คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : KrisHo . Don't know man . 2 .
แกร๊ง..
ผมตื่นเพราะเสียงกระทบกันของกระป๋องโลหะที่ขามันดันไปเตะโดนเข้า
แต่หนังตามันก็หนักเกินกว่าจะฝืนยกลืมขึ้นมาได้
เลยทิ้งให้มันจูบกับเปลือกตาล่างไปทั้งอย่างนั้น
แต่แดดจ้าๆก็ไม่เคยนึกปราณีคนขี้เซา
มันยังสาดส่องลำแสงเข้าแยงตาจนต้องพลิกตะแคงตัวเอาหน้าซุกกับหมอน
ก็ยอมรับว่าหายใจไม่ค่อยออก แต่ความง่วงมันก็มีฤทธิ์รุนแรงเสียจนต้านทานไม่ไหว
ไหนๆวันนี้ก็วันอาทิตย์
หลับต่อซักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร
จริงมะ?
แต่แทนที่จะได้หลับต่ออย่างเป็นสุข
ไอ้เสียงก๊องๆแก๊งๆชวนรำคาญก็ดังมาอีกระลอก คราวนี้ทั้งเสียงกร่อบๆของถุงขนม
เสียงสะบัดผ้าห่ม เสียงหมอนตีกันดังปุๆ มาหมดครบกระบวน
“ย่าห์..”
ผมตั้งใจจะตวาด แต่ฟังดูดีๆผมว่ามันไม่ค่อยต่างจากเสียงยานคางเหมือนกำลังเล่นเทปที่ลุ่ยจนต้องเอาดินสอกรอซักเท่าไหร่
(ฮั่นแน่ เกิดไม่ทันล่ะสิ)
“อ้าว
ผมทำพี่ตื่นเหรอ”
ภาษาเกาหลีสำเนียงแปร่งๆของเด็กนั่นฟังดูเหมือนมีเสียงหัวเราะเจือปน
สาบานเถอะว่าไม่รู้ตัวจริงๆว่ากำลังก่อกวนคนอื่นเค้าอยู่!
มันน่าเตะก้านคอซะให้หงาย
(ถ้าขาผมจะยาวกว่านี้นิดนึงล่ะก็นะ..)
“ฮวังจื่อเทา
อยากตายรึไง” ถึงจะไม่ได้ลืมตาอยู่
แต่ผมรู้ว่าหมอนใบโตๆสองใบกำลังจะวิ่งเข้าหากันดังปุ
ปลดปล่อยเอาฝุ่นผงให้ลอยละล่องในอากาศ และทิ้งตัวดิ่งลงตรงหน้าผม!
“ไม่เลย
ผมไม่เคยคิดงั้น” แล้วเทาก็ลดมือลง พร้อมกับย่อตัวคุกเข่าข้างๆโซฟาลายดอกคัตเตอร์
หน้าคมเข้มแบบพระเอกหนังบู๊ไต้หวันฉีกยิ้มสดใสให้กับพี่ชายตัวขาวที่ขี้เซาอย่างกับอะไรดีราวกับกำลังทำเรื่องแสนสนุก
จริงๆมันก็แค่นั่งมองคนหลับไม่ใช่รึไง??
“งั้นก็อย่ากวนฉัน”
“พี่คิดว่านั่นเป็นคำขู่เหรอ”
“ฮวังจื่อเทา!”
เทายิ้มอีกรอบ
แต่ก็ยอมเงียบเสียงลงแต่โดยดี
“หมอนั่นยังไม่ฟื้นอีกเหรอ”
เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง
พี่เซมีในชุดเดรสสีขาวกับรองเท้าสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ดูน่ารักดีในสายตา
แต่ก็ไม่เท่าน้องชายแท้ๆของเธอหรอก เทาสาบาน!
เขายักไหล่เป็นเชิงบอกว่า
ก็อย่างที่เห็น
“แล้วนายล่ะ
ไม่กลับบ้านกลับช่องรึยังไง”
“พ่อกับแม่บินกลับจีนสองอาทิตย์
ถ้าผมจะขอฝากท้องไว้ที่นี่คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ”
พี่เซมีทำหน้าเหยเก
แต่เขาก็ยังคงยิ้มร่า
สุดท้ายแล้วเธอก็ทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเดินต้อกๆออกไปหน้าบ้าน
และเทาจะถือว่าการไม่ปฏิเสธของเธอนั้นเป็นการตอบรับในข้อเสนอก็แล้วกัน ร่างสูงหันกลับมาสนใจสิ่งที่กองกันอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวอีกครั้ง
ผักสลัดออร์แกนิค มะเขือเทศแดงฉ่ำที่เพิ่งจะขุดมาจากสวนหลังบ้าน
แครอทที่ยังแพ็คอยู่ในถุงพลาสติก และส่วนผสมอื่นๆสำหรับทำสลัดเพื่อสุขภาพยังคงนอนรอให้เขาจัดการมันเสียที
แต่ก็ติดที่ว่าเขายังหาสูตรทำน้ำสลัดจากเจ้าสมาร์ทโฟนนี่ไม่ได้ซักทีน่ะสิ
อา...หรือว่าเขาควรจะปั่นจักรยานไปหาซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตหน้าปากซอยดีนะ??
RRRRR!
แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจ
เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน แต่ว่าไม่ได้มาจากของของเขาหรอกนะ
ก้อนผ้าห่มไส้พี่ซูโฮ(?)ขยับตัวยุกยิกด้วยความรำคาญ
แต่ก็เท่านั้น.. ไม่มีทีท่าว่าคนขี้เซาจะลืมตาตื่นขึ้นมารับสาย
แถมยังเตะเจ้าต้นตอของเสียงอันแสนหนวกหูนั่นกระเด็นไปอีกฟากห้อง สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องเป็นเขาที่เป็นคนไปหยิบขึ้นมากดรับสายให้
“ยอโบเซโย?”
.
หืม??? โทรฯผิดเบอร์หรอกเหรอ?
ถึงแม้จะไม่บ่อยครั้งนักที่เขาได้คุยโทรศัพท์กับซูโฮ
แต่เขามั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้ต้องไม่ใช่เสียงของอีกฝ่ายแน่
อย่างน้อยๆก็ไม่ควรมีสำเนียงแปร่งๆแบบนี้สิ
“นั่นใช่เบอร์คุณซูโฮรึเปล่าครับ”
((พี่ซูโฮหลับอยู่
มีอะไรบอกผมไว้ได้เลย บอกผมก็เหมือนบอกพี่ซูโฮนั่นแหละฮะ))
คิมซูโฮหลับอยู่อย่างนั้นเหรอ?
หมอนี่มีสิทธิ์อะไรถึงได้เห็นซูโฮตอนหลับ หน้าหวานๆตอนกำลังหลับพริ้มมันต้องเป็นเขาคนเดียวสิที่ได้เห็น
เฮ้!
นี่เขากำลังหึงอยู่งั้นเหรอ!
“นั่นใครครับ”
ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้คริสไม่ค่อยจะไว้ใจเจ้าของเสียงนี้เท่าไหร่นัก
เขาถามเพื่อยืนยัน แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่มีประโยชน์
((บอกไปคุณก็ไม่รู้จักผมอยู่ดี))
คริสแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายเสียตรงนั้น
((ว่าแต่
ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมจะวางสายละนะ))
“ด-เดี๋ยวก่อนสิ”
อันที่จริง
เขาก็แค่อยากได้ยินเสียงของคิมซูโฮ
เลยกะว่าจะโทรฯไปหาแล้วใช้เรื่องงานเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายหงุดหงิดเล่นๆแค่นั้น
แต่ว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้วล่ะ
“ถ้างั้น
บอกคุณซูโฮด้วยว่า อู๋-อี้-ฟานโทรมา มีเรื่องด่วน ด่วนมาก ด่วนที่สุด
ถ้าไม่ได้คุยกับเค้าด้วยตัวเองผมจะไม่ยอมวางสาย” เขาย้ำชื่อตัวเองชัดถ้อยชัดคำ
และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดไป เขาทำมันจริงแน่
“ประหลาดคน”
ว่าไงนะ???
คริสรู้สึกถึงมันได้ รู้สึกถึงเลือดที่กำลังสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้า
เขามั่นใจว่าเด็กนั่นไม่ได้จงใจพูดกับเขาตรงๆแต่น่าจะเป็นการสบถกับตัวเองซะมากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนที่ประหลาดมันคือหมอนั่นไม่ใช่หรือไง??!!
.
เทาขมวดคิ้วจนยุ่ง
นายอี้ฟานอะไรนี่ต้องเพี๊ยนมากแน่ๆ
เน้นชื่อตัวเองซะอย่างกับว่าพี่ซูโฮจะไม่รู้จักอย่างนั้นแหละ ถ้าพี่เขาไม่รู้จักคงไม่เมมฯชื่อจนมันขึ้นโชว์หราแบบนี้หรอกมั้ง
อี้ฟานหน้าเลือด
ดูท่าเหมือนจะสนิทกันซะด้วยสิ
“พี่ซูโฮ”
“อือ....”
“อู๋อี้ฟานโทรมา”
จื่อเทาแทบผงะตอนที่จู่ๆตาโตๆนั่นก็เบิกกว้างขึ้นมาอย่างกับมีปุ่มกดเปิด
พี่ซูโฮดูจะตื่นตกใจตอนที่ได้ยินชื่อนี้และเขายังไม่ทันได้ยื่นโทรศัพท์ออกไปมันก็ถูกฉกไปอย่างรวดเร็ว
“เห???? ตอนนี้เนี่ยนะ????”
พี่ชายตัวขาวตะโกนใส่โทรศัพท์เสร็จแล้วก็มานั่งไอค่อกแค่ก
กระทั่งหลังจากวางสายไปแล้วก็ยังไม่เลิกเอามือขยี้ผมตัวเองเสียที อ่า..ผมว่าบางทีพี่ซูโฮก็ดูเป็นคนเพี้ยนๆเหมือนกันแฮะ
“ว่าแต่....”
เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “ทำไมฉันต้องตกใจขนาดนี้ด้วยล่ะ”
คงเป็นผลพวงมาจากทีมบอลที่เชียร์เมื่อคืนนี้แพ้แหงแก๋
ผมคงต้องเพิ่มเมนูซุปถั่วงอกเข้าไปในมื้อเช้าซะแล้วล่ะ
“มีอะไรรึเปล่าพี่”
พี่ซูโฮพยักหน้าลงหนึ่งครั้ง
“ต้องไปดูงานที่ไซต์น่ะ” แล้วก็เหลือบตามองหานาฬิกาติดผนัง “อา!! สายแล้วนี่หว่า ย่าห์จื่อเทา นายเองก็ควรกลับบ้านตัวเองได้แล้วนะ”
“แต่บ้านผมไม่มีใครอยู่เลยนี่”
“งั้นหรอกเหรอ”
ถามไปงั้น แต่ความสนใจของซูโฮตอนนี้อยู่ที่โทรศัพท์ที่เพิ่งโยนทิ้งเมื่อกี๊นี้อยู่ตรงไหนมากกว่า
จื่อเทาควานหาโทรศัพท์จากใต้กองผ้าห่มมาส่งให้
“ขอบใจนะ”
แล้วพี่ชายตัวขาวก็คว้ามันไปจากมืออย่างรวดเร็ว “แล้วก็..อยู่บ้านคนเดียวไปก่อนละกันนะ
เดี๋ยวเย็นๆกลับมาเล่นด้วย”
“แต่ว่าพี่”
“อย่างอแงน่าเทา”
เท้าขวาแตะบันไดขั้นแรกได้แล้ว ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลแค่เอื้อม
แต่เจ้าเด็กนี่ยังทำตัวงอแงเป็นเด็กติดพี่อยู่ได้ นี่เขามีงานด่วนนะ!
“แต่ว่า...วันนี้วันอาทิตย์นะพี่”
หืม???
เออว่ะ...
“วันนี้ผมนัดวิศวกรไว้ให้คุณ
คุณควรจะไปขอคำแนะนำจากเค้านะ เดี๋ยวผมส่งแผนที่ไปให้..อ่อ..คุณต้องไปให้ได้นะ
เพราะว่าคนที่ผมติดต่อไว้ให้น่ะคิวแน่นเอี๊ยด แทบจะหาเวลาว่างไม่ได้ง่ายๆเลยล่ะ”
หมอนั่นคงจะทำงานหนักเกินไปจนลืมวันลืมคืนล่ะมั้ง
แล้วนี่เขาก็ต้องออกไปทำงานในวันหยุดเพียงแค่หมอนั่นบอกให้ไปเนี่ยนะ?
บ้าชะมัดคิมซูโฮ
เทาอาสาเป็นคนป้อนขนมปังปิ้งเข้าปากพี่ชายข้างบ้านเพราะเจ้าตัวกำลังมัดเชือกรองเท้าอยู่
ในแววตาเขามีแววเศร้านิดๆเพราะดันไม่ได้โชว์ฝีมือทำสลัดเพื่อสุขภาพให้พี่ซูโฮลิ้มรส
แต่ช่างเถอะ
อย่างน้อยเขาก็ได้บรรจงทาเนยลงบนขนมปังปิ้งที่พี่ซูโฮกำลังเคี้ยวหยุบหยับอย่างเอร็ดอร่อยชิ้นนี้ล่ะนะ
“พี่จะไปจริงเหรอ”
“ฉันแค่ไปทำงาน
ไม่ได้หนีไปยุโรปซะหน่อย ทำหน้าเป็นหมาหงอยไปได้”
ซูโฮปัดมือเข้ากับกางเกงแล้วลุกขึ้นยืน สบตากับเจ้าเด็กโข่งที่ทำหน้าซึมกระทืออย่างกับจะโดนทิ้ง
เห็นอย่างนั้นเลยอดยื่นมือออกไปขยี้ผมแรงๆซักทีไม่ได้
“ขอผมไปด้วยดิ”
“หือ??”
ถึงกับค้างกันเลยทีเดียว เขาเอียงคอและทำหน้าแบบมั่นใจสุดๆว่าคงจะฟังผิดไป
“นะ
ให้ผมไปด้วยเถอะ”
“เพี๊ยนดิ
ฉันไปทำงานนะ นายจะไปด้วยได้ไง”
“ให้ไปนั่งรอเฉยๆก็ได้”
“........”
ยังไม่ทันให้เขาได้ปฏิเสธ จื่อเทาก็ร่ายต่ออย่างไว
“พี่จะให้ผมกร่อยอยู่บ้านคนเดียวจริงเหรอ พ่อแม่ก็ไม่มีใครอยู่
ผมคงต้องเฉาตายอยู่หน้าทีวีไม่ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า
ผมต้องเดียวดายเป็นผีตายซากอยู่ในบ้าน ถ้าจู่ๆผมไปนั่งคุยกับแมวพี่จะว่ายังไง
พี่จะรับผิดชอบไหวเหรอ พี่ซูโฮ?”
ทีอย่างนี้ล่ะภาษาเกาหลีปร๋อเชียวนะ..
ซูโฮกัดริมฝีปากล่างอย่างชั่งใจ
และพยายามหันเหลูกกะตาไปทางอื่นที่ไม่ใช่ตาเซื่องๆของฮวังจื่อเทา
ถ้าหมอนี่เป็นลูกหมาก็คงจะดี จะได้จับล่ามโซ่ขังอยู่บ้านซะเลย
“ผมรอเก่งนะ
สัญญาว่าจะไม่ปริปากบ่นซักคำ” ยกสามนิ้วสำทับคำปฏิญาณซะขนาดนี้แล้วเขาจะใจจืดใจดำลงได้ไงล่ะ
“คุณคริส??”
วิศวกรคิวงานแน่นเอี๊ยดอย่างกับนายแบบดาวรุ่งพุ่งแรงที่อี้ฟานว่าคือคริสงั้นเหรอ?
“มีอะไรผิดปกติบนหน้าผมหรือไง”
“อืม
เยอะเลย อย่างน้อยคุณก็ต้องไม่ปกติที่นัดคนอื่นมาทำงานวันอาทิตย์แบบนี้” ว่าแล้วก็ทำหน้ามุ่ยประกอบให้รู้ว่าหงุดหงิดจริงๆนะที่จู่ๆก็ถูกขโมยวันหยุดสุดสัปดาห์ไปดื้อๆ
แต่คนตัวสูงก็แค่ยิ้ม
ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อสังเกตเห็นใครอีกคนที่ติดสอยห้อยตามซูโฮมาด้วย
“อ่อ
น้องข้างบ้านผมเอง..”
เด็กหนุ่มร่างสูงที่เกือบจะสูงเท่าเขารีบหันขวับกลับมาหลังจากเอาแต่ชะเง้อมองโครงสร้างอาคารอย่างสนอกสนใจ
“ผมเทา ฮวังจื่อเทา”
เขาหรี่ตาลงและลอบสังเกตท่าทีของคนตรงหน้า
น้ำเสียงก็ฟังดูกระตือรือร้นดี แต่สายตากลับมีแววมาดร้ายเหมือนพวกฉลาดแกมโกง
“เจ้านี่เพิ่งเอนท์ฯติดคณะวิศวะน่ะ
ก็เลยอ้อนตามมาเผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจให้ดู
แต่ถ้าคุณกลัวจะมีปัญหากับหน้างานก็ทิ้งเจ้านี่ไว้แถวนี้ก็ได้...”
“ไม่เป็นไร
เข้าไปด้วยกันนี่แหละ” เขาบอกซูโฮแบบนั้น
ซึ่งก็ดูเหมือนจะทำให้คนตัวเล็กโล่งอกขึ้นมาทันที
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มดันแก้มขึ้นจนบังลูกกะตาแทบมิด “เอ่อ ไปกันเลยมั้ย”
ก่อนที่จะโดนอานุภาพความร้ายกาจของรอยยิ้มทำร้ายจนไม่มีสมาธิทำงาน คริสจึงรีบออกปากให้ทั้งคู่เดินตามเข้าไปในไซต์
ถึงจะใจแข็งแค่ไหนแต่ถ้าถูกจู่โจมบ่อยเข้าก็ไม่ไหวจะต้านทานเหมือนกัน
ยิ่งช่วงนี้
หัวใจผมยิ่งอ่อนแออยู่
“พี่มาจากจีนเหรอ”
แต่แล้วไอ้หัวใจที่กำลังเต้นรัวแรงอยู่ก็มีอันต้องกระตุกด้วยคำถามจากคนเด็กสุด เขาหันกลับไปมองก็เห็นหมอนั่นทำหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างกับเจอหมีขั้วโลกเหนือ
“ผมว่าสำเนียงภาษาเกาหลีพี่มันแปร่งๆ พี่ต้องไม่ใช่คนเกาหลีแน่ ใช่มั้ยล่ะ?”
เขาสังเกตเห็นซูโฮขยับศอกไปกระทุ้งสีข้างจื่อเทาเบาๆ
“อืม
ผมมาจากจีน”
“จริงเหรอ
ไอ้เราก็นึกว่าเป็นลูกครึ่งซะอีก” เป็นซูโฮที่ทำตาลุกวาวขึ้นมา แต่ให้ตายเถอะ
ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้เห็นแววตาแบบนั้นเลย
“งี้พี่ก็ต้องมีชื่อจีนน่ะสิ”
จื่อเทายังคงรบเร้าจะล้วงเอาความลับไปจากเขาให้ได้
คริสเผลอขบฟันกรามโดยไม่รู้ตัว
เด็กนี่ชักจะก้าวก่ายมากเกินไปแล้ว และมันก็กำลังทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก
“ย่าห์
เลิกเซ้าซี้คุณคริสได้แล้ว เสียมารยาทนะรู้มั้ย”
เขารีบส่ายหัวบอกไม่เป็นไร
และไม่ลืมที่จะส่งยิ้มบางให้ซูโฮเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ถือสาจริงๆ
แต่ก็ไม่ลืมที่จะใช้โอกาสนั้นทำเป็นลืมว่าจื่อเทาเคยถามอะไรไว้โดยการวกเข้าสู่เรื่องงานได้อย่างแนบเนียน
ถึงอย่างนั้น
ตลอดทางที่เดินดูไซต์ ความคิดที่ว่าเขากำลังโกหกซูโฮอยู่ก็ยังคงเข้ามาก่อกวนเหมือนกับไวรัสป่วนระบบ
มันคอยเอาแต่บอกว่าผมขี้ขลาด
ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดความจริงเพียงเพราะซูโฮเกลียดขี้หน้าอู๋อี้ฟาน
ผมคงต้องรีบกำจัดเจ้าไวรัสนั่น
แต่เมื่อไหร่ล่ะ?
แก้มสีปุยเมฆของซูโฮเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มของแสงแดดตัดกับเส้นผมสีดำสนิท
มันยังคงดูน่ารักในสายตาของเขาเสมอ
แต่เขาจะมาเห็นแก่ตัวเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยแล้วมองว่าน่ารักไม่ได้หรอก “ดื่มน้ำหน่อยมั้ย
เดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“ไม่..ไม่เป็นไร”
ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี
ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาก็วิ่งแจ้นเข้าออฟฟิซชั่วคราวไปซะแล้ว
ปล่อยให้ซูโฮนั่งจ๋องด้วยรู้สึกเกรงใจแต่กลับปฏิเสธน้ำใจไม่ได้เลย
กระทั่งมาสะดุ้งเอาตอนที่มีของเย็นเฉียบโปะเข้าที่หน้าผาก พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหน้าแพนด้าที่แสนคุ้นตา
“ไหวมั้ย”
เขาพยักหน้าและอาสาจัดการเหงื่อไคลของตัวเองเองด้วยการคว้าเอาผ้าเย็นที่เทายื่นให้มาซับที่คอ
“เป็นไง ได้อะไรบ้างมั้ย”
จื่อเทายักไหล่
“ผมว่าเค้าดูแปลกๆ”
“หืม?”
“ผู้ชายคนนั้น”
“นี่ยังไม่เลิกไอ้นิสัยชอบจับผิดเพื่อนพี่อีกเหรอฮะเรา”
นึกย้อนไปสมัยครอบครัวของจื่อเทาย้ายมาอยู่ใหม่ๆ
ด้วยความที่เจ้าเด็กนี่เป็นลูกคนเดียวก็เลยออกจะขี้เหงา
พอเจอพี่ชายข้างบ้านที่แม้จะอายุห่างกันถึง 5 ปีแต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกันที่สุดในบริเวณหมู่บ้านใกล้ๆก็เลยติดเขาแจ
ซูโฮไปไหนก็จะมีเด็กจีนหน้าตาเหมือนแพนด้าเกาะขาตามไปด้วย
เรียกว่าเป็นลูกกะจ้อกตัวน้อยของซูโฮเลยก็ว่าได้
เพราะเจอเพื่อนเขาทีไรเป็นได้ไล่ตะเพิดไปซะทุกรายจนแทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
พอโตขึ้นมาซักประถม ถึงแม้จะออกลายน้อยลงหน่อยแต่เขาก็ยังดูออกอยู่ดีว่าเจ้าจื่อเทาหวงเขามากแค่ไหน
ซูโฮยอมนั่งนิ่งๆให้จื่อเทาจัดผมเผ้าให้เข้าทรงหลังจากถอดหมวกนิรภัยออก
“ที่ยอมเรียกว่าพี่ก็แค่เพราะผมเกิดหลังแค่นั้นแหละ”
“ปีนเกลียวนะเรา”
เด็กชายตัวสูงโน้มตัวเป็นเส้นโค้งเพื่อเอื้อมมาจัดปลายผมให้เข้าที่
ในขณะที่ซูโฮหลับตาลงคล้ายกับจะพักสายตาแต่บนริมฝีปากยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
เสียงหัวเราะอย่างสนิทสนมและสบายใจคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากคนทั้งคู่ ขณะเดียวกัน
เขาก็รู้สึกถึงกำแพงล่องหนที่คั่นกลาง..ตัดขาดเขาออกจากบรรยากาศสดใสพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง
คริสยืนนิ่ง
และดูเหมือนซูโฮจะเพิ่งสังเกตเห็นเขา
“อ้าว
มาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงทุ้มนุ่มปลุกให้รู้สึกตัว เขายื่นแก้วน้ำไปให้
“ผมรู้สึกแย่จังที่รบกวนเวลาในวันหยุดของคุณแบบนี้”
“รู้ตัวแล้วก็จ่ายค่าทำงานวันหยุดมาให้ผมเลยนะ”
ซูโฮยกแก้วน้ำขึ้นซดรวดเดียวหมด ก่อนจะตอบโต้ด้วยใบหน้าน่ารักๆและฝ่ามือขาวๆที่แบมาตรงหน้า
“งั้นมื้อเที่ยงผมเลี้ยงเอง”
“ผมล้อเล่นน่า
ตอนนี้ผมเหนื่อยจนไม่รู้สึกอยากกินอะไรแล้วล่ะ”
“ถ้างั้นผมยิ่งรู้สึกผิดไปใหญ่เลย”
“แต่ผมไม่ลืมหรอกนะ
จดใส่บัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะมาทวงมื้อเที่ยงวันหลัง”
“ทวงหลายๆมื้อเลยก็ได้”
“สัญญาแล้วนะ!”
ซูโฮลุกขึ้นแล้วยิ้มสดใสให้แม้ว่านัยน์ตาจะดูเหนื่อยล้าเต็มที
ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักได้ว่าผมมันเห็นแก่ตัว
แค่เพราะว่าผมคิดถึงเค้า
แค่เพราะว่าอยากเจอหน้า
“คุณรีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า”
“อืม
งั้นผมไปก่อนนะ” ฝ่ามือขาวยกขึ้นโบกลา จื่อเทาที่ยืนอยู่ข้างกันโค้งให้ตามมารยาท
ก่อนจะโอบไหล่ซูโฮเดินจากไป
.
“อะไรของนาย”
เบรกกึกตอนที่เด็กตัวสูงพลิกตัวมาดักตรงหน้า
ซูโฮทำหน้ายุ่งใส่เด็กข้างบ้านจอมดื้อในสายตา
ก่อนจะได้โวยวายตอนที่โดนฉกกุญแจเวสป้าสุดหวงไปจากมือแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “ย่าห์
เอาคืนมานะจื่อเทา”
“ผมขับเอง”
“พูดเป็นเล่นน่า
ใบขับขี่ก็ยังไม่มีจะขับได้ยังไง”
ซูโฮรีบตามไปประกบจื่อเทาที่ตอนนี้กระโดดคร่อมอานเวสป้าเรียบร้อยแล้ว
“ใครว่าไม่มีล่ะ?”
ว่าแล้วก็ควักเอาใบขับขี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โบกให้ดูกันซึ่งๆหน้า
“เฮ้ย!
ไปแอบทำมาตอนไหน”
“ไม่เห็นต้องแอบนี่”
เด็กหน้าเข้มยักคิ้วให้ บนใบหน้าคมคายนั่นฉายแววภาคภูมิใจน่าหมั่นไส้อยู่ในที
“ทีนี้พี่จะยอมซ้อนท้ายผมได้รึยัง” ถามไปงั้น เพราะไม่ว่าพี่ซูโฮจะตอบยังไง
เขาก็จะยึดเอาคำตอบตัวเองเป็นใหญ่อยู่ดี จื่อเทาคว้าเอาหมวกกันน็อคที่แขวนอยู่กับแฮนด์ขึ้นมาแล้วจัดการสวมให้พี่ชายที่ยังยืนทื่ออยู่
“เกาะแน่นๆล่ะ
ผมจะซิ่งแล้ว”
“ย่าห์!!!” ก็ได้แต่โวยวาย เพราะดันตกกระไดพลอยโจรไปแล้วจะทำอะไรได้
“ต่อไปนี้ผมจะไปรับไปส่งพี่ที่ทำงานนะพี่ซูโฮ”
เทาตะโกนแข่งกับเสียงลมหวีดหวิวจนเขาต้องชะโงกหน้าข้ามไหล่เพื่อจะได้ฟังได้ถนัด
“เรื่องดิ
นี่เจ้าแจ๊ดเจ๋ของฉันนะ อีกอย่างขืนปล่อยให้นายยึดเจ้านี่ไป
นายก็หนีเที่ยวสบายน่ะสิ เฮ้ย! อย่าขับเร็วดิ” เพราะความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาต้องกระชับกอดเอวคนข้างหน้าให้แน่นกว่าเดิม
ซูโฮหลับตาปี๋แต่ปากก็ยังไม่หยุดโวยวาย “ลดความเร็วเดี๋ยวนี้เลยนะ!! ย่าห์ ฮวังจื่อเทา!!”
เจ้าของชื่อไม่ได้ทำตามคำสั่ง
ทั้งยังเอาแต่ยิ้มกระหยิ่มอยู่คนเดียวอย่างชอบใจ
“ผมแค่แจ้งให้ทราบ ไม่ได้ขออนุญาตซะหน่อย”
“นายจะไม่ลดความเร็วลงจริงๆใช่ม้าย!!”
“ตอบมาก่อนสิ
ว่า รู้แล้ว”
“โอเค
รู้แล้วๆ ก็ได้ๆ ยอมให้ไปส่งก็ได้!!”
ก็แค่นั้นแหละ
“มึงเคยโกหกใครมั้ยวะ?”
“ถามโง่ๆไอห่า”
แก้วบรั่นดีที่พร่องจนเหลือครึ่งแก้วถูกวางลงบนเค้าน์เตอร์บาร์อย่างไม่ใส่ใจนัก
เพราะไอ้คำถามโง่ๆนั่นมันน่าสนใจกว่า น่าสนใจว่าคนถามแม่งเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ “ถ้าถามว่าเคยช่วยตัวเองมั้ยกูยังพอเข้าใจ
เพราะสาวๆไม่เคยขาดมือขนาดนี้แม่งก็ต้องมีสงสัยกันบ้าง ฮ่าๆ”
“กูจริงจังนะเว้ย”
“อ้าว
กูก็จริงจังนะเว้ยเนี่ย” ไคยกบรั่นดีที่เหลือกรอกปากจนเหลือแค่น้ำแข็งนอนเคียงกัน
“ไม่เคยแม่งก็พระแล้ว”
“กูหมายถึง..โกหกว่ามึงไม่ใช่มึง
โกหกว่ามึงเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คิมจงอินน่ะ”
“นี่มึงกำลังสงสัยว่ากูเป็นหน่วย
NIS
แฝงตัวมารึไงวะ”
“ช่างแม่งเถอะ”
แล้วจู่ๆไอ้เพื่อนหน้าหล่อตัวสูงจอมเซอร์บวกเซ่อบ้างเป็นบางครั้งมันก็ตัดบทตัวเองไปซะดื้อๆทำเอาคนฟังตั้งรับไม่ทัน
“มึงเมาปะเนี่ย”
“แค่แก้วเดียวแม่งจะทำอะไรกูได้”
ว่าแล้วคริสก็ยกแก้วที่สองขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ไคเอามั่ง พลันก็ไปสะดุดตาเข้ากับร่างสองร่างที่เพิ่งมาใหม่
“มีสถาปนิกจากสำนักงานใหญ่มาด้วยว่ะ”
เขาจำได้ หนึ่งในสองคนนั้นคือสถาปนิกที่เขาร่วมงานด้วย พยอนแบคฮยอน
ผู้ชายตัวเล็กผิวขาวอย่างกับแกะนิวซีแลนด์ แต่กัดเจ็บอย่างกับเจ้าหมาซามอยด์จอมซน
ส่วนอีกคน
เขามั่นใจว่าไอ้คริสต้องไม่มีวันลืม
“นั่นสถาปนิกตัวแสบของมึงนี่หว่า”
เขาหันขวับทั้งยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ร่างขาวที่สะท้อนแสงเหมือนหลอดนีออนดึงโฟกัสเขาไปแทบจะในทันที
ซูโฮในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าเด่นชัดอยู่ในสายตาโดยไม่จำเป็นต้องเพ่งมอง
แต่ยิ่งกว่านั้น ก็เหมือนกับว่าเจ้าของร่างบางนั้นจะเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆด้วย
คริสรีบหันกลับมามองเพื่อนในโต๊ะ
และถึงบางอ้อทันทีตอนที่เห็นไอ้ไคมันโบกไม้โบกมือให้พยอนแบคฮยอน
“ไม่นึกว่าพี่ก็มา
ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าจะมีคนจากสำนักงานใหญ่มาด้วย”
แบคฮยอนทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมนั่งลงข้างๆกับไคที่ผายมือเชื้อเชิญ
“เสียใจมากมั้ยอะที่พวกฉันมา”
“เฮ้
ผมยังไม่ทันพูดไรเลย” แบมือยกขึ้นเหนือหัวคล้ายจะปฏิเสธข้อกล่าวหา
แต่บนใบหน้ายังพราวไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ สัญชาตญาณนักล่าไม่เคยหายไปจากตัวสิน่า
“แล้วนี่ ไม่คิดจะแนะนำคนน่ารักให้รู้จักมั่งรึไง”
“ที่นั่งอยู่นี่ไม่น่ารักไง”
“โธ่
พี่แบค” เหมือนเด็กงอแงอยากได้ของเล่นขึ้นมาซะอย่างนั้น
“คิมซูโฮ
แผนกเดียวกัน” เบื่อจะแกล้งเด็กจอมเจ้าชู้ แบคฮยอนเลยยอมแนะนำเพื่อนให้ ซูโฮจึงยิ้มรับและโค้งหัวให้ตามมารยาท
แต่แค่นั้นก็ทำให้เจ้าเด็กหน้าเข้มใจเต้นไปถึงไหนต่อไหน “ส่วนนี่คิมจงอิน
วิศวกรที่ผมทำงานด้วย”
ซูโฮส่งสายตาวิบวับกลับมาเหมือนจะบอกว่า
รู้อยู่แล้วล่ะน่า ก็เล่าให้ฟังออกจะบ่อย
ห้ามแซวผมนะเว้ย!! และก็นั่น
น่าจะเป็นความหมายของสายตาดุๆของนายแบค ทำเอาเขาแทบกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่
“อ่อ
ส่วนนี่..อ” จงอินทำได้แค่อ้าปากเก้อเพราะจู่ๆไอ้คริสมันก็โถมเอาแขนมาพาดบ่าดังอั่ก
แถมล็อกคอซะแน่นหนึบ
“ผมขอตัวเจ้านี่แป๊บนะ
มึงตามกูมาเดี๋ยวนี้” ท้ายประโยค คริสจงใจพูดลอดไรฟันให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะลากคอเพื่อนตัวดีหลบไปหลังร้าน
“อะไรของมึงเนี่ยคริส”
อยู่ๆก็ลากกันออกมาทั้งที่ยังแนะนำตัวไม่เสร็จด้วยซ้ำจะไม่ให้เขาข้องใจได้ยังไง
ไคเท้าเอวเอาเรื่องทันทีที่ถูกปล่อยตัว “ถ้ามึงไม่ค่อยโอเค
กูอนุญาตให้มึงกลับไปนอนได้นะเว้ย”
“มึง
ห้ามเรียกชื่ออู๋อี้ฟานต่อหน้าซูโฮเด็ดขาด”
“ว่าไงนะ”
คริสปัดผมเผ้าตัวเองจนกระจายไม่เป็นทรง
“กูจะอธิบายไงดีวะ”
“มึงจะอธิบายยังไงก็ได้
เอาแค่ให้กูเข้าใจพอ”
“กูโกหกซูโฮอยู่”
โอเค เค้ารู้ว่านั่นไม่ช่วยให้หายข้องใจซักเท่าไหร่...
“ตอนนี้ซูโฮรู้แค่ว่ากูคือคริส แต่ไม่รู้ว่ากูคืออู๋อี้ฟาน”
“มึงบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ตอนนี้จะบ้าจะเพี้ยนจะบ๊องจะเบ๊อะอะไรก็เถอะเขายอมทั้งนั้น
ขอแค่อย่าเพิ่งให้ความลับแตกก็พอ เขายังไม่อยากโดนซูโฮเกลียด แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านั่นมันคือวิธีของคนขี้ขลาด
“ช่วยกูซักครั้งเถอะ”
.
พวกเขากลับมาที่โต๊ะภายใน
5 นาทีหลังจากนั้น สถาปนิกหนุ่มจากสำนักงานใหญ่ยังคงนั่งอยู่ตรงบาร์ที่เดิม
และเขาเห็นว่ามีเพื่อนวิศวกรหลายคนที่เดินมาชนแก้วกับทั้งสอง แหงล่ะ
วันนี้เป็นงานสังสรรค์ของสาขาย่อย
เรียกว่าแทบจะเป็นการรวมตัวของวิศวกรทั้งบริษัทได้เลย วันๆเจอแต่โฟร์แมนกับผู้รับเหมาหน้าตามอมแมม
พอมาเจอของสวยๆงามๆก็ต้องระรี้ระริกเป็นธรรมดา
“โทษทีนะครับ
พอดีว่ามีงานเร่งด่วนนิดหน่อย” ไคออกตัวให้
ก่อนจะนั่งลงข้างๆกับแบคฮยอนที่ทำหน้าฉงนสงสัยใส่
“แล้วเคลียร์เรียบร้อยแล้วเหรอ?”
“อืม
เรียบร้อยแล้ว” ไคส่งสายตาแฝงนัยน์บางอย่างมาให้ คริสเลยเสไปทางอื่นแต่เผอิญมันดันไปประจวบเหมาะกับตำแหน่งที่ซูโฮนั่งอยู่พอดี
เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างลืมตัว
“ไม่ทักกันเลยนะคุณคริส”
เป็นฝ่ายคนตัวเล็กที่ตัดพ้อทั้งรอยยิ้มหวาน
ส่วนเขาก็ได้แต่เหวอต่อไปเพราะตั้งรับไม่ทัน
เพิ่งรู้ตัวว่าเซ่ออย่างที่โดนไอ้ไคด่าก็วันนี้เนี่ยแหละ
“อ้าว
รู้จักกันแล้วหรอกเรอะ ว่าจะแนะนำให้อยู่พอดี” ไคพูดขึ้นมาหน้าตาลั้นลา ..นี่ถ้าไอ้หมอนี่มันเป็นดารา
ผมนี่การันตีรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมให้เลย
“ครับ
แต่จะให้เล่าว่ารู้จักกันได้ยังไง มันคงจะยาวจนคุณแทบจะอยากหลับ”
“งั้นไม่ต้องเล่าดีกว่าครับ
ฮ่าๆ”
บรรยากาศบนโต๊ะกลับมาปกติอีกครั้ง
ถ้าไม่นับที่คริสประหม่าจนไม่มีสมาธิจะคุยให้รู้เรื่องน่ะนะ ได้แต่หัวเราะขำไปกับมุขตลกของพยอนแบคฮยอน
และบางทีก็แอบลอบมองคิมซูโฮไปด้วย
.
“มาเล่นเกมส์กันดีกว่า”
ไคเสนอความคิด
ตอนนี้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดของแต่ละคนน่าจะเข้มข้นพอสมควรเพราะเวลาก็ล่วงมาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว
โดยเฉพาะคิมซูโฮที่ตอนนี้นั่งทำตาหวานอยู่ตรงกันข้าม ดึงดูดสายตาของเค้าไปจากทุกสิ่งรอบข้าง
“เล่นๆ
เกมส์ไรๆ” พยอนแบคฮยอนรีบยกมือ กระตือรือร้นอยากเล่นเกมส์อย่างที่จงอินชวน
“เกมส์ธรรมดาๆ....”
แต่สายตาวาวระยับที่สะท้อนกับแสงไฟนี่ไม่ชวนคิดว่ามันจะธรรมดาอย่างที่พูด
เด็กหนุ่มหน้าเข้มคว้าเอาขวดไวน์เปล่าที่เพิ่งจะฟาดเกลี้ยงมาวางไว้ตรงกลางโต๊ะ
ก่อนวาดยิ้มละลายใจ “ที่ไม่ธรรมดา”
“ทุกคนจะเวียนกันตั้งบทลงโทษขึ้นมา
แล้วผมจะหมุนขวดไวน์หาคนมาลงโทษ จะตั้งโจทย์เดี่ยวหรือคู่ก็ได้ ง่ายมั้ย”
คนอื่นไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง
แต่ผมนี่ขนลุกวาบเลย ไม่ถนัดจริงๆไอ้เรื่องทำอะไรแผลงๆ
“ขอเป็นคนเริ่มได้ป้ะ”
เป็นแบคฮยอนอีกครั้งที่รีบขันอาสา และก็ไม่มีใครค้านเสียด้วย เอาเถอะ
ยังไงซะมันก็คงไม่มีบทลงโทษไหนที่ปกติอยู่แล้ว “เห็นสาวๆกลุ่มโน้นป้ะ
นั่นเลยชุดดำ”
ทุกคนในโต๊ะมองตามที่แบคฮยอนชี้ก็เห็นกลุ่มผู้หญิงประมาณ
5 คนล้อมวงเต้นกันอยู่อย่างเมามันส์สไตล์สาวโสด ส่วนคนชุดดำที่ว่านั่นเรียกว่าเป็นจุดเด่นของกลุ่มเลยก็ว่าได้
เพราะหน้าตาสะสวยและผิวขาวโดดเด่น (แต่ยังไงซะก็ยังดึงดูดสายตาของเขาได้น้อยกว่าซูโฮอยู่ดี)
ความรู้สึกเริ่มตะหงิดๆและเขาคิดว่าโจทย์ของแบคฮยอนน่าจะเดาไม่ยาก
“เอาแค่เบาๆก่อนละกัน
ถือซะว่าเป็นออเดิร์ฟก่อนเริ่มของจริง”
“ให้เป้าหมายเดินไปชนแก้วกับหล่อน
....แต่ต้องได้ชื่อกับเบอร์โทรฯกลับมาด้วย”
งานนี้คิมจงอินตาลุกวาว
พนันได้ว่าหมอนั่นต้องกำลังสวดภาวนาในใจขอให้ปากขวดไวน์เปล่าหยุดอยู่ตรงหน้า แต่จะเพราะว่ามันทำบุญมาน้อยไป
หรือเพราะว่าเขาไม่เคยเฉียดเข้าโบสถ์กันแน่ ในที่สุดเป้าหมายของบทลงโทษแรกมันกลับกลายมาเป็นคริส
คนที่ไม่เคยจีบใครมาก่อนเลยในชีวิต
แต่ต้องมาจีบสาวอื่นต่อหน้าคนที่ตั้งใจว่าจะจีบเป็นคนแรก
“มึง
จัดเลยอย่าทำป๊อด”
ซูโฮยังคงยิ้มทำตาหวาน
แถมด้วยการทำมือปัดๆไล่ๆเหมือนจะเร่งให้รีบๆไปรับบทลงโทษซะ ใจร้ายซะไม่มีอะ..
จบลงที่คริสต้องบากหน้าไปชนแก้วกับหญิงสาว
และโดนกรี๊ดกร๊าดบวกกับลวนลามกลับมานิดหน่อย แต่ในที่สุดก็ได้เบอร์โทรฯมาตามคำสั่ง
แบคฮยอนกับซูโฮหัวเราะชอบใจใหญ่ทั้งที่บนใบหน้าของคริสกำลังบอกบุญไม่รับ ร่างสูงรีบสาวเท้ากลับมาที่โต๊ะและออกปากทันทีว่าจะเป็นคนกำหนดบทลงโทษบ้าง
จงอินตกเป็นเป้าหมายตามที่คริสหวัง
แต่เขาคาดการณ์ผิดที่คิดว่า ไอ้‘การออกไปเต้นกังนัมสไตล์กลางผับ’จะทำอะไรคิมจงอินได้ แต่กลายเป็นว่าหมอนั่นกลายเป็นดาวเด่นของสาวๆไปซะอย่างนั้น
เกมส์หมุนขวดยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โจทย์ก็เริ่มหลากหลาย
ตั้งแต่ซดบรั่นดีผสมไวน์, ดื่มไวน์ผสมซาวน์ครีม, วิดพื้น 10 ครั้งกลางฟลอร์เต้นรำ,
แกล้งปลอมตัวเป็นสาวประเภทสองไปขอเบอร์ชายหนุ่มซึ่งมันทำให้เขาสะใจแทบบ้าเพราะจำเลยของโจทย์นี้คือคิมไค
และพอเริ่มจะหมดมุข จากบทลงโทษเดี่ยวก็เริ่มเดินทางเข้าสู่การลงโทษคู่ สั่งให้ A
จั๊กจี้ B, ให้ B เบิ้ดกะโหลก
A ซึ่งไอ้สองโจทย์นี้คนโดนกระทำดันเป็นคิมซูโฮ
และต่อให้คริสอยากจะออกรับแทนแค่ไหนก็ไม่กล้าทำอยู่ดี
“ให้
A กับ B ดื่มไวน์แบบ love shot”
และก็เพราะว่าโจทย์ที่เริ่มมาทาง
love’s
line ทำให้เขาอดที่จะแอบมองคิมซูโฮไม่ได้
มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาบังเอิญสบตาเข้ากับแบคฮยอนที่ดันหันมาเห็นสายตาของเขาพอดี
ฝ่ายนั้นยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ ทำเอาท้องของเขาวูบโหวงอย่างกับตกจากที่สูง
ก็ไม่ได้อยากให้ A กับ B เป็นเขากับซูโฮหรอกนะ...
ใช่
เขาคิดอย่างนั้นแต่กลับต้องมานั่งเสียดายตอนที่ผลออกเป็นกลายเป็นคิมไคกับแบคฮยอน
สองคนนั้นดูจะเมาจนเลยคำว่ากรึ่มไปแล้ว
บวกกับความสนิทสนมที่ทำงานร่วมกันบ่อย โจทย์แค่นี้เลยแทบจะไม่สะเทือนต่อมเขิน
แต่เขาก็ยังจับสังเกตได้อยู่ดีว่าพยอนแบคฮยอนดูจะทำหน้าไม่ค่อยถูกและแก้มก็ขึ้นสีแดงเป็นลูกมะเขือเทศ
ซูโฮแกล้งผลักไหล่เพื่อนให้เข้าไปใกล้จงอินมากขึ้น
เลยโดนเพื่อนตัวเล็กค้อนด้วยสายตากลับมา กลั้นหายใจตามอยู่นานกว่าไวน์จะหมดแก้ว
แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ผ่านมันไปได้
คราวนี้ล่ะของจริง
“ข้อนี้ขอเป็นข้อสุดท้าย”
จงอินบอกยิ้มๆ ตาเยิ้มเพราะทั้งเหล้าทั้งไวน์ที่ดื่มเข้าไปคงตีรวนผสมกันจนมั่วไปหมด
“ขอเด็ดๆเลยละกัน”
“ให้
A หอมแก้ม B”
“แค่เนี้ยอะนะ??”
แค่นี้..แต่ถ้าเป็นผมได้หอมแก้มไอ้ไคนี่ก็ไม่ไหวนะครับคุณพยอนแบคฮยอน
“เอาให้จมูกจมแก้มเลยนะคร้าบ ไม่งั้นมีเบิ้ล”
แต่ถ้าเป็นคิมซูโฮก็ว่าไปอย่าง
^^’
จงอินเริ่มหมุนขวดไวน์อีกครั้งท่ามกลางสายตาทั้งหมด
4 คู่ที่จดจ้องอยู่ ใจเขาเต้นตึกตักอย่างกับลุ้นล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง
“และผู้โชคดีก็คือ......”
เขาหวังว่าคนๆนั้นจะโชคดีอย่างที่ไอ้ไคมันว่าอะนะ
“คุณซูโฮนะคร้าบ!”
ซูโฮทำตาโตอย่างไม่เชื่อหู
ยกมือขึ้นชี้เข้าอกตัวเองเพื่อขอคำยืนยันว่าเป็นเขาจริงๆใช่มั้ย “นายน่ะแหละซูโฮ
ไม่ต้องมาทำงง” พอได้รับคำตอบจากแบคฮยอนก็ทำแก้มป่อง ทำเอาเขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ใครน้าจะได้หอมจากคุณซูโฮ”
ไอ้ที่ยิ้มอยู่ก็ถึงกับยิ้มหุบ เขาตวัดสายตาเหี้ยมใส่ไอ้จงอินที่ยิ้มแฉ่งจนตาเยิ้มๆนั่นโดนแก้มดันปิดเหลือขีดเดียว
แหม่..จงอินล่ะอยากให้มันชี้มาที่เขาจริงๆ จะได้เย้ยไอ้คนป๊อดมันซะหน่อย
“โอ๊ะโอ่...”
แบคฮยอนส่งเสียงเหมือนเทเลทับบี้แล้วหันมาทางเขา
ปากขวดไวน์มันหันมาทางนี้นี่หว่า
หาาาาาาาาา!!???
“หอมเลย หอมเลย หอมเลย!”
.
คริสสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้เดินให้ทันคิมซูโฮที่เดินตรงบ้างเอียงบ้าง
ถึงจะไม่ได้เมาแอ๋ แต่ก็น่าจะเดินให้ตรงยากอยู่ซักหน่อย เขาเผลอยื่นมือออกไปทำท่าจะช่วยพยุงตรงเอว
แต่พอรู้ตัวก็รีบชักมือกลับเข้าหาตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เหมือนรู้ทัน
“แค่เห็นว่าคุณเดินเอียงๆ”
แบบนี้เรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเองครับ ซูโฮนี่ยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่
แถมแก้มก็แดงเรื่อจนน่าบีบ
“รู้ตัวมั้ย
ว่าคุณน่ะน่าอิจฉาที่สุดในโลก”
“ผมเนี่ยนะ”
คริสชี้อกตัวเองพร้อมกับทำหน้างง คงไม่รู้ตัวสินะว่าหน้าตาเอ๋อเหรอแบบนี้มันดูตลกน่าดู
“มีสาวๆตั้งเยอะที่อยากได้หอมจากผม”
คริสหลุดหัวเราะเมื่อได้ฟังคำเฉลย
แม้ลึกๆแล้วจะยังหวั่นไหวกับเหตุการณ์บทลงโทษจากขวดไวน์เมื่อครู่อยู่
แต่เขาจะตกหลุมพรางของคิมซูโฮไม่ได้เด็ดขาด ยอมรับว่าตอนที่โดนคนน่ารักหอมแก้มน่ะ
หัวใจนี่แทบจะกระเด็นมากองอยู่ที่พื้น
แต่ถ้าคิดว่าหยอดมาแค่นี้แล้วเขาจะแบไต๋ล่ะก็..คิดผิดซะแล้ว
“แต่ขอโทษนะครับ
ที่ผมเป็นคนได้สิทธิ์นั้น”
“ระวังแฟนคลับผมไปดักตีหัวหน้าปากซอยล่ะ”
เพราะคำพูดตอบโต้แสนน่ารักนั้นทำให้เขายิ่งหัวเราะอย่างชอบใจ
คิมซูโฮมีเซ้นส์มากพอที่จะไม่ตกหลุมพรางของเขา คนตัวเล็กอมยิ้มอย่างคนถูกใจ คริสจึงใช้โอกาสนั้นในการลอบมองและเมมโมรี่เอาความน่ารักนั้นเก็บไว้ในกล่องความทรงจำส่วนตัว
ก่อนจะทำทีเป็นเบนความสนใจไปยังคนสองคนที่เดินนำหน้าไปประมาณ 100 เมตร สถาปนิกตัวขาวเหมือนลูกหมาที่ทรงตัวไม่อยู่จนต้องให้คิมไคประคองไปเรียกแท็กซี่
“ดูสองคนนั้นสิ”
“ไหวกันมั้ยเนี่ย”
“ก็ไม่รู้ว่าใครน่าเป็นห่วงกว่ากัน”
คริสพูดถูกเพราะซูโฮเห็นเต็มๆตาตอนที่แบคฮยอนหวดแขนทุบไหล่จงอินหลังจากที่หมอนั่นก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหู
เอาเข้าจริงๆเขาก็อดเป็นห่วงเพื่อนตัวเล็กไม่ได้
ถึงจะดูปากเก่งและก๋ากั่นแต่ถ้าเป็นเรื่องความรัก เขารู้ดีว่าแบคฮยอนจริงจังและจริงใจกับมันแค่ไหน
“แบคฮยอนชอบจงอินมากนะ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมาจนพลั้งพูดออกไป หรือเป็นเพราะว่าไว้ใจคนข้างๆ
แต่ซูโฮก็บอกความลับของเพื่อนสนิทออกไปแล้ว
คริสหันมองและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แม้จะมีช่องว่างของความเงียบเข้ามาคั่นกลางอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ซูโฮก็ไม่นึกเปลี่ยนใจหรือคิดว่าสิ่งที่พูดออกไปมันผิด
..เพราะถ้าจงอินเห็นแบคฮยอนเป็นแค่ของเล่น เขาจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป
รวมถึงคริสที่เป็นเพื่อนสนิทของจงอินเองก็ด้วย
“คุณกังวลใช่มั้ย”
เขาพยักหน้าตอบคริส
“ผมเองก็ไม่อยากรับปาก
สัญญา หรือรับประกันอะไรหรอกนะ แต่จงอินคนที่ผมรู้จัก ไม่เคยหลอก
หรือล้อเล่นกับความรู้สึกของใคร ผมรู้แค่นี้”
ไม่นานแท็กซี่ที่รอกันก็มาถึง
พวกเขาทั้งคู่จึงรีบเร่งฝีเท้าเพื่อตามไปส่งสองคนที่เมาแอ๋ขึ้นรถ
“ฝากคุณซูโฮดูแลไอ้คริสด้วยนะครับ”
จงอินที่เพิ่งจัดการยัดร่างป่วนๆของแบคฮยอนขึ้นเบาะหลังรถแท็กซี่ได้สำเร็จหันมาบอกเขาพร้อมรอยยิ้ม
ก่อนจะหันไปหาเพื่อนตัวสูง “มึงก็อย่าไปฉุดคุณซูโฮเค้านะเว้ย”
คริสเบิ้ดกะโหลกเพื่อนไปที
แล้วก็รีบจับมันดันใส่ท้ายรถตามแบคฮยอนไป “ถึงบ้านแล้วไลน์มาด้วย”
“เอออออ
ห่วงกูจังเลยนะมึง”
“กูห่วงเทศบาลที่ต้องคอยมาเก็บกวาดมึงเวลาไปนอนข้างถนนต่างหาก”
ร่ำลากันหวานซึ้ง(?)ตามประสาเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแล้วก็รีบปิดประตูส่งก่อนที่คุณโซเฟอร์เค้าจะด่าพ่อเอา
ตอนนี้เลยเหลือแค่เค้ากับซูโฮที่บ้านอยู่คนละทางกับสองคนนั้น
“คุณจะกลับยังไง
ให้ผมนั่งแท็กซี่ไปส่งมั้ย”
รีบอาสาแม้จะรู้ดีว่ายังไง้ยังไงก็ต้องโดนปฏิเสธเพราะบ้านของเขากับซูโฮเองก็อยู่คนละทางกัน
เพราะงั้นก็เลยต้องรีบเพิ่มออฟชั่นเสริมใส่เข้าไปด้วย “ผมไปส่งได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ยังทันรถเมล์รอบสุดท้าย
ผมเลยว่าจะนั่งรถเมล์กลับ”
“งั้นให้ผมนั่งไปเป็นเพื่อนนะ”
ดูท่าแล้วว่าถึงแม้เขาจะปฏิเสธหัวชนฝาอย่างไร
ฝ่ายคริสเองก็คงดึงดันที่จะไปส่งเขาให้ได้อยู่ดี เลยยอมเพยิดหน้าแทนคำพูดว่า ‘ตามใจแล้วกัน’ ก่อนจะเดินไปรอที่ป้ายรถเมล์ และเขาเห็น.. ว่าคริสยิ้มกว้างมากขนาดไหน
ผมชอบทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นคิมซูโฮ
ดวงตาใสซื่อที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่เปิดกว้าง
กลิ่นหอมละมุนผสมกับกลิ่นบรั่นดีจางๆที่พัดมาตามสายลม
หรือแม้แต่เสียงลมหายใจเบาๆที่พ่นเข้าออกจากปลายจมูกเล็ก
ผมก็แค่สงสัยว่าซูโฮอาจจะเป็นผลงานศิลปะบางอย่างที่ซ้อนเร้นอยู่ของดาวินซี่
ผลงานที่น่าหลงไหลและกำลังดึงดูดให้ผมจมดิ่งลึกลง ลึกลงเรื่อยๆ
รู้ตัวอีกที
แก้วตาดำขลับก็จดจ้องเข้ามาในตาของผมแล้ว
คริสกระพริบตาปริบ
แต่ก็ห้ามใจตัวเองยากเกินกว่าจะหันเหไปทางอื่น ผิวแก้มสีชมพูเรื่อของซูโฮมันน่ามองจนไม่อาจทำแบบนั้น
จนเมื่อไล่สายตามองลงเรื่อยถึงริมฝีปากสีเชอร์รี่
คริสก็รู้คำตอบว่าเขาหลงรักคิมซูโฮเข้าอย่างจัง
“แอบมองผมเหรอ”
“อืม”
คริสโกหกไม่เก่ง
ก็เลยตอบไปตรงๆทั้งที่ใจเต้นจนแทบไม่ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวจากด้านนอกรถ
และซูโฮเองก็คงตั้งตัวไม่ทันกับคำตอบตรงๆนั้นเหมือนกันถึงได้เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
“ผมว่า
คุณคงเมาแล้ว…”
“ใช่ผมเมา
แต่ผมรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่”
คริสพลิกตัวตะแคงข้างเพื่อที่จะได้มองเห็นใบหน้าใสๆนั้นให้ชัดๆ
ถ้าในตอนปกติเขากล้าพนันเลยว่าตัวเองจะต้องไม่กล้าทำอะไรที่มันอุกอาดขนาดนี้ ต้องขอบคุณฤทธิ์เหล้าที่ทำให้คริสหน้าด้านขึ้นมาเป็นกอง
และเขาก็เพิ่งรู้ว่าการหน้าด้านมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย
“แล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ
คุณคริส”
“ผมกำลังตกหลุมรักคุณ”
ซูโฮหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเลี่ยนหรืออะไร กลับกันเขากำลังคิดว่านายคริสนี่เป็นคนตลกซะจริง
“ผมจริงจังนะ”
“อื่อฮึ”
ซูโฮพยักหน้าสำทับ
แต่รอยยิ้มที่กลั้นไม่มิดนั้นทำให้คริสรู้ว่าอีกฝ่ายคิดว่าเขาเมาแอ๋จนจำอะไรไม่ได้แน่ๆ
เพราะงั้นเขาจะต้องทำอะไรเพื่อเป็นการยืนยันเสียหน่อย คิดได้อย่างนั้นก็ขยับตัวโน้มออกไปข้างหน้า
และบรรจงประทับรอยจูบไว้บนหน้าผากเนียนหนึ่งที ก่อนจะผละออกมาเพียงนิด และเพิ่งตระหนักได้ว่าระยะห่างระหว่างกันมันมีน้อยซะเหลือเกิน
เขาจะหยุดไว้แค่จูบเบาๆบนหน้าผากได้เหรอ?
คริสรู้ดีว่าคำตอบเป็นแบบไหน
เพราะอย่างนั้นเขาจึงเลื่อนริมฝีปากลงมาแต้มจูบบนแก้มใส
ไล่ลงมาถึงคางเรียว และหยุดลอบมองคิมซูโฮที่ก็หรุบตาลงสบกับเขาเช่นกัน
เขาจ้องลึกลงไปในนัยน์ตาฉ่ำน้ำคู่นั้น ..คุณเองก็เมาจนจำอะไรไม่ได้รึเปล่าซูโฮ? แม้จะมีคำถามนั้นอยู่ในใจแต่คริสก็ยังเลือกที่จะเอื้อมมือไปตระกองเรียวหน้าหวานไว้
และกดจูบลงบนริมฝีปากบาง
มันไม่เหมือนเจลลี่รสผลไม้
ไม่ใช่ขนมปุยฝ้ายสีหวาน แต่มันคือรสชาติและสัมผัสที่ทำให้ใจเต้นหวิว
เขาคิดว่าอีกไม่นานคงเสพย์ติดมันเข้าให้ เสพย์ติดรสชาติของคิมซูโฮ
โป้ก!!
“อัชช์!!!”
“คุณ
เจ็บรึเปล่า?”
คริสรู้สึกเหมือนมีตุ๊กตาล้มลุกซักสิบตัวอัดกันอยู่ในตัวเขา
และก็รู้สึกเหมือนกลายเป็นคนสายตาสั้นไปชั่วขณะหนึ่งเพราะภาพที่เห็นมันพร่าเลือนไปหมด
“คุณคริส
ไหวมั้ยครับ?”
เขาสะดุ้งเหมือนถูกช็อตไฟฟ้า
ก่อนจะหันเหไปตามเสียงเรียกและแทบหายใจสะดุดเมื่อหน้าหวานๆของคิมซูโฮลอยอยู่ตรงหน้า
“ถึงแล้ว
รีบลงรถกันเถอะ”
ด้วยความเบลอเต็มขั้น
เขาจึงถูกคิมซูโฮล็อกแขนและลากตัวลงมาจากรถเมล์
กว่าจะจับต้นชนปลายถูกว่าอะไรเป็นอะไรก็ตอนที่ถูกลมฤดูร้อนตีเข้าที่หน้า คริสคลำนิ้วลงบนหน้าผากตัวเองก่อนจะต้องร้องโอ๊ยเมื่อเจอรอยนูนอย่างกับลูกมะกอก
ไอ้เสียงโป้กนั่นมันคือเสียงหัวเขาโขกเข้ากับขอบเก้าอี้สินะ
“ผม..หลับไปงั้นเหรอ?”
ซูโฮพยักหน้าให้พร้อมกับยิ้มหวานๆ
..ความจริงมันก็รอยยิ้มธรรมดานั่นแหละครับ แต่สำหรับผม อะไรๆของคิมซูโฮก็ดูจะหวานไปซะหมด
แต่เดี๋ยวนะ...
ถ้าอย่างนั้นไอ้จูบหวานๆเมื่อกี๊นี้มันก็แค่ฝันไปงั้นเหรอ???
“เหมือนคุณจะฝันด้วยนะ
ท่าจะเป็นฝันดี เพราะคุณเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
มันก็ฝันดีน่ะแหละ
แต่มันก็แค่ฝันป่ะครับ???
“ไหวแน่นะคุณ”
เพราะคริสเอาแต่เดินรั้งท้ายแถมขยี้ผมตัวเองไม่ยอมหยุด
ซูโฮเลยหันมาถามอย่างเป็นห่วง “อีกไม่ไกลก็ถึงบ้านผมแล้ว คุณกลับก่อนก็ได้นะ”
“เฮ้ย
ไม่เป็นไร ผมไหว” แม้สภาพภายนอกจะดูตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงอะนะ
คริสรีบสาวเท้าให้ทันกับซูโฮที่นำไปก่อนประมาณ
3 ก้าว ฉีกยิ้มเพื่อยืนยันว่ายังไหว
“ว่าแต่...
ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
“ไม่แน่ใจแฮะ
รู้แค่ว่าหันไปอีกทีคุณก็หลับสัพหงกแบบนี้แล้ว” ซูโฮจำลองเหตุการณ์ด้วยการทำหัวเอียงๆและทำตาปรือๆ
ก่อนจะกลับมาหัวเราะร่าเหมือนถูกใจ
ไม่ได้ดูสีหน้าคริสที่ตอนนี้แทบจะหลุดลอยไปกาแล็กซี่อื่นแล้ว
“แล้ว...ผมได้พูดอะไรแปลกๆออกมามั้ย”
“แปลกๆยังไงล่ะ”
“อย่าง....”
ผมกำลังตกหลุมรักคุณ ....โนวววว คริสสะบัดหัวจนคอแทบเคล็ดตอนที่คำพูดเลี่ยนๆนั่นลอยเข้ามาชนกะโหลก
พลันขนแขนก็ลุกพรึ่บแถมท้องก็ปั่นป่วนขึ้นมา
“หืม???”
“เปล่า
ม-ไม่มีอะไร”
นับว่าเป็นโชคดีของคริสที่ซูโฮกำลังคิดว่าเขาเมาจนเพี้ยนไปแล้ว
ไม่นานก็ถึงจุดหมายซึ่งเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กๆของคิมซูโฮ
ซึ่งคริสแอบสังเกตเห็นแปลงดอกไม้หลากสีอยู่หลังรั้วไม้สีขาวเลยเดาเอาว่าซูโฮอาจจะชอบปลูกต้นไม้
“ว่าแต่คุณ...กลับไหวรึเปล่า?”
เขาเลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยเชื่อหู
ที่ถามแบบนั้นหมายความว่าถ้าตอบว่าไม่ไหวแล้วจะให้ค้างคืนรึไง
“...ถึงจะไม่ไหวยังไงก็ต้องกลับนะครับ”
“.....”
ปากที่กำลังจะอ้าตอบถึงกับค้างเติ่ง แต่คริสก็ไวพอที่จะรีบเปลี่ยนมาเป็นฉีกยิ้มและโบกมือให้คนตัวเล็กเป็นพัลวัน
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกคุณ ระดับคริสนะครับ ทำไมจะไม่ไหว”
“แล้วก็
ถ้าคุณจะดื่มชา...”
หรือว่าจะชวนเขาดื่มชา???
“ก็คงจะไม่สะดวกน่ะครับ
พอดีผมอยู่กับพี่สาว เกรงใจ... แหะๆ”
คิมซูโฮยังเอาแต่ยิ้มซื่อๆมาให้จนชักจะหมั่นเขี้ยวตะหงิดๆ
อย่ามาทำตัวน่ารักครับ ถ้าจะตัดความหวังกันซะขนาดนี้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ
จริงๆแล้วผมก็ไม่ค่อยชอบดื่มชาเท่าไหร่...” ตอบเค้าไปอย่างนั้น แต่ในใจหน้าผมเป็นแบบนี้ครับ
T
[] T!!
ทำลายความหวังกันจนราบเป็นหน้ากลองแล้วก็ยกมือโบกหยอยๆมาให้
คริสก็ทำได้เพียงโบกมือกลับไปก่อนจะเดินคอตกออกมา
“คุณคริสครับ”
“หืม?”
“ฝันดีนะครับ”
“ครับ”
ฝันดีนะครับ...
“เมื่อกี๊คุณว่าไงนะซูโฮ”
ไม่ไว้ใจตัวเองแล้วครับจุดนี้
เมื่อกี๊ยังฝันได้เป็นฉากๆ นับอะไรกับถ้าจะหูแว่วได้ยินอะไรเพี้ยนๆไปเอง
“ผมบอกว่า..”
ซูโฮทวนคำพูดให้พร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนริมฝีปาก
“ฝันดีครับ คริส”
ฝันดีครับ
คริส
ฝันดีครับ
คริส
ฝันดีครับ
คริส
ฟินจนแทบจะบินกลับบ้านเลยล่ะครับคู้ณณณ
TBC
ความคิดเห็น