ่านจิ้งตกใจจึงกระโดดขึ้นเตียงนอนของเนี่ยมู่ซิ่งอย่างรวดเร็ว “อาจารย์มานอนเถิด ฟ้าร้องเสียงดังมาก”
เย่วไป๋หูอ้าปากหาว ก่อนจะเดินไปนอนบนเตียงอย่างไม่เกรงใจ “อาจารย์เนี่ย นอนกันเถิด เมื่อครู่ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าคงไม่ถือสา”
เนี่ยมู่ซิ่งปิดประตูห้อง เดินกลับเข้าไปนอนบนเตียงที่มีฟ่านจิ้งกับเย่วไป๋หูรออยู่
“เจ้านอนด้านนอก” เนี่ยมู่ซิ่งสั่งศิษย์รัก
“แต่ข้าอยากนอนกลางเตียงนี่นา” ฟ่านจิ้งไม่เข้าใจ แต่นอนตรงกลางคิดว่าปลอดภัยกว่า
“เตียงของอาจารย์ อาจารย์ต้องนอนกลาง” เนี่ยมู่ซิ่งคิดว่าถ้าให้ฟ่านจิ้งนอนข้างกายเย่วไป๋หูคงไม่ปลอดภัยนัก
“ท่านไม่กลัวข้านอนกลิ้งตกเตียงหรือไร”
“เจ้าบอกเองว่าเตียงออกจะใหญ่” เนี่ยมู่ซิ่งแทรกกายมานั่งอยู่กลางเตียง ผู้ที่นั่งข้างหนึ่งของเขาคือฟ่านจิ้ง ส่วนอีกข้างหนึ่งคือเย่วไป๋หู
“นอนกัน” ฟ่านจิ้งรีบนอนลงอย่างว่าง่าย อย่างไรก็ได้นอนกับอาจารย์แล้ว นอนที่ไหนก็ไม่ต่างกัน
คืนนั้นเด็กน้อยนอนกอดอาจารย์หลับอย่างสบายอุรา ส่วนเนี่ยมู่ซิ่งที่กำลังเคลิ้มกลับรู้สึกถึงสัมผัสแปลกๆ ที่ลูบไล้อยู่บนเรือนร่างของเขา
“เจ้าจะทำอะไร” เนี่ยมู่ซิ่งถามเสียงเบากับเจ้าของมือที่ลูบไล้แผงอกของเขา
“อาจารย์เนี่ย เจ้าผอมเกินไปแล้ว” เย่วไป๋หูคิดว่าลูบไปมีแต่กระดูก แม้กลิ่นจะหอมจนทำให้น้ำลายไหล แต่มีแค่กระดูกให้เคี้ยวแล้วจะอิ่มได้อย่างไร
“ไม่ใช่กงการของเจ้า หากยังไม่หยุดมือ ก็ออกไปนอนห้องอื่น” เนี่ยมู่ซิ่งปัดมือของเย่วไป๋หูออก
“เจ้าอยากลองจับเรือนร่างข้าดูหรือไม่ ข้านั้นดูผอมแต่ก็ยังมีเนื้อมีหนัง มีกล้ามเนื้อมากกว่าเจ้า” เย่วไป๋หูจับมือที่เต็มไปด้วยกระดูกปูดโปนไปลูบไล้แผงอกของตนเอง
เนี่ยมู่ซิ่งไม่ได้ระวังตัวมือของเขาจึงทาบลงไปบนแผงอกเนียนเรียบอย่างไม่ตั้งใจ แต่ความเรียบลื่นนั้นกลับทำให้เขารีบชักมือออกพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม “หากเจ้าไม่นอนก็ออกไปข้างนอก ข้าจะนอน!”
“ดุจริง” เย่วไป๋หูทำเสียงไม่พอใจ
คืนนั้นเย่วไป๋หูนอนคิดเรื่องแผนการ ก่อนจะข่มตาลงพร้อมกับได้กลิ่นหอมหวนชวนให้กางกรงเล็บกรีดเนื้อของเนี่ยมู่ซิ่งเอาเลือดอุ่นออกมากิน ไออุ่นของคนที่นอนอยู่ข้างกายทำให้เขาอยากลิ้มรสเลือดนั้นอีกครั้ง แต่ก็ต้องข่มใจ
ตอนแรกเย่วไป๋หูคิดว่าการมานอนร่วมห้องเพื่อยั่วยวนเนี่ยมู่ซิ่ง แต่กลับมีฟ่านจิ้งมานอนด้วย จึงยั่วยวนไม่สะดวก อีกทั้งยังถูกกลิ่นของเจ้าสำนักหนุ่มยั่วยวนเขาแทน เมื่อต้องมานอนใกล้กันกลับทำให้เขาหิวกระหายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ใกล้รุ่งสางเนี่ยมู่ซิ่งรู้สึกถึงความอุ่นชื้นที่ลากไล้ไปบนฝ่ามือของเขา ซึ่งกระตุ้นบางอย่างในกายเขาอย่างประหลาด เมื่อลืมตาขึ้นมาเขาก็เพิ่งเห็นว่า เย่วไป๋หูนั่งมองเขาอยู่ด้วยนัยน์ตาสีอำพันเข้ม ผมยาวปกคลุมทั้งไหล่ด้านหน้าและด้านหลัง เสื้อข้างหนึ่งตกอยู่ข้างหัวไหล่ขาวมน ดูเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาติ
“เจ้าจะทำอะไร” เนี่ยมู่ซิ่งถามเสียงเย็น ไม่ได้เดือดร้อนกับมือที่ถูกปีศาจจิ้งจอกไล้เลียอยู่
“ข้ากระหายเนื้อและเลือดสดๆ ของมนุษย์” เย่วไป๋หูเลียที่กลางฝ่ามือของเนี่ยมู่ซิ่ง มองสีหน้าราบเรียบของอีกฝ่ายด้วยสายตาคล้ายว่าคนที่นอนอยู่คือเหยื่อของเขา
“จะกินข้าก็ได้ แต่ห้ามกินฟ่านจิ้ง เขายังเด็กเกินไป” นิ้วของเนี่ยมู่ซิ่งถูกอุ้งปากร้อนรวบอมเอาไว้
“ข้าแค่ขอกินสักหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าคงคุมตัวเองไม่ได้” เพราะต้องทนดมกลิ่นหอมหวนของเนี่ยมู่ซิ่งมาตลอดคืน สุดท้ายเย่วไป๋หูก็อดทนต่อไปไม่ไหว ความต้องการเลือดสดๆ ผุดขึ้นมาหลังจากไม่ได้ดื่มมานานหลายร้อยปี เขาต้องการดื่มเลือด หากไม่ได้ดื่มตอนนี้ คาดว่าเขาคงต้องบ้าคลั่งออกไปดื่มเลือดคนอื่นเป็นแน่
“กินสิ” เนี่ยมู่ซิ่งหลับตาลงเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ปล่อยให้มือของเขาถูกปีศาจจิ้งจอกกุมไว้อย่างไม่อาทรร้อนใจ “หากมันทำให้เจ้าไม่ต้องไปทำร้ายผู้อื่นก็กินเสีย”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยตอบ ดวงตาสีอำพันก็เป็นประกายวาบ ก่อนที่เขี้ยวขาวแหลมจะงอกออกมา เย่วไป๋หูอ้าปากงับข้อมือผอมของเนี่ยมู่ซิ่ง เขี้ยวคมฝังลงไปในเนื้อที่มีน้อยนิดอย่างรวดเร็ว
ปีศาจจิ้งจอกหลับตาพริ้มพร้อมกับดูดรสหวานเข้าไป ความอุ่นปนหอมกระจายอยู่ในปากและจมูก เย่วไป๋หูรู้สึกว่าเลือดที่กลืนลงไปกระตุ้นให้ร่างกายของเขาร้อนผ่าวและมีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาดูดเลือดเพลินจนหัวใจเริ่มเต้นแรงและเจ็บปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จึงลืมตาขึ้นมา
แล้วเขาก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงยามนี้หายใจหอบแรงคล้ายกำลังจะขาดใจ เย่วไป๋หูปล่อยข้อมือที่งับจนจมเขี้ยวอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์เนี่ย!”
“ดื่มให้เลือดข้าหมดตัวเลย เจ้าจะได้ตายไปพร้อมกับข้า” เสียงของเนี่ยมู่ซิ่งเบาและอ่อนแรง
“ข้ายังไม่อยากตายเสียหน่อย แค่หิวเลือดมากเท่านั้น ส่วนเลือดเจ้าก็อร่อยเกินไป ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้า ข้ายังไม่อยากตาย”
เห็นเลือดที่ไหลซึมออกมาจากรอยเขี้ยว เย่วไป๋หูก็อดไม่ได้ที่จะจับแขนเนี่ยมู่ซิ่งมาเลียอย่างทะนุถนอมอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะใช้พลังรักษาแผลให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์เนี่ย! เนี่ยมู่ซิ่ง!” เห็นเนี่ยมู่ซิ่งหายใจรวยริน เย่วไป๋หูก็เริ่มใจไม่ดี
“ข้าไม่เชื่อหรอกนะ ว่าเจ้าจะกลับตัวเป็นปีศาจที่ดีได้ในเวลาไม่นาน” เสียงทุ้มนั้นแผ่วเบาเพราะความอ่อนแรง “แต่ยามนี้ข้าคือผู้ทำหน้าที่คุมขังปีศาจจิ้งจอก การที่เจ้าออกมายังโลกภายนอกก็ถือว่าเป็นความบกพร่องของข้า ถ้าให้เจ้าไปฆ่าแล้วดื่มเลือดผู้อื่นอีก ข้าคงรู้สึกผิดต่ออาจารย์และอาจารย์ปู่อย่างมากแน่ๆ”
“รู้หรือไม่ เจ้าเป็นคนดีเกินไป” เย่วไป๋หูเลียแขนที่ยังมีกลิ่นเลือดของเนี่ยมู่ซิ่งไม่หยุด คล้ายกับยังไม่อิ่ม แต่ก็จำเป็นต้องหยุด ไม่เช่นนั้นคนผู้นี้คงจะตายไปเสียก่อน และยามนั้นเขาคงตายไปด้วย น่าอนาถใจยิ่งนัก
“ข้าแค่ทำตามคำสัญญากับอาจารย์เท่านั้น เจ้าเคยคิดที่จะรักษาสัญญากับผู้ใดบ้างหรือไม่”
“ปีศาจจิ้งจอกเช่นข้าไม่จำเป็นต้องรักษาคำสัญญากับผู้ใด”
“เช่นนั้นก็มาทำสัญญากับข้า ข้ายอมให้เจ้าดื่มเลือดของข้า แต่เจ้าต้องห้ามไปทำร้ายมนุษย์หรือดื่มเลือดของผู้อื่น ได้หรือไม่”
ดวงตาของเย่วไป๋หูเป็นประกายด้วยความลิงโลด ตั้งแต่ดื่มเลือดมนุษย์มา เขารู้สึกว่าเลือดของเนี่ยมู่ซิ่งนี่แหละอร่อยที่สุด แล้วเขาจะไปอยากดื่มเลือดของผู้อื่นได้อย่างไร ได้ดื่มเลือดอร่อยๆ โดยไม่ต้องไปควานหา ไม่ต้องเสียแรง อย่างไรก็ดียิ่ง
“ได้! ข้าสัญญา”
“เช่นนั้นก็ดี”
แม้จะอยู่ในความมืด เย่วไป๋หูก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่า ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของคนที่นอนอยู่มีรอยยิ้มบางๆ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนเพลีย แต่ก็ถือว่าเป็นรอยยิ้ม ซึ่งเขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งที่สองหลังจากไปกินปลาย่างกันวันนั้น
คงเป็นเช่นที่ฟ่านจิ้งบอกจริงๆ ว่าเนี่ยมู่ซิ่งมีสีหน้าเฉยชา แต่กลับเป็นคนที่มีน้ำใจดีงามอย่างคาดไม่ถึง เขาผู้เป็นราชาปีศาจไม่เคยพบมนุษย์ที่มีนิสัยเช่นนี้มาก่อน ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก จนคิดว่าคนผู้นี้จะเป็นคนดีเช่นนั้นไปเพื่อสิ่งใดกัน เป็นคนดีปกป้องผู้อื่นโดยที่ใครๆ มองไม่เห็น เป็นคนดีจนเหมือนเป็นคนประหลาด
แม้วันต่อมาเนี่ยมู่ซิ่งจะอ่อนเพลียเพราะถูกเย่วไป๋หูดื่มเลือดไปมาก แต่เพราะมีหนี้ที่ยังต้องจ่าย เขาจึงลุกขึ้นมาปรุงยาเพิ่ม คิดว่าจะให้ฟ่านจิ้งนำไปขายให้มากที่สุด
ไม่คาดคิดว่าทำได้แค่ครึ่งเดียว ฟ่านจิ้งก็กลับเข้ามาในสำนัก แล้วเอ่ยเรียกเขาด้วยท่าทางแตกตื่น
“อาจารย์! อาจารย์แย่แล้ว”
เนี่ยมู่ซิ่งที่กำลังง่วนอยู่กับการทำลูกกลอนเงยหน้าขึ้นมองฟ่านจิ้งที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ประโยคแรกที่เอ่ยถามคือ “เย่วไป๋หูอยู่ที่ใด”
“ข้าอยู่นี่” เย่วไป๋หูที่ออกไปขายยาพร้อมกับฟ่านจิ้งโผล่หน้าเข้ามาในห้องปรุงยาให้เนี่ยมู่ซิ่งเห็น
เมื่อเห็นว่าเย่วไป๋หูไม่ได้หายไปไหน แสดงว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับปีศาจจิ้งจอก เนี่ยมู่ซิ่งจึงถามต่อ “แล้วตกลงมีเรื่องใด”
ฟ่านจิ้งวิ่งออกไปนอกห้องปรุงยา ก่อนจะลากชาวบ้านคนหนึ่งกลับเข้ามา “อาจารย์ คนผู้นี้ต้องการเชิญท่านไปปราบปีศาจ”
“ปราบปีศาจ?” เนี่ยมู่ซิ่งทวนคำ
“ใช่แล้วท่านอาจารย์ ปราบปีศาจ ท่านต้องไปช่วยคนในหมู่บ้านเราปราบปีศาจนะ” ชาวบ้านชายคนนั้นมีท่าทีหวาดกลัวเมื่อพูดถึงปีศาจ
“แล้วค่าจ้างเล่า” เย่วไป๋หูเป็นคนถาม
“เรื่องนั้นพวกท่านไม่ต้องห่วง ยามนี้พวกเรารวบรวมเงินสำหรับค่าปราบปีศาจแล้ว หากพวกท่านปราบปีศาจตนนี้ได้ ก็รับไปเลยห้าตำลึง!”
“ไม่น้อยไปหน่อยหรือ” เย่วไป๋หูท้วง
เนี่ยมู่ซิ่งตวัดตาคมใส่เย่วไป๋หู เย่วไป๋หูหาได้กลัวไม่ แต่ก็ยอมหยุดปาก เขาไม่พอใจว่าเหตุใดตนจึงถูกนักปราบปีศาจคนนี้คิดค่าราคาที่พักและอาหารแสนแพง แต่กับคนอื่นกลับเรียกเก็บเงินไม่มาก
“อาจิ้ง น้ำชา” เนี่ยมู่ซิ่งสั่งศิษย์รัก ก่อนจะหันไปหาชายที่มาใหม่ “ท่านนั่งลงก่อน แล้วช่วยเล่าให้ข้าฟังว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร”
คนที่มาหาเนี่ยมู่ซิ่งเป็นคนจากหมู่บ้านที่อยู่ด้านเหนือของหมู่บ้านทะยานฟ้า ซึ่งคนหมู่บ้านนั้นเป็นญาติกันเกือบทั้งหมด เมื่อไม่กี่วันก่อนหลานชายคนหนึ่งในหมู่บ้านแต่งสตรีหมู่บ้านอื่นเข้ามาเป็นสะใภ้ นางมีนามว่าสุ่ยซวี่ และมีสาวใช้ติดตามมาด้วยนางหนึ่งนามว่าเหมยเหมย
ตั้งแต่แต่งสะใภ้คนนี้เข้ามา ในหมู่บ้านก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด พวกเขาพบศพแทบวันเว้นวัน ที่สำคัญคือ ศพเหล่านั้นล้วนเป็นบุรุษ ร่างกายคล้ายถูกสูบเลือดและเนื้อไปจนหมด เหลือเพียงกระดูกที่มีผิวหนังบางๆ ห่อหุ้มเอาไว้เท่านั้น
เหตุการณ์นี้ทำให้คนในหมู่บ้านต่างหวาดผวาเป็นอย่างมาก ตอนแรกไม่สามารถจับมือผู้ใดดมได้ แต่เช้าวันหนึ่งสุ่ยซวี่ก็ถูกจับได้ เพราะสาวใช้คนหนึ่งจะยกอ่างล้างหน้าเข้าไปในห้องของนางและสามีนางอย่างทุกวัน ทว่าเคาะประตูอย่างไรก็ไม่มีคนขานรับ สาวใช้นางนั้นจึงเปิดประตูเข้าไปดู และพบว่าสามีของสุ่ยซวี่ที่นอนอยู่บนเตียงนั้นตายไปแล้ว ร่างเขาเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ส่วนสุ่ยซวี่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ใบหน้าและริมฝีปากของนางมีแต่คราบเลือดแห้ง สาวใช้นางนั้นจึงหวีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านรู้เรื่องจึงเกณฑ์คนไปจับตัวนางมาขังเพื่อรอการเผา
“แล้วยามนี้พวกท่านจับนางไปขังไว้ที่ใด” เนี่ยมู่ซิ่งถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“เอ่ยถึงเรื่องนั้นพวกข้าก็เจ็บใจ เพราะสาวใช้ของสุ่ยซวี่นางโง่งมนัก เอาแต่โวยวายว่าฮูหยินของนางไม่ใช่ปีศาจ สุดท้ายนางก็หาโอกาสปล่อยฮูหยินของตนให้หนีออกไปจนได้ หาอย่างไรก็ไม่พบ” ชายผู้นั้นบอกอย่างขัดใจ “ดังนั้นข้าจึงมาที่หมู่บ้านทะยานฟ้า เพื่อให้ท่านอาจารย์เนี่ยไปตามจับตัวนางและกำจัดนาง”
“พวกท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นนาง” เนี่ยมู่ซิ่งถามต่อ
“พวกข้ามั่นใจ เพราะตอนที่นางถูกพวกข้าคุมขังเอาไว้ ไม่เกิดคดีร่างคนแห้งตายสักคนเดียว แต่เมื่อสาวใช้ของนางลอบปล่อยตัวนางออกไป ก็มีคนตายอีก”
เนี่ยมู่ซิ่งพยักหน้าพร้อมกับลุกขึ้น “รอข้าสักครู่ ขอข้าไปเตรียมการก่อน”
“ได้ๆ อาจารย์เนี่ย” ชาวบ้านผู้นั้นเอ่ยด้วยความยินดี
เนี่ยมู่ซิ่งเดินไปยังห้องพักของเขา หยิบกระบี่ปราบมารที่ยามนี้ด้านในมีกระบี่เพียงครึ่งเดียวและห่อผ้าเตรียมไว้เผื่อต้องค้างคืน ประตูห้องเขาเปิดอยู่ เย่วไป๋หูเดินมาพิงกรอบประตูกอดอกมองท่าทางเนี่ยมู่ซิ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูอ่อนแรงจึงเอ่ยถาม
“จะไหวหรือ ท่าทางเจ้าเหมือนคนไม่มีแรง”
เนี่ยมู่ซิ่งอยากจะตอบกลับไปว่าที่เขาไม่มีแรงไม่ใช่เพราะปีศาจจิ้งจอกที่ตะกละเอาแต่ดื่มเลือดหรือไร แต่เพราะรู้ว่าตอบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงทำเพียงตวัดสายตาไม่พอใจให้เย่วไป๋หูคราหนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายออกไปหาชาวบ้านผู้มาจ้างวาน
ฟ่านจิ้งที่เมื่อครู่หายไป ยามนี้ก็กลับมาพร้อมห่อผ้าห่อเล็กเช่นกัน อีกทั้งยังยิ้มกว้าง เพราะตั้งแต่มาอยู่ในสำนักเพิ่งมีคนมาจ้างให้อาจารย์ไปปราบปีศาจก็วันนี้
“เจ้าไปไม่ได้ อันตราย” เนี่ยมู่ซิ่งบอกสั้นๆ เมื่อเห็นฟ่านจิ้งเตรียมห่อผ้าออกเดินทาง
“อาจารย์ ให้ข้าไปด้วยเถิด โอกาสเช่นนี้อาจจะมีแค่ครั้งเดียวก็ได้ แล้วข้าจะไม่ดื้อไม่ซน จะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง” ฟ่านจิ้งเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน
ฟ่านจิ้งอยู่สำนักปราบปีศาจ แต่ไม่เคยได้ออกไปปราบปีศาจ แล้วจะเอาเรื่องใดไปเชิดหน้าชูตากับผู้อื่นกัน วันนี้เขาจะได้ออกไปบอกคนอื่นสักทีว่าสำนักของเขานั้นปราบปีศาจจริงๆ อีกทั้งยังต้องไปดูเองด้วย เพื่อให้รู้ว่าเวลาปราบปีศาจนั้นเขาทำอย่างไรกัน
เห็นสายตาอ้อนวอนของลูกศิษย์ เนี่ยมู่ซิงก็อดใจอ่อนไม่ได้ เขาถอนหายใจคราหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอนุญาต ฟ่านจิ้งเห็นอาจารย์อนุญาตก็ดีใจกระโดดจนตัวลอย
“แล้วข้าเล่า” เย่วไป๋หูกระแซะเข้ามาข้างๆ เนี่ยมู่ซิ่ง
“เจ้าต้องไปอยู่แล้ว ห่างกายข้า ข้าไม่ไว้ใจ” เนี่ยมู่ซิ่งตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เย่วไป๋หูทำท่ากระบิดกระบวน ตอบกลับด้วยท่าทีเอียงอายเกินจำเป็น และจิ้มนิ้วเรียวไปที่แขนของเนี่ยมู่ซิ่ง “แหม อาจารย์เนี่ย ไม่อยากจะห่างข้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
เนี่ยมู่ซิ่งปัดนิ้วเรียวของเย่วไป๋หูพร้อมกับขึงตาใส่ แล้วเดินไปหาผู้จ้างวานเพื่อเร่งออกเดินทาง
つづく.
--------------------------------------------
#อาจารย์ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นบอกว่าท่านน่ากินนัก
-------------------------------------
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โถถๆๆ ว่าแล้วว่าต้องนอนกันสามคนนน 555
ต้องขุนท่านอาจารย์ให้อ้วนๆ แล้วสินะ จะได้มีเลือดให้กินเยอะกว่าเดิม
ว่าแต่ว่า จริงๆ แล้วสาวใช้เป็นปีศาจแทนหรือเปล่าหนอ
ขังเขามา “สี่” ร้อยปี
มาต่ออีกนะคะ สนุกมากคะ