คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Part 2 : Hurt again (100%)
*มีการรีไรท์ฉากของลู่หานกับเซฮุนซักเล็กน้อยตอนที่อยู่ในห้องนอนกัน
**ร้างจากการเขียนฟิคนาน และพาร์ทนี้ก็มีซีนอารมณ์เยอะทีเดียว อาจจะขัดๆไปบ้าง ก็ขออภัยนะคะ
***ตั้งแต่พาร์ทนี้เป็นต้นไป ขอเปลี่ยนชื่อคริสจาก ‘อู๋ฟาน’ เป็น ‘อี้ฟาน’ นะคะ :)
ความเดิมตอนที่แล้ว
ชานยอลได้แต่โทษว่ามันเป็นเพราะลมทะเลเอื่อยๆกับเบียร์สามกระป๋องที่ทำให้เขาเผลอจูบหมาแสบ แล้วก็หน้าด้านทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวเมื่อตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับแบคฮยอนอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดีขึ้นหลังจากที่แบคฮยอนจมน้ำเกือบตายแต่ชานยอลช่วยไว้ได้ทัน แต่แล้วทุกอย่างก็พังโครมเมื่อคยองซูและเซฮุนปรากฏตัวขึ้นบนเกาะเชจู ชานยอลต้องสับสนอีกครั้งกับคำขอร้องของคยองซูที่บอกว่า ‘เรากลับมารักกันได้มั้ย’
ด้านลู่หาน หลังจากตกลงคบหากับอี้ฟานเพื่อนสนิทผู้แสนดี แม้ว่าทั้งคู่จะเข้ากันได้ดี แต่ลึกๆแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่มีความอึดอัดเกิดขึ้นในความสัมพันธ์นี้ การเริ่มต้นที่ไม่มั่นคงยิ่งสั่นคลอนเมื่อเซฮุนยังคงเอาแต่เล่นตลกกับหัวใจของพี่ชาย คนที่คัดค้านความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องมาตลอดกลับออกปากเองว่าจะย้ายเข้ามา
อยู่ใต้หลังคาเดียวกันในฐานะ ‘น้องชาย’ ....หรือนี่จะเป็นเกมอีกหนึ่งด่านที่ลู่หานต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้?
Part 2
Hurt again
มันมีมากกว่าหนึ่งครั้งที่เขาอยากหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินย้อนกลับ
ไม่ใช่ว่ามีความผิดพลาดมากมายจนอยากกลับไปแก้ไข บางทีลู่หานก็แค่คิดแบบคนโง่ๆว่าการย้อนเวลาจะช่วยให้เขาไม่ต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปัจจุบัน’
น่าขำ.. ที่ช่วงนี้ความคิดงี่เง่าพวกนี้เข้าออกสมองเขาบ่อยเกินไป
แล้วทำไมเจ้าหนังสือนี่ถึงได้ดึงออกมายากจังนะ....
คิ้วได้รูปมุ่นเข้าหากันเมื่อพบว่าแม้จะออกแรงมากกว่าเดิมแล้วแต่กลับไม่ได้ผล เจ้าหนังสือเล่มโตยังติดหนึบอยู่บนชั้น
ฮึบ!
ปุ่ก!!
“เฮ้นาย....”
เมื่อหนังสือเจ้าปัญหาหลุดออกไป หนังสือเล่มอื่นๆบนชั้นจึงเอียงตัวกระเท่เร่ แต่ก็ยังพอมีช่องว่างให้มองลอดไปอีกฝั่ง รอยยิ้มแบบเจ้าชายจอมเจ้าเล่ห์กระทบม่านตาอย่างจัง ลู่หานเลยปั้นหน้าบูดใส่กลับไปอย่างไม่ต้องเสียแรงคิด “สนุกมากไง?”
อี้ฟานยังไม่เลิกยิ้ม แม้ว่าร่างสูงเฉียดๆ 190 เซนติเมตรนั่นจะเคลื่อนมาอยู่ฝั่งเดียวกันแล้วก็เถอะ..ไม่รู้ว่ามีความสุขอะไรนักหนา รู้มั้ยว่าคนมองเค้าหมั่นไส้!
“ก็เล่มนี้นายใส่ผิดชั้น”
“ก็กำลังจะย้ายนี่ไง”
“ช้า”
ยังไม่ทันให้เขาได้แยกเขี้ยวหรือกัดคืนพอให้สนุกปาก กล่องใส่หนังสือในมือก็ปลิวไปอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวสูงซะแล้ว ได้ทีคุณเจ้าของร้านก็แย่งงานกันซึ่งๆหน้าเลยนะ
“ลู่หาน” กำลังว่าจะย่องหนีไปพักแล้วเชียว ยังจะเรียกไว้อีก..แบบนี้ไม่ต้องมาช่วยแต่แรกเลยดีกว่าม้ะ?
“อาราย....???” นั่น! เห็นนะว่าแอบขำอะ ก็อยากพักบ้างนี่นา ไหนๆก็มีคนช่วยแล้ว
“จะขอไปนอนเป็นเพื่อน”
“หือ???”
“อยู่บ้านคนเดียวไม่ใช่รึไง?”
“ก..ก็ใช่” ก็ตั้งแต่ที่ป๊ากับน้าซูฮยอน ไม่สิ ต้องเรียกว่าแม่ถึงจะถูก...นั่นแหละ ก็ตั้งแต่ที่ไปฮันนีมูนกันแล้วโทรฯมาบอกว่าอาจอยู่ต่อยาวสักหน่อย ลู่หานก็อยู่คนเดียวมาก็เกือบๆจะสองอาทิตย์แล้ว
“อยู่คนเดียวมันอันตราย ไม่รู้รึไง”
“ก็อยู่มาตั้งนานแล้วไม่เห็นจะมีอะไร”
“วันนี้อาจจะมีอะไรก็ได้”
“มันจะมีอะไรก็เพราะนายไปอยู่ด้วยนี่แหละ”
“หือ?? มีอะไรล่ะ?”
“หืออออ???” นี่ก็งงไปด้วยจนกระทั่งสังเกตเห็นแววตาทะลึ่งทะเล้นจากอีกฝ่ายน่ะแหละถึงเพิ่งได้รู้ตัว “ย๊า! ไอ้บ้าลามก ฉันเพิ่งเป็นแฟนกับนายแค่สามวันเองนะเว้ย!”
อี้ฟานแทบจะขำพรวด “อะไร... นี่คิดอะไรของนายเนี่ยลู่หาน”
“ก็นายบอกว่า...............” มีอะไร...ไม่ใช่รึไงเล่า!!!
ยิ่งเจอจ้องด้วยแววตาวาววับ ลำคอของเขาก็ดูเหมือนจะตีบตันมากกว่าเก่า ลู่หานกระชากเอากล่องหนังสือกลับมากอดไว้แล้วหันหน้าเข้าชั้นไม้ ไม่พูดด้วยเว้ย! กล้าดียังไงมาชวนคนอื่นคิดเรื่องลามกแต่เช้าวะ นี่คบกันมาตั้งหลายปีเพิ่งจะรู้ว่าเป็นคนแบบนี้ก็วันนี้แหละ
รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆคนเรา!!
“ลู่หาน” อี้ฟานหันหลังพิงชั้นหนังสือและหรี่ตามองใบหน้าขาวใสของคนตัวเล็กที่เอาแต่ทำเมินเขา “เมื่อกี๊นายพูดว่าเราเป็นแฟนกัน”
เขายิ้มตอนที่พูดประโยคนั้น แต่มันกลับปลิวหายไปเพียงแค่เห็นว่าแววตาของลู่หานสั่นไหวและมือบางที่ชะงักค้าง แม้มันจะแค่ชั่ววูบที่แทบสังเกตไม่เห็น...แต่อี้ฟานรู้สึก..และรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร
ร่างสูงผละออกจากชั้นไม้ ก่อนเอื้อมมือออกไปรั้งเอากล่องหนังสือนั่นกลับมา ลู่หานทำท่าจะหันมาแย่งแต่เขาเร็วกว่า จัดการยกมันขึ้นไปวางไว้บนชั้นสูงสุดเป็นการตัดปัญหา และตอนนี้เขากำลังจงใจจ้องลึกลงไปในดวงตากลมสวยของลู่หาน ไม่เพียงแค่ค้นหาบางอย่าง...
“คืนนี้ให้ฉันไปอยู่ด้วยนะ”
แต่มันรวมถึงบางสิ่งที่เขาอยากจะบอก
“......” ลู่หานหลบตา ดูเหมือนกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างภายในใจซึ่งเขาไม่มีวันรู้
“ในฐานะคนๆนึงที่มีนายเป็นคนสำคัญ...ให้ฉันได้ดูแลนายบ้างเถอะ” เขายกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรนายเลย ปลายนิ้วก็ไม่ให้สะกิด” แล้วก็ฉีกยิ้มหวานสมทบเข้าไปอีก
“นะ”
ภายในร้านมันเงียบจนได้ยินเพียงเสียงของเข็มนาฬิกา..เขาอยากให้มันเดินช้ากว่านี้ ซักครึ่งวินาทีก็ยังดี
“เอากล่องนั่นลงมา”
“........”
“นายกำลังรบกวนเวลาของลูกจ้างอยู่นะคุณเจ้าของร้าน”
อี้ฟานคอตก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วก็ยืนทำตาละห้อยมองดูลู่หานจัดหนังสือจนหมดทั้งกล่อง จวบจนร่างเล็กเดินไปวางกล่องเข้าที่และเดินบิดขี้เกียจออกไปหน้าร้าน เขาจึงทำใจว่าคงได้กินแห้วอีกตามเคย อี้ฟานพองแก้มใส่เจ้าชั้นหนังสือที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ฉันนอนดิ้นนะ”
กว่าที่สมองจะประมวลผล...
“ว่าไงนะ...?”
“ช้า!”
*
อู๋อี้ฟานชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ และหลายครั้งที่ได้รับคำชมว่าเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง ไม่ว่าจะเป็นวิชาแขนงไหนแต่หากเขาตั้งใจแล้วล่ะก็ ไม่เคยผิดหวังเลยซักครั้ง แต่กับครั้งนี้เขาคิดว่าคงเจอหินก้อนเบ้อเร่อเข้าแล้วล่ะ ไม่เคยเข้าใจไอ้ทฤษฎีที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ซักที ไม่รู้ว่ามันมีกลไกลการทำงานยังไง แล้วทำไมไอ้การที่หัวใจต้องทำงานหนักกว่าเดิมมันกลับทำให้เขายิ้มไม่ยอมหยุดเสียทีแบบนี้ล่ะ??
เขายังไม่ใจแข็งพอที่จะนอนบนเตียงหลังเดียวกันกับลู่หาน เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เลยต้องหอบเอาผ้าห่มไปนอนขดอยู่บนโซฟากลางห้องรับแขก แต่ก็ทนได้ไม่นานหรอก ต้องแอบย่องเข้ามาดูว่าคนตัวเล็กนี่หลับไปหรือยัง สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการมานอนเอาคางเกยฟูกนิ่มแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น ตื่นมาอีกทีก็พบว่าปลายจมูกโด่งรั้นห่างออกไปเพียงไม่ถึงคืบจนต้องรีบขยับตัวออกก่อนที่จะห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่
แม้สถานะจะเปลี่ยน แต่อี้ฟานก็ยังไม่กล้าคิดว่าความรู้สึกของลู่หานจะเปลี่ยนไปจากเดิม
เขายิ้มบางออกมาอีกครั้ง ก่อนเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมสีทองนั้นอย่างเบามือ
....นายยอมคบกับฉันเพราะอะไรกันนะลู่หาน?...
ปิ๊งป่อง!
เหมือนว่าเสียงกริ่งนี่จะดังขึ้นมาถูกเวลา เพราะถ้าปล่อยให้มีแต่ความเงียบต่อไป ก็คงมีแต่คำตอบของคำถามนั้นที่ลอยวนเต็มไปหมด เขาไม่อยากได้ยิน..ไม่ว่ามันจะเป็นคำตอบที่คิดไปเอง หรือเป็นคำตอบที่เป็นความจริง
เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้งแต่เจ้าของบ้านยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว อี้ฟานจึงยันตัวลุกขึ้นเดินออกไปดูเอง คงจะเป็นเด็กส่งของล่ะมั้ง ใครล่ะจะมีธุระตอนเช้าตรู่ขนาดนี้
แต่เขาเดาผิดเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วพบกับเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์พับขา ใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยแววตารีเรียวและอารมณ์ที่เรียบเฉยตลอดเวลาทำให้เขานึกออกทันที
“โอเซฮุน มาหาพี่ชายแต่เช้าเลยนะ”
เขายอมรับ ว่าไม่เคยคาดคิดถึงสถานการณ์แบบนี้ ดวงตาเรียวหรี่ลงสำรวจอีกฝ่ายที่เหมือนจะสูงกว่าเขาเล็กน้อย ผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงแม้จะไม่ถึงขั้นเละเทะ กับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ถ้าไม่ใช่เด็กอนุบาลก็คงต้องดูออกว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งตื่น และแน่นอนว่าเมื่อคืนทั้งคืน... ลู่หานอยู่กับใคร
“เฮ้ อย่าเข้าใจผิดน่า ฉันแค่มานอนเป็นเพื่อน ไม่ได้ทำอะไรพี่ชายนายนะ สาบานได้”
เซฮุนเสตามองไปทางอื่นพร้อมกับชักสีหน้าเบื่อหน่าย “คุณจะทำอะไรกับลู..กับพี่ชายผม ก็ไม่เห็นจะต้องรายงานหนิ”
อี้ฟานยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งถ้านั่นเขาจงใจจะทำให้เซฮุนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาล่ะก็....นับว่าได้ผลดีทีเดียวเลยล่ะ
“ก็เผื่อว่านาย..จะหวงพี่ชายน่ะสิ”
แววตาของเด็กตัวสูงแข็งกร้าวมากกว่าเมื่อครู่ ทว่าอี้ฟานทำเป็นมองไม่เห็นและเอาแต่ยิ้มให้เซฮุนรำคาญลูกกะตาเล่น “แต่ว่าลู่หานยังไม่ตื่นนะ คงจะเพลีย..”
“ช่วยขนของหน่อย” เซฮุนตัดบทก่อนจะหันหลังกลับไปยังรถเก๋งคันหรูและจัดการเปิดกระโปรงหลังรถขึ้น เด็กหนุ่มคว้าเพียงกระเป๋าเป้สีดำสนิทพาดไหล่และทิ้งกระเป๋าเดินทางอีกสองใบใหญ่ๆไว้ให้อี้ฟานรับผิดชอบต่อ
“คิดว่าฉันดูไม่ออกรึไง โอเซฮุน” คนอายุมากกว่าได้แต่มองตามหลังเด็กหนุ่มพลางส่ายหัวเบาๆ รอยยิ้มเกลื่อนกลาดเมื่อครู่เลือนหายไปทดแทนด้วยแววตาอ่อนล้า..ที่เขาจะไม่มีวันให้ใครได้เห็น โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้น
...โอเซฮุน
Cut 20%
เท้าข้างที่กำลังจะแตะพื้นบันไดขั้นล่างสุดชะงักค้างไปดื้อๆเสียอย่างนั้น เช่นเดียวกับอีกคนที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากไปกว่าการใช้สายตาเรียบเฉยนั่นจ้องมองเขา ลู่หานสบตากลับไป รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความฝัน สิ่งที่เซฮุนพูดเอาไว้เมื่อตอนที่อยู่เชจูเขาจำมันได้ดี
“น่าน้อยใจชะมัด ที่พี่ดันลืมว่าผมจะย้ายเข้ามาวันนี้”
ลูกตากลมเหลือบมองไปทางด้านหลังของเด็กหนุ่ม อี้ฟานกำลังเดินมาจากทางนั้น..ไม่รู้ทำไม แต่ตอนนี้เขากำลังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง คล้ายว่าออกซิเจนในห้องกำลังถูกดูดกลืนไปโดยร่างสูงที่จ้องเขาตาไม่กระพริบ ลู่หานเบนสายตากลับมาจุดเดิมอีกครั้ง
“ว่าแต่....จะให้ผมเอาของพวกนี้ไปไว้ที่ไหนดีล่ะ”
เขาไม่ชอบน้ำเสียงแบบนี้เลยจริงๆ รวมถึงรอยยิ้มนั่นก็ด้วย
“ตามมาสิ” แต่เพราะสายตาอีกคู่ของอี้ฟานที่จับจ้องอยู่ทำให้เขาทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการเล่นตามน้ำไปกับเซฮุน ต้องแสร้งทำเป็นพี่ชายไม่ได้เรื่องที่ดันลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปเสียได้....
จะอีกกี่ครั้ง เขาก็ยังเป็นฝ่ายเดินตามเกมส์อยู่ดี
ห้องนอนที่อยู่ติดกันไม่เคยถูกใช้งานเลยตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะมีสมาชิกเพียง 2 คนพ่อลูก ลู่หานเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อตอนเป็นเด็กและคำตอบที่ได้ก็คือ
‘เอาไว้ให้น้องของลู่หานอยู่ยังไงล่ะ’
พ่อบอกแบบนี้....ก่อนที่แม่จะจากไปหลังจากนั้น
จากไปโดยไม่หวนกลับ
ร่างบางเดินไปเลื่อนผ้าม่านสีเปลือกไข่ไก่ให้แยกออกจากกัน แสงอาทิตย์จากภายนอกสาดส่องเข้ามาตกกระทบกับเตียงสีขาวกลางห้องและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆซึ่งถูกทำความสะอาดเอาไว้อย่างดี
“ไม่เล็กไปใช่มั้ย?” ถ้าเทียบกับคอนโดฯของเซฮุน เขารู้ดีว่าห้องๆนี้เล็กกว่าเกือบสองเท่า ทว่าไม่มีคำตอบใดๆให้กับคำถามนั้น เขาจึงทำเพียงมองตามร่างสูงของเด็กหนุ่ม...มองดูเป้สีดำที่ถูกวางลงบนเตียงนอน และจ้องมองลงไปในดวงตารีเรียวคู่นั้น
“แบบนี้ก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้วสิ” อี้ฟานที่ตามเข้ามาทีหลังร้องทัก ลู่หานหันไปยิ้มให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
มีเพียงเซฮุนที่เสหน้าไปทางอื่น..ก็จริงที่เขาชอบรอยยิ้มของลู่หาน แต่ก็เฉพาะตอนที่ไม่ได้ยิ้มให้กับหมอนั่น
“ผมหิว”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายช่วยน้องจัดของเถอะ” เป็นอี้ฟานที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน และไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธเขาก็หายตัวออกไปจากห้องทันที เหลือทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
ลู่หานมองตามประตูบานนั้นจนมันปิดสนิทกับวงกบ แทนที่ว่าอี้ฟานออกไปแล้วเขาจะสบายใจขึ้นแต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด...ตราบใดที่ห้องๆนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าโอเซฮุนอยู่
เสียงยุบยวบของฟูกที่นอนทำให้ต้องหันกลับมา และเขาก็เห็นว่าเซฮุนทิ้งตัวนอนหงายลงบนนั้น
“พี่ลูฮาน”
หนึ่งวินาทีหลังจากนั้นช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก ลู่หานยังไม่ละสายตาออกจากร่างสูง..ในขณะที่ความคิดในหัวกำลังตีกันวุ่นวาย
“พี่ลูฮาน”
“.....”
“ชอบที่ฉันเรียกแบบนี้มั้ย?”
ไม่รู้........นั่นเป็นคำตอบที่จริงใจที่สุดที่เขาพอจะนึกออก
แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น บางทีเซฮุนคงไม่อยากได้คำตอบมากไปกว่าการกวนอารมณ์เขาให้ขุ่น
“แต่ฉันไม่ชอบ” เด็กหนุ่มซึ่งปิดตาสนิท ปล่อยให้แสงแดดไล้ใบหน้าเกิดเป็นเงาตกกระทบของสันจมูกและแพขนตายาว และลู่หานก็ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเฝ้ามองสิ่งเหล่านั้นอยู่
“ลูฮาน..” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อเขาแผ่วเบา
“ลูฮาน..” ทว่ามันกลับทำให้หัวใจสั่นไหวรุนแรง แก้วตาวูบไหว ก่อนจะเสออกไปทางอื่นซึ่งไม่ใช่ร่างสูงของโอเซฮุน
เซฮุนลืมตาขึ้น ก่อนผุดลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหันมายิ้มให้เขา “ฉันชอบแบบนี้แหละ”
ลู่หานสูดหายใจลึก โดยหวังว่าความรู้สึกนับร้อยที่อัดแน่นอยู่ในอกมันจะหายไปบ้าง แค่เพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี
“กว่าพ่อกับแม่จะกลับมาก็คงปลายๆเดือน สองอาทิตย์ระหว่างนี้นายจะอยู่ที่คอนโดฯต่อก็ได้” การปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกปั่นหัวดูจะเป็นความคิดที่โง่เง่าซะเหลือเกิน ลู่หานตัดสินใจพูดมันออกไป โดยตั้งใจให้มันมีความหมายตามที่พูดตรงๆ
“ไม่เอาหรอก” เซฮุนเลิกคิ้วสูง “ถ้าฉันไม่อยู่นี่ หมอนั่นก็จะเสนอหน้ามาน่ะสิ”
“หมอนั่นที่นายพูดอยู่คืออี้ฟาน.....” ลู่หานชะงัก รู้ตัวว่าสู้กับสายตาแข็งกร้าวนั่นได้ไม่นานหรอก ไม่นานเขาก็คงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกตามเคย
“และตอนนี้เค้าก็เป็นคนรักของฉัน กรุณาให้เกียรติด้วย”
เซฮุนไม่ปฏิเสธ ว่าคำพูดเหล่านั้นของลูฮานก็เหมือนคมมีดที่กำลังกรีดลงมาบนก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้าย
ร่างโปร่งลุกขึ้นจากเตียง สาวเท้าเข้าหาอีกคน ระยะห่างที่หายไปทำให้ใบหน้าได้รูปนั้นแจ่มชัดขึ้นในสายตา เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่กำลังสะท้อนเป็นภาพใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
เขายังคงชอบแววตาสั่นไหวของลูฮานไม่เคยเปลี่ยน
เซฮุนยิ้มออกมาบางๆ ลู่หานมองรอยยิ้มนั้นที่กำลังถูกบดเบือนด้วยแสงแดดสีทอง...ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้เห็นรอยยิ้มของเซฮุน และทุกครั้งเขาก็ไม่เคยชอบมันเลย
“ที่นายคบกับหมอนั่น มันเป็นเพราะฉันใช่มั้ย?”
ลู่หานยังคงสู้สายตาอีกฝ่าย ลูกตากลมคู่นั้นแม้จะสั่นมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ละออกไป..เขาจะไม่ยอมแพ้ให้กับเซฮุนอีกแล้ว
“มันเป็นเพราะว่าฉันกับอี้ฟาน.....เรารักกันต่างหาก”
วูบหนึ่ง ลู่หานเห็นว่าแววตาคมคู่นั้นวูบแสงลง เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เหมือนกับหัวใจของเขามันร่วงหล่นหายไป
“เลิกเล่นเกมส์บ้าๆของนายได้แล้ว”
“ไม่”
คำตอบที่แสนราบเรียบ ทว่ากลับบีบให้หัวใจของลู่หานปวดปลาบไปหมด
“นายอาจจะบอกรักใครก็ได้แม้ว่านายจะไม่ได้รัก...”
“แต่นายจะมาบังคับให้ฉันเลิกรักนายไม่ได้หรอก...ลูฮาน”
“มันยากเกินไป”
จบที่พูด ร่างสูงของเซฮุนก็พลิกตัวเดินออกไป ก่อนที่ภายในห้องจะตกอยู่ในความเงียบ ทุกสรรพสิ่งนิ่งงันไร้การเคลื่อนไหว คงมีเพียงริ้วม่านพลิ้วไหวและน้ำตาที่กลิ้งไหลหยดลงบนพื้น กับเสียงหัวใจที่แผ่วเบาละมั้งที่ทำให้รู้ว่ายังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ยังหายใจ
มันยากเกินไป......ที่เราจะรักกัน
*
ง่ายจะตายไป!
การอยู่กับปาร์คชานยอลนี่มันง่ายซะยิ่งกว่าการปอกกล้วยแล้วโยนให้แพนด้ากินซะอีก ตื่นมาก็มีข้าวเช้าให้กิน อยากจะไปไหนมาไหนก็มีคนรับส่ง แถมถ้าวันไหนเบื่อๆก็ยังไปอ้อนให้พาไปเที่ยวได้อีก
ไอ้ที่ยากก็มีอยู่เรื่องเดียวแหละนะ
ก็ไอ้เรื่องที่เดาอารมณ์ตานั่นไม่ค่อยจะออกซักทีไงล่ะ
กลิ่นหอมฉุยของมื้อเช้านี่มันทำร้ายระบบย่อยอาหารในร่างกายเสียจริง ยิ่งตอนที่ท้องว่างอยู่แบบนี้แล้วด้วย ถ้าแทะชามกินเป็นออร์เดิร์ฟได้แบคฮยอนก็คงจะทำไปแล้ว!
“มีไรกินมั่งอ่า” ถามไปงั้น เพราะก็เห็นๆอยู่ว่าในจานกระเบื้องสีขาวสะอาดมีไส้กรอกร้อนๆนอนแอ้งแม้งยั่วน้ำลายอยู่ มือเรียวตะปบส้อมหมับ ไม่รอช้าที่จะจิ้มเอาไส้กรอกผู้โชคร้ายเข้าปากกัดดัง..
“อ้ากกกกกกกกกก ร้อน~~~”
“เฮ้ยมันร้อนนะหมาแสบ”
รู้แล้วโว้ยว่าร้อน! นี่ถ้าไม่ติดว่าปากพองก็จะตะโกนใส่ให้หูระบมไปข้างเลย!
“อ่ะน้ำ” ตัวเล็กคว้าเอาแก้วน้ำมาเทลงคออย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะมายืนเอามือเท้าขอบเค้าน์เตอร์แล้วแล่บลิ้นแผล่บๆเป็นหมาหอบ
“ไง เห็นแก่กินจนได้เรื่องเลยนะ”
“ไม่ต้องซ้ำเติมเลยนะ!”
ชานยอลขำใส่หน้าอย่างไม่คิดจะปิดบังกันซักนิด โหหหห! นี่มันจงใจยั่วโมโหกันนี่หว่า
แบคฮยอนหยิบเอาส้อมขึ้นมาอีกครั้ง กำมันไว้ในมือแล้วง้างออกเตรียมจู่โจมเต็มที่
“ฟู่ว!” แต่แล้วก็ต้องค้างกลางอากาศตอนที่เห็นว่าชานยอลกำลังจิ้มเอาเจ้าไส้กรอกขึ้นมาเป่า หน้าตาท่าทางดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษจนเผลอยืนมองจ้องอยู่แบบนั้น “อ่ะ ไม่ร้อนแล้ว”
ไส้กรอกถูกยื่นมาให้ตรงหน้า แต่แบคฮยอนเอาแต่กระพริบตาปริบๆ
“ไม่กินล่ะ?”
“ไม่กิน”
“อะไรของนายเนี่ย”
“จะเอาไข่ดาวเพิ่ม”
ชานยอลจิ๊ปาก แบคฮยอนเลยรีบหันหลังกลับวิ่งดุ่กๆไปนั่งแหม่บอยู่บนเก้าอี้ในห้องทานข้าวเป็นการตัดบทที่ดูเหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆด้วย “ตกลงนี่ใครเป็นเจ้านายกันแน่?”
แบคฮยอนไม่เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้เลย เขาชอบที่ชานยอลเอ็นดูเค้าเหมือนลูกหมา คอยดูแล คอยตามใจ ในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดการกระทำแบบนั้นของอีกฝ่าย ...ชานยอลทำดีไปเพื่ออะไรกัน ยังไงซะเค้าก็เป็นแค่หมาหลงที่มีแต่จะเอาภาระมาเพิ่มให้
“หมาแสบ”
จานอาหารของเขาถูกวางลงตรงหน้าพร้อมๆกับที่ชานยอลก็เลื่อนเก้าอี้ฝั่งตัวเองออกเพื่อทิ้งตัวลงนั่ง “ได้ใจเข้าไปทุกวันแล้วนะนาย”
แบคฮยอนตีหน้ามุ่ยไม่ยอมพูดยอมจา คว้าเอาช้อนส้อมขึ้นมาได้ก็จัดการกวาดทุกอย่างเข้าปาก
“ค่อยๆกินดิเดี๋ยวสำลัก”
“แค่กๆๆๆๆ!!”
เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ
“พูดยังไม่ทันขาดคำ...ย๊า! ค่อยๆดื่ม เดี๋ยวก็สำลักอีกรอบหรอก” ชานยอลเฝ้าดูตัวเล็กที่กำลังหน้าดำหน้าแดงจากการสำลัก เขาเลื่อนแก้วน้ำของตัวเองไปให้อีกแก้วเพราะคิดว่าแก้วเดียวคงไม่พอ รอจนกระทั่งแบคฮยอนเลิกไอแล้วก็ยื่นทิชชู่ไปให้ ใบหน้าเล็กๆนั้นเงยขึ้นจ้องมองเขาด้วยตาหงอยๆ เห็นแบบนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ ...นี่จะให้ทำให้ทุกอย่างจริงๆใช่มั้ย? แต่จะทำไงได้ นอกจากยืดแขนออกไปเช็ดเอาคราบน้ำที่เลอะเทอะอยู่บนแก้มให้หมาแสบ “ต้องให้ดูแลอยู่เรื่อย”
“ก็นายเป็นเจ้านายฉันหนิ”
“ซักวันเถอะจะเอาไปแลกครุ”
แบคฮยอนเบะปาก ไม่ได้เถียงอะไรกลับไป แม้ในใจจะเอาแต่พร่ำพูดว่า นายไม่ใจร้ายแบบนั้นหรอก ฉันรู้
มื้อเช้ากลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไม่สิ..ถ้าไม่มีเจ้าเสียงริงโทนดังมาจากโทรศัพท์มือถือของชานยอลเสียก่อน มันก็น่าจะเรียกว่าปกติอยู่หรอก แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ทำเพิกเฉยต่อเสียงรบกวนนั้น ก่อนจะเลื่อนสายตาไปไว้บนหน้าจอทัชสกรีนที่ขึ้นเป็นรูปของใครบางคนที่เค้ารู้จักดี
“คยองซูโทรมา ไม่รับเหรอ?”
ชานยอลเลื่อนสายตามาสบกัน เขาจึงทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาจิ้มไส้กรอกเข้าปากเคี้ยวหยับๆ
Rrrrrrrr!
แบคฮยอนเขี่ยเบค่อนในจานไปมา เสียงเพลงวนขึ้นมาเป็นรอบที่สอง
“เบค่อนไม่อร่อยรึไง?”
“นายควรจะรับสายคยองซู...” เขาตัดสินใจพูดมันออกมา อย่างน้อย..ข้อดีที่สุดของการรับสายก็คือการทำให้เสียงเพลงน่ารำคาญนั่นเงียบลงไม่ใช่หรือไง “คยองซูอาจมีเรื่องด่วนอะไรก็ได้”
ชานยอลหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า และแบคฮยอนเองก็ทำเพียงตักเบค่อนชิ้นนั้นเข้าปาก....เสียงขาเก้าอี้เสียดสีกับพื้นไม้ดังสนั่นภายในห้องครัวแคบ ชานยอลลุกออกไปพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ และเสียงริงโทนที่หายไป
เขากดตัดสาย
ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยกับการที่เขาต้องหลบหน้าคยองซู แต่ชานยอลไม่เก่งพอ เค้าก็เป็นแค่คนขี้กลัวคนหนึ่งที่ใจไม่กล้าพอที่จะมองเห็นน้ำตาของใครอีก คยองซูเสียใจมามากพอแล้ว และตัวเขาเอง...ก็ทำร้ายอีกฝ่ายมามากพอแล้วเหมือนกัน
เวลา..มันเดินไปข้างหน้า
แต่ชานยอลคงลืมไป ว่าเข็มของนาฬิกามันเดินวนอยู่เพียงที่เก่าๆ
เขากลับมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง แต่กลับไม่พบแบคฮยอนหรือแม้แต่จานข้าวของเจ้านั่น
((อยู่ไหนหมาแสบ?))
แบคฮยอนพองลมเต็มแก้ม ก่อนขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างรถเมล์แล้ววางคางเกยลงบนขอบ “ก็มาทำงานน่ะสิถามได้”
((ฉันบอกแล้วไงว่าจะไปส่ง))
“แค่นี้แหละ เสียงมันดังไม่ค่อยได้ยิน”
((ฉันจะไปรับตอนเย็น อย่าหายตัวไปไหนอีกล่ะ))
“ไม่ต้องมาเลยนะ”
((แค่นี้ล่ะ))
“ย๊า!!!!!!” เขาแหกปากก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่ามีสายตานับสิบคู่จ้องมองอยู่เลยตะปบปากตัวเองซะมิด แต่กระนั้นก็ไม่วายหันมาคาดโทษใส่เจ้าสมาร์ทโฟนในมือ “ไอ้คนเอาแต่ใจ!”
“เห?? ทำไมปิดร้านล่ะ?” ถามคำถามใส่เจ้าประตูกระจกใส และแน่นอนว่าคงไม่ได้คำตอบกลับมาหรอก แบคฮยอนล้วงเอามือถือขึ้นมากดปลดล็อก และเพิ่งสังเกตเห็นว่ามี missed call ...โทรฯมาตอนไหนหว่า?
((ฉันมารับลูกพี่ลูกน้องที่สนามบินน่ะ))
“แล้วจำเป็นต้องปิดร้านทั้งวันเลยเหรอฮะ”
((ก็ตอนแรกจะรอให้นายมาแล้วฝากร้านไว้นั่นแหละ แต่โทรฯหาไม่รับสายนี่นา)) แบคฮยอนทำหน้ามุ่ยใส่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าพี่จุนมยอนมองไม่เห็นหรอก ((ถือว่าหยุดพักผ่อนละกัน ค่าจ้างยังได้เต็มวันเหมือนเดิม))
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินซะหน่อย...เขาเถียงในใจ แต่ก็ยอมวางสายจากพี่ชายใจดีแต่โดยดี ถึงอ้อนไปพี่จุนมยอนก็กลับมาเปิดร้านให้ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ
ปัญหามันอยู่ที่ว่า “จะไปไหนดีล่ะทีนี้?”
การกลับบ้านไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าสนซักเท่าไหร่ แค่นึกถึงหน้านายหยอย(ที่เดี๋ยวนี้ไม่หยอยแล้วเพราะเห็นว่าโดนเพื่อนลากไปยืดผมมา)แบคฮยอนก็เซ็งสนิท....ยิ่งวันนี้ไม่มีอารมณ์อ้อนให้พาไปเที่ยวด้วยสิ
ห้องซ้อมดูสงบกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะปกติมักจะมีเสียงดนตรีดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา พอเงียบๆแบบนี้ก็เลยดูแปลกหูแปลกตาไปสักหน่อย แบคฮยอนเดินไปเปิดฮีทเตอร์ และเลยไปคว้าเอากีต้าร์ลงมาจากผนัง
“วันนี้ต้องจูนให้ได้เลย” หมายมั่นปั้นมือไว้ซะดิบดี ความจริงก็แค่หาอะไรทำแก้เบื่อไปงั้น ...เฮ้อ จริงๆถ้ามีใครซักคนมาเล่นกีต้าร์ให้เขาร้องเพลงคลอก็คงจะดีไม่น้อย
แบคฮยอนลองดีดคอร์ด C เขายิ้มตอนที่ได้ยินว่ามันไม่เพี้ยนเท่าก่อนหน้านี้
‘เนี่ย คอร์ด C ...ถ้าขยับนิ้วนางลงมาตรงนี้ ก็จะได้ A minor ลองดีดสิ’
นิ้วนางเรียวเล็กเลื่อนลงมาจากเดิมเล็กน้อย แตร๊ง...
เพราะดี
“บ้าจริง” เขาดีดสายกีต้าร์ให้มั่วซั่วไปหมดจนฟังไม่รู้เรื่อง หงุดหงิดจริง นี่ขนาดหนีมาห้องซ้อมแล้วเรื่องของตาบ้านั่นก็ยังไม่หายไปจากระบบความคิดซักที น่าเบื่อๆๆๆๆ
“เฮ้ย!!”
“อยากตายรึไง”
“นี่นายอีกแล้วเหรอนายโอเซ” ยอมรับว่าก่อนหน้านี้น่ะตกใจ ก็เล่นเข้ามาแย่งเอากีต้าร์ไปจากมือดื้อๆ แถมยังเข้ามาเงียบๆอีก แต่ตอนนี้เขากำลังมองตามนายตัวสูงที่ทิ้งตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามด้วยอารามแปลกใจระคนสงสัยมากกว่า “วันนี้ไม่มีซ้อมนี่”
“ใช่ ไม่มีซ้อม”
ไอ้ที่ตอบออกมาก็มีแค่นั้น แต่คิดว่าเขาดูไม่ออกรึไงว่าดวงตารีเรียวนั่นกำลังต่อว่าเค้าอยู่ คงจะประมาณว่า ทีนายยังเข้ามาได้เลยไม่ใช่รึไงตัวแสบ เหอะ! แค่พูดออกมาให้มันหมดๆดอกพิกุลจะร่วงหรือไง!!
“ฉันกำลังจูนกีต้าร์อยู่นะ”
เซฮุนได้ยิน เขารู้ แต่หมอนั่นกำลังทำหูทวนลม
“นายเป็นคนสั่งให้ฉันจูนเองหนิ” เซฮุนผ่อนลมหายใจออกมา เสียงกีต้าร์ที่ดังแว่วๆอยู่เมื่อครู่เงียบหายไป เหลือไว้เพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ “คิดว่าเป็นหัวหน้าวงแล้วจะทำอะไรตามใจงั้นสิ นึกอารมณ์ดีก็บอกให้ร้องเพลง นึกอยากจะแกล้งก็สั่งให้จูนกีต้าร์ แล้ววันนี้นึกไงอีกล่ะ!”
“อย่าเพิ่งยั่วโมโหฉันตอนนี้นะแบคฮยอน” น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ แต่แบคฮยอนไม่สะท้าน
“ฉันเองก็หงุดหงิดไม่ต่างจากนายนักหรอกโอเซฮุน”
โครม!!!
กีต้าร์ตัวนั้นถูกเขว้งลงกับพื้นจนชิ้นส่วนแตกกระจาย แบคฮยอนอึ้งจนต้องเงียบทุกสิ่งที่กำลังจะพูด เขามองตามโอเซฮุนที่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และตรงเข้ามาใกล้
“เป็นบ้าไปแล้วรึไง”
“ถ้าฉันสั่งให้นายทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
ทำให้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา...ทุกสิ่ง ที่เขาปล่อยให้หลุดมือไปเพียงเพราะการกระทำโง่ๆ
“นายก็คงทำไม่ได้อยู่ดี”
มือที่กำกันแน่นคลายออกเมื่อได้ยินที่เซฮุนพูด แบคฮยอนแค่รู้สึกถึงบางอย่างในกระแสเสียงนั้น เขาพยายามจ้องลึกลงไปในดวงตารีเรียวสีถ่าน ทว่าอีกฝ่ายกับเบือนหน้าหนี
“ไปให้พ้นหน้าฉันซะ”
“ฉันไม่ไป”
“งั้นนายก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก...ไม่ว่าจะพรุ่งนี้ หรือวันไหนก็แล้วแต่”
“ว่าไงนะ”
เซฮุนหันมามองนิ่งๆ “ฉันไล่นายออก”
จู่ๆขอบตามันก็ร้อนผ่าว และปากก็สั่นจนพูดอะไรไม่ถูก เขาทำอะไรผิดงั้นเหรอ บอกเขาสิว่าเขาทำอะไรผิด??
แบคฮยอนไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของตัวเองมันจะน่าสมเพชขนาดนี้ เขาไม่ใช่แค่หมาที่ชานยอลนึกอยากจะออกปากไล่ให้ออกจากบ้านตอนไหนก็ได้ แต่ตอนนี้เค้ายังเป็นเศษขยะของโอเซฮุนที่พอนึกจะอยากเขี่ยไปไกลๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร
เขาแพ้แล้ว แม้จะพยายามกลั้นน้ำตาไว้แค่ไหนเขาก็พ่ายแพ้ให้กับความอ่อนแออยู่ดี แบคฮยอนปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มต่อหน้าโอเซฮุนที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ฉันบอกให้ไป!...”
หมอนั่นร้องไห้?
จู่ๆภาพของลูฮานก็ลอยเข้ามาในหัว....เขาทำคนร้องไห้อีกแล้ว
ก็สมควรที่จะไม่มีใครเค้ารัก
ใช่ สมควรแล้ว...
“แค่โดนไล่ออกนี่มันจะอะไรกันนักกันหนา!?” เขายื่นมือไปคว้าแก้มนายตัวเล็กให้เงยหน้าขึ้นแล้วจัดการป้ายๆปาดๆคราบน้ำตานั่นออกให้ในลักษณะที่ไม่น่าจะเรียกว่าอ่อนโยนซักเท่าไหร่
ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนยอมหยุดร้องไห้แล้ว แต่ยังไม่เลิกสูดน้ำมูกดังฟึดๆเสียที
“ฉันมันใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่น่าคบเลยใช่มั้ย? นายคงเกลียดฉันมากสินะตัวเล็ก”
ช่างเถอะ ไม่ตอบก็ช่าง เขาไม่อยากรู้แล้ว
แต่แล้วแบคฮยอนก็ส่ายหัว ตาแดงๆช้อนขึ้นมองเขา “อย่างน้อยนายก็เคยช่วยฉันจาก 18 มงกุฎพวกนั้น”
เซฮุนถอนหายใจ ก่อนจะเบะปากใส่เพราะสภาพของตัวเล็กนี่มันดูไม่ได้ซักนิด ตาก็ช้ำ หน้าก็เลอะเทอะ หัวก็ยุ่งเหยิง ...ทำไมถึงได้กล้าร้องไห้ต่อหน้าใครก็ไม่รู้แบบนี้นะ น้ำตาของนายมันไม่มีค่าเลยรึไง
แล้วนี่ที่มาขลุกอยู่ห้องซ้อมแบบนี้โดนไอ้พี่ชานยอลไล่ออกมาอีกรึเปล่าก็ไม่รู้
“กินไรมายัง?”
*
เซฮุนรู้ ว่าไอ้การที่เค้ามาอารมณ์เสียใส่นายตัวเล็กนี่มันไม่ถูกต้องนักหรอก แต่อย่างน้อยๆเขาก็รู้แล้วว่าคนเราทุกคนไม่ได้แข็งแกร่งเสมอไป นั่นหมายรวมถึงตัวเขาเองด้วย
“มองอะไร?”
“เปล่า” แบคฮยอนปฏิเสธทันควัน
“ฉันรู้ว่านายจะถามว่าฉันเป็นอะไร”
คราวนี้เงยหน้าขึ้นมาทำตาแป๋วเชียว “แต่ฉันไม่อยากบอก” แล้วก็จบด้วยการทำหน้ามุ่ยก้มลงไปคุ้ยไอติมตามเดิม เซฮุนเผลอยิ้มออกมา ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะอารมณ์ดีจนเกินไป
แล้วก็ได้ดั่งใจเชียวล่ะ ตอนที่หันออกไปนอกร้านแล้วเจอเข้ากับร่างบางที่คุ้นตา คิ้วหนาขมวดชิดกันอย่างไม่สบอารมณ์ แค่เสี้ยววินาทีเขาก็จับลากเอาแบคฮยอนให้เดินตามออกมาจนได้
“ย๊า! เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ยนายโอเซ!!”
“โอ๊ะ พี่ลู่หาน! หวะ..หวัดดีฮะ”
ลู่หานก้มหัวให้แบคฮยอนเป็นการทักทายตามมารยาท ก่อนจะวกสายตาขึ้นมองเด็กหนุ่มตัวสูง เขายิ้มออกมาบางๆ “วันนี้ฉันคงกลับดึก จะเอากุญแจเข้าบ้านก่อนมั้ย?”
“ไม่”
“หรือว่านายจะกลับดึก ให้ฉันรอมั้ย?”
“ไม่”
แบคฮยอนหันมองคนข้างๆทันที ..หมอนี่นี่ติดโรคอารมณ์ขึ้นๆลงๆมาจากชานยอลรึไงนะ!!
“ผมกำลังจะไปดื่มกับเจ้านี่พอดี มาเจอพี่แบบนี้ก็ดีเลย”
“ย๊า..ใครจะไป....” กับนายมิทราบ ....แบคฮยอนอยากจะต่อประโยคให้จบอยู่หรอกนะ
“ถือว่าเป็นการฉลองต้อนรับผมละกัน คงไม่รังเกียจใช่มั้ยครับ”
ลู่หานหันมาสบตาเขา แต่แบคฮยอนทำได้เพียงหลบตาและทำเป็นเสมองไปทางอื่น ..เรื่องพี่ๆน้องๆนี่เค้าไม่ถนัดจริงนะ บ่องตง
“ไม่ได้เจอพี่ลู่หานนานนนนเลยนะฮะ!^^” ตรรกะของการที่นายโอเซซึ่งเป็นคนออกปากชวนพี่ลู่หานมาเองแต่กลับไม่ยอมพูดจากันซักคำนี่คืออะไรวะครับ พยอนแบคฮยอนแม่งโคตรไม่เข้าใจ
“ไม่แวะมาที่ร้านหนังสือมั่งล่ะ?” ยังดีที่เขายังพอมีอะไรคุยกับพี่ชายหน้าหวานอยู่บ้าง ก็เลยพอถูๆไถๆพอให้บรรยากาศไม่กร่อยไปได้ล่ะนะ
“พี่ก็แวะมาที่ร้านกาแฟบ้างสิ!” แบคฮยอนตะโกนแข่งกับเสียงเพลงจนเริ่มรู้สึกแสบคอ เลยคว้าเอาแก้วเหล้ากรอกใส่ปากไปอึกใหญ่ๆ “พี่ดื่มไม่เก่งแหงๆ” ก่อนจะหันมาสังเกตแก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าพี่ลู่หาน ยุงวางไข่ได้ซักคอกนึงแล้วมั้ง
พี่ชายหน้าหวานพยักหน้าแต่โดยดี ทว่าสายตากลับมองเลยเขาไปยังด้านหลัง
โอเซฮุนลุกไปจากบาร์ ตรงแหน่วไปยังกลางฟลอร์เต้นรำที่มีสาวๆทอดสะพานรออยู่ก่อนแล้ว หมอนั่นนี่อย่างกับดอกไม้ป่าหายาก ที่พอถูกเด็ดเอาไปวางไว้กลางสวนก็มีแต่ผีเสื้อรุมดูดน้ำหวาน โดยที่เจ้าผีเสื้อพวกนั้นช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลยว่าน้ำหวานนั่น แท้จริงแล้วมันคือยาพิษ
“แบคฮยอนไม่หึงเหรอ?”
“เห???” ตัวเล็กเอียงคอ “ทำไมต้องหึงด้วยล่ะ”
ลู่หานลอบมองดวงตารีเรียวของแบคฮยอน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองตามร่างสูงของโอเซฮุนที่กำลังกกกอดหญิงสาวหน้าตาสะสวยอยู่ตรงนั้น เขามองฝ่ามือหนาที่กำลังลูบไล้บั้นเอวของหล่อน มองแผงอกกว้างที่หล่อนซุกซบ มองปลายจมูกโด่งและริมฝีปากสีสดที่กำลังคลอเคลียไปตามแนวไหล่ขาวนวล
ลู่หานกำลังหายใจไม่ออก
หัวใจมันบีบตัวแน่นจนแค่หายใจก็ยังเจ็บ
“อั่ก หมอนี่นี่ตัวหนักชะมัด!” แบคฮยอนโวยก่อนจะใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างดันร่างของโอเซฮุนจนหลังกระแทกเข้ากับรถแท็กซี่ “พี่ลู่หานจัดการไหวแน่นะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราน่ะ รีบกลับบ้านได้แล้ว แล้วนี่ได้บอกเจ้าชานรึเปล่าว่าจะกลับดึก”
เอ่อะ!! ลืมสนิทเถอะ
“บ..บอกแล้ว” โกหกไปก่อนละกัน พี่ลู่หานจะได้ไม่ดุเอา
“กลับบ้านดีๆล่ะ”
“พี่ก็ด้วย”
แบคฮยอนจัดแจงช่วยจับเอาร่างของโอเซฮุนยัดลงเบาะหลังรถแท็กซี่ได้แล้วก็มายืนโบกมือหงอยๆตามหลัง เขาล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วก็แทบจะร้องไห้ตอนที่เห็น missed call กว่า 50 สาย
‘คุณเจ้าของ’
T^T
Cut 70%
บนหน้าจอสมาร์ทโฟนแสดงผลว่ากำลังติดต่อเจ้าของหมายเลข ‘หมาหงอย’ เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วชานยอลก็คร้านจะนับ
อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อจาก หมาแสบ เป็น หมาหงอย สุดท้ายก็ไม่วายแผลงฤทธิ์อยู่ดี
หลังจากที่โทรฯหาพี่จุนมยอน จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขาก็ยังติดต่อนายตัวเล็กนั่นไม่ได้เสียที ชานยอลขมวดคิ้วจนตอนนี้หน้าทั้งหน้าดูยุ่งเหยิง เลื่อนนิ้วโป้งสไลด์โทรฯออกอีกครั้งแต่ผลก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม
เสียงห้ามล้อรถเมล์ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ชานยอลผุดลุกขึ้น ร้อนรนจนเดินชนคนอื่นไปทั่ว กว่าจะหลุดออกมาได้นี่ก็ต้องแลกกับมะเหงกของอาจุมม่าไปหลายดอก
ตึกก่อด้วยอิฐไม่ได้ฉาบปูนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ซอย เขาจับเอามือถือยัดลงเสื้อโค้ทก่อนออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณของเขาไม่ผิดแน่ นอกจากร้านพี่จุนมยอนกับบ้านของเขาแล้ว หมาแสบก็ไม่น่าจะรู้จักที่ไหนได้อีกนอกจากที่นี่
เขาผลักประตูเข้าไปแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างโล่งอก ไฟที่เปิดสว่างและเสียงกุกกักหลังชั้นเหล็กสีดำช่วยให้หายเหนื่อยขึ้นเยอะ ...คอยดูเถอะจะจับตีก้นให้เข็ดเลย!
“โอ๊ะ!! ตกใจหมด”
เพราะย่องเข้าไปเสียเงียบเชียบ มันเลยไม่แปลกที่พออีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากันแล้วจะตกใจจนแทบหงายแบบนี้ ชานยอลรีบคว้าเอาข้อมือบางดึงเข้าหาตัว โชคดีที่เขาเร็วพอ เพราะหากช้ากว่านี้เพียงแค่ครึ่งวินาที หัวกลมๆนั่นคงได้โขกเข้ากับชั้นวางเหล็กที่ดูจะหนาเป็นพิเศษซะด้วย
ไม่หัวโน...ก็คงได้แผลกลับบ้านซักแผล
“ทำไมนายถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ?” เสียงที่อู้อี้อยู่ตรงหน้าอกทำเอาชานยอลสะดุ้ง เมื่อรู้ตัวแล้วจึงจับเอาไหล่บางดันออกจากตัว
คนตรงหน้าคือโดคยองซู ไม่ใช่คนที่เขาตามหา
“เหมือนว่านายจะผิดหวังที่เจอเรานะ”
“แบคฮยอนได้มาที่นี่รึเปล่า?”
มาหาเจ้านั่นสินะ...
คยองซูหันหลังกลับไปหยิบเอาโน้ตเพลงออกมาจากแฟ้ม จงใจเพิกเฉยต่อคำถามนั้น....ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย
“ฉันรู้แค่ว่าวันนี้ไม่มีซ้อม”
คนตัวเล็กหันมาจ้องตาเขาด้วยแววตาที่แสนว่างเปล่า “มีอะไรต้องทำอีกรึเปล่า เราจะปิดห้องแล้ว”
ชานยอลส่ายหน้าช้าๆ ทั้งที่ยังไม่คลายกังวลเรื่องของหมาแสบที่หายตัวไป คงไม่รับรู้ถึงสายตาของอีกคนที่มองมาด้วยความเจ็บปวด
ทั้งๆที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆนายตอนนี้...แต่มันคงไม่ต่างอะไรไปจากธาตุอากาศ ใช่มั้ย? ปาร์คชานยอล....
ไม่มีคำบอกลาใดๆ... หลังจากล็อกประตูห้องซ้อมเสร็จคยองซูก็พลิกตัวเดินออกมา
“เดี๋ยวสิ คยองซู”
หรือว่านายจะรับรู้ถึงการมีตัวตนของฉันแล้ว
ชานยอลสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง “นาย....พอจะรู้รึเปล่าว่าแบคฮยอนรู้จักที่ไหนอีกนอกจากที่นี่”
เขาอยากจะหัวเราะ แต่กลับหัวเราะไม่ออก... ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของชานยอล ยิ่งเห็นว่าแววตาขมุกขมัวนั่นกำลังตะโกนใส่เขาว่าเป็นห่วงพยอนแบคฮยอนมากแค่ไหน แทนที่จะเป็นการแค่นหัวเราะ คยองซูกลับอยากปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมามากกว่า
ให้มันไหลออกมาจนกว่าจะล้างชื่อของผู้ชายคนนี้ออกไปจากความทรงจำของเขาได้
“ทำไมนายต้องหลบหน้ากันด้วย”
ชานยอลกัดริมฝีปากจนเจ็บ ในความคิดของเขาตอนนี้ คำถามของคยองซูนอกจากจะไร้สาระแล้วมันยังน่ารำคาญอีกด้วย แต่เขายังใจเย็นพอที่จะคว้าเอาไหล่บางทั้งสองนั้นไว้ และอธิบายให้อีกคนฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลมากที่สุดเท่าที่ความร้อนใจนี่จะไม่สามารถลดทอนมันได้
“ฟังนะคยองซู”
“ตอนนี้พยอนแบคฮยอนหายตัวไป และฉันก็ติดต่อเค้าไม่ได้เลย ฉันไปหาที่ร้านพี่จุนมยอนมาแล้วแต่ก็ไม่เจอ จนต้องมาที่นี่...”
“หมาตัวนั้นสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
“โดคยองซู!”
เจ้าของชื่อทำได้แค่แค่นยิ้มออกมาตอนที่ได้ยินน้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยเรียกชื่อของเขา “เราช่วยนายไม่ได้ ขอโทษด้วย”
ปาร์คชานยอลพูดไม่ออก
คยองซูที่เขารู้จักไม่ใช่คนแบบนี้....ไม่ใช่เลย
เขาเคยชอบแววตาเศร้าๆของพยอนแบคฮยอน
เคยชอบเสียงร้องเพลงที่มีเอกลักษณ์นั่น
รวมทั้งเคยไว้ใจ
ซึ่งทั้งหมดมันได้กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว
ตอนนี้แค่ชื่อของเจ้านั่นเขาก็ยังไม่อยากได้ยินด้วยซ้ำ
แต่ทำไมชานยอลถึงได้เอาแต่ย้ำชื่อๆนั้นออกมา
มันตั้งแต่เมื่อหลายปีที่แล้วที่เรื่องระหว่างเขากับชานยอลได้เริ่มต้นขึ้น เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่คนตัวสูงนั่นเข้ามาทักมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้จักปาร์คชานยอล ถึงแม้ว่าชานยอลจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไรมากมายในโรงเรียน แต่ตัวสูงๆกับรอยยิ้มกว้างๆนั่นมักจะอยู่ในสายตาของเขาเสมอ เขาดีใจจนกระโดดไปทั่วบ้านหลังจากที่รู้ว่าอีกฝ่ายก็คิดเหมือนกันกับตัวเอง บวกกับครอบครัวของเขาที่ไม่ได้ปิดกั้นหรือว่ามีความคิดคร่ำครึหัวโบราณ ไม่นานพวกเขาก็ตกลงคบหากัน
เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ในเมื่อชอบกันแล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง คยองซูรักชานยอลด้วยหัวใจทั้งหมด ไม่เคยคิดเผื่อถึงความผิดหวัง เพราะคิดเสมอว่ามันจะไม่มีวันนั้น
แต่ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง... มันคือความรู้สึกของคนที่ถูกละเลย และหัวใจที่ถูกปล่อยให้อ้างว้าง ทั้งๆที่มือของเราทั้งสองยังจับจูงกันอยู่ แต่ก็เหมือนยืนอยู่ตามลำพัง
เขาเป็นคนเอ่ยปากบอกเลิก เพียงเพราะคิดว่าไม่อยากเป็นฝ่ายเจ็บ
ก็เหมือนกับที่เขาเอ่ยปากให้กลับมารักกัน
เพียงแค่คิดว่าชานยอลคงไม่ปล่อยให้เขาเสียใจอีกครั้ง
“คนนิสัยไม่ดี”
เสียงเครื่องยนต์ที่วูบดับไปทำให้คยองซูหัวเสียกว่าเก่าจนต้องทุบกำปั้นเข้ากับพวงมาลัยเป็นการระบายอารมณ์ ทำไมเรื่องแย่ๆมันถึงได้ชอบมามะรุมมะตุ้มอยู่วันเดียวกันแบบนี้นะ!!
เขาแทบสำลักตอนที่เปิดกระโปรงหน้ารถขึ้นมาแล้วมีไอน้ำจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าใส่ คนตัวเล็กประเคนฝ่าเท้าให้รถเฮงซวยอีกรอบ “อัชช์ เจ็บ” เขาอยากจะร้องไห้ให้มันสาสมกับความโมโหนี่เลย อยากลงไปดิ้นกับพื้นเลยด้วยซ้ำ!
แต่ทุกความคิดก็ชะงักไปตอนที่เห็นร่างสูงของชานยอลรับโทรศัพท์ด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งขึ้นแท็กซี่ไปด้วยอาการร้อนรน “หากันเจอแล้วสินะ”
“อยากเป็นหวัดตายรึไงโดคยองซูถึงได้มายืนตากหิมะแบบนี้”
น้ำเสียงกวนบาทาดังขึ้นพร้อมๆกับที่เสื้อโค้ทตัวยักษ์ถูกคลุมทับลงมาบนหัว คยองซูหันขวับ
“จงอินนา รถนายอยู่ไหน”
หมอนั่นยังเอาแต่ทำหน้าเป็นหมีงงจนเขาต้องดึงทึ้งเสื้อยืดย้วยๆที่อีกคนสวมอยู่เป็นการเร่งเร้า “เร็วสิ รถนายอยู่ไหน”
“จอดอยู่ฝั่งโน้น ทำไมวะ?”
“ตามแท็กซี่คันนั้นไป เร็ว!!”
“ตามทำไม”
“ถ้าถามอีกคำ ฉันจะฆ่าปาดคอนายมันตรงนี้แล้วก็ขับรถนายไปเองซะเลย”
อื้อหืออออ ไอ่โหดดดด! หน้าหวานๆแบบนี้แม่งไปเอาความป่าเถื่อนมาจากไหนวะ “อ..เออๆๆ ตามมาดิ!”
*
หิมะแรกของปีตกลงมาแล้ว แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยินดีด้วยเลย ดวงตากลมโตจ้องมองปุยนุ่นสีขาวเหล่านั้นอย่างนึกตำหนิ ถ้าหิมะนี่มันทำให้หมาของเขาเป็นหวัดขึ้นมาล่ะก็ เขาจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด!
‘นายหยอยอยู่หนาย กลับมาเปิดบ้านให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ’
ยังจะกล้ามาออกคำสั่ง ก็เพราะตัวเองไม่ใช่รึไงที่หนีเที่ยวจนได้เรื่อง
แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ความรู้สึกโกรธทั้งหลายแหล่มันสลายหายไปได้เพียงแค่เห็นตัวเล็กๆนั้นนั่งขดอยู่หน้าประตูบ้าน บนเส้นผมสีคาราเมลมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่เหมือนกับน้ำตาลไอซิ่งบนหน้าไอศกรีม ชานยอลปลดเสื้อแจ็คเก็ตออกจากตัวเพื่อเอาไปห่อเจ้าหมาซนเอาไว้
กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยกระแทกจมูกเข้าอย่างจัง ระดับความเข้มข้นที่เขาสัมผัสได้มันบอกชัดเลยล่ะว่าเจ้านี่ขี้เมาขนาดไหน แต่จะให้มาต่อว่ากันตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเสียแรงเปล่า ดูสภาพเข้าสิ คอพักคออ่อนซะขนาดนี้อย่าหวังเลยว่าพูดอะไรไปจะเข้าหู
ชานยอลจัดการช้อนเอาร่างเล็กๆขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก่อนหายเข้าไปในตัวบ้าน
และคยองซูก็เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง...
“นายจะตามมาดูภาพบาดตาพวกนี้ทำไมกัน เป็นมาโซส์รึไง” จงอินหันมามองเพื่อนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน อดที่จะส่ายหัวอย่างระอาใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าคยองซูร้องไห้อีกแล้ว
ก็คนมันปลอบเป็นซะที่ไหนกันเล่า!
“เฮ้ยยย ก็ตัวเล็กมันเมา พี่ชานยอลก็ต้องอุ้มดิ มันน่าเสียใจตรงไหนวะเนี่ย” เขายื่นมือออกไปขยี้หัวคยองซู แต่กลับโดนฝ่ายนั้นปัดมือออกอย่างแรง
“ไม่ต้องมายุ่ง” ในเมื่อนายตัวเล็กนี่ออกปากซะขนาดนี้ จะให้เขาทำอะไรได้ แต่เอาเถอะ อยากจะร้องก็ร้องให้พอใจเลยละกัน เดี๋ยวเหนื่อยตอนไหนก็คงจะหยุดเองล่ะมั้ง
ว่าแต่ว่า...ถ้ามันร้องไห้ทั้งคืนนี่เค้าจะทำยังไงวะ จับฆ่าหมกส้วมซะดีมั้ยเนี่ย!!
โอ๊ย นี่ไอ้โรคป่าเถื่อนมันติดกันง่ายขนาดนี้เลยเรอะ!!
*
เห็นตัวกระเปี๊ยกแค่นี้นี่หนักไม่ใช่เล่นเลยแฮะ
“หมาแสบ” หลังจากวางร่างเล็กๆนั่นลงบนเตียงแล้ว เขาก็สะกิดปลุก จริงๆก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาจะไปก่อกวนคนเมา แต่เห็นสภาพแล้วมันทนไม่ไหว ทั้งผมทั้งเสื้อผ้าชื้นไปหมดแบบนี้ขืนปล่อยให้นอนเลยหวัดคงรับประทานแหงมๆ
“อื้อออ!” แต่ตัวเล็กเอาแต่ครางอือซ้ำยังเอาหน้ามุดกับหมอนอย่างกับเป็นลูกแมว
“อย่าเพิ่งนอนดิ” เขาจับงัดเอาร่างนั้นให้นอนหงายซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลย เพราะหมอนั่นเอาแต่งุดๆกอดหมอนเอาไว้แน่น “หมาแสบ..ไปอาบน้ำสระผมก่อน”
“อื้อออ ง่วงอ่า”
“แล้วจะนอนทั้งที่ตัวเหม็นเหล้าหึ่งแบบนี้เนี่ยนะ”
“นายหยอย...” ชานยอลก้มมองมือเล็กที่ตะปบเข้ากับสาบเสื้อเชิ้ตของเขา “นอนได้แล้ววว” แล้วก็เกือบจะได้หน้าคว่ำเพราะจู่ๆเจ้านั่นก็ออกแรงดึงทั้งที่ยังไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่เขาใช้ฝ่ามือยันหัวเตียงไว้ทัน เลยไม่ล้มไปตามแรงดึงง่ายๆ แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ลดน้อยลงอยู่ดี
“หมาแสบ..” เขาลองเรียกดูอีกครั้ง แต่ก็มีเพียงเสียงลมหายใจดังตอบกลับมา ..เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังเป็นเพื่อนกับเสียงของหัวใจที่ดังโครมคราม
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าใส แพขนตาเรียงสวย และริมฝีปากสีเชอรี่ หัวใจมันถึงได้เต้นรุนแรงแบบนี้
อาจจะตั้งแต่ตอนนั้นที่เราจูบกัน
หรืออาจจะก่อนนั้น
“ก่อเรื่องให้ฉันอีกแล้วนะ ..หมาแสบ” เรื่องใหญ่ซะด้วยสิ
ชานยอลยังคงจ้องเปลือกตาบางซึ่งปิดสนิท จนเมื่อมั่นใจว่าหมาแสบคงสิ้นฤทธิ์แน่แล้วจึงผละออกมา ลงไปจัดแจงหากะละมังและผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้คนที่เมาไม่รู้เรื่อง และจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนให้เสร็จสรรพ
ปกติก็ไม่ใช่คนที่ชอบดูแลใครซักเท่าไหร่ แต่พยอนแบคฮยอนนี่ก็สรรหาเรื่องมาให้เค้าต้องคอยดูแลอยู่เรื่อย
ชานยอลหาวหวอด เหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงก็พบว่ามันล่วงเลยมาเกือบๆจะตีสามแล้ว เจ้าตัวลุกเอากะละมังไปเก็บและกลับมาซุกตัวภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ...กลัวว่าจะป่วยเอาหรอกนะถึงได้ต้องมาเพิ่มความอบอุ่นให้
หาข้ออ้างให้ตัวเองได้แล้วก็รั้งเอาตัวนุ่มๆของหมาแสบเข้ามาซุกไว้ในอ้อมกอด
ก่อนจะผล็อยหลับตามไปอย่างง่ายดาย
*
เพราะแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่มันไม่สามารถลบเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมาได้...
หรือที่จริงแล้วมันเป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่เคยคิดอยากจะลืมมันกันแน่?
ลู่หานเกลียดที่เป็นแบบนี้
นอกจากร้านหนังสือของอี้ฟานแล้วเขาก็ไม่มีที่จะไป แม้ต้องใช้เวลาทำใจก่อนตัดสินใจมาที่นี่นานพอสมควร แต่ท้ายแล้ว ความรับผิดชอบก็บีบให้เค้าต้องมาโดยไม่มีทางเลี่ยง
วันนี้อี้ฟานอาจไม่เข้ามาที่ร้านก็ได้
หวังให้มันเป็นอย่างนั้น
ลู่หานปิดหนังสือพ็อคเกตบุ้คที่เพิ่งอ่านไปได้สองสามหน้าก่อนยัดมันเข้าชั้นตามเดิม ปกติเขาก็ชอบหาหนังสือในร้านอ่านเล่นอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่มีเล่มที่น่าสนใจซักเท่าไหร่
“กินข้าวห่อสาหร่ายอีกแล้ว”
คนตัวเล็กก้มมองข้าวห่อสาหร่ายในมือที่พร่องลงไปเล็กน้อย เขายิ้มให้กับมัน
....ความหวังของเขาไม่เคยเป็นจริงเลยสินะ...
“ก็ไม่รู้จะกินอะไรนี่นา” ลู่หานหันไปตอบคุณเจ้าของร้านตัวสูงที่ตีหน้ายุ่งมาแต่ไกล
“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะโต”
“ขนาดนี้เค้าเรียกว่าแก่แล้ว”
อีกคนยิ้มเหมือนจะขำกับมุขของเขา แต่ลู่หานรู้ดีว่ามันไม่ได้น่าตลกเลยซักนิด
เขาหลบตาเมื่อถูกอี้ฟานจ้องเข้ามากๆ ข้าวห่อสาหร่ายในมือถูกยกขึ้นมากัดอีกคำใหญ่ๆและลู่หานไม่ได้รับรู้เลยว่ารสชาติของมันเป็นแบบไหน
“อยู่กับน้องชายคืนแรกเป็นไงมั่ง”
แต่คำถามนั้นก็ทำให้ใจกระตุกขึ้นมา
“ก็ดี....” เขาควรจะตอบมากกว่านี้รึเปล่านะ??
แท้จริงแล้ว คำตอบที่เขาอยากฟังมันเป็นแบบไหนอี้ฟานเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“ที่จริงวันนี้ฉันมีข่าวดีมาอวดนายด้วยล่ะ” คนตัวสูงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไม่อยากโกหกว่าเขาไม่พร้อมที่จะมองแววตาหวาดหวั่นคู่นั้นเลย “แต่ว่า....ไม่รู้ว่านายจะยินดีด้วยมั้ยน่ะสิ”
ลู่หานผ่อนลมหายใจออกมา รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อยที่อี้ฟานไม่ได้คิดจะถามเรื่องน้องชายต่อ “ถ้าเป็นข่าวดี ก็ต้องยินดีสิ ถามแปลกๆ”
“ฉันสอบเรียนต่อโทฯผ่าน” คนตัวสูงเอ่ยออกมาง่ายๆ คงไม่ใช่เวลามาเล่นตัวเป็นเด็กๆเพราะเขารู้ดีว่ามีอีกเรื่องที่สำคัญกว่ารออยู่
“สุดยอดไปเลย” ลู่หานยกนิ้วโป้งขึ้นมาทั้งสองข้าง และฉีกยิ้มให้คนตัวสูงจนตาหยี ทว่าสีหน้าของอี้ฟานกลับเปลี่ยนไป รอยยิ้มสดใสคลายลงพลอยทำให้เขานึกสงสัย “ก็ไหนว่าข่าวดีไง ทำไมทำหน้าเศร้างั้นล่ะ”
เขาเผลอหดคอตอนที่ฝ่ามือหนานั้นเอื้อมมาวางไว้บนศีรษะและจับโคลงไปมาเบาๆ “แต่ต้องไปเรียนที่อเมริกาน่ะสิ”
ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมจากคำตอบนั้น ลู่หานทำเพียงยิ้มบางๆกลับไป “ต้องไปเมื่อไหร่”
“ปลายปี”
“อีกตั้งสองเดือนกว่า”
เขาอยากอ่านแววตาคู่นี้ออก..อยากรู้ว่าลู่หานรู้สึกแบบเดียวกันรึเปล่า ความรู้สึกที่ว่า..เขากลัวความห่างไกลนี่เหลือเกิน
“จริงๆแล้วฉันกลัว..”
ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าระยะเวลาสองเดือนหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เขากับลู่หานอาจจะคบกันต่อไปหรือแยกทางกันก่อนถึงเวลานั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังกลัวอยู่ดี..กลัวว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้
จะหายไป
ร่างสูงก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ก่อนจะใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างโอบร่างเล็กเข้ามาแนบอก ซบศีรษะลงบนไหล่บาง และสูดดมกลิ่นกายอ่อนนุ่มเพื่อคอยย้ำเตือนกับตัวเองว่าลู่หานยังอยู่กับเขา ยังอยู่ในอ้อมกอดนี้
..ขอโทษ..
..ฉันรักนาย..
คงมีเพียงพระเจ้าที่ได้ยิน
TBC
ความคิดเห็น