คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 9 (100%)
ขณะที่เฟิงชิงถิงเดินตามซย่าเจี่ยลุ่ยไป
สตรีในอาภรณ์หรูหรานางหนึ่งก็รีบเดินเข้ามาขวาง ยิ้มให้นางด้วยท่าทางนอบน้อม
“ท่านแม่หมอ ที่บ้านข้า
แม่สามีของข้าเพิ่งจะเสียไปไม่นาน นางไม่ค่อยชอบข้าเท่าใดนัก อีกทั้งก่อนตายยังบอกอีกว่าหากนางตายนางจะมาหลอกหลอนข้า
ท่านแม่หมอ ท่านจะช่วยไปดูที่บ้านข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าท่านแม่สามียังอยู่ที่บ้านหรือไม่
หากอยู่ ข้าก็อยากให้ท่านช่วยทำพิธีส่งวิญญาณให้นางไปอยู่ในภพภูมิที่ดีด้วยเถิด
เรื่องเงินทำบุญข้าจ่ายไม่อั้น”
“ท่านก็เห็นอยู่ว่าข้ายังทำกิจไม่เสร็จ”
เฟิงชิงถิงนำหมวกกลับมาสวม
“แล้วท่านจะทำกิจเสร็จเมื่อใดเล่า”
สตรีนางนั้นยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะเชิญเฟิงชิงถิงไปที่บ้าน
“ข้ายังไม่แน่ใจ”
เอ่ยแล้วนางก็รีบจับชายแขนเสื้อของสือซานเหลียงให้เขาเดินตามนางไปติดๆ
“แม่หมอ ท่านอยู่สำนักใด
หากเสร็จกิจจะมาช่วยดูวิญญาณของแม่สามีให้ข้าได้หรือไม่”
“ขออภัยข้าไม่มีสำนัก”
เฟิงชิงถิงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
รีบพาสือซานเหลียงก้าวเดินเร็วกว่าเดิม
บ้านของซย่าเจี่ยลุ่ยอยู่ไม่ไกลเช่นที่นางบอก
ระหว่างทางที่เดินไปนางก็เอาแต่พร่ำขอบคุณเฟิงชิงถิงเป็นการใหญ่
เมื่อพาเด็กน้อยกลับไปถึงบ้าน เฟิงชิงถิงก็ตรวจอาการของเด็กหญิงอีกครั้ง
นางให้ซย่าเจียลุ่ยเช็ดตัวให้เด็กหญิงเพื่อลดความร้อนในร่างกายอีกทั้งยังเตือนเรื่องอื่นๆ
ที่จำเป็น ไม่นานเด็กคนนั้นก็หลับไป
“หากเด็กมีอาการไข้สูง
ท่านควรเช็ดตัวลดความร้อนให้แก่นาง พักผ่อนมากๆ
และอย่าให้นางเลือกกินแต่อาหารที่ชอบเพียงอย่างเดียว เพราะหากกินอาหารซ้ำๆ
จะทำให้ร่างกายนางของนางเจริญเติบโตได้ไม่ดีและป่วยง่าย”
“แล้วนางจะเป็นอีกหรือไม่”
ซย่าเจี่ยลุ่ยถามอย่างกังวลใจ
“ท่านบอกว่าเคยเป็นตอนมีไข้สูง
ครั้งนี้นางก็มีไข้สูงเช่นกัน คาดว่าหากมีครั้งต่อไปก็อาจจะเป็นตอนที่นางมีไข้สูง
ดังนั้นตอนที่นางมีไข้ท่านต้องดูแลนางให้ดี
ห้ามให้นางออกไปเล่นข้างนอกเช่นครั้งนี้”
“เป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ
ทั้งที่รู้ว่าคุณหนูไม่สบายอยากกินน้ำตาลปั้น บ่าวรับปากกับคุณหนูว่าจะออกไปซื้อให้หลังจากทำงานอย่างอื่นเสร็จ
แต่ไม่คิดว่าตอนที่บ่าวออกไปทำงานอย่างอื่นคุณหนูจะแอบหนีออกไป” สาวใช้ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เอ่ยเบาๆ อย่างสำนึกผิด
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกไฉ่เอ๋อร์
เป็นข้าเองที่เอาแต่สนใจเรื่องในโรงปัก รู้ว่าลี่เอ๋อร์ไม่สบายก็ยังทิ้งนางไป”
ซย่าเจี่ยลุ่ยมองเด็กน้อยที่หายใจอย่างสม่ำเสมออยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน
“หมั่นโถว” เสียงทุ้มที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจดังขึ้นมา
ทำเอานายบ่าวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
เฟิงชิงถิงรีบลุกจากเก้าอี้เดินไปทางสือซานเหลียงที่มุมห้องอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกที่พาสือซานเหลียงมานางก็บอกเขาให้รอนาง
สือซานเหลียงไม่ตอบแต่เขาก็ยืนนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ยามนี้เอ่ยออกมาคำเดียวว่าหมั่นโถว
จะเป็นอะไรไปได้เล่าหากไม่ใช่เขาหิวจนจะทนไม่ไหวแล้ว
เห็นสายตาดุดันที่มองมา
เฟิงชิงถิงก็รู้แล้วว่าเห็นท่าจะไม่ดีหากไม่หาสิ่งใดให้เขากินโดยเร็ว
นางหันกลับไปทางสองนายบ่าวอีกครั้ง “หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าขอตัว”
“พวกท่านจะไปที่ใด”
ซย่าเจี่ยลุ่ยลุกจากเตียงแล้วเดินตามมา
ยังไม่ทันที่เฟิงชิงถิงจะตอบ
เสียงท้องร้องดังโครกครากก็ดังขึ้นจากร่างใหญ่ ซย่าเจี่ยลุ่ยได้ยินชัดเจน
นางคลี่ยิ้มให้เฟิงชิงถิงแล้วเอ่ยว่า “แม่นางโปรดรอสักครู่”
พูดจบซย่าเจี่ยลุ่ยก็เดินออกไปนอกห้อง
ไม่นานนางก็กลับเข้ามาบอกกับเฟิงชิงถิงอีกครั้ง
“หากไม่รังเกียจ
ขอให้ข้าได้เลี้ยงอาหารตอบแทนพวกท่านสักมื้อเถิด
เมื่อครู่ข้าให้คนไปเตรียมอาหารไว้ให้พวกท่านแล้ว ตอนนี้พวกเขาคงเตรียมของว่างเสร็จแล้ว
ไปที่ห้องอาหารกันเถิด”
ซย่าเจี่ยลุ่ยหันไปสั่งให้สาวใช้คอยดูแลลี่เอ๋อร์
ส่วนนางก็เชื้อเชิญแขกทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินนำไป
ตอนแรกเฟิงชิงถิงยังลังเล
แต่เมื่อเห็นแววตาดุร้ายน่ากลัวที่กำลังมองร่างของนางอยู่
เฟิงชิงถิงก็เลิกคิดจะปฏิเสธ เดินตามซย่าเจี่ยลุ่ยโดยที่ในใจคิดว่า
ขอให้ถึงห้องอาหารโดยไว และขอให้อาหารนำมาส่งให้ไวที่สุด
ไม่เช่นนั้นนางอาจจะกลายเป็นอาหารเสียเอง
เฟิงชิงถิงรู้สึกเกรงใจซย่าเจี่ยลุ่ยไม่น้อย
เพราะอาหารที่ถูกลำเลียงมาส่งล้วนเป็นอาหารชั้นดีทั้งสิ้น
อีกทั้งสือซานเหลียงก็กินเอากินเอาเหมือนคนไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน
ทั้งที่เขากินอาหารอยู่ทุกวัน แต่เพียงแค่จำกัดอาหารเท่านั้นเอง
แต่สือซานเหลียงก็ไม่ลืมที่จะคีบอาหารให้เฟิงชิงถิงจนเต็มชามของนางเช่นกัน
จานเปล่าจานแล้วจานเล่าถูกยกออกไปพร้อมกับอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จจานใหม่ยกมาแทนที่
ซย่าเจี่ยลุ่ยทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีกับคนทั้งสอง
นางแนะนำตัวว่านางแซ่ซย่านามว่าเจี่ยลุ่ย เป็นแม่หม้ายสามีตาย
ลูกสาวของนางมีนามว่าลี่เอ๋อร์
ส่วนเฟิงชิงถิงก็แนะนำตัวกับซย่าเจี่ยลุ่ยว่านางแซ่เลี่ยง มีนามว่าเฟิง ส่วนสือซานเหลียงนางก็เรียกเขาว่าอาเหลียง เดินทางมาที่ด่านชายแดนต้าหลวนเพราะต้องการมาตามหาญาติ
“ตั้งแต่สามีของข้าจากไป
ลี่เอ๋อร์ก็เป็นสิ่งมีค่าสิ่งเดียวที่ข้ามี นางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของข้า
หากนางเป็นอะไรข้าคงไม่กล้าไปสู้หน้าสามีที่จากไปแล้ว
และก็คงจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีลี่เอ๋อร์” ซย่าเจี่ยลุ่ยสีหน้าเศร้าสลดลงหลังจากเอ่ยถึงสามีของนาง
แต่ก็เพียงไม่นานใบหน้างดงามก็กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง “ดังนั้นหากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยได้
ขอให้แม่นางเลี่ยงบอกกับข้า ข้ายินดีช่วยเหลือพวกท่านทุกอย่าง
ต่อให้แลกด้วยชีวิตข้าก็ยินดี”
“ข้าเพียงไม่สามารถเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาได้เท่านั้น
เป็นฮูหยินหากเจอเหตุการณ์ที่พอจะช่วยผู้อื่นได้ก็คงยื่นมือเข้าช่วยเหลือเช่นกัน
ดังนั้นโปรดอย่าเห็นเป็นบุญคุณใดเลย” เฟิงชิงถิงบอก
“แม่นางเลี่ยงช่างจิตใจดีงามนัก
นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว พวกท่านเป็นคนต่างถิ่น
ยามนี้หาโรงเตี๊ยมเข้าพักคงลำบากเพราะมีชาวยุทธ์เดินทางมามาก
โรงเตี๊ยมทุกแห่งแทบจะไม่มีห้องว่างเหลือ หากแม่นางเลี่ยงไม่ถือสาที่บ้านข้าคับแคบไม่สะดวกสบาย
ข้าจะยินดีอย่างยิ่งหากพวกท่านให้เกียรติพักที่นี่
จนกว่าจะตามหาญาติของแม่นางเลี่ยงพบ”
บ้านของซย่าเจี่ยลุ่ยห่างไกลจากคำว่าคับแคบและไม่สะดวกสบายไปมาก
แม้จะไม่ได้ใหญ่โตเทียบเท่าคฤหาสน์ของคหบดี
แต่ก็ถือว่าใหญ่โตพอสมควรสำหรับชาวบ้านธรรมดา แต่จะให้นางผู้ถูกทหารแคว้นเจิ้งต้องการตัวกับสือซานเหลียงผู้ถูกเหล่าชาวยุทธ์ตามล่าเข้ามาอยู่
เห็นทีจะเป็นเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมากกว่า
“เกรงว่าหากพักที่บ้านของท่านแล้วจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านเสียมากกว่า
ดังนั้นความหวังดีของฮูหยินข้าขอรับไว้ด้วยใจ” เฟิงชิงถิงบอกตามตรง
“ความเดือดร้อนหรือ”
ซย่าเจี่ยลุ่ยมีสีหน้างงงวยแต่ไม่ได้ถามต่อ
นางนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับเฟิงชิงถิงอีกครั้ง “เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่
ที่จริงข้ามีโรงผ้าปักอยู่แห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้เท่าใดนัก
ที่นั่นมีห้องพักคนงาน แต่เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกคนงานเป็นคนในพื้นที่ห้องพักจึงไม่มีผู้ใดเข้าพัก
หากแม่นางเลี่ยงไม่สะดวกใจจะพักที่บ้านนี้ ท่านก็สามารถไปที่โรงผ้าปักของข้าได้
ที่นั่นมีเพียงท่านป้าซินที่ทำหน้าที่ดูแลเรือนพักและโรงผ้าปักเท่านั้น”
เฟิงชิงถิงคิดว่าก็ดีเหมือนกัน
หากเป็นโรงผ้าปัก ผู้คนเข้าออกมากมายหากนางจะเข้าออกก็คงไม่สะดุดตาเท่าใดนัก
ตัวนางเองก็มีเงินเหลือติดตัวไม่มากแล้ว หากพักที่โรงเตี๊ยมค่าใช้จ่ายก็คงพอดู
อีกทั้งแม้โรงเตี๊ยมจะมีผู้คนพลุกพล่านแต่หากมีการตรวจสอบโรงเตี๊ยมคือสถานที่แรกที่ถูกตรวจสอบก่อน
ส่วนโรงผ้าปักนั้นคงไม่มีคนคิดว่าจะมีคนต่างถิ่นมาเข้าพัก ดังนั้นเฟิงชิงถิงจึงตัดสินใจ
“หากเป็นเช่นนั้นก็ขอรบกวนแล้ว”
ซย่าเจี่ยลุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความยินดี
ให้คนเตรียมรถม้าเพื่อพาเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงที่อิ่มแปร้ไปยังโรงผ้าปักในทันที
จวนใกล้ค่ำแล้ว โรงผ้าปักจึงเหลือเพียงซินฝูหรือป้าซินที่เป็นผู้เฝ้าเรือนพักเพียงคนเดียว
สตรีวัยเกือบห้าสิบออกมาต้อนรับซย่าเจี่ยลุ่ยอย่างกระตือรือร้น ส่วนซย่าเจี่ยลุ่ยก็เอ่ยกับนางอย่างเป็นกันเอง
“ท่านป้า พวกเขาทั้งสองคือแขกคนสำคัญของข้า
ท่านโปรดดูแลพวกเขาแทนข้าด้วย
ส่วนห้องพักที่ข้าให้คนมาเตรียมการไว้เรียบร้อยดีหรือไม่”
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะฮูหยิน
ปัดกวาดเรียบร้อยแล้ว เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดและสะอาดที่สุดเจ้าค่ะ” ซินฝูเอ่ยพลางมองแขกของฮูหยิน
สตรีนางนั้นไม่เท่าใด แต่เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยังคงสวมหมวกอยู่เหตุใดจึงมีท่าทางดุดันน่ากลัว
ขนาดสตรีอายุมากอย่างนางยังไม่อยากเข้าใกล้
“นี่คือแม่นางเลี่ยงเฟิง
นางเป็นหมอ เอ่อหมอผี ส่วนท่านผู้นี้มีนามว่าท่านเหลียง ญาติของแม่นางเลี่ยง”
แม้แต่ซย่าเจี่ยลุ่ยเองก็หวาดกลัวชายร่างสูงใหญ่ผู้นี้เช่นกัน
แต่เห็นว่าเขาเป็นคนที่แม่นางเลี่ยงพามาด้วย อย่างไรก็คงไม่ใช่คนไม่ดี
“พวกท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย
เขาอาจจะดูดุดันแต่เขาไม่ทำร้ายผู้ใด” เฟิงชิงถิงบอกกับสตรีต่างวัยทั้งสอง
“เช่นนั้นก็เชิญทางนี้เถิด
ข้าจะพาพวกท่านไปที่ห้องพัก” ซินฝูเอ่ยก่อนจะเดินนำไปที่ห้องพัก
ห้องพักที่ซย่าเจียลุ่ยสั่งให้คนมาปัดกวาดเป็นห้องที่กว้างที่สุดในบรรดาห้องที่มี
หลังจากบอกสถานที่จำเป็นต่างๆ อย่างเช่นห้องสุขาอยู่ทางใด บ่อน้ำอยู่ที่ใดให้เฟิงชิงถิงฟัง
ซย่าเจี่ยลุ่ยก็ลากลับไป
แต่ก่อนกลับซย่าเจี่ยลุ่ยยังคงย้ำกับเฟิงชิงถิงอีกครั้งว่า
“แม่นางเลี่ยงเชิญพักอยู่ตามสบายจนกว่าจะตามหาญาติของพวกท่านเจอ
ส่วนเรื่องญาติของท่านเป็นหน้าที่ให้ข้าช่วยตามหาอีกแรง”
“ขอบคุณท่านมาก
แต่เรื่องที่ข้ามาพักที่นี่ขอให้ปิดเป็นความลับได้หรือไม่
ข้าเกรงว่าจะมีคนมาเชิญให้ข้าปราบวิญญาณร้าย
ที่จริงแล้วความสามารถของข้าไม่ได้เก่งกาจถึงเพียงนั้น
คนอื่นรู้ก็ขายหน้าเขาเปล่าๆ” เฟิงชิงถิงอ้างเรื่องปราบวิญญาณร้าย
“ข้าจะกำชับคนที่นี่ให้ปิดเป็นความลับ
แม่นางเลี่ยงไม่ต้องกังวล”
ได้ยินเช่นนั้นเฟิงชิงถิงก็สบายใจ
นางรู้สึกว่าช่างเป็นโชคดีเสียเหลือเกิน หากไม่ได้ซย่าเจี่ยลุ่ยให้ที่พักแก่นาง
นางคงต้องไปค้างที่วัดร้างหรือศาลเจ้าร้าง
แต่ที่นั่นคงไม่ใช่นางคนเดียวที่ไปค้างแรม เพราะน่าจะมีชาวยุทธ์อีกไม่น้อยที่ไม่มีที่พัก
วัดร้างและศาลเจ้าร้างจึงเป็นสถานที่เดียวที่พวกเขาคิดได้เช่นกัน
แล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นหากพวกเขาจำสือซานเหลียงได้
ก่อนเข้านอนเฟิงชิงถิงก็ไม่ลืมตรวจอาการและฝังเข็มให้สือซานเหลียงโดยสางผมให้เขาไปพลางรักษาไปพลาง
แต่ระหว่างที่ฝังเข็มนางก็ครุ่นคิดไปถึงอาการที่เพิ่งจะตรวจไปก่อนหน้านี้
ทุกอย่างไม่ได้บอกว่าอาการลมปราณตีกลับของสือซานเหลียงแย่ลงแต่อย่างใด
แต่เหตุใดอาการสติไม่ดีของเขาจึงดูเพิ่มขึ้นเล่า
เฟิงชิงถิงพยายามหาคำตอบแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงเวลานอน
ห้องที่ถูกเตรียมไว้ให้มีสองเตียงนางจึงเลือกเตียงเล็กและให้สือซานเหลียงนอนเตียงใหญ่
เพราะเฟิงชิงถิงเคยชินกับการนอนห้องเดียวกับสือซานเหลียงไปแล้ว
นางจึงไม่ค่อยรู้สึกแปลกอะไร หากไม่รวมเหตุการณ์ตอนเช้าที่เกิดขึ้นในถ้ำ
ทุกวันเขามักจะตื่นก่อนนางแต่จะไม่ลุกไปไหน เพียงแต่นั่งเหม่อ
จนเมื่อนางตื่นเขาจึงจะหันมามองนางและทักทายนางด้วยคำที่เคยชินว่า หมั่นโถว
ดังนั้นคืนนี้จึงไม่ต่างกัน คิดว่าเขาอิ่มแล้วคงจะไม่คิดทำสิ่งใดกับนาง
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็เตรียมเข็มเอาไว้พร้อมเสมอ
เฟิงชิงถิงนอนไปพร้อมกับลอบฟังเสียงของคนที่อยู่บนเตียงอีกฟาก
ไม่ได้ยินเสียงเขาเคลื่อนไหว นางก็หลับลงอย่างสบายใจ
ไม่ได้ล่วงรู้ว่าหลังจากที่นางหลับไปแล้ว
ร่างใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่อีกเตียงจะลุกขึ้นมา
ในม่านราตรีอันเงียบสงัด
ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงหลังเล็ก แหวกม่านที่กั้นเตียงให้แยกออก
แสงจันทร์สีเงินยวงที่สาดส่องเข้ามาอาบไล้ร่างบางที่หลับสนิทเป็นประกายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ร่างที่ทอประกายนั้นทำให้คนมองคิดว่านางคือนางฟ้าที่กำลังหลับใหลอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า
ขณะที่ร่างใหญ่ขยับเข้าไปใกล้แสงวาววับบางอย่างทำให้ร่างนั้นชะงักนิ่งก่อนจะคำรามหึ่มในลำคอด้วยความไม่พอใจ
สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในตาของสือซานเหลียงก็คือประกายของเข็มเล่มเล็กในมือของเฟิงชิงถิงนั่นเอง
ดวงตาคู่ดุดันมองเข็มเล่มจิ๋วคล้ายกับมันเป็นศัตรูตัวฉกาจ
มือใหญ่เคลื่อนออกไปคีบเข็มเล่มนั้นออกจากมือเล็กช้าๆ
เป็นเพราะเฟิงชิงถิงหลับไปแล้วมือของนางจึงคลายออก จึงไม่รู้เรื่องว่าเข็มที่ใช้ป้องกันตัวถูกดึงออกไป
อาวุธหลักของหญิงสาวถูกโยนทิ้งส่งๆ และเมื่อมันหายไปในความมืด
เสียงทุ้มก็หัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
ในที่สุดคนผู้นั้นก็ขยับขึ้นไปบนเตียงอย่างแผ่วเบา นอนตะแคงมองร่างบางที่หลับใหล ขยับเข้าใกล้แต่ไม่สัมผัสโดนนาง และเมื่อได้ที่เหมาะแล้วเขาก็สูดกลิ่นหอมที่แผ่ออกมาจากร่างของหญิงสาวหลับตาลงด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ไม่นานลมหายใจของร่างใหญ่ก็ประสานกับลมหายใจของร่างเล็กอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายกับว่าร่างของคนทั้งสองได้หลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ไม่ปาน...
++++++++
นิยายเรื่องนี้มีสองเล่มจบค่ะ ตอนนี้วางขายเล่ม 1 อยู่ค่ะ
ความคิดเห็น