คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : KrisHo . Don't know man . 1 .
The story had just begun
ช่วงนี้มีเรื่องตลกๆ เกิดขึ้นกับผมบ่อย
วันก่อนบังเอิญไปเล่าความฝันให้ไอ้ไคมันฟัง ..สำหรับผมมันน่ากลัวนะ ฝันว่างูตัวเบ้อเร่อกระโดดมารัดคอจนสะดุ้งตื่นกลางดึกในสภาพเหงื่อท่วมทั้งตัว แต่หมอนั่นมันบอกว่า ‘ฝันเห็นงู เค้าว่าจะเจอเนื้อคู่’
“กูเคยอ่านเจอในตำราโหราศาสตร์” ....ใครจะเชื่อว่าหน้าตาอึนๆแบบมันจะเชื่ออะไรเทือกนี้กับเค้าด้วย -_-
แล้วพอทำหน้ายี้ใส่พร้อมกับด่ามันไปว่า ไร้สาระ ไอ้บ้านั่นมันก็เลยเอาชนะผมด้วยการลากคอไปหาหมอดูไพ่ยิปซีที่ก็ไม่รู้ว่าไปเสาะแสวงหามาจากไหน แถมมันยังการันตีให้อีกว่า เจ้าเนี้ยแม่นอย่างกับตาเห็น
แล้วเหตุผลกลใดกันเล่า! ที่ทำให้มือเจ้ากรรมดันหยิบไปโดนไพ่ ‘The lover’ !
“เอาล่ะสิ..จะได้เมียก็งานนี้ล่ะวะมึงไอ้คริส!!”
นั่นคือประโยคที่ไอ้บ้าไคมันพ่นใส่หน้าผมวันนั้น ก่อนจะโดนกระทุ้งศอกไปทีตัดรำคาญ
พูดมาได้ แฟนซักคนผมยังไม่เคยมีกับเค้าเลย...
นอกเหนือไปจากการถูกหัวหน้าด่า, ทะเลาะกับเด็กส่งแก๊ส และโดนมอเตอร์ไซด์ขับปาดหน้าแล้ว การจราจรในช่วงหัวค่ำแบบนี้ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ชวนให้หงุดหงิดได้มากที่สุดในชีวิตคนเราเหมือนกัน เขาเลื่อนนิ้วไปกดปุ่ม Eject เอาแผ่นซีดีเพลงออก เปลี่ยนไปหาฟังคลื่นวิทยุท้องถิ่นแทน แต่ท้ายที่สุดเมื่อมีแต่เสียงนักข่าวเนิบนาบชวนให้อยากกระโจนลงเตียงนุ่มๆที่ห้อง เลยไม่พ้นลงเอยที่การกดปุ่มปิดจนเหลือแต่เสียงแอร์คอนดิชันเนอร์ที่ดังฟู่วๆแบบใกล้จะพังแหล่ไม่พังแหล่...
‘รถคันนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ แล้วทำไมมันถึงได้มีเต็มบ้านเต็มเมืองขนาดนี้วะ’
กึกๆ กึกๆ..
“เฮ้ อย่ามาพยศตอนนี้หน่า” คิ้วหนาขมวดติดกันตอนที่ลุ้นว่าเครื่องยนต์มันจะดับเอารึเปล่า ภาวนาอย่าให้ความซวยบังเกิดขึ้นแก่เขาเลย
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง.. หรือมากกว่านั้นเสียงเครื่องยนต์ก็กลับมาทำงานตามปกติ
เขายิ้มออก
ก่อนที่ยิ้มนั้น จะกลายเป็นยิ้มเก้อ....
เหลือเพียงความเงียบที่อยู่เป็นเพื่อน.. และเสียงนกหวีดแว่วมาจากสี่แยกข้างหน้า คิ้วที่เพิ่งคลายออกวิ่งเข้าหากันราวกับมีขั้วแม่เหล็กฝังอยู่ เหอะ! รักกูจังเลยนะครับ คุณความซวยครับ !
ซ่า!
คงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว..
เขาแหงนมองเม็ดฝนที่หยดแหมะลงบนกระจกใสหน้ารถ มองมันอยู่อย่างนั้นและไม่อยากจะนึกภาพว่าอีกนาทีหรือสองนาทีหลังจากนี้เขาต้องออกไปยืนให้น้ำเย็นเฉียบนั่นสาดใส่หน้า
“โอเค จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย!” อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอารามหงุดหงิด กำปั้นขนาดอัดคนสลบทุบปั่กลงบนพวงมาลัย ก่อนที่ร่างสูงมากกว่า 185 เซนติเมตรจะพุ่งออกนอกตัวรถอย่างหัวเสีย
“ให้ตาย!” ไอร้อนจัดพุ่งขึ้นจากหม้อน้ำรถปะทะกับมวลอากาศเย็นจนเกิดเป็นควันฟุ้งสีขาว ชายหนุ่มเบี่ยงตัวออก มือไม้ยีผมที่เปียกชุ่มจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง หันมองรอบตัวก็เห็นแต่รถราจอดนิ่งเรียงรายยาวเป็นหางว่าว
“รถเสียเหรอครับ?”
เสียงห้าวดังฝ่าเสียงฝนมาจากทางด้านหลัง คริสหันขวับไปมองก็เห็นเด็กหนุ่มตัวผอมบางในชุดเสื้อกันฝนสีเหลืองสดที่ห่อไว้ทั้งตัวเหลือแต่หน้าใสๆโผล่ออกมา ก่อนที่คนตัวเล็กนั่นจะโดดลงจากเวสป้าคันสีแดงสดมายืนทำหน้าสงสัยใส่ “รถเป็นอะไรเหรอครับ?”
เมื่อโดนถามย้ำ เขาถึงได้หลุดจากอาการเงิบรับประทาน ..ไม่ใช่อะไร ก็แค่กำลัง-งงว่ายุคสมัยนี้ยังมีพลเมืองดีหลงเหลืออยู่อีกเหรอ
“หม้อน้ำแห้ง น้ำยาแอร์หมด...”
“โทรฯหาช่างรึยังน่ะ?” คนตัวเล็กยังคงไล่ถามเขาต่อ พร้อมกับที่ตัวบางๆนั่นก็ชะโงกมองดูเครื่องยนต์ที่กำลังขึ้นควันระอุ
“เอ่อ...แบตฯหมดไปตั้งแต่เย็นแล้ว...” คริสยักไหล่ตอบ พลางมองหน้าของอีกฝ่ายที่อมยิ้มใส่เขา “คุณกำลังคิดว่าผมใช้ชีวิตได้บัดซบมากใช่มั้ยล่ะ?”
“เปล่านะ นั่นคุณพูดเองของคุณ” แต่แก้มใสนี่แทบจะแตกเพราะกลั้นขำไม่อยู่
เขาเผลอยิ้มตามรอยยิ้มน่ารักนั่น..
“อืมม... ถ้าไม่กลัวว่าจะโดนผมหลอกไปดักตีหัว จะไปด้วยกันก็ได้นะ”
คริสยักไหล่ไม่ยี่หระ “คงไม่ซวยไปกว่านี้แล้ว”
“ก็ว่างั้น...” คนตัวเล็กสำทับให้อีกที ก่อนจะเดินไปเหวี่ยงขาข้ามเบาะเจ้าเวสป้าคันเล็กและตบเบาะหลังดังปุๆ “บ้านคุณอยู่แถวไหนน่ะเดี๋ยวผมไปส่ง” ตาใสเหลือบไปทางเจ้ารถกระป๋อง “ส่วนรถนี่รออู่มาลากไปละกัน”
“ว่าแต่.. เจ้านั่นของคุณจะไหวเหรอ? ผมหนักนะ”
“อย่าดูถูกกันน่า!”
อีกครั้งที่เขายิ้มออกมา ก่อนจะโดนคนตัวเล็กเร่งให้รีบเอาของขึ้นรถ เพราะไม่อยากจะตากฝนไปนานกว่านี้ ถึงจะมีชุดกันฝนแต่อุณหภูมิที่ลดต่ำลงทุกทีก็ทำให้หนาวจนสั่น
“เกาะดีๆล่ะ!”
จบคำนั้น เม็ดฝนเย็นเฉียบก็ทำให้แก้มเขาชาไปทั้งแถบ กว่าจะถึงที่หมาย ทั้งหน้าตาและผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงแทบจะดูไม่ได้ คนตัวเล็กยกมือขึ้นโบกให้เมื่อส่งเขาลงหน้าคอนโดฯเป็นที่เรียบร้อย มันเป็นวินาทีเดียวกับที่ความรู้สึกบางอย่างตีวนอยู่ในท้องก่อนจะพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เขาโพล่งออกไปทั้งยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“ด..เดี๋ยวก่อน!” รู้แค่ว่า เขาปล่อยอีกฝ่ายไปทั้งๆแบบนี้ไม่ได้ก็เท่านั้น
“หืม?”
“กินข้าวด้วยกันซักมื้อก่อนสิ อืมมม..ถือว่าผมเลี้ยงขอบคุณละกันนะ”
คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นพลางหันซ้ายแลขวา “ตอนที่ฝนตกหนักแบบนี้เนี่ยนะ?”
คริสหันมองตาม อา..จริงด้วยสิ ร้านข้าวแถวนี้ก็เก็บกันหมดแล้ว คงเหลือแต่ร้านสะดวกซื้อตรงหัวมุมถนนโน่นละมั้งที่ยังเปิดไฟสว่างจ้า
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ยกมือชี้นิ้วโป้งไปยังทิศทางนั่นซะแล้ว
“รามยอนซักถ้วย ดีมั้ย?”
คนบนเวสป้าหัวเราะจนตาหยี
“กาแฟอุ่นๆซักแก้วด้วยได้มั้ย?”
จะว่าไป..
วันนี้มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องซวยไปซะทีเดียวล่ะนะ :)
แต่ว่าเขาพลาดไปอย่าง...
คืนนั้นเขาทั้งคู่นั่งกินรามยอนกันภายในร้านสะดวกซื้อ มองสายฝนโปรยปรายไปด้วย คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปด้วย เขาได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นอายุเท่ากันกับเขา ส่วนหน้าตาที่ละอ่อนกว่าวัยนั้นคงต้องขอบคุณพระเจ้าที่ประทานมาให้
และก็รู้อีกอย่างว่าบ้านของคนตัวเล็กอยู่เขตชองดงซึ่งห่างจากคอนโดฯเขาไกลพอสมควรเลยล่ะแต่อีกฝ่ายก็ยังใจดีขับรถมาส่ง
“ผมทำหน้าที่สารถีจนชินแล้วล่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ขับรถเล่นก็สนุกดี”
ว่าไปก็นึกอิจฉาลูกค้าประจำของคนตัวเล็กเค้าเหมือนกันแฮะ
อ้อ..ส่วนที่ว่าพลาด
นั่นคือการที่เขาปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปทั้งๆที่...ยังไม่ได้ถามชื่อ
เป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่โคตรจะไม่น่าอภัยเลยคุณว่ามั้ย?
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะครับคุณมึง ไง? เจอเนื้อคู่แล้วล่ะสิ?”
ถ้ามียางลบก้อนใหญ่ๆซักก้อนอยู่ใกล้มือคงได้เขวี้ยงใส่หัวมันแล้ว แต่เพราะว่าไม่มีคริสจึงลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วดิ่งไปเบิ้ดกะโหลกมันด้วยมือตัวเองซะเลย
“เชี่ยยย นั่นแรงคนหรือแรงควายวะนั่น!”
คริสยักคิ้ว ก่อนจะกระแทกแผ่นงานลงกับโต๊ะแล้วแผ่ออกให้มันดู ลากเข้าเรื่องงานแบบไม่ให้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว “มึงว่าไง?”
ไคขมวดคิ้ว ตาคมกริบของมันไล่มองแปลนบ้านตรงหน้า “ช่องโหว่เพียบ ทั้งท่อระบายน้ำ ทั้งระบบไฟไม่ชัดเจนซักกะอย่าง แบบของสถาปนิกที่ไหนวะ?”
“จากสำนักงานใหญ่” เขาตอบเนือยๆ
“เฮ้ย เป็นไปไม่ได้”
“เห็นว่าเพิ่งเข้ามาทำงานไม่ถึงสามเดือน” คริสพับแบบเก็บแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ คว้าเอากาแฟกระป๋องขึ้นมากรอกลงคอไปสองสามอึก
“ไม่ตีกลับไปเลยวะ”
“บอกให้แก้หลายทีแล้ว แต่ก็ได้เท่านี้แหละ ห่า..นี่คงกะให้กูแก้ให้แหงแก๋”
ไคเดินตามมา เอนตัวพิงกับขอบโต๊ะแล้วถือวิสาสะหยิบเอากาแฟกระป๋องที่เหลือขึ้นมากินบ้าง คริสมองตามระอาๆ กาแฟกระป๋องเดียวแม่งก็ไม่ลงทุน
“เฮ้ย หรือว่าจะเป็นสถาปนิกใหม่คนนั้นวะ ที่เค้าว่าหน้าตาน่ารักๆ”
“น่ารักแล้วไง” ก็เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่กับคนตัวเล็กเสื้อกันฝนเหลืองคนนั้นน่ะเป็นข้อยกเว้น
ไอ้ไคถอนหายใจเสียงดังเฮือก “มึงควรจะใช้ความหล่อที่พ่อให้มาเป็นกำไรชีวิตหน่อยนะ ทำหน้าหล่อๆเดินเข้าไปคุยหวานๆ เดี๋ยวก็ยอมใจอ่อนแก้แบบให้มึงนั่นแหละ ดีไม่ดี อาจจะแก้อย่างอื่นด้วยก็ได้นา..”
“กูไม่นิยมใช้ความหล่อเรี่ยราดว่ะ” ไอ้เรื่องหน้าตานี่ก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้างว่าจัดอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก นี่ไม่ได้หลงตัวเองครับ แต่สาวน้อยสาวใหญ่ที่หมั่นส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ทุกวี่ทุกวันมันก็บอกอยู่โต้งๆ แต่ก็อย่างที่ว่า..ความหล่อมันกินไม่ได้
“อ่อออ กูลืมไปว่ามึงมันเป็นพวกหล่อไม่มีประโยชน์”
เหอะ...ไอ้หล่ออุดมคุณค่าทางสารอาหาร!
ได้แค่คิดเพราะคร้านจะต่อล้อต่อเถียงด้วย และไอ้ไคเองมันก็คงรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกชอบต่อปากต่อคำ ยิ่งเฉพาะกับมันที่ในหัวมีแต่เรื่องผู้หญิงกับเหล้านอก มันเลยเดินผิวปากกลับไปโต๊ะตัวเองแต่โดยดีโดยไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรต่อ
ส่วนเขาก็กลับมาจมปลักกับงานตรงหน้าอีกครั้ง คริสคลึงขมับหนักๆก่อนจะตัดสินใจคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรฯออกหาตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาไมเกรนกินกบาล
“คุณซูโฮ บ่ายนี้ว่างรึเปล่า ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
Don’t know man
“โอ้โห นี่คุณสถาปนิกคนสวยไปรับจ็อบแบกหามมาเหรอครับเนี่ย สภาพแบบนี้คะแนนลดฮวบนะครับ ระวังหน่อย”
คนที่ล่องลอยเข้ามาในออฟฟิซในสภาพที่คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นซอมบี้ทิ้งก้นลงเก้าอี้หมุนตัวประจำได้ก็แหง่กคอมาทำตาเขียวปั๊ดใส่ไอ้คนแซว นิ้วเล็กๆยกขึ้นชี้ไอ้คนหน้าขาว, เจ้าของดวงตาและท่าทางซุกซนอย่างคาดโทษ
“มีสองประเด็นนะนายแบค!”
พยอนแบคฮยอนฉีกยิ้มโชว์ฟันพร้อมเอียงคอทำหน้าทะเล้น
“หนึ่ง ฉันเป็นผู้ชาย อย่ามาเรียกว่าคนสวย”
“อื่อฮึ” นายตัวดียิ้มแฉ่ง พร้อมเลิกคิ้วทำหน้าก่อกวนชวนให้อยากอัดชะมัด
“สอง” เขาเว้นวรรค ก่อนจงใจหรี่สายตาใส่เพื่อนร่วมงานตัวเล็กอย่างจับผิด “ก่อนมาห่วงคะแนนนิยมคนอื่นน่ะ สนของตัวเองก่อนเหอะ... เดี๋ยวนี้เห็นจงอินแวะไปแผนกจัดซื้อบ่อยนะ ต้องมีอะไรเด็ดแน่”
“ย๊า!”
ซอมบี้หน้าหวานลอบยิ้มอย่างผู้ชนะ
“อย่าพูดถึงไอ้เด็กหน้ามึนคนนั้นได้ป้ะ ไม่ได้คิดอะไรด้วยเว้ย!”
เขาแสร้งพยักเพยิดหน้าขึ้นลงทำทีเป็นเชื่อคำพูดนั้นเสียเต็มประดาทำเอาแบคฮยอนดิ้นเร่าอย่างกับเจ้าเข้า ซูโฮหัวเราะก่อนจะสั่งตัวเองให้เริ่มทำงานของวันนี้ได้แล้ว.. ฮึ... ได้เห็นไอ้เพื่อนตัวแสบมันหัวฟัดหัวเหวี่ยงแต่เช้าแล้วมีแรงขึ้นเป็นกอง
ก่อนที่เรี่ยวแรงพวกนั้นจะถูกสูบหายไปอย่างกับมีเวทมนต์.. แน่ล่ะ มนต์ดำซะด้วย!
ซูโฮหน้าหงิก คิ้วขมวดติดกันโดยมิได้นัดหมาย แค่เปิดคอมฯขึ้นมาแล้วเห็นเมล์ขาเข้ามาจากแอคเค้าน์ๆหนึ่งที่เขาอยากจะกด delete ทิ้งให้มันรู้แล้วรู้รอด!
yifan_w@khconsulting.com
..ให้ตายเหอะ หลอกหลอนกันแต่เช้า!..
“เฮ้ย! จะไปไหนอีกแล้วเนี่ย เห็นอยู่ที่โต๊ะได้ไม่ถึง 10 นาทีดี?”
แทนคำตอบ ซูโฮถอนหายใจหนักๆยาวๆไปหนึ่งชุดเต็มๆ ก่อนจะคว้าเอาเป้มาสะพายหลัง
“อย่าบอกนะว่างานเข้า”
“ใช่ เข้าแบบหาทางออกไม่เจอเลยล่ะ!”
“โอว น่าเห็นใจสุดๆ” แบคฮยอนยักไหล่ ไม่พอมือเรียวยังคว้าเอาแซนวิชแฮมชีสมางับให้เขาช้ำใจเล่นอีกตะหาก
“จริงใจโคตรๆ ซึ้งน้ำตาจะไหล”
“อินไอ๊?” ..กินมั้ย?..
ไม่ถามตอนที่กลืนลงคอไปแล้วเลยล่ะ?
ลงท้ายที่ไอ้แบคฮยอนมันยิ้มแก้มตุ่ยใส่ในขณะที่เขาต้องจำใจหิ้วกระเป๋าออกจากออฟฟิซไปแบบปลงๆ ..ใช่สิ วิศวกรที่มัน due งานด้วยไม่ได้เรื่องมากตัวพ่อ เล่นตัวอย่างกับเป็นโรวเลอร์โคสเตอร์ แถมพูดจาไม่รู้เรื่องเหมือนอีทีโทรศัพท์กลับบ้านเหมือนนายอู๋อี้ฟานนี่!
โอ๊ย! แค่ชื่อที่ลอยเข้ามาในหัว ก็ทำไมเกรนกำเริบแล้ว!
“ได้แจ้งล่วงหน้าไว้รึเปล่าคะ?”
ซูโฮแทบจะอยากบีบคอตัวเองตายไปเสียตรงนั้น.. เขาร้อนรนที่จะมาพบหัวหน้าฝ่ายงานไฟฟ้าตามที่นายอี้ฟานเมลล์มาบอกเสียจนลืมคิดถึงเรื่องง่ายๆอย่างการโทรฯนัดก่อนไปเสียได้ เลขาฯสาวสวยยังคงยิ้มหวานให้เขาตามมารยาท แต่ให้ตายเถอะ ตอนนี้ซูโฮมีแรงอย่างมากก็แค่ฝืนยิ้มฝืดเฝื่อนกลับไปก่อนจะต้องเดินคอตกกลับออกมา
จริงๆแล้วจะบอกว่านายอี้ฟานนั่นสั่งให้เขามาที่นี่ก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว อันที่จริงหมอนั่นก็แค่เมล์มาแจงรายละเอียดงานที่ต้องแก้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการวางแผนวงจรไฟฟ้าภายในอาคาร..เขาก็แค่รู้สึกปรี๊ดขึ้นมาตอนที่อ่าน หมอนั่นมีความสามารถในการส่งข้อความที่ทำให้คนรับเหมือนโดนสบประมาทในขั้นที่เรียกว่าเทพเลยล่ะ!
รายละเอียดตามที่แจ้งครับ ถ้าสงสัยอะไรติดต่อผมกลับได้ แต่ผมคิดว่าเรื่องแค่นี้คงไม่เกินความสามารถคุณหรอกนะครับ...
“ชิส์! คิดว่าตัวเองเก่งซักแค่ไหนกัน...โอ๊ะ? โอ๊ย!!”
แรงกระแทกหนักๆที่ก่อเกิดขึ้นบนหน้าผากทำให้เขามึนงงไปชั่วขณะ กว่าจะจับต้นชนปลายถูกว่าเผลอไปเอาหัวโขกคางใครเค้าเข้าก็ตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม
“เจ็บมากรึเปล่า?”
โอ๊ย! นั่นคางหรือหินกันแน่?
ก็อยากจะพ่นออกไปอย่างนั้นน่ะนะ แต่แน่นอนว่าซูโฮมีมารยาทมากพอที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น เขาก็แค่เงยหน้าขึ้นมองทั้งที่มืออีกข้างยังกุมหน้าผากเอาไว้.. นี่ขนาดเขายังเจ็บขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าไอ้คนตรงหน้านี่เลือดกบปากไปแล้ว?
“อะ เอ๊ะ? คุณนี่นา! มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย?”
แต่เมื่อเงยขึ้นมองจนเห็นหน้าอีกคนชัดๆเต็มสองลูกกะตาแล้ว กลายเป็นต้องเบิกตากว้าง มือที่กุมหน้าผากอยู่เปลี่ยนเป็นชี้หน้าหล่อๆนั่นแทน
ฝ่ายร่างสูงเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยกับการพบกันที่นี่ของพวกเขาทั้งสอง แต่เพียงแค่ไม่นานเมื่อสมองประมวลสิ่งที่เห็นได้แล้วเขาก็ยิ้มออกมา ดวงตาคมกริบลอบมองบัตรพนักงานที่คล้องคอซูโฮอยู่ ในขณะเดียวกันก็เอามือจับบัตรของตัวเองเสียบลงในกระเป๋าเสื้อแจ็คเกต
“นั่นน่าจะเป็นคำถามที่ผมต้องถามมากกว่านะ”
คนตัวเล็กขมวดคิ้ว บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังไม่เข้าใจ
“คุณประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ไม่ใช่หรือไง?”
ริมฝีปากสีส้มอ้าออกเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนที่กลีบปากบางนั้นจะคลี่ยิ้มออกมา “พอดีว่ามีธุระนิดหน่อยน่ะ”
กลายเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง
“มาพบคุณโจ แต่ว่าลืมนัดล่วงหน้า ก็เลยคลาดกันซะได้”
ให้ตายเถอะ... เขาอยากจะยื่นมือไปเขกกะโหลกคนตัวเล็กนี่ซักทีจริงๆ
“มาพบหัวหน้าฝ่ายไฟฟ้างั้นเหรอ?”
“อืม มีงานเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าต้องดูนิดหน่อย...”
“ผมว่าผมน่าจะช่วยคุณได้นะ” เขาหรี่ตาลง ลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
“เห?” ซูโฮทำท่าไม่เชื่อหู คิ้วบางนั่นเลิกขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนที่ลูกตากลมสวยนั่นจะเปล่งประกายระยิบออกมา “เอาเวลาที่จะช่วยผมไปดูแลรถให้ดีก่อนดีกว่าน่า”
นั่นไง..คริสหลุดหัวเราะ ส่ายหัวไปมาเป็นเด็กงอแงที่เพิ่งโดนเพื่อนแกล้ง “เลิกล้อผมได้แล้วหน่า วันนั้นมันเหตุสุดวิสัยต่างหาก”
“ก็น่าจะสุดวิสัยล่ะนะ ขนาดมือถือก็ยังไม่ยอมชาร์ตเลย”
เขากลอกตา ปกติถ้าโดนตอกย้ำความผิดพลาดแบบนี้เขาคงไม่มีหน้ามายิ้มหน้าชื่นตาบานหรอก แต่ไม่รู้สิ.. พอเป็นคนตรงหน้า ไอ้เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดก็เหมือนจะลอยไปตามสายลม “บอกมาเถอะ ถ้าช่วยได้ผมยินดีช่วยเต็มที่ ถือว่าตอบแทนที่คุณไปส่งผมที่คอนโดฯวันนั้นละกัน”
“ผมก็ได้รามยอนเป็นค่าตอบแทนแล้วนี่นา”
“รังเกียจความช่วยเหลือจากผมสินะ..”
“เฮ้ ล้อเล่นน่า!”
เขาก้มมองมือขาวที่เกาะเกี่ยวอยู่กับแขนของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนสายตาเพื่อสบกับดวงตากลมใสเหมือนลูกแก้วคู่นั้น...
“มีคนเสนอตัวเป็นผู้ช่วยให้ขนาดนี้ จะปฏิเสธได้ไงเล่า! ^^”
และแน่นอนว่าเขาคงไม่บ้าพอที่จะปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้หลุดลอยไปง่ายๆแน่
อย่างน้อยวันนี้เขาก็น่าจะบ้าน้อยกว่าไอ้วันฝนตกที่ลืมถามชื่อเจ้าตัวเค้าแหละนะ..
ห้องประชุมที่ไม่ได้ใช้งานถูกพวกเขาทั้งคู่จับจองเป็นที่ทำงานชั่วคราว..
คริสจัดแจงกางแผนผังวงจรไฟฟ้าภายในอาคารลงบนโต๊ะตัวยาว และอธิบายถึงกลไกต่างๆที่ซูโฮควรรู้ แต่ดูจากสีหน้าของคนตัวเล็กแล้วดูเหมือนวันนี้เขาน่าจะเหนื่อยเปล่า
“เข้าใจที่ผมพูดมั้ย?”
นั่นไง.. ส่ายหัวซะรัวเชียว
“มันไม่ใช่สิ่งที่สถาปนิกอย่างผมต้องรู้นี่”
“แต่ก็น่าจะรู้เอาไว้บ้าง ไม่ใช่หรือไง?”
“แล้วทำไมวิศวกรอย่างคุณถึงไม่จัดการกันเองล่ะ”
“ก็ผมไม่ได้จบด้านไฟฟ้ามานี่คุณ”
ซูโฮย่นจมูก “แล้วคิดว่าผมเรียนไฟฟ้ามารึไงเล่า?”
“จริงๆการที่เราเรียนรู้งานนอกเหนือจากขอบเขตของตัวเองบ้าง มันก็ทำให้ทั้งสถาปนิกแล้วก็วิศวกรคุยกันรู้เรื่องนะ จะสร้างตึกทั้งหลังนะคุณ ไม่ใช่แค่แบบบ้านกระดาษหรือบ้านที่คุณสร้างในเกมซิมส์”
“ย๊า!”
คริสยิ้มหวานใส่อย่างไม่รู้ร้อน
“นี่นายเป็นอี้ฟานสองรึไงเนี่ย!!” บ่นเก่งเชียว!!
“อี้ฟานสองอะไรเล่า ผมออกจะใจดีขนาดนี้”
“อย่ามายิ้มแบบนั้นนะ นายนี่มันปีศาจชัดๆ”
เอ... ทำไมถึงได้แสบๆคันๆแบบนี้ล่ะ??
ซูโฮหน้าบูด เจ้าตัวทำทีเป็นเปิดเอกสารกองโตตรงหน้าดูเสียงดังพึ่บพั่บ แต่เชื่อเถอะว่าไม่ได้เอาเข้าสมองหรอก
“โอเคๆ ผมไม่บังคับคุณแล้วก็ได้ แต่ถ้าโดนนายอี้ฟานอะไรของคุณดุเอาผมไม่รู้ด้วยนะ” คริสจัดการรวบเอาแผนผังนั้นเก็บลงกระบอกในขณะที่นายตัวเล็กยังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ฝั่งตรงข้าม
“หมอนั่นไม่ใช่ของของฉัน” แล้วซูโฮก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ตาโตจ้องเขาเขม็ง ฝ่ามือขาวทุบลงกับโต๊ะ ทำเอาคริสผงะและเผลอทำหน้าซีด
..คงไม่ได้เคยเห็นหน้าเขาแล้วเพิ่งจะจำขึ้นมาได้หรอกนะ..
“นี่นายกำลังขู่ฉันเหรอ”
เขาแทบจะหลุดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็ยอมรับล่ะนะว่าโล่งอกจริงๆนั่นแหละ นี่ถ้าโดนจับได้คงไม่พ้นโดนกินหัวกุดแน่ๆ ดีไม่ดีถ้าเรื่องไปถึงหูไอ้ไคเข้า เขาคงจะต้องกลายเป็นตัวตุ่นที่มุดอยู่แต่ในโพรงแหงแก๋
คนตัวสูงโน้มตัวกลับมาตามเดิม ต้องยอมรับว่าแม้เขาจะเป็นพวกหล่อไร้ประโยชน์อย่างที่ไอ้ไคมันตราหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้เรื่องเจ้าเล่ห์จะเป็นรองใครหรอกนะ มือหนายกขึ้นเท้าคางพลางใช้ดวงตาคมกริบจ้องหน้าใสๆนั้น “แสดงว่าคุณกลัวหมอนั่น?” เขาเลือกใช้น้ำเสียงเรียบๆกับรอยยิ้มตรงมุมปาก และลอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“ใครกลัว!”
แต่ให้ตายเถอะ ไอ้ตาคว่ำปากเบะ แล้วก็จมูกรั้นๆที่เชิดขึ้นแบบนี้มันทำให้หลุดยิ้มขำออกมาไม่ได้จริงๆ เห็นแล้วก็อยากจะนั่งแกล้งมันทั้งวันเลย!
จ่อก.....
อีกครั้งที่คริสต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม
“หิวไม่ได้ไง?”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” อือหือ..บทคนน่ารักเค้าจะเข้าโหมดโหดขึ้นมานี่ทำเอาตามไม่ทันเลยแฮะ “แล้วนั่นจะไปไหนน่ะ?”
รีบลุกตามตอนที่เห็นอีกฝ่ายดันเก้าอี้ออกพร้อมกับคว้าเป้มาสะพาย
“จะเที่ยงแล้ว” ซูโฮสะบัดหน้ากลับมาพร้อมกับทำปากมุ่ย จนแล้วจนรอดตาตัวสูงนี่ก็ยังไม่เลิกทำหน้างงเสียที
“ไม่หิวไง?”
แมค-บงแมคบุ้คนี่ไม่ต้องเก็บมันแล้ว คริสรีบแจ้นตามคนหน้าหวานออกไปแทบไม่ทัน!
“ตรงข้ามตึกมีร้านแฮมเบอร์เกอร์โฮมเมด คนไม่ค่อยเยอะด้วย ไปทานกันที่นั่นดีมั้ย?” เขาเสนอความคิดก่อนจะได้ยิ้มหวานกลับมาเป็นคำตอบ
เฮ่อ.. เมื่อไหร่จะเลิกยิ้มแบบนั้นซักที
ภายในร้านไม่ค่อยมีคนอย่างที่คริสบอก.. ซึ่งพอซูโฮสงสัยและเอ่ยถามว่าเพราะอาหารไม่อร่อยเหรอ นายหน้าหล่อก็ตอบกลับมาว่าไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นเพราะใกล้ๆกันนี้มีห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่ คนส่วนใหญ่เลยมุ่งหน้าไปที่นั่น อีกอย่างคือการตกแต่งของร้านค่อนไปทางหรูหราสไตล์ภัตตาคารอาหารอิตาเลี่ยนเลยอาจจะทำให้คนมองข้ามว่านี่ก็เป็นหนึ่งในช้อยส์ของมื้อเที่ยงได้เหมือนกัน
อาหารมาเสิร์ฟเร็วทันใจ และซูโฮก็ไม่รอช้าที่จะฟาดของอร่อยตรงหน้าให้หมดภายในห้านาทีจนคริสเองได้แต่มองด้วยอาการอึ้งกิมกี่
“นี่คุณไม่ได้ทานข้าวเช้าเหรอ?”
“@#$%!%#$!#^$”
“หะ..หา?”
เพราะอาหารเต็มปากทำให้สิ่งที่ได้ยินกลายเป็นเสียงอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง ซูโฮตั้งสติและจัดการกลืนของพวกนั้นลงคอไปอย่างยากลำบากขนาดคริสเองก็ยังอดลุ้นไปด้วยไม่ได้ว่าจะติดคอเอารึเปล่าจนในที่สุดก็พูดภาษาคนได้กับเค้าซักที
“แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาทำงานได้นี่ก็บุญแล้ว”
“อย่าบอกนะว่าหมอนั่นให้คุณแก้งานมากเกินไป?”
“จะบอกว่าเป็นเพราะหมอนั่นคนเดียวก็เดี๋ยวจะว่าใส่ร้ายเกินไป..” ซูโฮยิ้มแหย “เมื่อคืนดูบอลดึกไปหน่อยน่ะ แหะๆ”
ดูบอล? ....คนหน้าหวานๆแบบนี้เนี่ยนะ?
“นอนดึกบ่อยๆ สุขภาพจะแย่เอานะ ดูสิ ตาคล้ำหมดแล้ว”
เหมือนว่าคนตัวเล็กนี่จะไม่ได้สนใจฟังที่เขาเตือนเลยซักนิด เพราะพอแฮมเบอร์เกอร์เซตใหม่ถูกยกมาเสิร์ฟ เจ้าตัวก็ใจจดจ่ออยู่กับมันลูกเดียว ตอนนี้คริสก็คงไม่ต่างอะไรกับธาตุอากาศ..
แต่จะให้ไปขัดขวางความสุขของนายตัวเล็กก็ใช่เรื่อง เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ เลือกที่จะกอดอกนั่งมองดูอีกฝ่ายกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่เงียบๆ..
รู้สึกเหมือนกำลังนั่งมองลูกแมวไม่มีเจ้าของที่คอนโดฯกินปลาทูอยู่ไม่มีผิด
ก็คิดแค่ว่าจะนั่งมองเฉยๆ แต่เหมือนว่ามือไม้มันจะไปเร็วกว่าที่สมองคิด ..แค่เห็นคราบซอสติดอยู่ตรงมุมปากแดงนั่นเขาก็ดันเอื้อมมือเอานิ้วโป้งไปปาดมันออกให้ซะแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ยกมือค้างอยู่กลางอากาศทั้งๆที่นิ้วโป้งเปื้อนคราบซอสนั่นแหละ..
ห้ามใจอะ...สะกดให้เป็นนิดนึง
“เอ่อ.. โทษที”
ซูโฮขมวดคิ้ว “ขอโทษเรื่อง?”
“เรื่อง....” เออนั่นดิ.. ขอโทษทำไมวะไอ้คริส?
ตอนนี้เขาคงเหมือนนายเฉิ่มเบ๊อะที่กำลังปั้นหน้าและคิดหาทางออกไม่ถูก ได้แต่เอ่อ.. เอ่อ.. แล้วก็เอ่อ.. ติดอ่างกันแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยทีเดียว นี่ถ้าเขาเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ป่านนี้เขาคงจับผ้าคลุมล่องหนมาคลุมหัวไปแล้ว เกิดมาก็เพิ่งรู้จักคำว่าอายเนี่ยแหละ
แต่ว่านะ..
ไอ้เสียงหัวเราะสดใสนั่น..
“คิดว่าฉันจะเขินเหมือนพวกสาวๆรึไง แล้วนี่จะเช็ดให้ก็ช่วยใช้ทิชชู่ด้วยนะ ฉันยังไม่ได้ฉีดยา!”
ให้ตาย... ทำตัวให้มันน่ารักน้อยๆหน่อยไม่เป็นหรือไง
สองวันก่อน
((คุณซูโฮ บ่ายนี้คุณว่างรึเปล่า ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ))
หลังจากเอามาคิดพิจารณาซ้ำเป็นรอบที่สิบของวันแล้ว เขาถึงได้ตัดสินใจโทรฯไปบอกอีกฝ่ายแบบนั้น..จริงๆมันก็ไม่ใช่ว่างานของทางนั้นจะแย่เสียจนรับไม่ได้ เพียงแค่ยังไม่ตรงกับความต้องการของเขา และอีกฝ่ายก็ดูจะไม่เข้าใจในเจตนาของเขาเท่าไหร่ เขาอยากได้อีกอย่าง นายซูโฮก็อยากได้อีกอย่าง พูดง่ายๆก็คือ คุยกันไม่รู้เรื่อง
เค้าว่าพูดกันต่อหน้ามักจะดีกว่าผ่านหน้าจอคอมฯหรือสายโทรศัพท์....วันนี้เขาก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้นน่ะนะ
“กินกาแฟมากๆเดี๋ยวก็หน้าแก่หรอกคริส”
บาริสต้าหน้าหวานคนที่คุ้นเคยกันดีเดินมาเสิร์ฟกาแฟให้ แต่ไม่ได้เสิร์ฟเปล่ายังแถมดุให้ซะนี่
“เสียลูกค้าอย่างฉันไปแล้วจะรู้สึก”
“เสียดายแย่เลย” ฟังดูก็รู้ว่าประชด คริสยักไหล่ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบพลางสอดส่ายสายตามองรอบๆบริเวณร้าน
“ลู่หาน...”
“หืม??”
“ก่อนหน้านี้มีใครมารึเปล่า?”
“ไม่หนิ เลยจากช่วงพักเที่ยงร้านก็เงียบแล้ว แย่ชะมัด”
คริสมองตามร่างของเพื่อนตัวบางที่เดินลับหายไปหลังร้านหลังจากบ่นจบ พลางกวาดสายตามองรอบๆร้านอีกครั้ง ..เงียบอย่างที่ลู่หานว่า อาจเพราะวันนี้เป็นวันทำงานด้วยล่ะมั้ง เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
“ก็ว่ามาสายแล้วนะ”
กริ๊ง...
เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดึงให้เขาต้องหันไปมองต้นเสียง ร่างแบบบางของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นในอาการที่ติดจะหอบนิดหน่อย เขามองอยู่อย่างนั้นกระทั่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาทำตาโตใส่
ลูกตากลมโต กับรอยยิ้มใสๆแบบนั้น
“คุณรถเสีย?”
คิ้วของเขาร่นเข้าชิดกันทันทีที่ได้ยิน
‘คุณรถเสีย’ งั้นเหรอ?
“ถ้างั้นคุณก็คงเป็น คุณเสื้อกันฝนเหลือง”
‘คุณรถเสีย’ กับ ‘คุณเสื้อกันฝนเหลือง’ เข้ากันดีออก
“จะเอางั้นก็ได้^^” คนตัวเล็กวาดรอยยิ้มกว้างจนแก้มใสๆนั่นดันลูกกะตาจนเหลือขีดเดียว ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งปุกลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ
เขามองอีกฝ่ายขณะกำลังสั่งเครื่องดื่มกับลู่หาน สำรวจเครื่องหน้าจากมุมข้าง เลยไปถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่และบัตรพนักงานที่คล้องคออยู่
KimSuho
...คุณนี่เอง คิมซูโฮจอมสะเพร่า
ทำไมเขาถึงได้หลุดยิ้มออกมานะ?
“คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ?”
คนตัวเล็กส่ายหัว “เนี่ยครั้งแรกเลย ถ้าไม่ถูกนัดก็คงไม่ได้มาหรอก ว่าแต่บังเอิญจังที่เจอกันที่นี่อีก”
“นั่นสิ” เขาเผลอยกมือขึ้นลูบบั้นท้ายทอย และยิ้มเก้อๆออกไป
“คุณทำงานแถวนี้เหรอ?”
เขาพยักหน้าอย่างเสียมิได้ เอาจริงๆเขาก็แค่กำลังคิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรต่อไป ..ควรเข้าเรื่องงานเลยดีมั้ย? ถ้าแบบนั้นแล้วจะโดนคนตัวเล็กนี่ตีเอามั้ยเนี่ย!
“เฮ้อ! ยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย?”
“หืม?”
“คนที่นัดผมไว้น่ะสิ”
หน้าของเขาคงมีเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คแปะอยู่ คนตัวเล็กถึงได้รีบขยายความในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วให้
“วิศวกรที่ผม due งานด้วยน่ะ เป็นคนนัดเองแท้ๆแต่ป่านนี้ยังไม่มาเลย”
..คุณนั่นแหละที่เลทซูโฮ..คริสเถียงในใจ
“แถมยังเรื่องมากตัวพ่อ ทำอะไรไปก็ไม่ถูกใจซักกะอย่าง”
..ก็คุณไม่ยอมฟังที่ผมพูดนี่นา..
“น่าโมโหชะมัด!”
คริสลอบขำตอนที่คนตัวเล็กยกกาแฟขึ้นซดดังซวบเป็นการปิดฉาก
“โอ๊ะ! โทษที ผมลืมไปเลยว่าเรายังไม่สนิทกัน เผลอบ่นไปซะยาวแน่ะ”
“ผมคริส”
“หือออ??”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ซูโฮ”
“หืออออ??” คนตากลมเป็นได้เบิ่งตาโต ก่อนจะร้องอ๋อออกมาตอนที่เขาชี้นิ้วไปที่บัตรพนักงาน
“ทีนี้เราก็ไม่น่าจะสนิทกันยากนะ ว่ามั้ย?”
ซูโฮหลุดยิ้มและพยักหน้าหงึกหงัก
“ว่าแต่..คนที่คุณบ่นถึงนั่น เป็นคนที่ผมรู้จักรึเปล่านะ”
“จะรู้จักได้ยังไงล่ะ?”
“ก็ไม่แน่ เพราะผมทำงานบริษัทเดียวกับคุณ สำนักงานผมอยู่ถัดไปอีกสองบล็อก”
“เฮ้ย!!จริงดิ แล้วทำไมผมถึงไม่เคยเห็นหน้าคุณเลยล่ะ?”
“แล้วคิดว่าผมเคยเห็นคุณรึไงเล่า?”
“อ่า....ว่าไปบริษัทเราก็ไม่ใช่เล็กๆนี่เนาะ?” จริงๆแล้วสาขาย่อยที่คริสประจำอยู่ เขาเองก็ยังไม่เคยไปเลยซักครั้ง -_-
“อู๋ อี้ฟาน...
หวังว่าคุณจะไม่รู้จักหมอนี่หรอกนะ”
“ผมเคยเห็นเค้าแว่บๆนะ” ผ่านกระจกที่บ้าน หรือไม่ก็ตามประตูกระจกเงาที่สำนักงานน่ะ :)
“ขี้เก็กสุดๆเลยใช่มั้ยล่ะ?”
“คุณเคยเห็นเหรอ?”
“ไม่อะ” ซูโฮส่ายหัวรัว “แค่รู้สึกได้”
“รู้สึกได้ว่าเค้าขี้เก็กเนี่ยนะ??”
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วก็ไม่ใช่แค่ขี้เก็กอย่างเดียวด้วยนะ ยังเรื่องมาก เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีเหตุผล แล้วก็...หน้าตาต้องไม่ได้เรื่องสุดๆ!”
เซ้นส์คุณแม่นมากนะซูโฮ -__-
“แถมยังงี่เง่าอีกต่างหาก”
ยังไม่จบ...
“ผมขอโทรฯหาเค้าก่อนนะ นี่กะจะให้รอจนถึงเย็นเลยรึไง คนเค้าก็มีงานต้องทำนะ!” พูดจบก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อทันที ทำเอาคริสสะดุ้งหาทางออกแทบไม่ทัน
“เอ่องั้น... ผมกลับก่อนนะ แอบอู้มาซะนาน”
“อะ..อ้าว!”
เพราะถ้าขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังซูโฮคงจับไต๋ได้แน่ๆ! เขาไม่อยากโดนคนสวยทุบเอากลางร้านกาแฟหรอกนะ!
“เจอกันครั้งหน้าครับ ผมไปนะ” คริสวางเงินเอาไว้บนโต๊ะแล้วก็รีบชิ่งออกไปนอกร้านทันที เฉียดฉิวกับที่ริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
คริสมองดูชื่อที่ขึ้นมาบนหน้าจอ บนใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง
“ขอโทษนะครับคุณซูโฮ ผมมีธุระด่วน คงไปพบคุณไม่ได้แล้ว”
TBC
ลงฟิคสั้นคริสซูโฮฉลองโมเม้นท์ 2lead กันสักหน่อย -w- ไปเดทกันสองคนแบบนี้ ชิปเปอร์อย่างเราก็ฟินตายสิคะ !
ใครอยากอ่านต่อ เม้นด่วนค่ะ :D
ปล. ฟิคเรื่องนี้เคยเป็นฟิคโปรเจคมาก่อน เราเขียนเอง และตอนนี้ก็นำมารีไรท์ (เผื่อใครคุ้นๆ)
ความคิดเห็น