ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] katerekun's short fic :D

    ลำดับตอนที่ #13 : KrisHo . Don't know man . 2 .

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 58




    แกร๊ง..

     

    ผมตื่นเพราะเสียงกระทบกันของกระป๋องโลหะที่ขามันดันไปเตะโดนเข้า แต่หนังตามันก็หนักเกินกว่าจะฝืนยกลืมขึ้นมาได้ เลยทิ้งให้มันจูบกับเปลือกตาล่างไปทั้งอย่างนั้น

     

    แต่แดดจ้าๆก็ไม่เคยนึกปราณีคนขี้เซา มันยังสาดส่องลำแสงเข้าแยงตาจนต้องพลิกตะแคงตัวเอาหน้าซุกกับหมอน ก็ยอมรับว่าหายใจไม่ค่อยออก แต่ความง่วงมันก็มีฤทธิ์รุนแรงเสียจนต้านทานไม่ไหว

     

    ไหนๆวันนี้ก็วันอาทิตย์ หลับต่อซักหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร

     

    จริงมะ?

     

     

    แต่แทนที่จะได้หลับต่ออย่างเป็นสุข ไอ้เสียงก๊องๆแก๊งๆชวนรำคาญก็ดังมาอีกระลอก คราวนี้ทั้งเสียงกร่อบๆของถุงขนม เสียงสะบัดผ้าห่ม เสียงหมอนตีกันดังปุๆ มาหมดครบกระบวน

     

    “ย่าห์..” ผมตั้งใจจะตวาด แต่ฟังดูดีๆผมว่ามันไม่ค่อยต่างจากเสียงยานคางเหมือนกำลังเล่นเทปที่ลุ่ยจนต้องเอาดินสอกรอซักเท่าไหร่ (ฮั่นแน่ เกิดไม่ทันล่ะสิ)

     

    “อ้าว ผมทำพี่ตื่นเหรอ” ภาษาเกาหลีสำเนียงแปร่งๆของเด็กนั่นฟังดูเหมือนมีเสียงหัวเราะเจือปน สาบานเถอะว่าไม่รู้ตัวจริงๆว่ากำลังก่อกวนคนอื่นเค้าอยู่!

     

    มันน่าเตะก้านคอซะให้หงาย (ถ้าขาผมจะยาวกว่านี้นิดนึงล่ะก็นะ..)

     

    “ฮวังจื่อเทา อยากตายรึไง” ถึงจะไม่ได้ลืมตาอยู่ แต่ผมรู้ว่าหมอนใบโตๆสองใบกำลังจะวิ่งเข้าหากันดังปุ ปลดปล่อยเอาฝุ่นผงให้ลอยละล่องในอากาศ และทิ้งตัวดิ่งลงตรงหน้าผม!

     

    “ไม่เลย ผมไม่เคยคิดงั้น” แล้วเทาก็ลดมือลง พร้อมกับย่อตัวคุกเข่าข้างๆโซฟาลายดอกคัตเตอร์ หน้าคมเข้มแบบพระเอกหนังบู๊ไต้หวันฉีกยิ้มสดใสให้กับพี่ชายตัวขาวที่ขี้เซาอย่างกับอะไรดีราวกับกำลังทำเรื่องแสนสนุก จริงๆมันก็แค่นั่งมองคนหลับไม่ใช่รึไง??

     

    “งั้นก็อย่ากวนฉัน”

     

    “พี่คิดว่านั่นเป็นคำขู่เหรอ”

     

    “ฮวังจื่อเทา!

     

    เทายิ้มอีกรอบ แต่ก็ยอมเงียบเสียงลงแต่โดยดี

     

     

     

    

     

     

     

    “หมอนั่นยังไม่ฟื้นอีกเหรอ”

     

    เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง พี่เซมีในชุดเดรสสีขาวกับรองเท้าสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ดูน่ารักดีในสายตา แต่ก็ไม่เท่าน้องชายแท้ๆของเธอหรอก เทาสาบาน!

     

    เขายักไหล่เป็นเชิงบอกว่า ก็อย่างที่เห็น

     

    “แล้วนายล่ะ ไม่กลับบ้านกลับช่องรึยังไง”

     

    “พ่อกับแม่บินกลับจีนสองอาทิตย์ ถ้าผมจะขอฝากท้องไว้ที่นี่คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ”

     

    พี่เซมีทำหน้าเหยเก แต่เขาก็ยังคงยิ้มร่า

     

    สุดท้ายแล้วเธอก็ทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเดินต้อกๆออกไปหน้าบ้าน และเทาจะถือว่าการไม่ปฏิเสธของเธอนั้นเป็นการตอบรับในข้อเสนอก็แล้วกัน ร่างสูงหันกลับมาสนใจสิ่งที่กองกันอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวอีกครั้ง ผักสลัดออร์แกนิค มะเขือเทศแดงฉ่ำที่เพิ่งจะขุดมาจากสวนหลังบ้าน แครอทที่ยังแพ็คอยู่ในถุงพลาสติก และส่วนผสมอื่นๆสำหรับทำสลัดเพื่อสุขภาพยังคงนอนรอให้เขาจัดการมันเสียที แต่ก็ติดที่ว่าเขายังหาสูตรทำน้ำสลัดจากเจ้าสมาร์ทโฟนนี่ไม่ได้ซักทีน่ะสิ

     

    อา...หรือว่าเขาควรจะปั่นจักรยานไปหาซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตหน้าปากซอยดีนะ??

     

    RRRRR!

     

    แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจ เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน แต่ว่าไม่ได้มาจากของของเขาหรอกนะ

     

    ก้อนผ้าห่มไส้พี่ซูโฮ(?)ขยับตัวยุกยิกด้วยความรำคาญ แต่ก็เท่านั้น.. ไม่มีทีท่าว่าคนขี้เซาจะลืมตาตื่นขึ้นมารับสาย แถมยังเตะเจ้าต้นตอของเสียงอันแสนหนวกหูนั่นกระเด็นไปอีกฟากห้อง สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องเป็นเขาที่เป็นคนไปหยิบขึ้นมากดรับสายให้

     

    “ยอโบเซโย?”

     

    .

     

    หืม??? โทรฯผิดเบอร์หรอกเหรอ?

     

    ถึงแม้จะไม่บ่อยครั้งนักที่เขาได้คุยโทรศัพท์กับซูโฮ แต่เขามั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้ต้องไม่ใช่เสียงของอีกฝ่ายแน่ อย่างน้อยๆก็ไม่ควรมีสำเนียงแปร่งๆแบบนี้สิ

     

    “นั่นใช่เบอร์คุณซูโฮรึเปล่าครับ”

     

    ((พี่ซูโฮหลับอยู่ มีอะไรบอกผมไว้ได้เลย บอกผมก็เหมือนบอกพี่ซูโฮนั่นแหละฮะ))

     

    คิมซูโฮหลับอยู่อย่างนั้นเหรอ? หมอนี่มีสิทธิ์อะไรถึงได้เห็นซูโฮตอนหลับ หน้าหวานๆตอนกำลังหลับพริ้มมันต้องเป็นเขาคนเดียวสิที่ได้เห็น

     

    เฮ้! นี่เขากำลังหึงอยู่งั้นเหรอ!

     

    “นั่นใครครับ” ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้คริสไม่ค่อยจะไว้ใจเจ้าของเสียงนี้เท่าไหร่นัก เขาถามเพื่อยืนยัน แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่มีประโยชน์

     

    ((บอกไปคุณก็ไม่รู้จักผมอยู่ดี))

     

    คริสแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายเสียตรงนั้น

     

    ((ว่าแต่ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมจะวางสายละนะ))

     

    “ด-เดี๋ยวก่อนสิ”

     

    อันที่จริง เขาก็แค่อยากได้ยินเสียงของคิมซูโฮ เลยกะว่าจะโทรฯไปหาแล้วใช้เรื่องงานเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายหงุดหงิดเล่นๆแค่นั้น แต่ว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้วล่ะ

     

    “ถ้างั้น บอกคุณซูโฮด้วยว่า อู๋-อี้-ฟานโทรมา มีเรื่องด่วน ด่วนมาก ด่วนที่สุด ถ้าไม่ได้คุยกับเค้าด้วยตัวเองผมจะไม่ยอมวางสาย” เขาย้ำชื่อตัวเองชัดถ้อยชัดคำ และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดไป เขาทำมันจริงแน่

     

    “ประหลาดคน”

     

    ว่าไงนะ??? คริสรู้สึกถึงมันได้ รู้สึกถึงเลือดที่กำลังสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้า เขามั่นใจว่าเด็กนั่นไม่ได้จงใจพูดกับเขาตรงๆแต่น่าจะเป็นการสบถกับตัวเองซะมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนที่ประหลาดมันคือหมอนั่นไม่ใช่หรือไง??!!

     

    .

     

    เทาขมวดคิ้วจนยุ่ง นายอี้ฟานอะไรนี่ต้องเพี๊ยนมากแน่ๆ เน้นชื่อตัวเองซะอย่างกับว่าพี่ซูโฮจะไม่รู้จักอย่างนั้นแหละ ถ้าพี่เขาไม่รู้จักคงไม่เมมฯชื่อจนมันขึ้นโชว์หราแบบนี้หรอกมั้ง

     

    อี้ฟานหน้าเลือด

     

    ดูท่าเหมือนจะสนิทกันซะด้วยสิ

     

    “พี่ซูโฮ”

     

    “อือ....”

     

    “อู๋อี้ฟานโทรมา”

     

    จื่อเทาแทบผงะตอนที่จู่ๆตาโตๆนั่นก็เบิกกว้างขึ้นมาอย่างกับมีปุ่มกดเปิด พี่ซูโฮดูจะตื่นตกใจตอนที่ได้ยินชื่อนี้และเขายังไม่ทันได้ยื่นโทรศัพท์ออกไปมันก็ถูกฉกไปอย่างรวดเร็ว

     

    “เห???? ตอนนี้เนี่ยนะ????”

     

    พี่ชายตัวขาวตะโกนใส่โทรศัพท์เสร็จแล้วก็มานั่งไอค่อกแค่ก กระทั่งหลังจากวางสายไปแล้วก็ยังไม่เลิกเอามือขยี้ผมตัวเองเสียที อ่า..ผมว่าบางทีพี่ซูโฮก็ดูเป็นคนเพี้ยนๆเหมือนกันแฮะ

     

    “ว่าแต่....” เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “ทำไมฉันต้องตกใจขนาดนี้ด้วยล่ะ”

     

    คงเป็นผลพวงมาจากทีมบอลที่เชียร์เมื่อคืนนี้แพ้แหงแก๋

     

    ผมคงต้องเพิ่มเมนูซุปถั่วงอกเข้าไปในมื้อเช้าซะแล้วล่ะ

     

    “มีอะไรรึเปล่าพี่”

     

    พี่ซูโฮพยักหน้าลงหนึ่งครั้ง “ต้องไปดูงานที่ไซต์น่ะ” แล้วก็เหลือบตามองหานาฬิกาติดผนัง “อา!! สายแล้วนี่หว่า ย่าห์จื่อเทา นายเองก็ควรกลับบ้านตัวเองได้แล้วนะ”

     

    “แต่บ้านผมไม่มีใครอยู่เลยนี่”

     

    “งั้นหรอกเหรอ” ถามไปงั้น แต่ความสนใจของซูโฮตอนนี้อยู่ที่โทรศัพท์ที่เพิ่งโยนทิ้งเมื่อกี๊นี้อยู่ตรงไหนมากกว่า

     

    จื่อเทาควานหาโทรศัพท์จากใต้กองผ้าห่มมาส่งให้

     

    “ขอบใจนะ” แล้วพี่ชายตัวขาวก็คว้ามันไปจากมืออย่างรวดเร็ว “แล้วก็..อยู่บ้านคนเดียวไปก่อนละกันนะ เดี๋ยวเย็นๆกลับมาเล่นด้วย”

     

    “แต่ว่าพี่”

     

    “อย่างอแงน่าเทา” เท้าขวาแตะบันไดขั้นแรกได้แล้ว ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลแค่เอื้อม แต่เจ้าเด็กนี่ยังทำตัวงอแงเป็นเด็กติดพี่อยู่ได้ นี่เขามีงานด่วนนะ!

     

    “แต่ว่า...วันนี้วันอาทิตย์นะพี่”

     

    หืม???

     

     

     

    เออว่ะ...

     

     

    

     

     

    “วันนี้ผมนัดวิศวกรไว้ให้คุณ คุณควรจะไปขอคำแนะนำจากเค้านะ เดี๋ยวผมส่งแผนที่ไปให้..อ่อ..คุณต้องไปให้ได้นะ เพราะว่าคนที่ผมติดต่อไว้ให้น่ะคิวแน่นเอี๊ยด แทบจะหาเวลาว่างไม่ได้ง่ายๆเลยล่ะ”

     

    หมอนั่นคงจะทำงานหนักเกินไปจนลืมวันลืมคืนล่ะมั้ง

     

    แล้วนี่เขาก็ต้องออกไปทำงานในวันหยุดเพียงแค่หมอนั่นบอกให้ไปเนี่ยนะ?

     

    บ้าชะมัดคิมซูโฮ

     

    เทาอาสาเป็นคนป้อนขนมปังปิ้งเข้าปากพี่ชายข้างบ้านเพราะเจ้าตัวกำลังมัดเชือกรองเท้าอยู่ ในแววตาเขามีแววเศร้านิดๆเพราะดันไม่ได้โชว์ฝีมือทำสลัดเพื่อสุขภาพให้พี่ซูโฮลิ้มรส แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยเขาก็ได้บรรจงทาเนยลงบนขนมปังปิ้งที่พี่ซูโฮกำลังเคี้ยวหยุบหยับอย่างเอร็ดอร่อยชิ้นนี้ล่ะนะ

     

    “พี่จะไปจริงเหรอ”

     

    “ฉันแค่ไปทำงาน ไม่ได้หนีไปยุโรปซะหน่อย ทำหน้าเป็นหมาหงอยไปได้” ซูโฮปัดมือเข้ากับกางเกงแล้วลุกขึ้นยืน สบตากับเจ้าเด็กโข่งที่ทำหน้าซึมกระทืออย่างกับจะโดนทิ้ง เห็นอย่างนั้นเลยอดยื่นมือออกไปขยี้ผมแรงๆซักทีไม่ได้

     

    “ขอผมไปด้วยดิ”

     

    “หือ??” ถึงกับค้างกันเลยทีเดียว เขาเอียงคอและทำหน้าแบบมั่นใจสุดๆว่าคงจะฟังผิดไป

     

    “นะ ให้ผมไปด้วยเถอะ”

     

    “เพี๊ยนดิ ฉันไปทำงานนะ นายจะไปด้วยได้ไง”

     

    “ให้ไปนั่งรอเฉยๆก็ได้”

     

    “........” ยังไม่ทันให้เขาได้ปฏิเสธ จื่อเทาก็ร่ายต่ออย่างไว “พี่จะให้ผมกร่อยอยู่บ้านคนเดียวจริงเหรอ พ่อแม่ก็ไม่มีใครอยู่ ผมคงต้องเฉาตายอยู่หน้าทีวีไม่ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า ผมต้องเดียวดายเป็นผีตายซากอยู่ในบ้าน ถ้าจู่ๆผมไปนั่งคุยกับแมวพี่จะว่ายังไง พี่จะรับผิดชอบไหวเหรอ พี่ซูโฮ?”

     

    ทีอย่างนี้ล่ะภาษาเกาหลีปร๋อเชียวนะ.. ซูโฮกัดริมฝีปากล่างอย่างชั่งใจ และพยายามหันเหลูกกะตาไปทางอื่นที่ไม่ใช่ตาเซื่องๆของฮวังจื่อเทา ถ้าหมอนี่เป็นลูกหมาก็คงจะดี จะได้จับล่ามโซ่ขังอยู่บ้านซะเลย

     

    “ผมรอเก่งนะ สัญญาว่าจะไม่ปริปากบ่นซักคำ” ยกสามนิ้วสำทับคำปฏิญาณซะขนาดนี้แล้วเขาจะใจจืดใจดำลงได้ไงล่ะ

     

     

    

     

     

    “คุณคริส??”

     

    วิศวกรคิวงานแน่นเอี๊ยดอย่างกับนายแบบดาวรุ่งพุ่งแรงที่อี้ฟานว่าคือคริสงั้นเหรอ?

     

    “มีอะไรผิดปกติบนหน้าผมหรือไง”

     

    “อืม เยอะเลย อย่างน้อยคุณก็ต้องไม่ปกติที่นัดคนอื่นมาทำงานวันอาทิตย์แบบนี้” ว่าแล้วก็ทำหน้ามุ่ยประกอบให้รู้ว่าหงุดหงิดจริงๆนะที่จู่ๆก็ถูกขโมยวันหยุดสุดสัปดาห์ไปดื้อๆ

     

    แต่คนตัวสูงก็แค่ยิ้ม ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อสังเกตเห็นใครอีกคนที่ติดสอยห้อยตามซูโฮมาด้วย

     

    “อ่อ น้องข้างบ้านผมเอง..”

     

    เด็กหนุ่มร่างสูงที่เกือบจะสูงเท่าเขารีบหันขวับกลับมาหลังจากเอาแต่ชะเง้อมองโครงสร้างอาคารอย่างสนอกสนใจ “ผมเทา ฮวังจื่อเทา”

     

    เขาหรี่ตาลงและลอบสังเกตท่าทีของคนตรงหน้า น้ำเสียงก็ฟังดูกระตือรือร้นดี แต่สายตากลับมีแววมาดร้ายเหมือนพวกฉลาดแกมโกง

     

    “เจ้านี่เพิ่งเอนท์ฯติดคณะวิศวะน่ะ ก็เลยอ้อนตามมาเผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจให้ดู แต่ถ้าคุณกลัวจะมีปัญหากับหน้างานก็ทิ้งเจ้านี่ไว้แถวนี้ก็ได้...”

     

    “ไม่เป็นไร เข้าไปด้วยกันนี่แหละ” เขาบอกซูโฮแบบนั้น ซึ่งก็ดูเหมือนจะทำให้คนตัวเล็กโล่งอกขึ้นมาทันที ริมฝีปากสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มดันแก้มขึ้นจนบังลูกกะตาแทบมิด “เอ่อ ไปกันเลยมั้ย” ก่อนที่จะโดนอานุภาพความร้ายกาจของรอยยิ้มทำร้ายจนไม่มีสมาธิทำงาน คริสจึงรีบออกปากให้ทั้งคู่เดินตามเข้าไปในไซต์ ถึงจะใจแข็งแค่ไหนแต่ถ้าถูกจู่โจมบ่อยเข้าก็ไม่ไหวจะต้านทานเหมือนกัน

     

    ยิ่งช่วงนี้ หัวใจผมยิ่งอ่อนแออยู่  

     

    “พี่มาจากจีนเหรอ” แต่แล้วไอ้หัวใจที่กำลังเต้นรัวแรงอยู่ก็มีอันต้องกระตุกด้วยคำถามจากคนเด็กสุด เขาหันกลับไปมองก็เห็นหมอนั่นทำหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างกับเจอหมีขั้วโลกเหนือ “ผมว่าสำเนียงภาษาเกาหลีพี่มันแปร่งๆ พี่ต้องไม่ใช่คนเกาหลีแน่ ใช่มั้ยล่ะ?”

     

    เขาสังเกตเห็นซูโฮขยับศอกไปกระทุ้งสีข้างจื่อเทาเบาๆ

     

    “อืม ผมมาจากจีน”

     

    “จริงเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นลูกครึ่งซะอีก” เป็นซูโฮที่ทำตาลุกวาวขึ้นมา แต่ให้ตายเถอะ ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้เห็นแววตาแบบนั้นเลย

     

    “งี้พี่ก็ต้องมีชื่อจีนน่ะสิ” จื่อเทายังคงรบเร้าจะล้วงเอาความลับไปจากเขาให้ได้

     

    คริสเผลอขบฟันกรามโดยไม่รู้ตัว เด็กนี่ชักจะก้าวก่ายมากเกินไปแล้ว และมันก็กำลังทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก

     

    “ย่าห์ เลิกเซ้าซี้คุณคริสได้แล้ว เสียมารยาทนะรู้มั้ย”

     

    เขารีบส่ายหัวบอกไม่เป็นไร และไม่ลืมที่จะส่งยิ้มบางให้ซูโฮเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ถือสาจริงๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะใช้โอกาสนั้นทำเป็นลืมว่าจื่อเทาเคยถามอะไรไว้โดยการวกเข้าสู่เรื่องงานได้อย่างแนบเนียน

     

    ถึงอย่างนั้น ตลอดทางที่เดินดูไซต์ ความคิดที่ว่าเขากำลังโกหกซูโฮอยู่ก็ยังคงเข้ามาก่อกวนเหมือนกับไวรัสป่วนระบบ มันคอยเอาแต่บอกว่าผมขี้ขลาด ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดความจริงเพียงเพราะซูโฮเกลียดขี้หน้าอู๋อี้ฟาน

     

    ผมคงต้องรีบกำจัดเจ้าไวรัสนั่น แต่เมื่อไหร่ล่ะ?

     

     

     

     

     

    แก้มสีปุยเมฆของซูโฮเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มของแสงแดดตัดกับเส้นผมสีดำสนิท มันยังคงดูน่ารักในสายตาของเขาเสมอ แต่เขาจะมาเห็นแก่ตัวเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยแล้วมองว่าน่ารักไม่ได้หรอก “ดื่มน้ำหน่อยมั้ย เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

     

    “ไม่..ไม่เป็นไร” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาก็วิ่งแจ้นเข้าออฟฟิซชั่วคราวไปซะแล้ว ปล่อยให้ซูโฮนั่งจ๋องด้วยรู้สึกเกรงใจแต่กลับปฏิเสธน้ำใจไม่ได้เลย กระทั่งมาสะดุ้งเอาตอนที่มีของเย็นเฉียบโปะเข้าที่หน้าผาก พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหน้าแพนด้าที่แสนคุ้นตา

     

    “ไหวมั้ย”

     

    เขาพยักหน้าและอาสาจัดการเหงื่อไคลของตัวเองเองด้วยการคว้าเอาผ้าเย็นที่เทายื่นให้มาซับที่คอ “เป็นไง ได้อะไรบ้างมั้ย”

     

    จื่อเทายักไหล่ “ผมว่าเค้าดูแปลกๆ”

     

    “หืม?”

     

    “ผู้ชายคนนั้น”

     

    “นี่ยังไม่เลิกไอ้นิสัยชอบจับผิดเพื่อนพี่อีกเหรอฮะเรา” นึกย้อนไปสมัยครอบครัวของจื่อเทาย้ายมาอยู่ใหม่ๆ ด้วยความที่เจ้าเด็กนี่เป็นลูกคนเดียวก็เลยออกจะขี้เหงา พอเจอพี่ชายข้างบ้านที่แม้จะอายุห่างกันถึง 5 ปีแต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกันที่สุดในบริเวณหมู่บ้านใกล้ๆก็เลยติดเขาแจ ซูโฮไปไหนก็จะมีเด็กจีนหน้าตาเหมือนแพนด้าเกาะขาตามไปด้วย เรียกว่าเป็นลูกกะจ้อกตัวน้อยของซูโฮเลยก็ว่าได้ เพราะเจอเพื่อนเขาทีไรเป็นได้ไล่ตะเพิดไปซะทุกรายจนแทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พอโตขึ้นมาซักประถม ถึงแม้จะออกลายน้อยลงหน่อยแต่เขาก็ยังดูออกอยู่ดีว่าเจ้าจื่อเทาหวงเขามากแค่ไหน

     

    ซูโฮยอมนั่งนิ่งๆให้จื่อเทาจัดผมเผ้าให้เข้าทรงหลังจากถอดหมวกนิรภัยออก

     

    “ที่ยอมเรียกว่าพี่ก็แค่เพราะผมเกิดหลังแค่นั้นแหละ”

     

    “ปีนเกลียวนะเรา”

     

    เด็กชายตัวสูงโน้มตัวเป็นเส้นโค้งเพื่อเอื้อมมาจัดปลายผมให้เข้าที่ ในขณะที่ซูโฮหลับตาลงคล้ายกับจะพักสายตาแต่บนริมฝีปากยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะอย่างสนิทสนมและสบายใจคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากคนทั้งคู่ ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงกำแพงล่องหนที่คั่นกลาง..ตัดขาดเขาออกจากบรรยากาศสดใสพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง

     

    คริสยืนนิ่ง และดูเหมือนซูโฮจะเพิ่งสังเกตเห็นเขา

     

    “อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงทุ้มนุ่มปลุกให้รู้สึกตัว เขายื่นแก้วน้ำไปให้

     

    “ผมรู้สึกแย่จังที่รบกวนเวลาในวันหยุดของคุณแบบนี้”

     

    “รู้ตัวแล้วก็จ่ายค่าทำงานวันหยุดมาให้ผมเลยนะ” ซูโฮยกแก้วน้ำขึ้นซดรวดเดียวหมด ก่อนจะตอบโต้ด้วยใบหน้าน่ารักๆและฝ่ามือขาวๆที่แบมาตรงหน้า

     

    “งั้นมื้อเที่ยงผมเลี้ยงเอง”

     

    “ผมล้อเล่นน่า ตอนนี้ผมเหนื่อยจนไม่รู้สึกอยากกินอะไรแล้วล่ะ”

     

    “ถ้างั้นผมยิ่งรู้สึกผิดไปใหญ่เลย”  

     

    “แต่ผมไม่ลืมหรอกนะ จดใส่บัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะมาทวงมื้อเที่ยงวันหลัง”

     

    “ทวงหลายๆมื้อเลยก็ได้”

     

    “สัญญาแล้วนะ!” ซูโฮลุกขึ้นแล้วยิ้มสดใสให้แม้ว่านัยน์ตาจะดูเหนื่อยล้าเต็มที ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักได้ว่าผมมันเห็นแก่ตัว

     

    แค่เพราะว่าผมคิดถึงเค้า แค่เพราะว่าอยากเจอหน้า

     

    “คุณรีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า”

     

    “อืม งั้นผมไปก่อนนะ” ฝ่ามือขาวยกขึ้นโบกลา จื่อเทาที่ยืนอยู่ข้างกันโค้งให้ตามมารยาท ก่อนจะโอบไหล่ซูโฮเดินจากไป

     

    .

     

    “อะไรของนาย” เบรกกึกตอนที่เด็กตัวสูงพลิกตัวมาดักตรงหน้า ซูโฮทำหน้ายุ่งใส่เด็กข้างบ้านจอมดื้อในสายตา ก่อนจะได้โวยวายตอนที่โดนฉกกุญแจเวสป้าสุดหวงไปจากมือแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “ย่าห์ เอาคืนมานะจื่อเทา”

     

    “ผมขับเอง”

     

    “พูดเป็นเล่นน่า ใบขับขี่ก็ยังไม่มีจะขับได้ยังไง” ซูโฮรีบตามไปประกบจื่อเทาที่ตอนนี้กระโดดคร่อมอานเวสป้าเรียบร้อยแล้ว

     

    “ใครว่าไม่มีล่ะ?” ว่าแล้วก็ควักเอาใบขับขี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โบกให้ดูกันซึ่งๆหน้า

     

    “เฮ้ย! ไปแอบทำมาตอนไหน”

     

    “ไม่เห็นต้องแอบนี่” เด็กหน้าเข้มยักคิ้วให้ บนใบหน้าคมคายนั่นฉายแววภาคภูมิใจน่าหมั่นไส้อยู่ในที “ทีนี้พี่จะยอมซ้อนท้ายผมได้รึยัง” ถามไปงั้น เพราะไม่ว่าพี่ซูโฮจะตอบยังไง เขาก็จะยึดเอาคำตอบตัวเองเป็นใหญ่อยู่ดี จื่อเทาคว้าเอาหมวกกันน็อคที่แขวนอยู่กับแฮนด์ขึ้นมาแล้วจัดการสวมให้พี่ชายที่ยังยืนทื่ออยู่

     

    “เกาะแน่นๆล่ะ ผมจะซิ่งแล้ว”

     

    “ย่าห์!!!” ก็ได้แต่โวยวาย เพราะดันตกกระไดพลอยโจรไปแล้วจะทำอะไรได้

     

    “ต่อไปนี้ผมจะไปรับไปส่งพี่ที่ทำงานนะพี่ซูโฮ” เทาตะโกนแข่งกับเสียงลมหวีดหวิวจนเขาต้องชะโงกหน้าข้ามไหล่เพื่อจะได้ฟังได้ถนัด

     

    “เรื่องดิ นี่เจ้าแจ๊ดเจ๋ของฉันนะ อีกอย่างขืนปล่อยให้นายยึดเจ้านี่ไป นายก็หนีเที่ยวสบายน่ะสิ เฮ้ย! อย่าขับเร็วดิ” เพราะความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาต้องกระชับกอดเอวคนข้างหน้าให้แน่นกว่าเดิม ซูโฮหลับตาปี๋แต่ปากก็ยังไม่หยุดโวยวาย “ลดความเร็วเดี๋ยวนี้เลยนะ!! ย่าห์ ฮวังจื่อเทา!!

     

    เจ้าของชื่อไม่ได้ทำตามคำสั่ง ทั้งยังเอาแต่ยิ้มกระหยิ่มอยู่คนเดียวอย่างชอบใจ

     

    “ผมแค่แจ้งให้ทราบ ไม่ได้ขออนุญาตซะหน่อย”

     

    “นายจะไม่ลดความเร็วลงจริงๆใช่ม้าย!!

     

    “ตอบมาก่อนสิ ว่า รู้แล้ว

     

    “โอเค รู้แล้วๆ ก็ได้ๆ ยอมให้ไปส่งก็ได้!!

     

    ก็แค่นั้นแหละ

     

    

     

     

    “มึงเคยโกหกใครมั้ยวะ?”

     

    “ถามโง่ๆไอห่า” แก้วบรั่นดีที่พร่องจนเหลือครึ่งแก้วถูกวางลงบนเค้าน์เตอร์บาร์อย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะไอ้คำถามโง่ๆนั่นมันน่าสนใจกว่า น่าสนใจว่าคนถามแม่งเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ “ถ้าถามว่าเคยช่วยตัวเองมั้ยกูยังพอเข้าใจ เพราะสาวๆไม่เคยขาดมือขนาดนี้แม่งก็ต้องมีสงสัยกันบ้าง ฮ่าๆ”

     

    “กูจริงจังนะเว้ย”

     

    “อ้าว กูก็จริงจังนะเว้ยเนี่ย” ไคยกบรั่นดีที่เหลือกรอกปากจนเหลือแค่น้ำแข็งนอนเคียงกัน “ไม่เคยแม่งก็พระแล้ว”

     

    “กูหมายถึง..โกหกว่ามึงไม่ใช่มึง โกหกว่ามึงเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คิมจงอินน่ะ”

     

    “นี่มึงกำลังสงสัยว่ากูเป็นหน่วย NIS แฝงตัวมารึไงวะ”

     

    “ช่างแม่งเถอะ” แล้วจู่ๆไอ้เพื่อนหน้าหล่อตัวสูงจอมเซอร์บวกเซ่อบ้างเป็นบางครั้งมันก็ตัดบทตัวเองไปซะดื้อๆทำเอาคนฟังตั้งรับไม่ทัน

     

    “มึงเมาปะเนี่ย”

     

    “แค่แก้วเดียวแม่งจะทำอะไรกูได้” ว่าแล้วคริสก็ยกแก้วที่สองขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ไคเอามั่ง พลันก็ไปสะดุดตาเข้ากับร่างสองร่างที่เพิ่งมาใหม่

     

    “มีสถาปนิกจากสำนักงานใหญ่มาด้วยว่ะ” เขาจำได้ หนึ่งในสองคนนั้นคือสถาปนิกที่เขาร่วมงานด้วย พยอนแบคฮยอน ผู้ชายตัวเล็กผิวขาวอย่างกับแกะนิวซีแลนด์ แต่กัดเจ็บอย่างกับเจ้าหมาซามอยด์จอมซน

     

    ส่วนอีกคน เขามั่นใจว่าไอ้คริสต้องไม่มีวันลืม

     

    “นั่นสถาปนิกตัวแสบของมึงนี่หว่า”

     

    เขาหันขวับทั้งยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ร่างขาวที่สะท้อนแสงเหมือนหลอดนีออนดึงโฟกัสเขาไปแทบจะในทันที ซูโฮในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าเด่นชัดอยู่ในสายตาโดยไม่จำเป็นต้องเพ่งมอง แต่ยิ่งกว่านั้น ก็เหมือนกับว่าเจ้าของร่างบางนั้นจะเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆด้วย คริสรีบหันกลับมามองเพื่อนในโต๊ะ และถึงบางอ้อทันทีตอนที่เห็นไอ้ไคมันโบกไม้โบกมือให้พยอนแบคฮยอน

     

    “ไม่นึกว่าพี่ก็มา ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าจะมีคนจากสำนักงานใหญ่มาด้วย”

     

    แบคฮยอนทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมนั่งลงข้างๆกับไคที่ผายมือเชื้อเชิญ “เสียใจมากมั้ยอะที่พวกฉันมา”

     

    “เฮ้ ผมยังไม่ทันพูดไรเลย” แบมือยกขึ้นเหนือหัวคล้ายจะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่บนใบหน้ายังพราวไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ สัญชาตญาณนักล่าไม่เคยหายไปจากตัวสิน่า “แล้วนี่ ไม่คิดจะแนะนำคนน่ารักให้รู้จักมั่งรึไง”

     

    “ที่นั่งอยู่นี่ไม่น่ารักไง”

     

    “โธ่ พี่แบค” เหมือนเด็กงอแงอยากได้ของเล่นขึ้นมาซะอย่างนั้น

     

    “คิมซูโฮ แผนกเดียวกัน” เบื่อจะแกล้งเด็กจอมเจ้าชู้ แบคฮยอนเลยยอมแนะนำเพื่อนให้ ซูโฮจึงยิ้มรับและโค้งหัวให้ตามมารยาท แต่แค่นั้นก็ทำให้เจ้าเด็กหน้าเข้มใจเต้นไปถึงไหนต่อไหน “ส่วนนี่คิมจงอิน วิศวกรที่ผมทำงานด้วย”

     

    ซูโฮส่งสายตาวิบวับกลับมาเหมือนจะบอกว่า รู้อยู่แล้วล่ะน่า ก็เล่าให้ฟังออกจะบ่อย

     

    ห้ามแซวผมนะเว้ย!! และก็นั่น น่าจะเป็นความหมายของสายตาดุๆของนายแบค ทำเอาเขาแทบกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่

     

    “อ่อ ส่วนนี่..อ” จงอินทำได้แค่อ้าปากเก้อเพราะจู่ๆไอ้คริสมันก็โถมเอาแขนมาพาดบ่าดังอั่ก แถมล็อกคอซะแน่นหนึบ

     

    “ผมขอตัวเจ้านี่แป๊บนะ มึงตามกูมาเดี๋ยวนี้” ท้ายประโยค คริสจงใจพูดลอดไรฟันให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะลากคอเพื่อนตัวดีหลบไปหลังร้าน

     

    “อะไรของมึงเนี่ยคริส” อยู่ๆก็ลากกันออกมาทั้งที่ยังแนะนำตัวไม่เสร็จด้วยซ้ำจะไม่ให้เขาข้องใจได้ยังไง ไคเท้าเอวเอาเรื่องทันทีที่ถูกปล่อยตัว “ถ้ามึงไม่ค่อยโอเค กูอนุญาตให้มึงกลับไปนอนได้นะเว้ย”

     

    “มึง ห้ามเรียกชื่ออู๋อี้ฟานต่อหน้าซูโฮเด็ดขาด”

     

    “ว่าไงนะ”

     

    คริสปัดผมเผ้าตัวเองจนกระจายไม่เป็นทรง “กูจะอธิบายไงดีวะ”

     

    “มึงจะอธิบายยังไงก็ได้ เอาแค่ให้กูเข้าใจพอ”

     

    “กูโกหกซูโฮอยู่” โอเค เค้ารู้ว่านั่นไม่ช่วยให้หายข้องใจซักเท่าไหร่... “ตอนนี้ซูโฮรู้แค่ว่ากูคือคริส แต่ไม่รู้ว่ากูคืออู๋อี้ฟาน”

     

    “มึงบ้าไปแล้วแน่ๆ”

     

    ตอนนี้จะบ้าจะเพี้ยนจะบ๊องจะเบ๊อะอะไรก็เถอะเขายอมทั้งนั้น ขอแค่อย่าเพิ่งให้ความลับแตกก็พอ เขายังไม่อยากโดนซูโฮเกลียด แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านั่นมันคือวิธีของคนขี้ขลาด

     

    “ช่วยกูซักครั้งเถอะ”

     

    .

     

    พวกเขากลับมาที่โต๊ะภายใน 5 นาทีหลังจากนั้น สถาปนิกหนุ่มจากสำนักงานใหญ่ยังคงนั่งอยู่ตรงบาร์ที่เดิม และเขาเห็นว่ามีเพื่อนวิศวกรหลายคนที่เดินมาชนแก้วกับทั้งสอง แหงล่ะ วันนี้เป็นงานสังสรรค์ของสาขาย่อย เรียกว่าแทบจะเป็นการรวมตัวของวิศวกรทั้งบริษัทได้เลย วันๆเจอแต่โฟร์แมนกับผู้รับเหมาหน้าตามอมแมม พอมาเจอของสวยๆงามๆก็ต้องระรี้ระริกเป็นธรรมดา

     

    “โทษทีนะครับ พอดีว่ามีงานเร่งด่วนนิดหน่อย” ไคออกตัวให้ ก่อนจะนั่งลงข้างๆกับแบคฮยอนที่ทำหน้าฉงนสงสัยใส่

     

    “แล้วเคลียร์เรียบร้อยแล้วเหรอ?”

     

    “อืม เรียบร้อยแล้ว” ไคส่งสายตาแฝงนัยน์บางอย่างมาให้ คริสเลยเสไปทางอื่นแต่เผอิญมันดันไปประจวบเหมาะกับตำแหน่งที่ซูโฮนั่งอยู่พอดี เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างลืมตัว

     

    “ไม่ทักกันเลยนะคุณคริส” เป็นฝ่ายคนตัวเล็กที่ตัดพ้อทั้งรอยยิ้มหวาน ส่วนเขาก็ได้แต่เหวอต่อไปเพราะตั้งรับไม่ทัน เพิ่งรู้ตัวว่าเซ่ออย่างที่โดนไอ้ไคด่าก็วันนี้เนี่ยแหละ

     

    “อ้าว รู้จักกันแล้วหรอกเรอะ ว่าจะแนะนำให้อยู่พอดี” ไคพูดขึ้นมาหน้าตาลั้นลา ..นี่ถ้าไอ้หมอนี่มันเป็นดารา ผมนี่การันตีรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมให้เลย

     

    “ครับ แต่จะให้เล่าว่ารู้จักกันได้ยังไง มันคงจะยาวจนคุณแทบจะอยากหลับ”

     

    “งั้นไม่ต้องเล่าดีกว่าครับ ฮ่าๆ”   

     

    บรรยากาศบนโต๊ะกลับมาปกติอีกครั้ง ถ้าไม่นับที่คริสประหม่าจนไม่มีสมาธิจะคุยให้รู้เรื่องน่ะนะ ได้แต่หัวเราะขำไปกับมุขตลกของพยอนแบคฮยอน และบางทีก็แอบลอบมองคิมซูโฮไปด้วย

     

    .

     

    “มาเล่นเกมส์กันดีกว่า” ไคเสนอความคิด ตอนนี้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดของแต่ละคนน่าจะเข้มข้นพอสมควรเพราะเวลาก็ล่วงมาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว โดยเฉพาะคิมซูโฮที่ตอนนี้นั่งทำตาหวานอยู่ตรงกันข้าม ดึงดูดสายตาของเค้าไปจากทุกสิ่งรอบข้าง

     

    “เล่นๆ เกมส์ไรๆ” พยอนแบคฮยอนรีบยกมือ กระตือรือร้นอยากเล่นเกมส์อย่างที่จงอินชวน

     

    “เกมส์ธรรมดาๆ....” แต่สายตาวาวระยับที่สะท้อนกับแสงไฟนี่ไม่ชวนคิดว่ามันจะธรรมดาอย่างที่พูด เด็กหนุ่มหน้าเข้มคว้าเอาขวดไวน์เปล่าที่เพิ่งจะฟาดเกลี้ยงมาวางไว้ตรงกลางโต๊ะ ก่อนวาดยิ้มละลายใจ “ที่ไม่ธรรมดา”

     

    “ทุกคนจะเวียนกันตั้งบทลงโทษขึ้นมา แล้วผมจะหมุนขวดไวน์หาคนมาลงโทษ จะตั้งโจทย์เดี่ยวหรือคู่ก็ได้ ง่ายมั้ย”

     

    คนอื่นไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง แต่ผมนี่ขนลุกวาบเลย ไม่ถนัดจริงๆไอ้เรื่องทำอะไรแผลงๆ

     

    “ขอเป็นคนเริ่มได้ป้ะ” เป็นแบคฮยอนอีกครั้งที่รีบขันอาสา และก็ไม่มีใครค้านเสียด้วย เอาเถอะ ยังไงซะมันก็คงไม่มีบทลงโทษไหนที่ปกติอยู่แล้ว “เห็นสาวๆกลุ่มโน้นป้ะ นั่นเลยชุดดำ”

     

    ทุกคนในโต๊ะมองตามที่แบคฮยอนชี้ก็เห็นกลุ่มผู้หญิงประมาณ 5 คนล้อมวงเต้นกันอยู่อย่างเมามันส์สไตล์สาวโสด ส่วนคนชุดดำที่ว่านั่นเรียกว่าเป็นจุดเด่นของกลุ่มเลยก็ว่าได้ เพราะหน้าตาสะสวยและผิวขาวโดดเด่น (แต่ยังไงซะก็ยังดึงดูดสายตาของเขาได้น้อยกว่าซูโฮอยู่ดี) ความรู้สึกเริ่มตะหงิดๆและเขาคิดว่าโจทย์ของแบคฮยอนน่าจะเดาไม่ยาก

     

    “เอาแค่เบาๆก่อนละกัน ถือซะว่าเป็นออเดิร์ฟก่อนเริ่มของจริง”

     

    “ให้เป้าหมายเดินไปชนแก้วกับหล่อน ....แต่ต้องได้ชื่อกับเบอร์โทรฯกลับมาด้วย

     

    งานนี้คิมจงอินตาลุกวาว พนันได้ว่าหมอนั่นต้องกำลังสวดภาวนาในใจขอให้ปากขวดไวน์เปล่าหยุดอยู่ตรงหน้า แต่จะเพราะว่ามันทำบุญมาน้อยไป หรือเพราะว่าเขาไม่เคยเฉียดเข้าโบสถ์กันแน่ ในที่สุดเป้าหมายของบทลงโทษแรกมันกลับกลายมาเป็นคริส

     

    คนที่ไม่เคยจีบใครมาก่อนเลยในชีวิต

     

    แต่ต้องมาจีบสาวอื่นต่อหน้าคนที่ตั้งใจว่าจะจีบเป็นคนแรก

     

    “มึง จัดเลยอย่าทำป๊อด”

     

    ซูโฮยังคงยิ้มทำตาหวาน แถมด้วยการทำมือปัดๆไล่ๆเหมือนจะเร่งให้รีบๆไปรับบทลงโทษซะ ใจร้ายซะไม่มีอะ..

                                                                                              

    จบลงที่คริสต้องบากหน้าไปชนแก้วกับหญิงสาว และโดนกรี๊ดกร๊าดบวกกับลวนลามกลับมานิดหน่อย แต่ในที่สุดก็ได้เบอร์โทรฯมาตามคำสั่ง แบคฮยอนกับซูโฮหัวเราะชอบใจใหญ่ทั้งที่บนใบหน้าของคริสกำลังบอกบุญไม่รับ ร่างสูงรีบสาวเท้ากลับมาที่โต๊ะและออกปากทันทีว่าจะเป็นคนกำหนดบทลงโทษบ้าง

     

    จงอินตกเป็นเป้าหมายตามที่คริสหวัง แต่เขาคาดการณ์ผิดที่คิดว่า ไอ้การออกไปเต้นกังนัมสไตล์กลางผับจะทำอะไรคิมจงอินได้ แต่กลายเป็นว่าหมอนั่นกลายเป็นดาวเด่นของสาวๆไปซะอย่างนั้น เกมส์หมุนขวดยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โจทย์ก็เริ่มหลากหลาย ตั้งแต่ซดบรั่นดีผสมไวน์, ดื่มไวน์ผสมซาวน์ครีม, วิดพื้น 10 ครั้งกลางฟลอร์เต้นรำ, แกล้งปลอมตัวเป็นสาวประเภทสองไปขอเบอร์ชายหนุ่มซึ่งมันทำให้เขาสะใจแทบบ้าเพราะจำเลยของโจทย์นี้คือคิมไค และพอเริ่มจะหมดมุข จากบทลงโทษเดี่ยวก็เริ่มเดินทางเข้าสู่การลงโทษคู่ สั่งให้ A จั๊กจี้ B, ให้ B เบิ้ดกะโหลก A ซึ่งไอ้สองโจทย์นี้คนโดนกระทำดันเป็นคิมซูโฮ และต่อให้คริสอยากจะออกรับแทนแค่ไหนก็ไม่กล้าทำอยู่ดี

     

    “ให้ A กับ B ดื่มไวน์แบบ love shot

     

    และก็เพราะว่าโจทย์ที่เริ่มมาทาง love’s line ทำให้เขาอดที่จะแอบมองคิมซูโฮไม่ได้ มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาบังเอิญสบตาเข้ากับแบคฮยอนที่ดันหันมาเห็นสายตาของเขาพอดี ฝ่ายนั้นยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ ทำเอาท้องของเขาวูบโหวงอย่างกับตกจากที่สูง

     

    ก็ไม่ได้อยากให้  A กับ B เป็นเขากับซูโฮหรอกนะ...

     

    ใช่ เขาคิดอย่างนั้นแต่กลับต้องมานั่งเสียดายตอนที่ผลออกเป็นกลายเป็นคิมไคกับแบคฮยอน

     

    สองคนนั้นดูจะเมาจนเลยคำว่ากรึ่มไปแล้ว บวกกับความสนิทสนมที่ทำงานร่วมกันบ่อย โจทย์แค่นี้เลยแทบจะไม่สะเทือนต่อมเขิน แต่เขาก็ยังจับสังเกตได้อยู่ดีว่าพยอนแบคฮยอนดูจะทำหน้าไม่ค่อยถูกและแก้มก็ขึ้นสีแดงเป็นลูกมะเขือเทศ

     

    ซูโฮแกล้งผลักไหล่เพื่อนให้เข้าไปใกล้จงอินมากขึ้น เลยโดนเพื่อนตัวเล็กค้อนด้วยสายตากลับมา กลั้นหายใจตามอยู่นานกว่าไวน์จะหมดแก้ว แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ผ่านมันไปได้

     

    คราวนี้ล่ะของจริง

     

    “ข้อนี้ขอเป็นข้อสุดท้าย” จงอินบอกยิ้มๆ ตาเยิ้มเพราะทั้งเหล้าทั้งไวน์ที่ดื่มเข้าไปคงตีรวนผสมกันจนมั่วไปหมด “ขอเด็ดๆเลยละกัน”

     

    “ให้ A หอมแก้ม B

     

    “แค่เนี้ยอะนะ??” แค่นี้..แต่ถ้าเป็นผมได้หอมแก้มไอ้ไคนี่ก็ไม่ไหวนะครับคุณพยอนแบคฮยอน

     

    “เอาให้จมูกจมแก้มเลยนะคร้าบ ไม่งั้นมีเบิ้ล”

     

    แต่ถ้าเป็นคิมซูโฮก็ว่าไปอย่าง ^^’

     

    จงอินเริ่มหมุนขวดไวน์อีกครั้งท่ามกลางสายตาทั้งหมด 4 คู่ที่จดจ้องอยู่ ใจเขาเต้นตึกตักอย่างกับลุ้นล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

     

    “และผู้โชคดีก็คือ......” เขาหวังว่าคนๆนั้นจะโชคดีอย่างที่ไอ้ไคมันว่าอะนะ

     

    “คุณซูโฮนะคร้าบ!

     

    ซูโฮทำตาโตอย่างไม่เชื่อหู ยกมือขึ้นชี้เข้าอกตัวเองเพื่อขอคำยืนยันว่าเป็นเขาจริงๆใช่มั้ย “นายน่ะแหละซูโฮ ไม่ต้องมาทำงง” พอได้รับคำตอบจากแบคฮยอนก็ทำแก้มป่อง ทำเอาเขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

     

    “ใครน้าจะได้หอมจากคุณซูโฮ” ไอ้ที่ยิ้มอยู่ก็ถึงกับยิ้มหุบ เขาตวัดสายตาเหี้ยมใส่ไอ้จงอินที่ยิ้มแฉ่งจนตาเยิ้มๆนั่นโดนแก้มดันปิดเหลือขีดเดียว แหม่..จงอินล่ะอยากให้มันชี้มาที่เขาจริงๆ จะได้เย้ยไอ้คนป๊อดมันซะหน่อย

     

    “โอ๊ะโอ่...”

     

    แบคฮยอนส่งเสียงเหมือนเทเลทับบี้แล้วหันมาทางเขา

     

    ปากขวดไวน์มันหันมาทางนี้นี่หว่า

     

    หาาาาาาาาา!!???

     

     

     

     

    “หอมเลย หอมเลย หอมเลย!

     

     

     

     

     

    .

     

    คริสสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้เดินให้ทันคิมซูโฮที่เดินตรงบ้างเอียงบ้าง ถึงจะไม่ได้เมาแอ๋ แต่ก็น่าจะเดินให้ตรงยากอยู่ซักหน่อย เขาเผลอยื่นมือออกไปทำท่าจะช่วยพยุงตรงเอว แต่พอรู้ตัวก็รีบชักมือกลับเข้าหาตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เหมือนรู้ทัน

     

    “แค่เห็นว่าคุณเดินเอียงๆ” แบบนี้เรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเองครับ ซูโฮนี่ยิ่งยิ้มเข้าไปใหญ่ แถมแก้มก็แดงเรื่อจนน่าบีบ

     

    “รู้ตัวมั้ย ว่าคุณน่ะน่าอิจฉาที่สุดในโลก”

     

    “ผมเนี่ยนะ” คริสชี้อกตัวเองพร้อมกับทำหน้างง  คงไม่รู้ตัวสินะว่าหน้าตาเอ๋อเหรอแบบนี้มันดูตลกน่าดู

     

    “มีสาวๆตั้งเยอะที่อยากได้หอมจากผม”

     

    คริสหลุดหัวเราะเมื่อได้ฟังคำเฉลย แม้ลึกๆแล้วจะยังหวั่นไหวกับเหตุการณ์บทลงโทษจากขวดไวน์เมื่อครู่อยู่ แต่เขาจะตกหลุมพรางของคิมซูโฮไม่ได้เด็ดขาด ยอมรับว่าตอนที่โดนคนน่ารักหอมแก้มน่ะ หัวใจนี่แทบจะกระเด็นมากองอยู่ที่พื้น แต่ถ้าคิดว่าหยอดมาแค่นี้แล้วเขาจะแบไต๋ล่ะก็..คิดผิดซะแล้ว

     

    “แต่ขอโทษนะครับ ที่ผมเป็นคนได้สิทธิ์นั้น”

     

    “ระวังแฟนคลับผมไปดักตีหัวหน้าปากซอยล่ะ”

     

    เพราะคำพูดตอบโต้แสนน่ารักนั้นทำให้เขายิ่งหัวเราะอย่างชอบใจ คิมซูโฮมีเซ้นส์มากพอที่จะไม่ตกหลุมพรางของเขา คนตัวเล็กอมยิ้มอย่างคนถูกใจ  คริสจึงใช้โอกาสนั้นในการลอบมองและเมมโมรี่เอาความน่ารักนั้นเก็บไว้ในกล่องความทรงจำส่วนตัว ก่อนจะทำทีเป็นเบนความสนใจไปยังคนสองคนที่เดินนำหน้าไปประมาณ 100 เมตร สถาปนิกตัวขาวเหมือนลูกหมาที่ทรงตัวไม่อยู่จนต้องให้คิมไคประคองไปเรียกแท็กซี่

     

    “ดูสองคนนั้นสิ”

     

    “ไหวกันมั้ยเนี่ย”

     

    “ก็ไม่รู้ว่าใครน่าเป็นห่วงกว่ากัน”

     

    คริสพูดถูกเพราะซูโฮเห็นเต็มๆตาตอนที่แบคฮยอนหวดแขนทุบไหล่จงอินหลังจากที่หมอนั่นก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหู เอาเข้าจริงๆเขาก็อดเป็นห่วงเพื่อนตัวเล็กไม่ได้ ถึงจะดูปากเก่งและก๋ากั่นแต่ถ้าเป็นเรื่องความรัก เขารู้ดีว่าแบคฮยอนจริงจังและจริงใจกับมันแค่ไหน

     

    “แบคฮยอนชอบจงอินมากนะ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมาจนพลั้งพูดออกไป หรือเป็นเพราะว่าไว้ใจคนข้างๆ แต่ซูโฮก็บอกความลับของเพื่อนสนิทออกไปแล้ว

     

    คริสหันมองและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้จะมีช่องว่างของความเงียบเข้ามาคั่นกลางอยู่ครู่หนึ่ง แต่ซูโฮก็ไม่นึกเปลี่ยนใจหรือคิดว่าสิ่งที่พูดออกไปมันผิด ..เพราะถ้าจงอินเห็นแบคฮยอนเป็นแค่ของเล่น เขาจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป รวมถึงคริสที่เป็นเพื่อนสนิทของจงอินเองก็ด้วย

     

    “คุณกังวลใช่มั้ย”

     

    เขาพยักหน้าตอบคริส

     

    “ผมเองก็ไม่อยากรับปาก สัญญา หรือรับประกันอะไรหรอกนะ แต่จงอินคนที่ผมรู้จัก ไม่เคยหลอก หรือล้อเล่นกับความรู้สึกของใคร ผมรู้แค่นี้”

     

    ไม่นานแท็กซี่ที่รอกันก็มาถึง พวกเขาทั้งคู่จึงรีบเร่งฝีเท้าเพื่อตามไปส่งสองคนที่เมาแอ๋ขึ้นรถ

     

    “ฝากคุณซูโฮดูแลไอ้คริสด้วยนะครับ” จงอินที่เพิ่งจัดการยัดร่างป่วนๆของแบคฮยอนขึ้นเบาะหลังรถแท็กซี่ได้สำเร็จหันมาบอกเขาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปหาเพื่อนตัวสูง “มึงก็อย่าไปฉุดคุณซูโฮเค้านะเว้ย”

     

    คริสเบิ้ดกะโหลกเพื่อนไปที แล้วก็รีบจับมันดันใส่ท้ายรถตามแบคฮยอนไป “ถึงบ้านแล้วไลน์มาด้วย”

     

    “เอออออ ห่วงกูจังเลยนะมึง”

     

    “กูห่วงเทศบาลที่ต้องคอยมาเก็บกวาดมึงเวลาไปนอนข้างถนนต่างหาก”

     

    ร่ำลากันหวานซึ้ง(?)ตามประสาเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแล้วก็รีบปิดประตูส่งก่อนที่คุณโซเฟอร์เค้าจะด่าพ่อเอา ตอนนี้เลยเหลือแค่เค้ากับซูโฮที่บ้านอยู่คนละทางกับสองคนนั้น

     

    “คุณจะกลับยังไง ให้ผมนั่งแท็กซี่ไปส่งมั้ย” รีบอาสาแม้จะรู้ดีว่ายังไง้ยังไงก็ต้องโดนปฏิเสธเพราะบ้านของเขากับซูโฮเองก็อยู่คนละทางกัน เพราะงั้นก็เลยต้องรีบเพิ่มออฟชั่นเสริมใส่เข้าไปด้วย “ผมไปส่งได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”

     

    “ยังทันรถเมล์รอบสุดท้าย ผมเลยว่าจะนั่งรถเมล์กลับ”

     

    “งั้นให้ผมนั่งไปเป็นเพื่อนนะ”

     

    ดูท่าแล้วว่าถึงแม้เขาจะปฏิเสธหัวชนฝาอย่างไร ฝ่ายคริสเองก็คงดึงดันที่จะไปส่งเขาให้ได้อยู่ดี เลยยอมเพยิดหน้าแทนคำพูดว่า ตามใจแล้วกัน ก่อนจะเดินไปรอที่ป้ายรถเมล์ และเขาเห็น.. ว่าคริสยิ้มกว้างมากขนาดไหน

     

    

     

    ผมชอบทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นคิมซูโฮ

    ดวงตาใสซื่อที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่เปิดกว้าง กลิ่นหอมละมุนผสมกับกลิ่นบรั่นดีจางๆที่พัดมาตามสายลม หรือแม้แต่เสียงลมหายใจเบาๆที่พ่นเข้าออกจากปลายจมูกเล็ก  

    ผมก็แค่สงสัยว่าซูโฮอาจจะเป็นผลงานศิลปะบางอย่างที่ซ้อนเร้นอยู่ของดาวินซี่ ผลงานที่น่าหลงไหลและกำลังดึงดูดให้ผมจมดิ่งลึกลง ลึกลงเรื่อยๆ

    รู้ตัวอีกที แก้วตาดำขลับก็จดจ้องเข้ามาในตาของผมแล้ว

     

    คริสกระพริบตาปริบ แต่ก็ห้ามใจตัวเองยากเกินกว่าจะหันเหไปทางอื่น ผิวแก้มสีชมพูเรื่อของซูโฮมันน่ามองจนไม่อาจทำแบบนั้น จนเมื่อไล่สายตามองลงเรื่อยถึงริมฝีปากสีเชอร์รี่ คริสก็รู้คำตอบว่าเขาหลงรักคิมซูโฮเข้าอย่างจัง

     

    “แอบมองผมเหรอ”

     

    “อืม” คริสโกหกไม่เก่ง ก็เลยตอบไปตรงๆทั้งที่ใจเต้นจนแทบไม่ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวจากด้านนอกรถ

     

    และซูโฮเองก็คงตั้งตัวไม่ทันกับคำตอบตรงๆนั้นเหมือนกันถึงได้เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อหู

     

    “ผมว่า คุณคงเมาแล้ว

     

    “ใช่ผมเมา แต่ผมรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่” คริสพลิกตัวตะแคงข้างเพื่อที่จะได้มองเห็นใบหน้าใสๆนั้นให้ชัดๆ ถ้าในตอนปกติเขากล้าพนันเลยว่าตัวเองจะต้องไม่กล้าทำอะไรที่มันอุกอาดขนาดนี้ ต้องขอบคุณฤทธิ์เหล้าที่ทำให้คริสหน้าด้านขึ้นมาเป็นกอง และเขาก็เพิ่งรู้ว่าการหน้าด้านมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย

     

    “แล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ คุณคริส”

     

    “ผมกำลังตกหลุมรักคุณ”

     

    ซูโฮหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเลี่ยนหรืออะไร กลับกันเขากำลังคิดว่านายคริสนี่เป็นคนตลกซะจริง

     

    “ผมจริงจังนะ”  

     

    “อื่อฮึ” ซูโฮพยักหน้าสำทับ แต่รอยยิ้มที่กลั้นไม่มิดนั้นทำให้คริสรู้ว่าอีกฝ่ายคิดว่าเขาเมาแอ๋จนจำอะไรไม่ได้แน่ๆ เพราะงั้นเขาจะต้องทำอะไรเพื่อเป็นการยืนยันเสียหน่อย คิดได้อย่างนั้นก็ขยับตัวโน้มออกไปข้างหน้า และบรรจงประทับรอยจูบไว้บนหน้าผากเนียนหนึ่งที ก่อนจะผละออกมาเพียงนิด และเพิ่งตระหนักได้ว่าระยะห่างระหว่างกันมันมีน้อยซะเหลือเกิน

     

    เขาจะหยุดไว้แค่จูบเบาๆบนหน้าผากได้เหรอ?

     

    คริสรู้ดีว่าคำตอบเป็นแบบไหน

     

    เพราะอย่างนั้นเขาจึงเลื่อนริมฝีปากลงมาแต้มจูบบนแก้มใส ไล่ลงมาถึงคางเรียว และหยุดลอบมองคิมซูโฮที่ก็หรุบตาลงสบกับเขาเช่นกัน เขาจ้องลึกลงไปในนัยน์ตาฉ่ำน้ำคู่นั้น ..คุณเองก็เมาจนจำอะไรไม่ได้รึเปล่าซูโฮ? แม้จะมีคำถามนั้นอยู่ในใจแต่คริสก็ยังเลือกที่จะเอื้อมมือไปตระกองเรียวหน้าหวานไว้ และกดจูบลงบนริมฝีปากบาง

     

    มันไม่เหมือนเจลลี่รสผลไม้ ไม่ใช่ขนมปุยฝ้ายสีหวาน แต่มันคือรสชาติและสัมผัสที่ทำให้ใจเต้นหวิว เขาคิดว่าอีกไม่นานคงเสพย์ติดมันเข้าให้ เสพย์ติดรสชาติของคิมซูโฮ

     

     

    โป้ก!!

     

    “อัชช์!!!

     

    “คุณ เจ็บรึเปล่า?”

     

    คริสรู้สึกเหมือนมีตุ๊กตาล้มลุกซักสิบตัวอัดกันอยู่ในตัวเขา และก็รู้สึกเหมือนกลายเป็นคนสายตาสั้นไปชั่วขณะหนึ่งเพราะภาพที่เห็นมันพร่าเลือนไปหมด

     

    “คุณคริส ไหวมั้ยครับ?”

     

    เขาสะดุ้งเหมือนถูกช็อตไฟฟ้า ก่อนจะหันเหไปตามเสียงเรียกและแทบหายใจสะดุดเมื่อหน้าหวานๆของคิมซูโฮลอยอยู่ตรงหน้า

     

    “ถึงแล้ว รีบลงรถกันเถอะ”

     

    ด้วยความเบลอเต็มขั้น เขาจึงถูกคิมซูโฮล็อกแขนและลากตัวลงมาจากรถเมล์ กว่าจะจับต้นชนปลายถูกว่าอะไรเป็นอะไรก็ตอนที่ถูกลมฤดูร้อนตีเข้าที่หน้า คริสคลำนิ้วลงบนหน้าผากตัวเองก่อนจะต้องร้องโอ๊ยเมื่อเจอรอยนูนอย่างกับลูกมะกอก ไอ้เสียงโป้กนั่นมันคือเสียงหัวเขาโขกเข้ากับขอบเก้าอี้สินะ

     

    “ผม..หลับไปงั้นเหรอ?”

     

    ซูโฮพยักหน้าให้พร้อมกับยิ้มหวานๆ ..ความจริงมันก็รอยยิ้มธรรมดานั่นแหละครับ แต่สำหรับผม อะไรๆของคิมซูโฮก็ดูจะหวานไปซะหมด

     

    แต่เดี๋ยวนะ...

     

    ถ้าอย่างนั้นไอ้จูบหวานๆเมื่อกี๊นี้มันก็แค่ฝันไปงั้นเหรอ???

     

    “เหมือนคุณจะฝันด้วยนะ ท่าจะเป็นฝันดี เพราะคุณเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”

     

    มันก็ฝันดีน่ะแหละ แต่มันก็แค่ฝันป่ะครับ???

     

    “ไหวแน่นะคุณ” เพราะคริสเอาแต่เดินรั้งท้ายแถมขยี้ผมตัวเองไม่ยอมหยุด ซูโฮเลยหันมาถามอย่างเป็นห่วง “อีกไม่ไกลก็ถึงบ้านผมแล้ว คุณกลับก่อนก็ได้นะ”

     

    “เฮ้ย ไม่เป็นไร ผมไหว” แม้สภาพภายนอกจะดูตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงอะนะ

     

    คริสรีบสาวเท้าให้ทันกับซูโฮที่นำไปก่อนประมาณ 3 ก้าว ฉีกยิ้มเพื่อยืนยันว่ายังไหว

     

    “ว่าแต่... ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”

     

    “ไม่แน่ใจแฮะ รู้แค่ว่าหันไปอีกทีคุณก็หลับสัพหงกแบบนี้แล้ว” ซูโฮจำลองเหตุการณ์ด้วยการทำหัวเอียงๆและทำตาปรือๆ ก่อนจะกลับมาหัวเราะร่าเหมือนถูกใจ ไม่ได้ดูสีหน้าคริสที่ตอนนี้แทบจะหลุดลอยไปกาแล็กซี่อื่นแล้ว

     

    “แล้ว...ผมได้พูดอะไรแปลกๆออกมามั้ย”

     

    “แปลกๆยังไงล่ะ”

     

    “อย่าง....” ผมกำลังตกหลุมรักคุณ ....โนวววว คริสสะบัดหัวจนคอแทบเคล็ดตอนที่คำพูดเลี่ยนๆนั่นลอยเข้ามาชนกะโหลก พลันขนแขนก็ลุกพรึ่บแถมท้องก็ปั่นป่วนขึ้นมา

     

    “หืม???”

     

    “เปล่า ม-ไม่มีอะไร”

     

    นับว่าเป็นโชคดีของคริสที่ซูโฮกำลังคิดว่าเขาเมาจนเพี้ยนไปแล้ว

     

    ไม่นานก็ถึงจุดหมายซึ่งเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กๆของคิมซูโฮ ซึ่งคริสแอบสังเกตเห็นแปลงดอกไม้หลากสีอยู่หลังรั้วไม้สีขาวเลยเดาเอาว่าซูโฮอาจจะชอบปลูกต้นไม้

     

    “ว่าแต่คุณ...กลับไหวรึเปล่า?”

     

    เขาเลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยเชื่อหู ที่ถามแบบนั้นหมายความว่าถ้าตอบว่าไม่ไหวแล้วจะให้ค้างคืนรึไง

     

    “...ถึงจะไม่ไหวยังไงก็ต้องกลับนะครับ”

     

    “.....” ปากที่กำลังจะอ้าตอบถึงกับค้างเติ่ง แต่คริสก็ไวพอที่จะรีบเปลี่ยนมาเป็นฉีกยิ้มและโบกมือให้คนตัวเล็กเป็นพัลวัน “ไม่ต้องห่วงผมหรอกคุณ ระดับคริสนะครับ ทำไมจะไม่ไหว”

     

    “แล้วก็ ถ้าคุณจะดื่มชา...”

     

    หรือว่าจะชวนเขาดื่มชา???

     

    “ก็คงจะไม่สะดวกน่ะครับ พอดีผมอยู่กับพี่สาว เกรงใจ... แหะๆ”

     

    คิมซูโฮยังเอาแต่ยิ้มซื่อๆมาให้จนชักจะหมั่นเขี้ยวตะหงิดๆ อย่ามาทำตัวน่ารักครับ ถ้าจะตัดความหวังกันซะขนาดนี้

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ จริงๆแล้วผมก็ไม่ค่อยชอบดื่มชาเท่าไหร่...” ตอบเค้าไปอย่างนั้น แต่ในใจหน้าผมเป็นแบบนี้ครับ T [] T!!

     

    ทำลายความหวังกันจนราบเป็นหน้ากลองแล้วก็ยกมือโบกหยอยๆมาให้ คริสก็ทำได้เพียงโบกมือกลับไปก่อนจะเดินคอตกออกมา

     

    “คุณคริสครับ”

     

    “หืม?”

     

    “ฝันดีนะครับ”

     

    “ครับ”

     

    ฝันดีนะครับ...

     

     

    “เมื่อกี๊คุณว่าไงนะซูโฮ”

     

    ไม่ไว้ใจตัวเองแล้วครับจุดนี้ เมื่อกี๊ยังฝันได้เป็นฉากๆ นับอะไรกับถ้าจะหูแว่วได้ยินอะไรเพี้ยนๆไปเอง

     

    “ผมบอกว่า..” ซูโฮทวนคำพูดให้พร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนริมฝีปาก

     

    “ฝันดีครับ คริส”

     

     

    ฝันดีครับ คริส

    ฝันดีครับ คริส

    ฝันดีครับ คริส

     

     

    ฟินจนแทบจะบินกลับบ้านเลยล่ะครับคู้ณณณ

     

     

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×