ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] Fic| Rainy Again | Chanbaek & Hunhan

    ลำดับตอนที่ #2 : Part 2 : Hurt again (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 56


    *มีการรีไรท์ฉากของลู่หานกับเซฮุนซักเล็กน้อยตอนที่อยู่ในห้องนอนกัน
    **ร้างจากการเขียนฟิคนาน และพาร์ทนี้ก็มีซีนอารมณ์เยอะทีเดียว อาจจะขัดๆไปบ้าง ก็ขออภัยนะคะ

    ***ตั้งแต่พาร์ทนี้เป็นต้นไป ขอเปลี่ยนชื่อคริสจาก ‘อู๋ฟานเป็น อี้ฟานนะคะ :)

     

    ความเดิมตอนที่แล้ว

    ชานยอลได้แต่โทษว่ามันเป็นเพราะลมทะเลเอื่อยๆกับเบียร์สามกระป๋องที่ทำให้เขาเผลอจูบหมาแสบ แล้วก็หน้าด้านทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวเมื่อตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับแบคฮยอนอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดีขึ้นหลังจากที่แบคฮยอนจมน้ำเกือบตายแต่ชานยอลช่วยไว้ได้ทัน แต่แล้วทุกอย่างก็พังโครมเมื่อคยองซูและเซฮุนปรากฏตัวขึ้นบนเกาะเชจู ชานยอลต้องสับสนอีกครั้งกับคำขอร้องของคยองซูที่บอกว่า เรากลับมารักกันได้มั้ย

     

    ด้านลู่หาน หลังจากตกลงคบหากับอี้ฟานเพื่อนสนิทผู้แสนดี แม้ว่าทั้งคู่จะเข้ากันได้ดี แต่ลึกๆแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่มีความอึดอัดเกิดขึ้นในความสัมพันธ์นี้ การเริ่มต้นที่ไม่มั่นคงยิ่งสั่นคลอนเมื่อเซฮุนยังคงเอาแต่เล่นตลกกับหัวใจของพี่ชาย คนที่คัดค้านความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องมาตลอดกลับออกปากเองว่าจะย้ายเข้ามา

    อยู่ใต้หลังคาเดียวกันในฐานะ น้องชาย....หรือนี่จะเป็นเกมอีกหนึ่งด่านที่ลู่หานต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้?

     

     

    Part 2

    Hurt again

     

     

     

     

    มันมีมากกว่าหนึ่งครั้งที่เขาอยากหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินย้อนกลับ

     

    ไม่ใช่ว่ามีความผิดพลาดมากมายจนอยากกลับไปแก้ไข บางทีลู่หานก็แค่คิดแบบคนโง่ๆว่าการย้อนเวลาจะช่วยให้เขาไม่ต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ปัจจุบัน

     

    น่าขำ.. ที่ช่วงนี้ความคิดงี่เง่าพวกนี้เข้าออกสมองเขาบ่อยเกินไป

     

     

    แล้วทำไมเจ้าหนังสือนี่ถึงได้ดึงออกมายากจังนะ....

     

    คิ้วได้รูปมุ่นเข้าหากันเมื่อพบว่าแม้จะออกแรงมากกว่าเดิมแล้วแต่กลับไม่ได้ผล เจ้าหนังสือเล่มโตยังติดหนึบอยู่บนชั้น

     

    ฮึบ!

     

    ปุ่ก!!

     

    “เฮ้นาย....”

     

    เมื่อหนังสือเจ้าปัญหาหลุดออกไป หนังสือเล่มอื่นๆบนชั้นจึงเอียงตัวกระเท่เร่ แต่ก็ยังพอมีช่องว่างให้มองลอดไปอีกฝั่ง รอยยิ้มแบบเจ้าชายจอมเจ้าเล่ห์กระทบม่านตาอย่างจัง ลู่หานเลยปั้นหน้าบูดใส่กลับไปอย่างไม่ต้องเสียแรงคิด “สนุกมากไง?”

     

    อี้ฟานยังไม่เลิกยิ้ม แม้ว่าร่างสูงเฉียดๆ 190 เซนติเมตรนั่นจะเคลื่อนมาอยู่ฝั่งเดียวกันแล้วก็เถอะ..ไม่รู้ว่ามีความสุขอะไรนักหนา รู้มั้ยว่าคนมองเค้าหมั่นไส้!

     

    “ก็เล่มนี้นายใส่ผิดชั้น”

     

    “ก็กำลังจะย้ายนี่ไง”

     

    “ช้า”

     

    ยังไม่ทันให้เขาได้แยกเขี้ยวหรือกัดคืนพอให้สนุกปาก กล่องใส่หนังสือในมือก็ปลิวไปอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวสูงซะแล้ว ได้ทีคุณเจ้าของร้านก็แย่งงานกันซึ่งๆหน้าเลยนะ

     

    “ลู่หาน” กำลังว่าจะย่องหนีไปพักแล้วเชียว ยังจะเรียกไว้อีก..แบบนี้ไม่ต้องมาช่วยแต่แรกเลยดีกว่าม้ะ?

     

    “อาราย....???” นั่น! เห็นนะว่าแอบขำอะ ก็อยากพักบ้างนี่นา ไหนๆก็มีคนช่วยแล้ว

     

    “จะขอไปนอนเป็นเพื่อน”

     

    “หือ???”

     

    “อยู่บ้านคนเดียวไม่ใช่รึไง?”

     

    “ก..ก็ใช่” ก็ตั้งแต่ที่ป๊ากับน้าซูฮยอน ไม่สิ ต้องเรียกว่าแม่ถึงจะถูก...นั่นแหละ ก็ตั้งแต่ที่ไปฮันนีมูนกันแล้วโทรฯมาบอกว่าอาจอยู่ต่อยาวสักหน่อย ลู่หานก็อยู่คนเดียวมาก็เกือบๆจะสองอาทิตย์แล้ว

     

    “อยู่คนเดียวมันอันตราย ไม่รู้รึไง”

     

    “ก็อยู่มาตั้งนานแล้วไม่เห็นจะมีอะไร”

     

    “วันนี้อาจจะมีอะไรก็ได้”

     

    “มันจะมีอะไรก็เพราะนายไปอยู่ด้วยนี่แหละ”

     

    “หือ?? มีอะไรล่ะ?”

     

    “หืออออ???” นี่ก็งงไปด้วยจนกระทั่งสังเกตเห็นแววตาทะลึ่งทะเล้นจากอีกฝ่ายน่ะแหละถึงเพิ่งได้รู้ตัว “ย๊า! ไอ้บ้าลามก ฉันเพิ่งเป็นแฟนกับนายแค่สามวันเองนะเว้ย!

     

    อี้ฟานแทบจะขำพรวด “อะไร... นี่คิดอะไรของนายเนี่ยลู่หาน”

     

    “ก็นายบอกว่า...............” มีอะไร...ไม่ใช่รึไงเล่า!!!

     

    ยิ่งเจอจ้องด้วยแววตาวาววับ ลำคอของเขาก็ดูเหมือนจะตีบตันมากกว่าเก่า ลู่หานกระชากเอากล่องหนังสือกลับมากอดไว้แล้วหันหน้าเข้าชั้นไม้ ไม่พูดด้วยเว้ย! กล้าดียังไงมาชวนคนอื่นคิดเรื่องลามกแต่เช้าวะ นี่คบกันมาตั้งหลายปีเพิ่งจะรู้ว่าเป็นคนแบบนี้ก็วันนี้แหละ

     

    รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆคนเรา!!

     

    “ลู่หาน” อี้ฟานหันหลังพิงชั้นหนังสือและหรี่ตามองใบหน้าขาวใสของคนตัวเล็กที่เอาแต่ทำเมินเขา “เมื่อกี๊นายพูดว่าเราเป็นแฟนกัน”

     

    เขายิ้มตอนที่พูดประโยคนั้น แต่มันกลับปลิวหายไปเพียงแค่เห็นว่าแววตาของลู่หานสั่นไหวและมือบางที่ชะงักค้าง แม้มันจะแค่ชั่ววูบที่แทบสังเกตไม่เห็น...แต่อี้ฟานรู้สึก..และรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร

     

    ร่างสูงผละออกจากชั้นไม้ ก่อนเอื้อมมือออกไปรั้งเอากล่องหนังสือนั่นกลับมา ลู่หานทำท่าจะหันมาแย่งแต่เขาเร็วกว่า จัดการยกมันขึ้นไปวางไว้บนชั้นสูงสุดเป็นการตัดปัญหา และตอนนี้เขากำลังจงใจจ้องลึกลงไปในดวงตากลมสวยของลู่หาน ไม่เพียงแค่ค้นหาบางอย่าง...

     

    “คืนนี้ให้ฉันไปอยู่ด้วยนะ”

     

    แต่มันรวมถึงบางสิ่งที่เขาอยากจะบอก

     

    “......” ลู่หานหลบตา ดูเหมือนกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างภายในใจซึ่งเขาไม่มีวันรู้

     

    “ในฐานะคนๆนึงที่มีนายเป็นคนสำคัญ...ให้ฉันได้ดูแลนายบ้างเถอะ” เขายกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรนายเลย ปลายนิ้วก็ไม่ให้สะกิด” แล้วก็ฉีกยิ้มหวานสมทบเข้าไปอีก

     

    “นะ”

     

     

    ภายในร้านมันเงียบจนได้ยินเพียงเสียงของเข็มนาฬิกา..เขาอยากให้มันเดินช้ากว่านี้ ซักครึ่งวินาทีก็ยังดี

     

     

    “เอากล่องนั่นลงมา”

     

    “........”

     

    “นายกำลังรบกวนเวลาของลูกจ้างอยู่นะคุณเจ้าของร้าน”

     

     

    อี้ฟานคอตก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วก็ยืนทำตาละห้อยมองดูลู่หานจัดหนังสือจนหมดทั้งกล่อง จวบจนร่างเล็กเดินไปวางกล่องเข้าที่และเดินบิดขี้เกียจออกไปหน้าร้าน เขาจึงทำใจว่าคงได้กินแห้วอีกตามเคย อี้ฟานพองแก้มใส่เจ้าชั้นหนังสือที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

     

     

     

    “ฉันนอนดิ้นนะ”

     

     

     

    กว่าที่สมองจะประมวลผล...

     

     

    “ว่าไงนะ...?”

     

     

    “ช้า!

     

     

     

    *

     

     

     

    อู๋อี้ฟานชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ และหลายครั้งที่ได้รับคำชมว่าเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง ไม่ว่าจะเป็นวิชาแขนงไหนแต่หากเขาตั้งใจแล้วล่ะก็ ไม่เคยผิดหวังเลยซักครั้ง แต่กับครั้งนี้เขาคิดว่าคงเจอหินก้อนเบ้อเร่อเข้าแล้วล่ะ ไม่เคยเข้าใจไอ้ทฤษฎีที่เรียกว่า ความรักซักที ไม่รู้ว่ามันมีกลไกลการทำงานยังไง แล้วทำไมไอ้การที่หัวใจต้องทำงานหนักกว่าเดิมมันกลับทำให้เขายิ้มไม่ยอมหยุดเสียทีแบบนี้ล่ะ??

     

    เขายังไม่ใจแข็งพอที่จะนอนบนเตียงหลังเดียวกันกับลู่หาน เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เลยต้องหอบเอาผ้าห่มไปนอนขดอยู่บนโซฟากลางห้องรับแขก แต่ก็ทนได้ไม่นานหรอก ต้องแอบย่องเข้ามาดูว่าคนตัวเล็กนี่หลับไปหรือยัง สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการมานอนเอาคางเกยฟูกนิ่มแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น ตื่นมาอีกทีก็พบว่าปลายจมูกโด่งรั้นห่างออกไปเพียงไม่ถึงคืบจนต้องรีบขยับตัวออกก่อนที่จะห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่

     

    แม้สถานะจะเปลี่ยน แต่อี้ฟานก็ยังไม่กล้าคิดว่าความรู้สึกของลู่หานจะเปลี่ยนไปจากเดิม

     

    เขายิ้มบางออกมาอีกครั้ง ก่อนเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมสีทองนั้นอย่างเบามือ

     

    ....นายยอมคบกับฉันเพราะอะไรกันนะลู่หาน?...

     

    ปิ๊งป่อง!

     

    เหมือนว่าเสียงกริ่งนี่จะดังขึ้นมาถูกเวลา เพราะถ้าปล่อยให้มีแต่ความเงียบต่อไป ก็คงมีแต่คำตอบของคำถามนั้นที่ลอยวนเต็มไปหมด เขาไม่อยากได้ยิน..ไม่ว่ามันจะเป็นคำตอบที่คิดไปเอง หรือเป็นคำตอบที่เป็นความจริง

     

    เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้งแต่เจ้าของบ้านยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว อี้ฟานจึงยันตัวลุกขึ้นเดินออกไปดูเอง คงจะเป็นเด็กส่งของล่ะมั้ง ใครล่ะจะมีธุระตอนเช้าตรู่ขนาดนี้

     

    แต่เขาเดาผิดเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วพบกับเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์พับขา ใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยแววตารีเรียวและอารมณ์ที่เรียบเฉยตลอดเวลาทำให้เขานึกออกทันที

     

    “โอเซฮุน มาหาพี่ชายแต่เช้าเลยนะ”

     

     

    เขายอมรับ ว่าไม่เคยคาดคิดถึงสถานการณ์แบบนี้ ดวงตาเรียวหรี่ลงสำรวจอีกฝ่ายที่เหมือนจะสูงกว่าเขาเล็กน้อย ผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงแม้จะไม่ถึงขั้นเละเทะ กับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ถ้าไม่ใช่เด็กอนุบาลก็คงต้องดูออกว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งตื่น และแน่นอนว่าเมื่อคืนทั้งคืน... ลู่หานอยู่กับใคร

     

    “เฮ้ อย่าเข้าใจผิดน่า ฉันแค่มานอนเป็นเพื่อน ไม่ได้ทำอะไรพี่ชายนายนะ สาบานได้”

     

    เซฮุนเสตามองไปทางอื่นพร้อมกับชักสีหน้าเบื่อหน่าย “คุณจะทำอะไรกับลู..กับพี่ชายผม ก็ไม่เห็นจะต้องรายงานหนิ”

     

    อี้ฟานยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งถ้านั่นเขาจงใจจะทำให้เซฮุนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาล่ะก็....นับว่าได้ผลดีทีเดียวเลยล่ะ

     

    “ก็เผื่อว่านาย..จะหวงพี่ชายน่ะสิ”

     

    แววตาของเด็กตัวสูงแข็งกร้าวมากกว่าเมื่อครู่ ทว่าอี้ฟานทำเป็นมองไม่เห็นและเอาแต่ยิ้มให้เซฮุนรำคาญลูกกะตาเล่น “แต่ว่าลู่หานยังไม่ตื่นนะ คงจะเพลีย..”

     

    “ช่วยขนของหน่อย” เซฮุนตัดบทก่อนจะหันหลังกลับไปยังรถเก๋งคันหรูและจัดการเปิดกระโปรงหลังรถขึ้น เด็กหนุ่มคว้าเพียงกระเป๋าเป้สีดำสนิทพาดไหล่และทิ้งกระเป๋าเดินทางอีกสองใบใหญ่ๆไว้ให้อี้ฟานรับผิดชอบต่อ

     

     

    “คิดว่าฉันดูไม่ออกรึไง โอเซฮุน” คนอายุมากกว่าได้แต่มองตามหลังเด็กหนุ่มพลางส่ายหัวเบาๆ รอยยิ้มเกลื่อนกลาดเมื่อครู่เลือนหายไปทดแทนด้วยแววตาอ่อนล้า..ที่เขาจะไม่มีวันให้ใครได้เห็น โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้น

     

     

    ...โอเซฮุน

     

     

    Cut 20%

     

     

     

    เท้าข้างที่กำลังจะแตะพื้นบันไดขั้นล่างสุดชะงักค้างไปดื้อๆเสียอย่างนั้น เช่นเดียวกับอีกคนที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากไปกว่าการใช้สายตาเรียบเฉยนั่นจ้องมองเขา ลู่หานสบตากลับไป รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความฝัน สิ่งที่เซฮุนพูดเอาไว้เมื่อตอนที่อยู่เชจูเขาจำมันได้ดี

     

    “น่าน้อยใจชะมัด ที่พี่ดันลืมว่าผมจะย้ายเข้ามาวันนี้”

     

    ลูกตากลมเหลือบมองไปทางด้านหลังของเด็กหนุ่ม อี้ฟานกำลังเดินมาจากทางนั้น..ไม่รู้ทำไม แต่ตอนนี้เขากำลังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง คล้ายว่าออกซิเจนในห้องกำลังถูกดูดกลืนไปโดยร่างสูงที่จ้องเขาตาไม่กระพริบ ลู่หานเบนสายตากลับมาจุดเดิมอีกครั้ง

     

    “ว่าแต่....จะให้ผมเอาของพวกนี้ไปไว้ที่ไหนดีล่ะ”

     

    เขาไม่ชอบน้ำเสียงแบบนี้เลยจริงๆ รวมถึงรอยยิ้มนั่นก็ด้วย

     

    “ตามมาสิ” แต่เพราะสายตาอีกคู่ของอี้ฟานที่จับจ้องอยู่ทำให้เขาทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการเล่นตามน้ำไปกับเซฮุน ต้องแสร้งทำเป็นพี่ชายไม่ได้เรื่องที่ดันลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปเสียได้....

     

    จะอีกกี่ครั้ง เขาก็ยังเป็นฝ่ายเดินตามเกมส์อยู่ดี

     

     

    ห้องนอนที่อยู่ติดกันไม่เคยถูกใช้งานเลยตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะมีสมาชิกเพียง 2 คนพ่อลูก ลู่หานเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อตอนเป็นเด็กและคำตอบที่ได้ก็คือ

     

    เอาไว้ให้น้องของลู่หานอยู่ยังไงล่ะ

     

    พ่อบอกแบบนี้....ก่อนที่แม่จะจากไปหลังจากนั้น

     

    จากไปโดยไม่หวนกลับ

     

     

    ร่างบางเดินไปเลื่อนผ้าม่านสีเปลือกไข่ไก่ให้แยกออกจากกัน แสงอาทิตย์จากภายนอกสาดส่องเข้ามาตกกระทบกับเตียงสีขาวกลางห้องและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆซึ่งถูกทำความสะอาดเอาไว้อย่างดี

     

    “ไม่เล็กไปใช่มั้ย?” ถ้าเทียบกับคอนโดฯของเซฮุน เขารู้ดีว่าห้องๆนี้เล็กกว่าเกือบสองเท่า ทว่าไม่มีคำตอบใดๆให้กับคำถามนั้น เขาจึงทำเพียงมองตามร่างสูงของเด็กหนุ่ม...มองดูเป้สีดำที่ถูกวางลงบนเตียงนอน และจ้องมองลงไปในดวงตารีเรียวคู่นั้น

     

    “แบบนี้ก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้วสิ” อี้ฟานที่ตามเข้ามาทีหลังร้องทัก ลู่หานหันไปยิ้มให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร

     

    มีเพียงเซฮุนที่เสหน้าไปทางอื่น..ก็จริงที่เขาชอบรอยยิ้มของลู่หาน แต่ก็เฉพาะตอนที่ไม่ได้ยิ้มให้กับหมอนั่น

     

    “ผมหิว”

     

    “เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายช่วยน้องจัดของเถอะ” เป็นอี้ฟานที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน และไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธเขาก็หายตัวออกไปจากห้องทันที เหลือทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

     

     

    ลู่หานมองตามประตูบานนั้นจนมันปิดสนิทกับวงกบ แทนที่ว่าอี้ฟานออกไปแล้วเขาจะสบายใจขึ้นแต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด...ตราบใดที่ห้องๆนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าโอเซฮุนอยู่

     

    เสียงยุบยวบของฟูกที่นอนทำให้ต้องหันกลับมา และเขาก็เห็นว่าเซฮุนทิ้งตัวนอนหงายลงบนนั้น

     

    “พี่ลูฮาน”

     

    หนึ่งวินาทีหลังจากนั้นช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก ลู่หานยังไม่ละสายตาออกจากร่างสูง..ในขณะที่ความคิดในหัวกำลังตีกันวุ่นวาย

     

    “พี่ลูฮาน”

     

    “.....”

     

    “ชอบที่ฉันเรียกแบบนี้มั้ย?”

     

    ไม่รู้........นั่นเป็นคำตอบที่จริงใจที่สุดที่เขาพอจะนึกออก

     

    แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น บางทีเซฮุนคงไม่อยากได้คำตอบมากไปกว่าการกวนอารมณ์เขาให้ขุ่น

     

    “แต่ฉันไม่ชอบ” เด็กหนุ่มซึ่งปิดตาสนิท ปล่อยให้แสงแดดไล้ใบหน้าเกิดเป็นเงาตกกระทบของสันจมูกและแพขนตายาว และลู่หานก็ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเฝ้ามองสิ่งเหล่านั้นอยู่

     

    “ลูฮาน..” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อเขาแผ่วเบา

     

    “ลูฮาน..” ทว่ามันกลับทำให้หัวใจสั่นไหวรุนแรง แก้วตาวูบไหว ก่อนจะเสออกไปทางอื่นซึ่งไม่ใช่ร่างสูงของโอเซฮุน

     

    เซฮุนลืมตาขึ้น ก่อนผุดลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหันมายิ้มให้เขา “ฉันชอบแบบนี้แหละ”

     

    ลู่หานสูดหายใจลึก โดยหวังว่าความรู้สึกนับร้อยที่อัดแน่นอยู่ในอกมันจะหายไปบ้าง แค่เพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี

     

    “กว่าพ่อกับแม่จะกลับมาก็คงปลายๆเดือน สองอาทิตย์ระหว่างนี้นายจะอยู่ที่คอนโดฯต่อก็ได้” การปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกปั่นหัวดูจะเป็นความคิดที่โง่เง่าซะเหลือเกิน ลู่หานตัดสินใจพูดมันออกไป โดยตั้งใจให้มันมีความหมายตามที่พูดตรงๆ

     

    “ไม่เอาหรอก” เซฮุนเลิกคิ้วสูง “ถ้าฉันไม่อยู่นี่ หมอนั่นก็จะเสนอหน้ามาน่ะสิ”

     

    “หมอนั่นที่นายพูดอยู่คืออี้ฟาน.....” ลู่หานชะงัก รู้ตัวว่าสู้กับสายตาแข็งกร้าวนั่นได้ไม่นานหรอก ไม่นานเขาก็คงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกตามเคย

     

    “และตอนนี้เค้าก็เป็นคนรักของฉัน กรุณาให้เกียรติด้วย”

     

    เซฮุนไม่ปฏิเสธ ว่าคำพูดเหล่านั้นของลูฮานก็เหมือนคมมีดที่กำลังกรีดลงมาบนก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้าย

     

    ร่างโปร่งลุกขึ้นจากเตียง สาวเท้าเข้าหาอีกคน ระยะห่างที่หายไปทำให้ใบหน้าได้รูปนั้นแจ่มชัดขึ้นในสายตา เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่กำลังสะท้อนเป็นภาพใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน

     

    เขายังคงชอบแววตาสั่นไหวของลูฮานไม่เคยเปลี่ยน

     

    เซฮุนยิ้มออกมาบางๆ ลู่หานมองรอยยิ้มนั้นที่กำลังถูกบดเบือนด้วยแสงแดดสีทอง...ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้เห็นรอยยิ้มของเซฮุน และทุกครั้งเขาก็ไม่เคยชอบมันเลย

     

    “ที่นายคบกับหมอนั่น มันเป็นเพราะฉันใช่มั้ย?”

     

    ลู่หานยังคงสู้สายตาอีกฝ่าย ลูกตากลมคู่นั้นแม้จะสั่นมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ละออกไป..เขาจะไม่ยอมแพ้ให้กับเซฮุนอีกแล้ว

     

    “มันเป็นเพราะว่าฉันกับอี้ฟาน.....เรารักกันต่างหาก”

     

    วูบหนึ่ง ลู่หานเห็นว่าแววตาคมคู่นั้นวูบแสงลง เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เหมือนกับหัวใจของเขามันร่วงหล่นหายไป

     

    “เลิกเล่นเกมส์บ้าๆของนายได้แล้ว”

     

     

    “ไม่”

     

     

    คำตอบที่แสนราบเรียบ ทว่ากลับบีบให้หัวใจของลู่หานปวดปลาบไปหมด

     

    “นายอาจจะบอกรักใครก็ได้แม้ว่านายจะไม่ได้รัก...”

    “แต่นายจะมาบังคับให้ฉันเลิกรักนายไม่ได้หรอก...ลูฮาน”

     

    “มันยากเกินไป”

     

     

    จบที่พูด ร่างสูงของเซฮุนก็พลิกตัวเดินออกไป ก่อนที่ภายในห้องจะตกอยู่ในความเงียบ ทุกสรรพสิ่งนิ่งงันไร้การเคลื่อนไหว คงมีเพียงริ้วม่านพลิ้วไหวและน้ำตาที่กลิ้งไหลหยดลงบนพื้น กับเสียงหัวใจที่แผ่วเบาละมั้งที่ทำให้รู้ว่ายังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ยังหายใจ

     

    มันยากเกินไป......ที่เราจะรักกัน

     

     

     

    *

     

     

     

    ง่ายจะตายไป!

     

    การอยู่กับปาร์คชานยอลนี่มันง่ายซะยิ่งกว่าการปอกกล้วยแล้วโยนให้แพนด้ากินซะอีก ตื่นมาก็มีข้าวเช้าให้กิน อยากจะไปไหนมาไหนก็มีคนรับส่ง แถมถ้าวันไหนเบื่อๆก็ยังไปอ้อนให้พาไปเที่ยวได้อีก

     

    ไอ้ที่ยากก็มีอยู่เรื่องเดียวแหละนะ

     

    ก็ไอ้เรื่องที่เดาอารมณ์ตานั่นไม่ค่อยจะออกซักทีไงล่ะ

     

     

    กลิ่นหอมฉุยของมื้อเช้านี่มันทำร้ายระบบย่อยอาหารในร่างกายเสียจริง ยิ่งตอนที่ท้องว่างอยู่แบบนี้แล้วด้วย ถ้าแทะชามกินเป็นออร์เดิร์ฟได้แบคฮยอนก็คงจะทำไปแล้ว!

     

    “มีไรกินมั่งอ่า” ถามไปงั้น เพราะก็เห็นๆอยู่ว่าในจานกระเบื้องสีขาวสะอาดมีไส้กรอกร้อนๆนอนแอ้งแม้งยั่วน้ำลายอยู่ มือเรียวตะปบส้อมหมับ ไม่รอช้าที่จะจิ้มเอาไส้กรอกผู้โชคร้ายเข้าปากกัดดัง..

     

    “อ้ากกกกกกกกกก ร้อน~~~

     

    “เฮ้ยมันร้อนนะหมาแสบ”

     

     รู้แล้วโว้ยว่าร้อน! นี่ถ้าไม่ติดว่าปากพองก็จะตะโกนใส่ให้หูระบมไปข้างเลย!

     

    “อ่ะน้ำ” ตัวเล็กคว้าเอาแก้วน้ำมาเทลงคออย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะมายืนเอามือเท้าขอบเค้าน์เตอร์แล้วแล่บลิ้นแผล่บๆเป็นหมาหอบ

     

    “ไง เห็นแก่กินจนได้เรื่องเลยนะ”

     

    “ไม่ต้องซ้ำเติมเลยนะ!

     

    ชานยอลขำใส่หน้าอย่างไม่คิดจะปิดบังกันซักนิด โหหหห! นี่มันจงใจยั่วโมโหกันนี่หว่า

     

    แบคฮยอนหยิบเอาส้อมขึ้นมาอีกครั้ง กำมันไว้ในมือแล้วง้างออกเตรียมจู่โจมเต็มที่

     

    “ฟู่ว!” แต่แล้วก็ต้องค้างกลางอากาศตอนที่เห็นว่าชานยอลกำลังจิ้มเอาเจ้าไส้กรอกขึ้นมาเป่า หน้าตาท่าทางดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษจนเผลอยืนมองจ้องอยู่แบบนั้น “อ่ะ ไม่ร้อนแล้ว”

     

    ไส้กรอกถูกยื่นมาให้ตรงหน้า แต่แบคฮยอนเอาแต่กระพริบตาปริบๆ

     

    “ไม่กินล่ะ?”

     

    “ไม่กิน”

     

    “อะไรของนายเนี่ย”

     

    “จะเอาไข่ดาวเพิ่ม”

     

    ชานยอลจิ๊ปาก แบคฮยอนเลยรีบหันหลังกลับวิ่งดุ่กๆไปนั่งแหม่บอยู่บนเก้าอี้ในห้องทานข้าวเป็นการตัดบทที่ดูเหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆด้วย “ตกลงนี่ใครเป็นเจ้านายกันแน่?”

     

     

    แบคฮยอนไม่เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้เลย เขาชอบที่ชานยอลเอ็นดูเค้าเหมือนลูกหมา คอยดูแล คอยตามใจ ในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดการกระทำแบบนั้นของอีกฝ่าย ...ชานยอลทำดีไปเพื่ออะไรกัน ยังไงซะเค้าก็เป็นแค่หมาหลงที่มีแต่จะเอาภาระมาเพิ่มให้

     

    “หมาแสบ”

     

    จานอาหารของเขาถูกวางลงตรงหน้าพร้อมๆกับที่ชานยอลก็เลื่อนเก้าอี้ฝั่งตัวเองออกเพื่อทิ้งตัวลงนั่ง “ได้ใจเข้าไปทุกวันแล้วนะนาย”

     

    แบคฮยอนตีหน้ามุ่ยไม่ยอมพูดยอมจา คว้าเอาช้อนส้อมขึ้นมาได้ก็จัดการกวาดทุกอย่างเข้าปาก

     

    “ค่อยๆกินดิเดี๋ยวสำลัก”

     

    “แค่กๆๆๆๆ!!

     

    เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ

     

    “พูดยังไม่ทันขาดคำ...ย๊า! ค่อยๆดื่ม เดี๋ยวก็สำลักอีกรอบหรอก” ชานยอลเฝ้าดูตัวเล็กที่กำลังหน้าดำหน้าแดงจากการสำลัก เขาเลื่อนแก้วน้ำของตัวเองไปให้อีกแก้วเพราะคิดว่าแก้วเดียวคงไม่พอ รอจนกระทั่งแบคฮยอนเลิกไอแล้วก็ยื่นทิชชู่ไปให้ ใบหน้าเล็กๆนั้นเงยขึ้นจ้องมองเขาด้วยตาหงอยๆ เห็นแบบนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ ...นี่จะให้ทำให้ทุกอย่างจริงๆใช่มั้ย? แต่จะทำไงได้ นอกจากยืดแขนออกไปเช็ดเอาคราบน้ำที่เลอะเทอะอยู่บนแก้มให้หมาแสบ “ต้องให้ดูแลอยู่เรื่อย”

     

    “ก็นายเป็นเจ้านายฉันหนิ”

     

    “ซักวันเถอะจะเอาไปแลกครุ”

     

    แบคฮยอนเบะปาก ไม่ได้เถียงอะไรกลับไป แม้ในใจจะเอาแต่พร่ำพูดว่า นายไม่ใจร้ายแบบนั้นหรอก ฉันรู้

     

    มื้อเช้ากลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไม่สิ..ถ้าไม่มีเจ้าเสียงริงโทนดังมาจากโทรศัพท์มือถือของชานยอลเสียก่อน มันก็น่าจะเรียกว่าปกติอยู่หรอก แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ทำเพิกเฉยต่อเสียงรบกวนนั้น ก่อนจะเลื่อนสายตาไปไว้บนหน้าจอทัชสกรีนที่ขึ้นเป็นรูปของใครบางคนที่เค้ารู้จักดี

     

    “คยองซูโทรมา ไม่รับเหรอ?”

     

    ชานยอลเลื่อนสายตามาสบกัน เขาจึงทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาจิ้มไส้กรอกเข้าปากเคี้ยวหยับๆ

     

    Rrrrrrrr!

     

    แบคฮยอนเขี่ยเบค่อนในจานไปมา เสียงเพลงวนขึ้นมาเป็นรอบที่สอง

     

    “เบค่อนไม่อร่อยรึไง?”

     

    “นายควรจะรับสายคยองซู...” เขาตัดสินใจพูดมันออกมา อย่างน้อย..ข้อดีที่สุดของการรับสายก็คือการทำให้เสียงเพลงน่ารำคาญนั่นเงียบลงไม่ใช่หรือไง “คยองซูอาจมีเรื่องด่วนอะไรก็ได้”

     

    ชานยอลหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า และแบคฮยอนเองก็ทำเพียงตักเบค่อนชิ้นนั้นเข้าปาก....เสียงขาเก้าอี้เสียดสีกับพื้นไม้ดังสนั่นภายในห้องครัวแคบ ชานยอลลุกออกไปพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ และเสียงริงโทนที่หายไป

     

     

     

     

    เขากดตัดสาย

     

    ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยกับการที่เขาต้องหลบหน้าคยองซู แต่ชานยอลไม่เก่งพอ เค้าก็เป็นแค่คนขี้กลัวคนหนึ่งที่ใจไม่กล้าพอที่จะมองเห็นน้ำตาของใครอีก คยองซูเสียใจมามากพอแล้ว และตัวเขาเอง...ก็ทำร้ายอีกฝ่ายมามากพอแล้วเหมือนกัน

     

    เวลา..มันเดินไปข้างหน้า

     

    แต่ชานยอลคงลืมไป ว่าเข็มของนาฬิกามันเดินวนอยู่เพียงที่เก่าๆ

     

     

    เขากลับมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง แต่กลับไม่พบแบคฮยอนหรือแม้แต่จานข้าวของเจ้านั่น

     

     

     

     

    ((อยู่ไหนหมาแสบ?))

     

    แบคฮยอนพองลมเต็มแก้ม ก่อนขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างรถเมล์แล้ววางคางเกยลงบนขอบ “ก็มาทำงานน่ะสิถามได้”

     

    ((ฉันบอกแล้วไงว่าจะไปส่ง))

     

    “แค่นี้แหละ เสียงมันดังไม่ค่อยได้ยิน”

     

    ((ฉันจะไปรับตอนเย็น อย่าหายตัวไปไหนอีกล่ะ))

     

    “ไม่ต้องมาเลยนะ”

     

    ((แค่นี้ล่ะ))

     

    “ย๊า!!!!!!เขาแหกปากก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่ามีสายตานับสิบคู่จ้องมองอยู่เลยตะปบปากตัวเองซะมิด แต่กระนั้นก็ไม่วายหันมาคาดโทษใส่เจ้าสมาร์ทโฟนในมือ “ไอ้คนเอาแต่ใจ!

     

     

    “เห?? ทำไมปิดร้านล่ะ?” ถามคำถามใส่เจ้าประตูกระจกใส และแน่นอนว่าคงไม่ได้คำตอบกลับมาหรอก แบคฮยอนล้วงเอามือถือขึ้นมากดปลดล็อก และเพิ่งสังเกตเห็นว่ามี missed call ...โทรฯมาตอนไหนหว่า?

     

    ((ฉันมารับลูกพี่ลูกน้องที่สนามบินน่ะ))

     

    “แล้วจำเป็นต้องปิดร้านทั้งวันเลยเหรอฮะ”

     

    ((ก็ตอนแรกจะรอให้นายมาแล้วฝากร้านไว้นั่นแหละ แต่โทรฯหาไม่รับสายนี่นา)) แบคฮยอนทำหน้ามุ่ยใส่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าพี่จุนมยอนมองไม่เห็นหรอก ((ถือว่าหยุดพักผ่อนละกัน ค่าจ้างยังได้เต็มวันเหมือนเดิม))

     

    ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินซะหน่อย...เขาเถียงในใจ แต่ก็ยอมวางสายจากพี่ชายใจดีแต่โดยดี ถึงอ้อนไปพี่จุนมยอนก็กลับมาเปิดร้านให้ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

     

    ปัญหามันอยู่ที่ว่า “จะไปไหนดีล่ะทีนี้?”

     

    การกลับบ้านไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าสนซักเท่าไหร่ แค่นึกถึงหน้านายหยอย(ที่เดี๋ยวนี้ไม่หยอยแล้วเพราะเห็นว่าโดนเพื่อนลากไปยืดผมมา)แบคฮยอนก็เซ็งสนิท....ยิ่งวันนี้ไม่มีอารมณ์อ้อนให้พาไปเที่ยวด้วยสิ

     

     

     

    ห้องซ้อมดูสงบกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะปกติมักจะมีเสียงดนตรีดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา พอเงียบๆแบบนี้ก็เลยดูแปลกหูแปลกตาไปสักหน่อย แบคฮยอนเดินไปเปิดฮีทเตอร์ และเลยไปคว้าเอากีต้าร์ลงมาจากผนัง

     

    “วันนี้ต้องจูนให้ได้เลย” หมายมั่นปั้นมือไว้ซะดิบดี ความจริงก็แค่หาอะไรทำแก้เบื่อไปงั้น ...เฮ้อ จริงๆถ้ามีใครซักคนมาเล่นกีต้าร์ให้เขาร้องเพลงคลอก็คงจะดีไม่น้อย

     

    แบคฮยอนลองดีดคอร์ด C เขายิ้มตอนที่ได้ยินว่ามันไม่เพี้ยนเท่าก่อนหน้านี้

     

    เนี่ย คอร์ด C ...ถ้าขยับนิ้วนางลงมาตรงนี้ ก็จะได้ A minor ลองดีดสิ

     

    นิ้วนางเรียวเล็กเลื่อนลงมาจากเดิมเล็กน้อย แตร๊ง...

     

    เพราะดี

     

    “บ้าจริง” เขาดีดสายกีต้าร์ให้มั่วซั่วไปหมดจนฟังไม่รู้เรื่อง หงุดหงิดจริง นี่ขนาดหนีมาห้องซ้อมแล้วเรื่องของตาบ้านั่นก็ยังไม่หายไปจากระบบความคิดซักที น่าเบื่อๆๆๆๆ

     

    “เฮ้ย!!

     

    “อยากตายรึไง”

     

    “นี่นายอีกแล้วเหรอนายโอเซ” ยอมรับว่าก่อนหน้านี้น่ะตกใจ ก็เล่นเข้ามาแย่งเอากีต้าร์ไปจากมือดื้อๆ แถมยังเข้ามาเงียบๆอีก แต่ตอนนี้เขากำลังมองตามนายตัวสูงที่ทิ้งตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามด้วยอารามแปลกใจระคนสงสัยมากกว่า “วันนี้ไม่มีซ้อมนี่”

     

    “ใช่ ไม่มีซ้อม”

     

    ไอ้ที่ตอบออกมาก็มีแค่นั้น แต่คิดว่าเขาดูไม่ออกรึไงว่าดวงตารีเรียวนั่นกำลังต่อว่าเค้าอยู่ คงจะประมาณว่า ทีนายยังเข้ามาได้เลยไม่ใช่รึไงตัวแสบ เหอะ! แค่พูดออกมาให้มันหมดๆดอกพิกุลจะร่วงหรือไง!!

     

    “ฉันกำลังจูนกีต้าร์อยู่นะ”

     

    เซฮุนได้ยิน เขารู้ แต่หมอนั่นกำลังทำหูทวนลม

     

    “นายเป็นคนสั่งให้ฉันจูนเองหนิ” เซฮุนผ่อนลมหายใจออกมา เสียงกีต้าร์ที่ดังแว่วๆอยู่เมื่อครู่เงียบหายไป เหลือไว้เพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ “คิดว่าเป็นหัวหน้าวงแล้วจะทำอะไรตามใจงั้นสิ นึกอารมณ์ดีก็บอกให้ร้องเพลง นึกอยากจะแกล้งก็สั่งให้จูนกีต้าร์ แล้ววันนี้นึกไงอีกล่ะ!

     

    “อย่าเพิ่งยั่วโมโหฉันตอนนี้นะแบคฮยอน” น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ แต่แบคฮยอนไม่สะท้าน

     

    “ฉันเองก็หงุดหงิดไม่ต่างจากนายนักหรอกโอเซฮุน”

     

    โครม!!!

     

    กีต้าร์ตัวนั้นถูกเขว้งลงกับพื้นจนชิ้นส่วนแตกกระจาย แบคฮยอนอึ้งจนต้องเงียบทุกสิ่งที่กำลังจะพูด เขามองตามโอเซฮุนที่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และตรงเข้ามาใกล้

     

    “เป็นบ้าไปแล้วรึไง”

     

    “ถ้าฉันสั่งให้นายทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

     

    ทำให้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา...ทุกสิ่ง ที่เขาปล่อยให้หลุดมือไปเพียงเพราะการกระทำโง่ๆ

     

    “นายก็คงทำไม่ได้อยู่ดี”

     

    มือที่กำกันแน่นคลายออกเมื่อได้ยินที่เซฮุนพูด แบคฮยอนแค่รู้สึกถึงบางอย่างในกระแสเสียงนั้น เขาพยายามจ้องลึกลงไปในดวงตารีเรียวสีถ่าน ทว่าอีกฝ่ายกับเบือนหน้าหนี

     

    “ไปให้พ้นหน้าฉันซะ”

     

    “ฉันไม่ไป”

     

    “งั้นนายก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก...ไม่ว่าจะพรุ่งนี้ หรือวันไหนก็แล้วแต่”

     

    “ว่าไงนะ”

     

    เซฮุนหันมามองนิ่งๆ “ฉันไล่นายออก”

     

    จู่ๆขอบตามันก็ร้อนผ่าว และปากก็สั่นจนพูดอะไรไม่ถูก เขาทำอะไรผิดงั้นเหรอ บอกเขาสิว่าเขาทำอะไรผิด??

     

    แบคฮยอนไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของตัวเองมันจะน่าสมเพชขนาดนี้ เขาไม่ใช่แค่หมาที่ชานยอลนึกอยากจะออกปากไล่ให้ออกจากบ้านตอนไหนก็ได้ แต่ตอนนี้เค้ายังเป็นเศษขยะของโอเซฮุนที่พอนึกจะอยากเขี่ยไปไกลๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร

     

    เขาแพ้แล้ว แม้จะพยายามกลั้นน้ำตาไว้แค่ไหนเขาก็พ่ายแพ้ให้กับความอ่อนแออยู่ดี แบคฮยอนปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มต่อหน้าโอเซฮุนที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร

     

    “ฉันบอกให้ไป!...”

     

    หมอนั่นร้องไห้?

     

    จู่ๆภาพของลูฮานก็ลอยเข้ามาในหัว....เขาทำคนร้องไห้อีกแล้ว

     

    ก็สมควรที่จะไม่มีใครเค้ารัก

     

    ใช่ สมควรแล้ว...

     

    “แค่โดนไล่ออกนี่มันจะอะไรกันนักกันหนา!?” เขายื่นมือไปคว้าแก้มนายตัวเล็กให้เงยหน้าขึ้นแล้วจัดการป้ายๆปาดๆคราบน้ำตานั่นออกให้ในลักษณะที่ไม่น่าจะเรียกว่าอ่อนโยนซักเท่าไหร่

     

    ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนยอมหยุดร้องไห้แล้ว แต่ยังไม่เลิกสูดน้ำมูกดังฟึดๆเสียที

     

    “ฉันมันใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่น่าคบเลยใช่มั้ย? นายคงเกลียดฉันมากสินะตัวเล็ก”

     

    ช่างเถอะ ไม่ตอบก็ช่าง เขาไม่อยากรู้แล้ว

     

    แต่แล้วแบคฮยอนก็ส่ายหัว ตาแดงๆช้อนขึ้นมองเขา “อย่างน้อยนายก็เคยช่วยฉันจาก 18 มงกุฎพวกนั้น”

     

    เซฮุนถอนหายใจ ก่อนจะเบะปากใส่เพราะสภาพของตัวเล็กนี่มันดูไม่ได้ซักนิด ตาก็ช้ำ หน้าก็เลอะเทอะ หัวก็ยุ่งเหยิง ...ทำไมถึงได้กล้าร้องไห้ต่อหน้าใครก็ไม่รู้แบบนี้นะ น้ำตาของนายมันไม่มีค่าเลยรึไง

     

    แล้วนี่ที่มาขลุกอยู่ห้องซ้อมแบบนี้โดนไอ้พี่ชานยอลไล่ออกมาอีกรึเปล่าก็ไม่รู้

     

    “กินไรมายัง?”

     

     

     

    *

     

     

    เซฮุนรู้ ว่าไอ้การที่เค้ามาอารมณ์เสียใส่นายตัวเล็กนี่มันไม่ถูกต้องนักหรอก แต่อย่างน้อยๆเขาก็รู้แล้วว่าคนเราทุกคนไม่ได้แข็งแกร่งเสมอไป นั่นหมายรวมถึงตัวเขาเองด้วย

     

    “มองอะไร?”

     

    “เปล่า” แบคฮยอนปฏิเสธทันควัน

     

    “ฉันรู้ว่านายจะถามว่าฉันเป็นอะไร”

     

    คราวนี้เงยหน้าขึ้นมาทำตาแป๋วเชียว “แต่ฉันไม่อยากบอก” แล้วก็จบด้วยการทำหน้ามุ่ยก้มลงไปคุ้ยไอติมตามเดิม เซฮุนเผลอยิ้มออกมา ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะอารมณ์ดีจนเกินไป

     

    แล้วก็ได้ดั่งใจเชียวล่ะ ตอนที่หันออกไปนอกร้านแล้วเจอเข้ากับร่างบางที่คุ้นตา คิ้วหนาขมวดชิดกันอย่างไม่สบอารมณ์ แค่เสี้ยววินาทีเขาก็จับลากเอาแบคฮยอนให้เดินตามออกมาจนได้

     

    “ย๊า! เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ยนายโอเซ!!

     

     

    “โอ๊ะ พี่ลู่หาน! หวะ..หวัดดีฮะ”

     

    ลู่หานก้มหัวให้แบคฮยอนเป็นการทักทายตามมารยาท ก่อนจะวกสายตาขึ้นมองเด็กหนุ่มตัวสูง เขายิ้มออกมาบางๆ “วันนี้ฉันคงกลับดึก จะเอากุญแจเข้าบ้านก่อนมั้ย?”

     

    “ไม่”

     

    “หรือว่านายจะกลับดึก ให้ฉันรอมั้ย?”

     

    “ไม่”

     

    แบคฮยอนหันมองคนข้างๆทันที ..หมอนี่นี่ติดโรคอารมณ์ขึ้นๆลงๆมาจากชานยอลรึไงนะ!!

     

    “ผมกำลังจะไปดื่มกับเจ้านี่พอดี มาเจอพี่แบบนี้ก็ดีเลย”

     

    “ย๊า..ใครจะไป....” กับนายมิทราบ ....แบคฮยอนอยากจะต่อประโยคให้จบอยู่หรอกนะ

     

    “ถือว่าเป็นการฉลองต้อนรับผมละกัน คงไม่รังเกียจใช่มั้ยครับ”

     

    ลู่หานหันมาสบตาเขา แต่แบคฮยอนทำได้เพียงหลบตาและทำเป็นเสมองไปทางอื่น ..เรื่องพี่ๆน้องๆนี่เค้าไม่ถนัดจริงนะ บ่องตง

     

     

     

    “ไม่ได้เจอพี่ลู่หานนานนนนเลยนะฮะ!^^” ตรรกะของการที่นายโอเซซึ่งเป็นคนออกปากชวนพี่ลู่หานมาเองแต่กลับไม่ยอมพูดจากันซักคำนี่คืออะไรวะครับ พยอนแบคฮยอนแม่งโคตรไม่เข้าใจ

     

    “ไม่แวะมาที่ร้านหนังสือมั่งล่ะ?” ยังดีที่เขายังพอมีอะไรคุยกับพี่ชายหน้าหวานอยู่บ้าง ก็เลยพอถูๆไถๆพอให้บรรยากาศไม่กร่อยไปได้ล่ะนะ

     

    “พี่ก็แวะมาที่ร้านกาแฟบ้างสิ!” แบคฮยอนตะโกนแข่งกับเสียงเพลงจนเริ่มรู้สึกแสบคอ เลยคว้าเอาแก้วเหล้ากรอกใส่ปากไปอึกใหญ่ๆ “พี่ดื่มไม่เก่งแหงๆ” ก่อนจะหันมาสังเกตแก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าพี่ลู่หาน ยุงวางไข่ได้ซักคอกนึงแล้วมั้ง

     

    พี่ชายหน้าหวานพยักหน้าแต่โดยดี ทว่าสายตากลับมองเลยเขาไปยังด้านหลัง

     

    โอเซฮุนลุกไปจากบาร์ ตรงแหน่วไปยังกลางฟลอร์เต้นรำที่มีสาวๆทอดสะพานรออยู่ก่อนแล้ว หมอนั่นนี่อย่างกับดอกไม้ป่าหายาก ที่พอถูกเด็ดเอาไปวางไว้กลางสวนก็มีแต่ผีเสื้อรุมดูดน้ำหวาน โดยที่เจ้าผีเสื้อพวกนั้นช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลยว่าน้ำหวานนั่น แท้จริงแล้วมันคือยาพิษ

     

    “แบคฮยอนไม่หึงเหรอ?”

     

    “เห???” ตัวเล็กเอียงคอ “ทำไมต้องหึงด้วยล่ะ”

     

    ลู่หานลอบมองดวงตารีเรียวของแบคฮยอน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองตามร่างสูงของโอเซฮุนที่กำลังกกกอดหญิงสาวหน้าตาสะสวยอยู่ตรงนั้น เขามองฝ่ามือหนาที่กำลังลูบไล้บั้นเอวของหล่อน มองแผงอกกว้างที่หล่อนซุกซบ มองปลายจมูกโด่งและริมฝีปากสีสดที่กำลังคลอเคลียไปตามแนวไหล่ขาวนวล

     

    ลู่หานกำลังหายใจไม่ออก

     

    หัวใจมันบีบตัวแน่นจนแค่หายใจก็ยังเจ็บ

     

     

     

     

    “อั่ก หมอนี่นี่ตัวหนักชะมัด!” แบคฮยอนโวยก่อนจะใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างดันร่างของโอเซฮุนจนหลังกระแทกเข้ากับรถแท็กซี่ “พี่ลู่หานจัดการไหวแน่นะ”

     

    “ไม่ต้องห่วงหรอก เราน่ะ รีบกลับบ้านได้แล้ว แล้วนี่ได้บอกเจ้าชานรึเปล่าว่าจะกลับดึก”

     

    เอ่อะ!! ลืมสนิทเถอะ

     

    “บ..บอกแล้ว” โกหกไปก่อนละกัน พี่ลู่หานจะได้ไม่ดุเอา

     

    “กลับบ้านดีๆล่ะ”

     

    “พี่ก็ด้วย”

     

    แบคฮยอนจัดแจงช่วยจับเอาร่างของโอเซฮุนยัดลงเบาะหลังรถแท็กซี่ได้แล้วก็มายืนโบกมือหงอยๆตามหลัง เขาล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วก็แทบจะร้องไห้ตอนที่เห็น missed call กว่า 50 สาย

     

     

    คุณเจ้าของ

     

     

     

    T^T

     

     

     

    Cut 70%

     

     

     

    บนหน้าจอสมาร์ทโฟนแสดงผลว่ากำลังติดต่อเจ้าของหมายเลข หมาหงอยเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วชานยอลก็คร้านจะนับ

     

    อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อจาก หมาแสบ เป็น หมาหงอย สุดท้ายก็ไม่วายแผลงฤทธิ์อยู่ดี

     

    หลังจากที่โทรฯหาพี่จุนมยอน จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขาก็ยังติดต่อนายตัวเล็กนั่นไม่ได้เสียที ชานยอลขมวดคิ้วจนตอนนี้หน้าทั้งหน้าดูยุ่งเหยิง เลื่อนนิ้วโป้งสไลด์โทรฯออกอีกครั้งแต่ผลก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม

     

    เสียงห้ามล้อรถเมล์ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ชานยอลผุดลุกขึ้น ร้อนรนจนเดินชนคนอื่นไปทั่ว กว่าจะหลุดออกมาได้นี่ก็ต้องแลกกับมะเหงกของอาจุมม่าไปหลายดอก

     

    ตึกก่อด้วยอิฐไม่ได้ฉาบปูนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ซอย เขาจับเอามือถือยัดลงเสื้อโค้ทก่อนออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณของเขาไม่ผิดแน่ นอกจากร้านพี่จุนมยอนกับบ้านของเขาแล้ว หมาแสบก็ไม่น่าจะรู้จักที่ไหนได้อีกนอกจากที่นี่

     

    เขาผลักประตูเข้าไปแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างโล่งอก ไฟที่เปิดสว่างและเสียงกุกกักหลังชั้นเหล็กสีดำช่วยให้หายเหนื่อยขึ้นเยอะ ...คอยดูเถอะจะจับตีก้นให้เข็ดเลย!

     

    “โอ๊ะ!! ตกใจหมด”

     

    เพราะย่องเข้าไปเสียเงียบเชียบ มันเลยไม่แปลกที่พออีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากันแล้วจะตกใจจนแทบหงายแบบนี้ ชานยอลรีบคว้าเอาข้อมือบางดึงเข้าหาตัว โชคดีที่เขาเร็วพอ เพราะหากช้ากว่านี้เพียงแค่ครึ่งวินาที หัวกลมๆนั่นคงได้โขกเข้ากับชั้นวางเหล็กที่ดูจะหนาเป็นพิเศษซะด้วย

     

    ไม่หัวโน...ก็คงได้แผลกลับบ้านซักแผล

     

    “ทำไมนายถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ?” เสียงที่อู้อี้อยู่ตรงหน้าอกทำเอาชานยอลสะดุ้ง เมื่อรู้ตัวแล้วจึงจับเอาไหล่บางดันออกจากตัว

     

    คนตรงหน้าคือโดคยองซู ไม่ใช่คนที่เขาตามหา

     

    “เหมือนว่านายจะผิดหวังที่เจอเรานะ”

     

    “แบคฮยอนได้มาที่นี่รึเปล่า?”

     

    มาหาเจ้านั่นสินะ...

     

    คยองซูหันหลังกลับไปหยิบเอาโน้ตเพลงออกมาจากแฟ้ม จงใจเพิกเฉยต่อคำถามนั้น....ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย

     

    “ฉันรู้แค่ว่าวันนี้ไม่มีซ้อม”

     

    คนตัวเล็กหันมาจ้องตาเขาด้วยแววตาที่แสนว่างเปล่า “มีอะไรต้องทำอีกรึเปล่า เราจะปิดห้องแล้ว”

     

    ชานยอลส่ายหน้าช้าๆ ทั้งที่ยังไม่คลายกังวลเรื่องของหมาแสบที่หายตัวไป คงไม่รับรู้ถึงสายตาของอีกคนที่มองมาด้วยความเจ็บปวด

     

    ทั้งๆที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆนายตอนนี้...แต่มันคงไม่ต่างอะไรไปจากธาตุอากาศ ใช่มั้ย? ปาร์คชานยอล....

     

    ไม่มีคำบอกลาใดๆ... หลังจากล็อกประตูห้องซ้อมเสร็จคยองซูก็พลิกตัวเดินออกมา

     

    “เดี๋ยวสิ คยองซู”

     

    หรือว่านายจะรับรู้ถึงการมีตัวตนของฉันแล้ว

     

    ชานยอลสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง “นาย....พอจะรู้รึเปล่าว่าแบคฮยอนรู้จักที่ไหนอีกนอกจากที่นี่”

     

    เขาอยากจะหัวเราะ แต่กลับหัวเราะไม่ออก... ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของชานยอล ยิ่งเห็นว่าแววตาขมุกขมัวนั่นกำลังตะโกนใส่เขาว่าเป็นห่วงพยอนแบคฮยอนมากแค่ไหน แทนที่จะเป็นการแค่นหัวเราะ คยองซูกลับอยากปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมามากกว่า

     

    ให้มันไหลออกมาจนกว่าจะล้างชื่อของผู้ชายคนนี้ออกไปจากความทรงจำของเขาได้

     

    “ทำไมนายต้องหลบหน้ากันด้วย”

     

    ชานยอลกัดริมฝีปากจนเจ็บ ในความคิดของเขาตอนนี้ คำถามของคยองซูนอกจากจะไร้สาระแล้วมันยังน่ารำคาญอีกด้วย แต่เขายังใจเย็นพอที่จะคว้าเอาไหล่บางทั้งสองนั้นไว้ และอธิบายให้อีกคนฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลมากที่สุดเท่าที่ความร้อนใจนี่จะไม่สามารถลดทอนมันได้

     

    “ฟังนะคยองซู”

    “ตอนนี้พยอนแบคฮยอนหายตัวไป และฉันก็ติดต่อเค้าไม่ได้เลย ฉันไปหาที่ร้านพี่จุนมยอนมาแล้วแต่ก็ไม่เจอ จนต้องมาที่นี่...”

     

    “หมาตัวนั้นสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”

     

    “โดคยองซู!

     

    เจ้าของชื่อทำได้แค่แค่นยิ้มออกมาตอนที่ได้ยินน้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยเรียกชื่อของเขา “เราช่วยนายไม่ได้ ขอโทษด้วย”

     

    ปาร์คชานยอลพูดไม่ออก

     

    คยองซูที่เขารู้จักไม่ใช่คนแบบนี้....ไม่ใช่เลย

     

     

     

     

    เขาเคยชอบแววตาเศร้าๆของพยอนแบคฮยอน

    เคยชอบเสียงร้องเพลงที่มีเอกลักษณ์นั่น

    รวมทั้งเคยไว้ใจ

     

    ซึ่งทั้งหมดมันได้กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว

     

    ตอนนี้แค่ชื่อของเจ้านั่นเขาก็ยังไม่อยากได้ยินด้วยซ้ำ

     

    แต่ทำไมชานยอลถึงได้เอาแต่ย้ำชื่อๆนั้นออกมา

     

     

     

    มันตั้งแต่เมื่อหลายปีที่แล้วที่เรื่องระหว่างเขากับชานยอลได้เริ่มต้นขึ้น เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่คนตัวสูงนั่นเข้ามาทักมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้จักปาร์คชานยอล ถึงแม้ว่าชานยอลจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไรมากมายในโรงเรียน แต่ตัวสูงๆกับรอยยิ้มกว้างๆนั่นมักจะอยู่ในสายตาของเขาเสมอ เขาดีใจจนกระโดดไปทั่วบ้านหลังจากที่รู้ว่าอีกฝ่ายก็คิดเหมือนกันกับตัวเอง บวกกับครอบครัวของเขาที่ไม่ได้ปิดกั้นหรือว่ามีความคิดคร่ำครึหัวโบราณ ไม่นานพวกเขาก็ตกลงคบหากัน

     

    เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ในเมื่อชอบกันแล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง คยองซูรักชานยอลด้วยหัวใจทั้งหมด ไม่เคยคิดเผื่อถึงความผิดหวัง เพราะคิดเสมอว่ามันจะไม่มีวันนั้น

     

    แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง... มันคือความรู้สึกของคนที่ถูกละเลย และหัวใจที่ถูกปล่อยให้อ้างว้าง ทั้งๆที่มือของเราทั้งสองยังจับจูงกันอยู่ แต่ก็เหมือนยืนอยู่ตามลำพัง

     

    เขาเป็นคนเอ่ยปากบอกเลิก เพียงเพราะคิดว่าไม่อยากเป็นฝ่ายเจ็บ

     

    ก็เหมือนกับที่เขาเอ่ยปากให้กลับมารักกัน

     

    เพียงแค่คิดว่าชานยอลคงไม่ปล่อยให้เขาเสียใจอีกครั้ง

     

    “คนนิสัยไม่ดี”

     

    เสียงเครื่องยนต์ที่วูบดับไปทำให้คยองซูหัวเสียกว่าเก่าจนต้องทุบกำปั้นเข้ากับพวงมาลัยเป็นการระบายอารมณ์ ทำไมเรื่องแย่ๆมันถึงได้ชอบมามะรุมมะตุ้มอยู่วันเดียวกันแบบนี้นะ!!

     

    เขาแทบสำลักตอนที่เปิดกระโปรงหน้ารถขึ้นมาแล้วมีไอน้ำจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าใส่ คนตัวเล็กประเคนฝ่าเท้าให้รถเฮงซวยอีกรอบ “อัชช์ เจ็บ” เขาอยากจะร้องไห้ให้มันสาสมกับความโมโหนี่เลย อยากลงไปดิ้นกับพื้นเลยด้วยซ้ำ!

     

    แต่ทุกความคิดก็ชะงักไปตอนที่เห็นร่างสูงของชานยอลรับโทรศัพท์ด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งขึ้นแท็กซี่ไปด้วยอาการร้อนรน “หากันเจอแล้วสินะ”

     

    “อยากเป็นหวัดตายรึไงโดคยองซูถึงได้มายืนตากหิมะแบบนี้”

     

    น้ำเสียงกวนบาทาดังขึ้นพร้อมๆกับที่เสื้อโค้ทตัวยักษ์ถูกคลุมทับลงมาบนหัว คยองซูหันขวับ

     

    “จงอินนา รถนายอยู่ไหน”

     

    หมอนั่นยังเอาแต่ทำหน้าเป็นหมีงงจนเขาต้องดึงทึ้งเสื้อยืดย้วยๆที่อีกคนสวมอยู่เป็นการเร่งเร้า “เร็วสิ รถนายอยู่ไหน”

     

    “จอดอยู่ฝั่งโน้น ทำไมวะ?”

     

    “ตามแท็กซี่คันนั้นไป เร็ว!!

     

    “ตามทำไม”

     

    “ถ้าถามอีกคำ ฉันจะฆ่าปาดคอนายมันตรงนี้แล้วก็ขับรถนายไปเองซะเลย”

     

    อื้อหืออออ ไอ่โหดดดด! หน้าหวานๆแบบนี้แม่งไปเอาความป่าเถื่อนมาจากไหนวะ “อ..เออๆๆ ตามมาดิ!

     

     

     

    *

     

     

    หิมะแรกของปีตกลงมาแล้ว แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยินดีด้วยเลย ดวงตากลมโตจ้องมองปุยนุ่นสีขาวเหล่านั้นอย่างนึกตำหนิ ถ้าหิมะนี่มันทำให้หมาของเขาเป็นหวัดขึ้นมาล่ะก็ เขาจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด!

     

    นายหยอยอยู่หนาย กลับมาเปิดบ้านให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ

     

    ยังจะกล้ามาออกคำสั่ง ก็เพราะตัวเองไม่ใช่รึไงที่หนีเที่ยวจนได้เรื่อง

     

    แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ความรู้สึกโกรธทั้งหลายแหล่มันสลายหายไปได้เพียงแค่เห็นตัวเล็กๆนั้นนั่งขดอยู่หน้าประตูบ้าน บนเส้นผมสีคาราเมลมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่เหมือนกับน้ำตาลไอซิ่งบนหน้าไอศกรีม ชานยอลปลดเสื้อแจ็คเก็ตออกจากตัวเพื่อเอาไปห่อเจ้าหมาซนเอาไว้

     

    กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยกระแทกจมูกเข้าอย่างจัง ระดับความเข้มข้นที่เขาสัมผัสได้มันบอกชัดเลยล่ะว่าเจ้านี่ขี้เมาขนาดไหน แต่จะให้มาต่อว่ากันตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเสียแรงเปล่า ดูสภาพเข้าสิ คอพักคออ่อนซะขนาดนี้อย่าหวังเลยว่าพูดอะไรไปจะเข้าหู

     

    ชานยอลจัดการช้อนเอาร่างเล็กๆขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก่อนหายเข้าไปในตัวบ้าน

     

     

    และคยองซูก็เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง...

     

     

    “นายจะตามมาดูภาพบาดตาพวกนี้ทำไมกัน เป็นมาโซส์รึไง” จงอินหันมามองเพื่อนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน อดที่จะส่ายหัวอย่างระอาใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าคยองซูร้องไห้อีกแล้ว

     

    ก็คนมันปลอบเป็นซะที่ไหนกันเล่า!

     

    “เฮ้ยยย ก็ตัวเล็กมันเมา พี่ชานยอลก็ต้องอุ้มดิ มันน่าเสียใจตรงไหนวะเนี่ย” เขายื่นมือออกไปขยี้หัวคยองซู แต่กลับโดนฝ่ายนั้นปัดมือออกอย่างแรง

     

    “ไม่ต้องมายุ่ง” ในเมื่อนายตัวเล็กนี่ออกปากซะขนาดนี้ จะให้เขาทำอะไรได้ แต่เอาเถอะ อยากจะร้องก็ร้องให้พอใจเลยละกัน เดี๋ยวเหนื่อยตอนไหนก็คงจะหยุดเองล่ะมั้ง

     

    ว่าแต่ว่า...ถ้ามันร้องไห้ทั้งคืนนี่เค้าจะทำยังไงวะ จับฆ่าหมกส้วมซะดีมั้ยเนี่ย!!

     

    โอ๊ย นี่ไอ้โรคป่าเถื่อนมันติดกันง่ายขนาดนี้เลยเรอะ!!

     

     

     

    *

     

     

    เห็นตัวกระเปี๊ยกแค่นี้นี่หนักไม่ใช่เล่นเลยแฮะ

     

    “หมาแสบ” หลังจากวางร่างเล็กๆนั่นลงบนเตียงแล้ว เขาก็สะกิดปลุก จริงๆก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาจะไปก่อกวนคนเมา แต่เห็นสภาพแล้วมันทนไม่ไหว ทั้งผมทั้งเสื้อผ้าชื้นไปหมดแบบนี้ขืนปล่อยให้นอนเลยหวัดคงรับประทานแหงมๆ

     

    “อื้อออ!” แต่ตัวเล็กเอาแต่ครางอือซ้ำยังเอาหน้ามุดกับหมอนอย่างกับเป็นลูกแมว

     

    “อย่าเพิ่งนอนดิ” เขาจับงัดเอาร่างนั้นให้นอนหงายซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลย เพราะหมอนั่นเอาแต่งุดๆกอดหมอนเอาไว้แน่น “หมาแสบ..ไปอาบน้ำสระผมก่อน”

     

    “อื้อออ ง่วงอ่า”

     

    “แล้วจะนอนทั้งที่ตัวเหม็นเหล้าหึ่งแบบนี้เนี่ยนะ”

     

    “นายหยอย...” ชานยอลก้มมองมือเล็กที่ตะปบเข้ากับสาบเสื้อเชิ้ตของเขา “นอนได้แล้ววว” แล้วก็เกือบจะได้หน้าคว่ำเพราะจู่ๆเจ้านั่นก็ออกแรงดึงทั้งที่ยังไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่เขาใช้ฝ่ามือยันหัวเตียงไว้ทัน เลยไม่ล้มไปตามแรงดึงง่ายๆ แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ลดน้อยลงอยู่ดี

     

    “หมาแสบ..” เขาลองเรียกดูอีกครั้ง แต่ก็มีเพียงเสียงลมหายใจดังตอบกลับมา ..เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังเป็นเพื่อนกับเสียงของหัวใจที่ดังโครมคราม

     

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าใส แพขนตาเรียงสวย และริมฝีปากสีเชอรี่ หัวใจมันถึงได้เต้นรุนแรงแบบนี้

     

    อาจจะตั้งแต่ตอนนั้นที่เราจูบกัน

     

    หรืออาจจะก่อนนั้น

     

    “ก่อเรื่องให้ฉันอีกแล้วนะ ..หมาแสบ” เรื่องใหญ่ซะด้วยสิ

     

     

    ชานยอลยังคงจ้องเปลือกตาบางซึ่งปิดสนิท จนเมื่อมั่นใจว่าหมาแสบคงสิ้นฤทธิ์แน่แล้วจึงผละออกมา ลงไปจัดแจงหากะละมังและผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้คนที่เมาไม่รู้เรื่อง และจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนให้เสร็จสรรพ

     

    ปกติก็ไม่ใช่คนที่ชอบดูแลใครซักเท่าไหร่ แต่พยอนแบคฮยอนนี่ก็สรรหาเรื่องมาให้เค้าต้องคอยดูแลอยู่เรื่อย

     

    ชานยอลหาวหวอด เหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงก็พบว่ามันล่วงเลยมาเกือบๆจะตีสามแล้ว เจ้าตัวลุกเอากะละมังไปเก็บและกลับมาซุกตัวภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ...กลัวว่าจะป่วยเอาหรอกนะถึงได้ต้องมาเพิ่มความอบอุ่นให้

     

    หาข้ออ้างให้ตัวเองได้แล้วก็รั้งเอาตัวนุ่มๆของหมาแสบเข้ามาซุกไว้ในอ้อมกอด

     

     

    ก่อนจะผล็อยหลับตามไปอย่างง่ายดาย

     

     

     

    *

     

     

    เพราะแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่มันไม่สามารถลบเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมาได้...

    หรือที่จริงแล้วมันเป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่เคยคิดอยากจะลืมมันกันแน่?

     

    ลู่หานเกลียดที่เป็นแบบนี้

     

     

    นอกจากร้านหนังสือของอี้ฟานแล้วเขาก็ไม่มีที่จะไป แม้ต้องใช้เวลาทำใจก่อนตัดสินใจมาที่นี่นานพอสมควร แต่ท้ายแล้ว ความรับผิดชอบก็บีบให้เค้าต้องมาโดยไม่มีทางเลี่ยง

     

    วันนี้อี้ฟานอาจไม่เข้ามาที่ร้านก็ได้

     

    หวังให้มันเป็นอย่างนั้น

     

    ลู่หานปิดหนังสือพ็อคเกตบุ้คที่เพิ่งอ่านไปได้สองสามหน้าก่อนยัดมันเข้าชั้นตามเดิม ปกติเขาก็ชอบหาหนังสือในร้านอ่านเล่นอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่มีเล่มที่น่าสนใจซักเท่าไหร่

     

    “กินข้าวห่อสาหร่ายอีกแล้ว”

     

    คนตัวเล็กก้มมองข้าวห่อสาหร่ายในมือที่พร่องลงไปเล็กน้อย เขายิ้มให้กับมัน

     

    ....ความหวังของเขาไม่เคยเป็นจริงเลยสินะ...

     

    “ก็ไม่รู้จะกินอะไรนี่นา” ลู่หานหันไปตอบคุณเจ้าของร้านตัวสูงที่ตีหน้ายุ่งมาแต่ไกล

     

    “แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะโต”

     

    “ขนาดนี้เค้าเรียกว่าแก่แล้ว”

     

    อีกคนยิ้มเหมือนจะขำกับมุขของเขา แต่ลู่หานรู้ดีว่ามันไม่ได้น่าตลกเลยซักนิด

     

    เขาหลบตาเมื่อถูกอี้ฟานจ้องเข้ามากๆ ข้าวห่อสาหร่ายในมือถูกยกขึ้นมากัดอีกคำใหญ่ๆและลู่หานไม่ได้รับรู้เลยว่ารสชาติของมันเป็นแบบไหน

     

    “อยู่กับน้องชายคืนแรกเป็นไงมั่ง”

     

    แต่คำถามนั้นก็ทำให้ใจกระตุกขึ้นมา

     

    “ก็ดี....” เขาควรจะตอบมากกว่านี้รึเปล่านะ??

     

    แท้จริงแล้ว คำตอบที่เขาอยากฟังมันเป็นแบบไหนอี้ฟานเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

     

    “ที่จริงวันนี้ฉันมีข่าวดีมาอวดนายด้วยล่ะ” คนตัวสูงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไม่อยากโกหกว่าเขาไม่พร้อมที่จะมองแววตาหวาดหวั่นคู่นั้นเลย “แต่ว่า....ไม่รู้ว่านายจะยินดีด้วยมั้ยน่ะสิ”

     

    ลู่หานผ่อนลมหายใจออกมา รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อยที่อี้ฟานไม่ได้คิดจะถามเรื่องน้องชายต่อ “ถ้าเป็นข่าวดี ก็ต้องยินดีสิ ถามแปลกๆ”

     

    “ฉันสอบเรียนต่อโทฯผ่าน” คนตัวสูงเอ่ยออกมาง่ายๆ คงไม่ใช่เวลามาเล่นตัวเป็นเด็กๆเพราะเขารู้ดีว่ามีอีกเรื่องที่สำคัญกว่ารออยู่

     

    “สุดยอดไปเลย” ลู่หานยกนิ้วโป้งขึ้นมาทั้งสองข้าง และฉีกยิ้มให้คนตัวสูงจนตาหยี ทว่าสีหน้าของอี้ฟานกลับเปลี่ยนไป รอยยิ้มสดใสคลายลงพลอยทำให้เขานึกสงสัย “ก็ไหนว่าข่าวดีไง ทำไมทำหน้าเศร้างั้นล่ะ”

     

    เขาเผลอหดคอตอนที่ฝ่ามือหนานั้นเอื้อมมาวางไว้บนศีรษะและจับโคลงไปมาเบาๆ “แต่ต้องไปเรียนที่อเมริกาน่ะสิ”

     

    ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมจากคำตอบนั้น ลู่หานทำเพียงยิ้มบางๆกลับไป “ต้องไปเมื่อไหร่”

     

    “ปลายปี”

     

    “อีกตั้งสองเดือนกว่า”

     

    เขาอยากอ่านแววตาคู่นี้ออก..อยากรู้ว่าลู่หานรู้สึกแบบเดียวกันรึเปล่า ความรู้สึกที่ว่า..เขากลัวความห่างไกลนี่เหลือเกิน

     

    “จริงๆแล้วฉันกลัว..”

     

    ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าระยะเวลาสองเดือนหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เขากับลู่หานอาจจะคบกันต่อไปหรือแยกทางกันก่อนถึงเวลานั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังกลัวอยู่ดี..กลัวว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้

     

    จะหายไป

     

    ร่างสูงก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ก่อนจะใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างโอบร่างเล็กเข้ามาแนบอก ซบศีรษะลงบนไหล่บาง และสูดดมกลิ่นกายอ่อนนุ่มเพื่อคอยย้ำเตือนกับตัวเองว่าลู่หานยังอยู่กับเขา ยังอยู่ในอ้อมกอดนี้

     

     

    ..ขอโทษ..

     

     

    ..ฉันรักนาย..

     

     

    คงมีเพียงพระเจ้าที่ได้ยิน

     

     

     

     

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×