คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 (100%)
หนึ่งเดือนต่อมา...อำเภอเล็กๆ บริเวณตะเข็บชายแดนแคว้นเจิ้ง ที่เพิงร้านน้ำชาข้างทางแห่งหนึ่ง
“หาตัวนางพบหรือไม่” นายทหารผู้หนึ่งถามสหายทหารเมื่อคนทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะตัวไม่ใหญ่นัก ทั้งสองสั่งน้ำชามาดื่มแก้กระหาย
“ไม่พบ แต่คิดว่านางคงหนีไปได้ไม่ไกล เราเอารูปนางไปติดประกาศค้นหา คาดว่าอีกไม่คงมีคนมาแจ้งเบาะแสเพราะต้องการเงินรางวัล” นายทหารอีกนายบอก
“ท่านนายกองสั่งเอาไว้ว่าหากพบตัวให้พานางกลับไปที่จวนอ๋อง แล้วหลู่ชินอ๋องจะประทานรางวัลอย่างงาม ว่าแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลู่ชินอ๋องมีโรคใดกัน”
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ” สหายทหารกระซิบ
“หากรู้จะถามเจ้าหรือ”
“รู้แล้วอย่าบอกผู้ใด ตั้งแต่หลู่ชินอ๋องไปทำศึกกับแคว้นซีโจว ท่านอ๋องก็ทรง...”
“ทรง?”
“นกเขาไม่ขัน”
“เพราะเช่นนี้นี่เอง ท่านอ๋องจึงทรงให้ทหารเช่นพวกเราควานหาตัวหลานของหมอเทวดาเฟิงเทียนสือนามว่าเฟิงชิงถิงแทบจะพลิกแผ่นดิน แล้วหลานสาวของหมอเทวดาจะรักษาได้หรือ ได้ข่าวว่าท่านหมอเทวดาเฟิงเทียนสือก็ลาโลกไปแล้วด้วย”
“ได้สิ แม่นางเฟิงชิงถิงนั้นมีความสามารถด้านการรักษาไม่แพ้ท่านหมอเทวดาเฟิงเทียนสือเลยแม้แต่น้อย ไม่เห็นหรือไรแค่สองปีที่ท่านหมอเทวดาเฟิงเทียนสือลาโลกไป แม่นางเฟิงชิงถิงก็ถูกชาวบ้านเรียกขานว่าหมอเทวดาตัวน้อยแล้ว ที่จริงนางเป็นคนแคว้นต้าหลวน ท่านอ๋องเคยให้คนเชิญนางมาแล้วแต่นางปฏิเสธ ยามนี้จึงได้ออกอุบาย ลวงให้นางมาแคว้นของเราโดยให้ผู้อื่นไปเชิญมา ไม่คาดว่าพอนางได้ไปพบครอบครัวที่จะต้องรักษา นางกลับไหวตัวทัน หนีไปเสียได้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“อย่าเอาแต่พูดเลย เอารูปของนางไปติดประกาศต่อเถิด หาตัวนางเจอเร็ว เราก็ยิ่งสบายกันเร็วขึ้น”
ทหารทั้งสองนายลุกจากโต๊ะและทิ้งเงินค่าน้ำชาเอาไว้ ก่อนจะเร่งรุดไปทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ได้ล่วงรู้ว่าโต๊ะใกล้ตนนั้น มีสตรีนางหนึ่งนั่งฟังการสนทนาของพวกเขาอย่างสนใจใคร่รู้ สตรีนางนั้นสวมหมวกปีกกว้างมีผ้าโปร่งคลุมเอาไว้ จึงไม่มีผู้ใดเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง
เมื่อนายทหารสองนายนั้นเดินลับสายตาไปแล้ว สตรีนางนั้นจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางคือเฟิงชิงถิง หรือสตรีที่เหล่าชาวบ้านต่างขนานนามว่าหมอเทวดาตัวน้อยนั่นเอง จะว่าไปยามนี้แม้จะมีคนมาเปิดผ้าโปร่งที่ปิดบังใบหน้าของนางออก คนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่านางคือเฟิงชิงถิงอยู่ดี เพราะไม่มีใครรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของนาง
ที่เอ่ยเช่นนั้นเพราะทุกครั้งที่เฟิงชิงถิงออกไปรักษาคน นางจะทำหน้ากากมนุษย์เอาไว้เพื่อสวมใส่ปิดบังใบหน้าที่แท้จริง ยามใดที่ไม่ได้รักษาผู้คน นางก็ใช้ใบหน้าที่แท้จริงของนางเดินเข้าออกตามถนนหนทางได้อย่างสะดวก คาดว่าในประกาศคงเป็นหนึ่งในใบหน้าปลอมที่นางทำหน้ากากขึ้นมา เห็นทีต้องไปดูว่าเป็นใบหน้าเช่นไร นางจะได้ทำลายหน้ากากชิ้นนั้นทิ้งเพื่อจะได้ไม่นำมาใช้อีก
ที่นางต้องทำเช่นนี้เพราะท่านปู่ของนางเคยสั่งเอาไว้ว่า ‘ชิงถิงเอ๋ยเจ้าไม่รู้วรยุทธ์ รู้แต่เรื่องการแพทย์ ดังนั้นยามที่เจ้าไปรักษาผู้คนแทนปู่ อย่าให้ผู้ใดรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าได้ เพราะมันจะนำภัยมาสู่ตัวเจ้า ใช้หน้ากากปลอมที่ปู่เคยสอนให้เจ้าทำมาปิดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้ รอจนกว่าพ้นสามปีหลังจากที่ปู่จากไปแล้วค่อยใช้ใบหน้าจริงของเจ้าก็ยังไม่สายหากเจ้าต้องการ’
แม้นางจะไม่รู้ว่าอันตรายที่ท่านปู่เอ่ยนั้นหมายถึงสิ่งใด แต่หลังจากที่ท่านปู่จากไปและนางกลายเป็นผู้ที่ต้องเป็นคนรักษาผู้อื่นแทนท่านปู่ นางก็ทำตามคำสั่งเสียนั้นมาตลอด และนี่ก็เป็นเวลาสองปีกว่ามาแล้วที่ท่านปู่จากไป
เฟิงชิงถิงยิ้มเศร้าเมื่อนึกถึงท่านปู่ นางเป็นเด็กกำพร้า ท่านปู่ดูแลนางมาตั้งแต่จำความได้ จนเมื่อนางอายุสิบหกปีท่านปู่ก็จากนางไป ส่วนนางก็เผชิญโลกกว้างเพียงลำพังโดยเดินทางค้นคว้าและรักษาผู้คนที่เจ็บป่วยไปเรื่อยเหมือนปณิธานเดิมของท่านปู่จนยามนี้นางอายุได้สิบแปดปี
ที่จริงจะว่าเฟิงชิงถิงเป็นสตรีตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตรเลยก็คงไม่ได้ นางมีพี่สาวร่วมสาบานอยู่นางหนึ่งนามว่าหยุนซิงเย่ ยามที่ท่านปู่จากไปนางส่งข่าวให้หยุนซิงเย่รู้ พี่สาวก็รีบเดินทางมาที่หมู่บ้านตัวมู่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนางอย่างรวดเร็ว พี่สาวร่วมสาบานชวนให้นางไปอยู่ด้วยกัน แต่นางอยากจะศึกษาเรื่องการแพทย์และสมุนไพรมากกว่านี้ อีกทั้งยังอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องการรักษาผู้คน นางจึงปฏิเสธและออกเดินทางจากหมู่บ้านตัวมู่เพียงลำพัง
ตอนออกจากหมู่บ้านมา หยุนซิงเย่ได้ให้เงินกับเฟิงชิงถิงมาจำนวนหนึ่งซึ่งถึงว่าเป็นจำนวนมาก เฟิงชิงถิงไม่เคยจับเงินจำนวนมากนางจึงรับมาแค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คืนหยุนซิงเย่ไปและบอกกับอีกฝ่ายว่านางต้องการใช้ชีวิตอิสระเช่นท่านปู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องอันตรายเพราะนางเคยเดินทางกับท่านปู่มาหลายครั้ง รู้ว่าควรจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร และหากนางเหนื่อยเมื่อใด นางจะกลับไปหาหยุนซิงเย่ทันที
หยุนซิงเย่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รั้งเอาไว้ กอดเฟิงชิงถิงอย่างรักใคร่เอ็นดู บอกว่าหากมีเรื่องลำบากหรือมีสิ่งใดที่ไม่สามารถรับมือได้ให้รีบไปหานางทันทีเพราะนางเป็นพี่สาว อย่างไรคนเป็นพี่ก็ไม่คิดจะทิ้งน้องให้ตกอยู่ในอันตราย เฟิงชิงถิงได้ยินก็น้ำตาเอ่อคลอด้วยความซาบซึ้งใจรับคำกับหยุนซิงเย่อย่างแม่นมั่น ก่อนที่คนทั้งสองจะแยกกันเดินตามทางคนละสาย
เรื่องนี้ก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้วเช่นกัน คิดว่าช่วงนี้คงเป็นช่วงที่นางต้องไปพึ่งพี่สาวของนางแล้วสินะ เพราะนางไม่อยากถูกทหารของคนแคว้นเจิ้งจับตัวไป นางไม่อยากรักษาโรคให้อ๋องผู้นั้น นางรู้ว่าแท้จริงแล้วอ๋องผู้นั้นไม่ได้เป็นโรค แต่ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเหตุการณ์บางอย่างต่างหาก เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหยุนซิงเย่พี่สาวร่วมสาบานของนาง เหตุการณ์ที่ทำให้นางไม่อยากจะไปเหยียบจวนอ๋องของคนแคว้นเจิ้ง และไม่คิดที่จะไปรักษาให้คนผู้นั้นแม้สักนิดเดียว ต่อให้มีของมีค่าหรืออำนาจวาสนามากองตรงหน้า นางก็ไม่คิดจะรักษาคนผู้นั้นอย่างเด็ดขาด
เมื่อตัดสินใจแล้ว เฟิงซิงถิงจึงสั่งหมั่นโถวเพื่อเตรียมออกเดินทางกลับแคว้นต้าหลวนซึ่งเป็นแคว้นเกิดของนาง คิดออกเดินทางไปหาหยุนซิงเย่ รอเวลาให้คนแคว้นเจิ้งเลิกหาตัวนางแล้ว นางค่อยออกมาใช้ชีวิตอิสรเสรีของนางต่อไป
ขณะที่เฟิงชิงถิงเดินออกจากเพิงร้านน้ำชาได้ไม่เท่าไร นางก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว เสียงนั้นดังมากจนทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นหันไปมอง เฟิงชิงถิงก็เช่นกัน
ภาพที่เฟิงชิงถิงเห็นนั้นคือ เด็กชายคนหนึ่งวัยประมาณสี่ปีกำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย ตรงหน้าของเด็กชายคนนั้นมีชายร่างใหญ่นั่งกินสิ่งใดอยู่ด้วยท่าทางตะกละตะกลาม ยังไม่ทันที่จะสังเกตสิ่งใด หญิงชาวบ้านนางหนึ่งก็วิ่งมาอุ้มเด็กชายคนนั้นไว้แล้วเอ่ยถาม
“ตงเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไร”
“ท่านแม่ เจ้าบ้าแย่งขนมโก๋ข้าไปกินแล้ว ขนมโก๋ที่ข้าเพิ่งจะกินได้คำเดียวมันกินของข้าไป ฮือ” เด็กชายร้องไห้สะอื้นชี้ไปยังร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งที่นั่งกินของบางอย่างด้วยความโมโหตามประสาเด็กที่ถูกแย่งของกิน
“ไม่เป็นไร เจ้าบ้ามันแย่งไปก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แม่จะซื้ออันใหม่ให้เจ้าเอง”
“ฮือ ท่านแม่”
“แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าเวลากินอะไรอย่าไปกินให้เจ้าบ้ามันเห็น เป็นอย่างไรเล่า” หญิงชาวบ้านนางนั้นดุลูกชายตนเองแล้วรีบอุ้มออกห่างจากชายที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว
เฟิงชิงถิงมองดูชายที่ยังนั่งกินขนมโก๋ไม่สนใจผู้ใดด้วยแววตาเวทนา ผมเผ้าของชายผู้นี้ยุ่งเหยิงจนดูไม่ได้ หนวดเคราที่ยาวเฟิ้มทั้งสกปรกและรุงรัง เสื้อผ้านั้นก็สกปรกและขาดวิ่น เขายัดขนมโก๋ชิ้นใหญ่เข้าไปในปากด้วยความหิวโหย ดูแล้วคงจะหิวมาก และด้วยร่างกายที่ใหญ่โตนั้นคาดว่าขนมโก๋คงแค่ประทังชีวิตเขาไปได้ไม่นาน
“เจ้านั่นเป็นคนบ้าน่ะแม่นาง” เจ้าของร้านเพิงน้ำชาเห็นเฟิงชิงถิงมองชายที่นั่งอยู่บนพื้นกินขนมโก๋ด้วยความสนใจจึงบอกให้นางได้รู้
“เจ้าบ้า?” เฟิงชิงถิงทวนคำ
“มันเป็นบ้า หลงมาอยู่ในหมู่บ้านเราได้สิบกว่าวันแล้ว แม่นางอย่าเข้าใกล้มันเป็นอันขาดนะ ดูอย่างนี้มันโหดร้ายมาก เคยทำให้พี่หวังที่ทำอาชีพนายพรานต้องบาดเจ็บสาหัสปางตายเลยทีเดียว ตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ที่บ้านท้ายหมู่บ้าน ออกไปที่ใดไม่ได้”
“เขาทำร้ายคนในหมู่บ้านเพราะเหตุใด”
“เมื่อแปดวันก่อนเห็นจะได้ พี่หวังล่าหมูป่ามาได้ ผ่านเจ้าบ้าผู้นี้พอดี เจ้าบ้าพอเห็นหมูป่าก็แย่งหมูป่ากับพี่หวัง พี่หวังเป็นคนจับมันมาได้ไหนเลยจะยอมให้เจ้าบ้าแย่งไปง่ายๆ ก็เลยคิดจะชกเจ้าบ้า แต่เจ้าบ้าก็หลบหลีกได้รวดเร็ว พี่หวังทำสิ่งใดเจ้าบ้าไม่ได้ ผิดกับเจ้าบ้าที่ผลักพี่หวังครั้งเดียว พี่หวังกระเด็นไปไกล หลังกระแทกต้นไม้กระอักเลือดออกมา พวกเราที่เห็นเหตุการณ์ต่างหามพี่หวังไปให้ท่านหมอรักษา ปรากฏว่ากระดูกซี่โครงด้านหน้าของพี่หวังหักหมด ท่านหมอสั่งให้พี่หวังนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงเป็นเวลาครึ่งปี จึงจะพอขยับกายไปไหนได้ เจ้าบ้าผู้นี้แรงเยอะยิ่งนัก” เอ่ยจบเถ้าแก่ร้านเพิงน้ำชาก็ส่ายหน้าอย่าปลงๆ
“แล้วหมูป่าเล่า” เฟิงชิงถิงถามต่อ
“ถูกเจ้าบ้าเอาไปกินนะสิ แต่ก็น่าสยดสยองยิ่งนัก เพราะเจ้าบ้ามันกินหมูป่าสดๆ อยู่ตรงที่ทะเลาะกับพี่หวังเลย มันฉีกเนื้อแล้วกินอยู่ตรงนั้น เลือดหมูนี้อาบเต็มมือและใบหน้ามัน วันนั้นข้าเห็นแล้วแทบจะอาเจียนออกมา นี่ยังติดตาไม่หาย” เห็นเฟิงชิงถิงยังนิ่งฟัง เถ้าแก่ร้านน้ำชาจึงเล่าต่อ
“หลังจากนั้นเวลาใครถือของกินผ่านหน้า เจ้าบ้าก็จะแย่งของกินของคนผู้นั้นตลอด แต่ไม่มีใครกล้าขัดขืน เจ้าบ้าแย่งก็ปล่อยให้มันแย่งเพราะกลัวจะบาดเจ็บเจียนตายอย่างพี่หวัง”
“เขาคงหิวมาก” เฟิงชิงถิงรำพันเสียงเบา
“พวกเราแจ้งทางการแล้ว เมื่อวันก่อนมือปราบจะจับตัวเจ้าบ้าไป แต่มันขัดขืนมือปราบสามคนที่จะจับตัวมันไปต่างบาดเจ็บสาหัสไปตามๆ กันเพราะถูกเจ้าบ้าทำร้าย”
“แม่นางเองถ้าจะผ่านมันก็ระวังมันได้กลิ่นหมั่นโถวจากตัวแม่นาง มันจะแย่งเอา เจ้าบ้าจมูกดีมาก”
“ขอบคุณเถ้าแก่ที่ห่วงใย” เฟิงชิงถิงพยักหน้าก่อนจะออกเดิน
และทางเดินนั้นก็เป็นทางเดินที่นางต้องผ่านเจ้าบ้านั่นพอดี แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินไป เจ้าบ้าก็ไอโขลกออกมาอย่างรุนแรง เสียงไอแห้งๆ อยู่หลายครั้งเหมือนมีสิ่งใดติดคอ
“ขนมโก๋คงติดคอละสิท่า ตายไปก็ดี” เถ้าแก่ร้านน้ำชาเอ่ย
หากเป็นผู้อื่นคงยินดีให้เจ้าบ้าคนนี้ตายไปเพื่อจะได้ไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก แต่สำหรับเฟิงชิงถิงที่เป็นหมอแม้จะไม่ได้เป็นหมอที่ดีเท่าท่านปู่แต่นางก็เห็นคนทรมานตรงหน้าไม่ได้ นางเห็นว่าเจ้าบ้าไอหนักกว่าเก่าใบหน้าแดงก่ำก็รีบตรงเข้าไปหา นั่งยองๆ ตรงหน้าเขาก่อนจะยื่นถุงน้ำไปตรงหน้า
“น้ำ ดื่มน้ำเสีย”
“แม่นางระวังเจ้าบ้าจะทำร้ายเอา” เถ้าแก่ร้านน้ำชาร้องเตือนด้วยความตกใจ
เจ้าบ้าที่กำลังไออย่างเอาเป็นเอาตาย ตวัดสายตามองนางอย่างดุดัน แต่เฟิงชิงถิงก็ยังข่มความหวาดกลัวเอาไว้ เปิดจุกถุงใส่น้ำแล้วบอกเขาด้วยเสียงอารี “เจ้าสำลักขนมโก๋ไม่ใช่หรือ ดื่มน้ำเสีย”
มือใหญ่สกปรกยื่นมารับถุงน้ำก่อนจะดื่มน้ำลงไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวสำลักเอา” นางเตือนแต่เจ้าบ้าก็ไม่ได้สนใจ
เจ้าบ้าดื่มน้ำจนหมดถุงแล้วก็โยนถุงน้ำทิ้งอย่างไม่ไยดี เฟิงชิงถิงไม่ถือสา คิดจะเก็บถุงน้ำกลับมาแล้วให้เถ้าแก่ร้านน้ำชาเติมน้ำให้นางใหม่ นางเพิ่งจะหยิบถุงน้ำชาขึ้นมาเดินกลับไปที่เพิงร้านน้ำชากลับถูกเจ้าบ้าขวางเอาไว้ ตอนแรกเฟิงชิงถิงตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าบ้ามองอยู่ที่ใดก็หัวเราะออกมา
“ข้าบอกแม่นางแล้วว่าเจ้าบ้ามันจมูกดี คงได้กลิ่นหมั่นโถวที่แม่นางเก็บไว้ในห่อสัมภาระนะสิ” เถ้าแก่ร้านน้ำชาบอก
เฟิงชิงถิงหยิบหมั่นโถวออกมาสี่ลูกยื่นให้เจ้าบ้า “เอาไป”
เจ้าบ้าฉวยหมั่นโถวสี่ลูกเอาไว้อย่างรวดเร็วและเริ่มกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกครั้ง ไม่สนใจเฟิงชิงถิงอีกต่อไป นางส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินไปยังเพิงน้ำชายื่นถุงน้ำให้เถ้าแก่ก่อนจะสั่ง
“เติมน้ำให้ข้าและหมั่นโถวอีกสี่ลูก”
“แม่นางช่างมีน้ำใจยิ่งนัก” เถ้าแก่เอ่ยพลางเติมน้ำกรอกใส่ถุงน้ำ
“เห็นคนตกทุกข์ได้ยากควรช่วยเหลือ”
“เมื่อครู่ข้าตกใจแทบตาย กลัวว่าเจ้าบ้าจะทำร้ายแม่นาง”
“เถ้าแก่เล่าว่าเขาทำร้ายคนที่ไม่ยอมให้อาหาร กับทหารที่คิดจะมาจับตัวเขานี่ ข้าแบ่งอาหารให้เขา แล้วก็ไม่ได้คิดจะจับตัวเขาไปไหน เลยคิดว่าเขาคงไม่คิดจะทำร้ายข้า”
“แต่ระวังเอาไว้ก็ดี”
เฟิงชิงถิงเพียงแต่ยิ้ม จ่ายเงินค่าหมั่นโถวและน้ำเสร็จก็ออกเดินทางอีกครั้ง แต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดคือเจ้าบ้าผู้นั้นกลับเดินตามนางมาด้วย อีกทั้งนางยังไม่รู้ว่าเขาตามมา จนเมื่อตะวันลับขอบฟ้า
เฟิงชิงถิงหาที่เหมาะๆ เพื่อค้างแรม เพราะเป็นเขตชายแดนจึงมีบ้านเรือนและโรงเตี๊ยมไม่มากนัก วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ต้องค้างแรมในป่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนางเท่าไหร่แม้จะเป็นสตรีตัวคนเดียวก็ตาม
นางมองหาต้นไม้ใหญ่เพื่อจะใช้สำหรับนอนค้างในคืนนี้ และเมื่อตะวันยังไม่ลับฟ้าดีร่างบางก็ปีนขึ้นต้นไม้เหมาะ ใช้ต้นไม้นั้นเป็นที่พักแรมของนาง
เพราะเพิ่งกินอาหารมาจึงไม่หิวมาก แต่เพราะต้องคอยหลบทหารตลอดเวลาทำให้นางอ่อนเพลียมากกว่าปกติ เพียงแค่ตะวันลับขอบฟ้านางก็นั่งอยู่บนกิ่งไม้ขนาดพอที่มันพอจะทนน้ำหนักตัวของนางได้ พิงหลังหลับตาลงไม่นานลมหายใจของนางก็เริ่มสม่ำเสมอ
ในขณะที่นางครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงทุ้มสายหนึ่งลอยเข้าหูมา
“หมั่นโถว หมั่นโถว”
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา พร้อมกับกลิ่นเหม็นสาบที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนนางรู้สึกว่ามีลมบางอย่างมาปะทะใบหน้า เปลือกตาที่ปิดสนิทก็ลืมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อลืมตาขึ้นมาร่างบางที่พิงอยู่บนต้นไม้ก็เซไปจนเสียหลักทำให้ร่างทั้งร่างไถลลงจากกิ่งไม้ที่นั่งอยู่ เพื่อไม่ให้ตกลงไปนางจึงรีบคว้าสิ่งใดตรงหน้าเอาไว้ตามสัญชาตญาณ และสิ่งที่ทำให้นางตกใจก็คือสิ่งที่นางคว้าเอาไว้นั้นเอง สิ่งนั้นคือเจ้าบ้าผู้นั้น
แขนของเจ้าบ้าถูกเฟิงชิงถิงที่แทบจะตกจากต้นไม้คว้าเอาไว้ แต่เจ้าบ้ากลับหารู้สึกไม่ เขายังนั่งนิ่งทิ้งแขนข้างนั้นให้เฟิงชิงถิงที่ห้อยร่างต่องแต่งโดยยังเอ่ยแต่เพียง “หมั่นโถว หมั่นโถว”
“ช่วยข้าขึ้นไปที” นางรู้ว่าคนผู้นี้เรี่ยวแรงต้องมหาศาลแน่ๆ เพราะขนาดนางกอดแขนเขาไว้ร่างห้อยอยู่กลางอากาศเช่นนี้เขายังไม่รู้สึก
“หมั่นโถว” ดวงตาสีดำสนิทที่เห็นเพียงรำไรเพราะผมที่เหนียวเป็นก้อนปิดบังอยู่เอาแต่มองห่อผ้าที่ใส่หมั่นโถวเอาไว้
“ช่วยข้าก่อน แล้วข้าจะเอาหมั่นโถวให้เจ้ากิน”
เพียงนางเอ่ยจบร่างที่ห้อยต่องแต่งนั้นก็ลอยหวือขึ้นอย่างรวดเร็ว นางยังไม่ทันหายตกใจด้วยซ้ำก็กลับมานั่งอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดิมแล้ว แต่ยังไม่ทันได้หายใจหายคอดี เสียงหนึ่งก็ทำให้นางเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
‘เปรียะๆ’
เสียงปริแตกดังมาจากกิ่งไม้ที่นางนั่งอยู่ มันกำลังจะหัก เพียงแค่คิดจะหาที่ยึดใหม่ก็ยังไม่ทัน เพราะแค่นางก้มลงมอง กิ่งไม้ก็หักเป็นสองท่อนส่งผลให้ร่างของนางหล่นวูบลงไปพร้อมกับกิ่งไม้ กิ่งไม้ที่นางนั่งอยู่นั้นแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักตัวของนางได้ แต่ไม่แข็งแรงพอสำหรับร่างใหญ่โตของเจ้าบ้า!
เฟิงชิงถิงกัดริมฝีปากแน่น หลับตาเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวด แต่ผิดคาดเมื่อความรู้สึกคล้ายพื้นดินพลิกกลับพร้อมกับเอวของนางถูกรวบเอาไว้และลงพื้นมาด้วยแรงกระแทกที่ไม่แรงนัก เมื่อลืมตาขึ้นดูจึงรู้ว่าเจ้าบ้าใช้ตัวเองรับร่างนางเอาไว้ ตอนนี้นางจึงนอนทับเขาอยู่
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่” นางรอดพ้นจากเรื่องเจ็บตัวมาได้อย่างหวุดหวิด แม้สาเหตุมาจากเขา แต่เขาก็ช่วยนางเอาไว้ อีกทั้งไม่รู้ว่าคนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ นางจึงถามโดยที่ยังนอนอยู่บนร่างหนา และเมื่อลุกขึ้นนางจึงเพิ่งรู้ว่ามีบางอย่างตามร่างนางมาด้วย สิ่งนั้นคือมือใหญ่ที่กอบอยู่ที่หน้าอกของนางข้างหนึ่ง ดวงตาดำสนิทจับจ้องมือนั้นกุมอยู่พร้อมกับเสียงแหบทุ้ม
“หมั่นโถว”
‘เพี๊ยะ’
เสียงเฟิงชิงถิงตวัดมือตบหน้าเจ้าบ้าอย่างแรงโดยที่นางยังนั่งคร่อมร่างใหญ่นั้นอยู่
คิ้วของเจ้าบ้าขมวดแน่น มือข้างนั้นไม่ได้ถอนออกจากหน้าอกของนาง อีกทั้งยังบีบมันแรงจนเฟิงชิงถิงนิ่วหน้า “ปล่อยนะ!”
“หมั่นโถว” ครั้งนี้เขายิ่งกำเริบเสิบสานใช้สองมือกุมนางหน้าอกของนางเอาไว้ทั้งสองข้าง
ใบหน้าของเฟิงชิงถิงร้อนผ่าวด้วยความอับอาย แต่สติที่เริ่มกลับมาทำให้นางรู้ว่าเจ้าบ้าผู้นี้ไม่ได้คิดลวนลามนาง นางรีบล้วงของในห่อผ้าออกมายื่นให้
“นี่หมั่นโถวของเจ้า ที่เจ้าจับนั้นไม่ใช่”
“หมั่นโถว?”
เห็นแววตานั้นยังมองอยู่ที่หน้าอกของนางอีกทั้งมือทั้งสองยังขยำไปมา เฟิงชิงถิงก็ทนไม่ได้อีกต่อไป นางปัดมือใหญ่นั้นออกอย่างแรงยัดหมั่นโถวใส่มือใหญ่ข้างหนึ่งก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วถอยกรูดออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ หน้าอกสะท้อนขึ้นลงแรงทั้งตกใจและโมโห คิดจะตำหนิเจ้าบ้านั่น แต่ยามนี้เจ้าบ้าก็หาได้สนใจนางไม่ เขานั่งขัดสมาธิและกินหมั่นโถวด้วยท่าทางโหยหิวเช่นเคย
เฟิงชิงถิงได้แต่ถอนหายใจ นางไม่ควรถือสาคนบ้า แม้คนบ้าผู้นั้นเพิ่งจะลวนลามนางก็ตาม คิดถึงคำเล่าของเถ้าแก่ร้านน้ำชาบอกว่าชายคนนี้เคยทำร้ายนายพรานจนบาดเจ็บเจียนตายแล้วเฟิงชิงถิงก็คิดว่าตนโชคดีที่ไม่ถูกเขาทำร้าย
“เจ้าตามข้ามาหรือ”
“ง่ำๆๆ” ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงเคี้ยวหมั่นโถว
ดูท่าทางเจ้าบ้าผู้นี้จะไม่ต่างกับหมาหรือแมวข้างทางที่เมื่อให้อาหารมันแล้วมันจะตามไม่ยอมไปไหน แต่จะให้เจ้าบ้าผู้นี้ตามไปด้วยไม่ได้ นางกำลังถูกคนแคว้นเจิ้งตามตัวอยู่ แม้ผู้อื่นจะไม่รู้ว่าหน้าตาที่แท้จริงของนางเป็นอย่างไร แต่หากมีเจ้าบ้าผู้นี้ตามไปด้วยคงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากเขาทำร้ายผู้คน
สุดท้ายเฟิงชิงถิงก็ตัดใจ นางนำหมั่นโถวทั้งหมดที่มีมาวางไว้บนใบไม้แห้งตรงหน้าเจ้าบ้า “นี่ข้ามีทั้งหมดเท่านี้ อย่าตามข้ามาอีกนะ”
เจ้าบ้าแหงนหน้ามองนาง มืออีกข้างก็หยิบหมั่นโถวขึ้นมากิน นางยิ้มให้ก่อนจะสะพายสัมภาระเดินจากไปท่ามกลางความมืด แต่สุดท้ายนางก็ต้องล้มเหลวเมื่อนางหันกลับมาเห็นว่าร่างสูงใหญ่นั้นลุกขึ้นมาพร้อมกับหมั่นโถวทั้งหมด เขาเดินตามนางมาและกินหมั่นโถวไปพร้อมกัน
“ไม่ต้องตามข้ามา ข้าไม่มีหมั่นโถวให้เจ้าแล้ว”
“หมั่นโถว” สายตาที่ถูกปอยผมเป็นก้อนบังอยู่ จ้องไปที่ส่วนนูนๆ สองก้อนบนร่างของหญิงสาว
เฟิงชิงถิงกอดอกแน่น ทั้งโมโหทั้งอับอาย “นี่ไม่ใช่หมั่นโถว” เจ้าบ้านี่!
ตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยอับอายและโมโหผู้ใดมากขนาดนี้มาก่อน
“หมั่นโถว”
เฟิงชิงถิงเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว นางควรทำอย่างไรกับเจ้าบ้าและโง่ผู้นี้ดี เขาคงเห็นนางเป็นคนให้อาหารไปเสียแล้ว ไม่น่าเอาอาหารให้เขาเลย
ในที่สุดเฟิงชิงถิงก็ยอมรับชะตากรรม ขอเพียงเขาไม่ทำร้ายนาง คิดว่าไม่แน่เมื่อเขาเบื่อก็คงเลิกตามนางเอง แต่จะว่าไปบางสิ่งบางอย่างของเขาทำให้นางคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่านางเคยเจอคนผู้นี้จากที่ใด
ขณะที่เฟิงชิงถิงกำลังพิจารณาร่างสูงใหญ่ผ่านม่านราตรีอยู่นั้น เสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากที่วิ่งเข้ามาใกล้ทำให้นางรีบมองหาต้นไม้ที่เหมาะๆ แล้วปีนขึ้นไปใหม่อย่างคล่องแคล่ว
แต่สิ่งสำคัญคือนางลืมร่างสูงใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของเจ้าบ้าผู้นั้น อีกทั้งยามนี้เขายังแหงนหน้ามองขึ้นมายังต้นไม้ที่นางปีนขึ้นมาหลบอยู่
“หลบไป” นางสั่งเขา
“หมั่นโถว”
นางกลอกตาอย่างเหลืออด นางไม่ใช่หมั่นโถว!
เสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“ไว้ค่อยให้หมั่นโถวเจ้าทีหลัง”
ไม่รู้เจ้าบ้าเข้าใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้ชี้นิ้วขึ้นมาอีกด้วย หากม้าที่กำลังควบมาใกล้เป็นทหารแคว้นเจิ้ง นางอาจจะถูกจับตัวไป ไม่มีทางเลือกนางจึงรีบบอกเสียงไม่ดังนัก
“ได้ๆ ต่อไปเจ้าอยากได้หมั่นโถวเท่าใดก็ได้ จะนานเท่าใดก็ได้”
“หมั่นโถว” เสียงนั้นถูกเสียงฝีเท้าม้ากลบจนมิด พร้อมกับร่างสูงใหญ่กำยำนั้นหายวับไปกับตา เป็นเวลาพอดีที่กลุ่มคนที่ควบม้านั้นควบม้าผ่านมาพอดี
เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนผู้มาใหม่ใส่เครื่องแบบทหารแคว้นเจิ้ง เฟิงชิงถิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางมองดูเหล่าทหารกลุ่มใหญ่ควบม้าผ่านไปอย่างใจเย็น จนกลุ่มคนเหล่านั้นจากไปไกลแล้วจึงนั่งอยู่บนกิ่งไม้หายใจสะดวกขึ้นมาหน่อย แต่มือหนาใหญ่ที่ยื่นมาด้านหลังพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำ ทำเอานางสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
“หมั่นโถว”
เจ้าบ้าขึ้นมาอยู่ต้นไม้ต้นเดียวกับนางเมื่อใดไม่รู้ แต่โชคดีที่ครั้งนี้เขาเลือกอยู่บนกิ่งคนละกิ่งกับนางจึงไม่เป็นอันตราย นางปีนลงจากต้นไม้เพราะกลัวว่าเขาจะตามมาอยู่กิ่งเดียวกับนาง
เมื่อลงมาได้นางก็พบว่าร่างสูงใหญ่ของเขายืนรอนางอยู่ด้านล่างแล้ว คาดว่าเจ้าบ้าผู้นี้คงต้องมีวรยุทธ์อยู่บ้างแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่คล่องแคล่วเช่นนี้ “ตอนนี้ไม่มีแล้ว รอพรุ่งนี้เจอร้านหมั่นโถวเมื่อไหร่ข้าจะซื้อให้”
สายตาคู่ดำสนิทก้มมองหน้าอกของนาง “หมั่นโถว”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่านี่ไม่ใช่หมั่นโถว” ถึงมันจะนูนๆ เหมือนกันแต่ขนาดก็ไม่เท่ากัน
“กินหมั่นโถว”
เส้นเลือดที่ขมับของนางเต้นตุบ ๆ ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบจะไหม้ ความสุขุมเยือกเย็นที่สั่งสมมาเป็นเวลาสิบแปดปีแทบจะพังทลายลงมา เจ้าบ้าผู้นี้นอกจากบ้าแล้วอาจจะโง่งมด้วย นางกับเขาจึงคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่หากเจ้าบ้าผู้นี้โง่งม แล้วการต่อรองเรื่องหมั่นโถวเมื่อครู่นั่นคืออะไร หรือเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอด
แต่ช่างเถิดในเมื่อสัญญาก็ต้องเป็นสัญญา
“พรุ่งนี้เจอร้านหมั่นโถวเมื่อใดข้าจะซื้อให้เจ้า” เหมือนเขาจะเข้าใจเพราะมือที่ยื่นออกมานั้นหดกลับไปอยู่ข้างลำตัว แต่เมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้าใกล้ กลิ่นเหม็นจากตัวเขาก็โชยเข้ามาอีกครั้ง นางรีบถอยห่าง “อยู่ห่างๆ ข้า ตัวเจ้าเหม็นมาก”
ร่างสูงใหญ่หยุดชะงัก นางถอยหลังไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง มองร่างสูงใหญ่ที่นั่งลงตามนาง ระยะห่างนั้นห่างกันพอสมควรทำให้นางพอจะวางใจได้
“พรุ่งนี้เจอร้านหมั่นโถวเมื่อใด ข้าจะซื้อให้เจ้าทันที แต่คืนนี้ข้าต้องพักผ่อน เข้าใจหรือไม่”
เจ้าบ้าไม่ตอบรับ นางเพ่งมองอยู่นานก็ไม่เห็นเขาขยับ หลับหรือยังนางก็ไม่รู้ เพราะผมที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ อีกทั้งตรงที่เขานั่งอยู่นั้นมีแสงน้อยมาก ทำให้นางไม่รู้ว่าเขาลืมตาหรือหลับตาอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าร่างนั้นไม่เคลื่อนไหวใด นางจึงพิงหลังและหลับตาลง คิดว่าเขาคงไม่ทำร้ายนางเพราะหากคิดจะทำจริง คงทำไปตั้งนานแล้ว คืนนี้ต้องพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน พรุ่งนี้ยังต้องเจอเรื่องอีกมาก อีกทั้งคงต้องหาทางสลัดเจ้าบ้าผู้นี้ออกไปด้วย
ความคิดเห็น