คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Part 1 : Love again (100%)
Part 1
Love again
ถ้าไม่นับจูบผิวเผินของโอเซฮุน.. แบคฮยอนอยากนับจูบนี้ว่าเป็น ‘จูบแรก’ ของเขา
จูบที่ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ กระโดดเด้งไปมาจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก
จูบที่ทำให้ตัวเบาหวิวเหมือนปุยเมฆ.. ล่องลอยอยู่กลางอากาศ
จูบที่อุ่นวาบ จนไม่อยากผละออกห่าง..แม้มันจะกลายเป็นเปลวไฟร้อนแรงที่พร้อมจะเผาร่างของเขาให้กลายเป็นจุลก็ตาม
จูบของปาร์คชานยอล
เท้าเล็กถอยร่นมาข้างหลัง 1 ก้าวทันทีที่เป็นอิสระจากจุมพิตรสหวานนั่น ตาแป๋วจ้องสบกับคนตัวสูงที่ทำเพียงมองเขาตาค้าง..เอ่อ.. น่าจะเรียกว่าเหวอมากกว่าล่ะมั้ง
“เอ่อ..” เป็นฝ่ายชานยอลที่ส่งเสียงทำลายความเงียบ ทว่าไม่ได้ลดความอึดอัดรอบด้านนี่ลงเลยซักนิด เขายกมือขึ้นบีบต้นคอตัวเองแรงๆหลังจากมองหน้าหมาแสบแล้วพบว่าหมอนั่นเอาแต่จ้องเขาตาแป๋ว
กูทำบ้าอะไรลงไปวะ??
แต่ที่ข้องใจมากกว่านั้น.. นายตัวแสบนี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง?
พวกเขาทั้งคู่ปล่อยให้เสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่งเข้ามาบรรเลงในช่วงเวลาสั้นๆที่ไม่มีเสียงจากประโยคคำพูด ชานยอลเพียงมองดูนายตัวเล็กที่หน้าเริ่มหงิกลง หงิกลง เดาว่าอีกไม่นานคงอดกลั้นไม่ไหวแน่ๆ
“ย๊า! ถ้านายจะแก้ตัวว่าเมาล่ะก็...”
“เออใช่ ฉันคงเมา”
แบคฮยอนทำหน้ามู้ตู้ยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะตวัดหน้าสะบัดตัวเดินหนี นึกหงุดหงิดกับเหตุผลงี่เง่าของชานยอลจนไม่อยากจะมองหน้า..เห็นปากเขาเป็นอะไร นึกอยากจะจูบก็จูบ ตอนนายโอเซก็ว่าลืมๆไปแล้ว นายหยอยนี่ยังจะมาตอกย้ำอีก!
“หมาแสบ”
“อะไรอีกล่ะ?”
“โกรธเหรอ?”
“ใช่!”
“จูบฉันมันไม่อร่อยรึไง” นึกอยากจะตบปากตัวเองให้บวมไปข้าง ..นี่เมาแล้วใช่มั้ยถึงได้พูดอะไรน่าไม่อายแบบนั้นออกไป
“มันก็ห่วยทั้งหมดนั่นแหละ ทั้งของนายโอเซ ทั้งของนาย!!”
“....”
“มีใครเคยถามฉันบ้างมั้ยว่าอยากจูบด้วยรึเปล่า บ้าชะมัด พวกนายมันเอาแต่ใจ!”
“เฮ้ ทำไมต้องพูดถึงหมอนั่นด้วย” แค่พูดถึงน่ะไม่เท่าไหร่ แต่นี่นายยังกล้าเอาจูบของฉันกับหมอนั่นมาเปรียบเทียบกันงั้นหรอ? หนำซ้ำยังตีราคาต่ำระดับเดียวกันอีกต่างหาก แบบนี้มันไม่หยามกันไปหน่อยหรือไง
“แล้วทำไมจะพูดถึงไม่ได้ล่ะ!!” แบคฮยอนตะโกนสุดเสียงจนเส้นเลือดปูดโปนอยู่ที่ลำคอ “พวกนายมันก็เฮงซวยทั้งคู่!” จบที่พูด ตัวเล็กๆของหมาแสบก็เดินดุ่ยๆหนีไปเหลือไว้เพียงรอยเท้าบนผืนทรายสีหม่น
“เฮ้ หมาแสบ!”
Rrrrrrrrrrrr!
“อะไรอีกวะเนี่ย” ชานยอลที่กำลังจะสาวเท้าตามหมาแสบไปจำต้องชะงักแล้วหยิบเอาเจ้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดข้อความแม้จะรู้อยู่แล้วว่ามาจากใคร
เจ๋งเป้ง! ถ้าจะส่งข้อความมารายงานความสำเร็จกันตอนที่น้องตกที่นั่งลำบากแบบนี้น่ะนะ!
“ย๊า หมาแสบ หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!!”
ถึงตาแก้ปัญหาของตัวเองแล้วล่ะ ปาร์คชานยอล!
.
แสงสีส้มฉาบไล้ไล่สีเทาหม่นของความมืดมิดออกไปช้าๆ อาทิตย์กลมโตสีส้มสดลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้าอีกด้านเหนือเส้นขอบฟ้าและทะเลกว้างขวางนั่น.. วันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ร่างเล็กขยับพลิกตัวหนีความอุ่นที่เริ่มคืบคลานเข้าหา เสียงเนื้อผ้าห่มหนาเสียดสีกันดังก้องภายในห้องเล็กๆที่มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังอยู่เบาๆ เปลือกตาบางค่อยๆเปิดขึ้นและสิ่งแรกที่เห็นแม้จะเลือนรางคือร่างของคนคุ้นตาที่หลับสัพหงกอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวเล็ก เรียวคิ้วร่นเข้าหากันเพียงนิด.. นอนแบบนั้นจะสบายตัวได้ยังไงกัน
ลู่หานเดินเข้าไปใกล้ ก้มมองดูใบหน้าคนหลับ มั่นใจว่าไม่ใช่แค่งีบแต่คงหลับลึกจนฝันดีไปหลายตลบแล้วแน่ๆ.. มือเล็กประคองหัวทุยไว้เพราะเห็นว่ากำลังจะไหลลงจากพนักพิงและถ้าไม่รีบจับเอาไว้มีหวังคอเคล็ดเดินคอเอียงไปทั้งวันแน่ๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้สึกตัวเสียก่อน
“ตื่นแล้วเหรอ?”
“หลับอยู่มั้งที่เห็นอยู่เนี่ย”
ปรากฏเป็นรอยยิ้มจางๆบนริมฝีปากของอู๋ฟาน เขาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กหัวยุ่งๆที่ยืนค้ำหัวอยู่.. ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นลู่หานในสภาพเพิ่งตื่นแบบนี้ เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป..
คงเป็นเพราะคนตรงหน้าคือ ‘คนรัก’ ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ เหมือนเมื่อก่อน
“แล้วทำไมมานอนตรงนี้ เตียงก็ออกจะกว้าง”
“ก็กลัวเรานอนไม่สบาย”
มันจะไม่สบายได้ยังไงเล่า.. นี่ต่อให้เขานอนกลิ้งซ้ายกลิ้งขวาหรือหมุนเป็นเข็มนาฬิกาก็ยังมีที่เหลือตั้งเยอะ
“ตามใจ อยากจะเมื่อยไปทั้งตัวหรือว่าคอเคล็ดมันก็เรื่องของนาย”
อู๋ฟานยังคงยิ้มได้หน้าตาเฉย เห็นแล้วน่าหมันไส้พิลึก ลู่หานเลยเดินหนีเข้าห้องน้ำมันซะเลย เสียงปิดประตูดังไล่หลังก่อนที่คนตัวยาวภายในห้องนอนจะเริ่มขยับแขนบิดขี้เกียจ
..เมื่อยจริงๆแฮะ..
แต่มันก็น่าจะดีกว่าให้เขาไปนอนบนเตียงเดียวกันกับลู่หานล่ะน่า! คงได้นอนไม่หลับไปทั้งคืน!
.
อากาศที่เชจูค่อนข้างเป็นใจเลยทีเดียว.. แม้แดดจะไม่ได้จัดจ้าเหมือนช่วงฤดูร้อน แต่อย่างน้อยลมหนาวก็ไม่ได้พัดมากวนใจ เช้านี้สี่หนุ่มมีทริปไปดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นที่เกาะฝั่งโน้นซึ่งต้องนั่งเรือข้ามไปประมาณชั่วโมงเศษๆ แบคฮยอนเลยใช้เวลาสั้นๆนี้ในการงีบหลับแทนที่จะดูทิวทัศน์ของทะเลสีคราม
ก็ใครกันล่ะทำให้เขานอนไม่หลับ!
และที่น่าเจ็บใจที่สุดคือไอ้ตัวต้นเหตุมันดันยิ้มรื่นทำตาใสได้เหมือนเดิมนี่สิ ..แบคฮยอนกัดปากตัวเองในขณะที่สายตายังไม่ยอมละออกจากแผ่นหลังของปาร์คชานยอลที่กำลังเกาะขอบเรือชะเง้อหน้าให้ลมโกรก
หรือว่าเมื่อคืนหมอนั่นจะเมาจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ?
“เมาเรือเหรอหมาแสบ?”
คนตัวเล็กสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง แสร้งทำเป็นว่ากำลังดื่มด่ำกับธรรมชาตินี่เหมือนกัน ปล่อยให้ชานยอลทำหน้าสงสัยเก้อ จงใจก่อสงครามประสาทขึ้นเงียบๆ กระทั่งถึงจุดหมาย..ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่าชายฝั่ง เพราะบริเวณที่เรือจอดอยู่นี่น่าจะห่างจากฝั่งเกือบๆ 500 เมตร
ไกด์ทัวร์ที่มากับพวกเขาเริ่มต้นอธิบายวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆอย่างง่ายๆ ก่อนปล่อยให้ดำน้ำชมปะการังตามอัธยาศัย พี่ลู่หานโดดลงน้ำไปก่อนใครเพื่อนตามด้วยพี่อู๋ฟาน ส่วนนายหยอยเขาไม่สนใจหรอก ..จะไปโดดน้ำตายที่ไหนก็เรื่องของ...
“ไม่ลงเหรอ?”
หน้าของชานยอลเวลาที่สวมแว่นดำน้ำอันใหญ่นี่มันตลกชะมัด! แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ต้องกลั้นขำเอาไว้ ..สงครามของพวกเขามันยังไม่จบ!
“แปลกแฮะ หมาแสบอย่างนายไม่ยอมลงเล่นน้ำเนี่ยนะ”
หมาแสบทำหน้าบู้บี้เหมือนเด็กน้อยจอมเอาแต่ใจ
“ลงไปเล่นด้วยกันเหอะ เลิกทำหน้างอได้แล้วหน่า”
“ย๊า!” ตัวเล็กตะโกนตอนที่ชานยอลริเอามือมาบีบแก้มเขาแล้วดึงไปมา เห็นเค้าเป็นตุ๊กตารึไง! หนอยยย...
คิ้วหนาๆของชานยอลเริ่มร่นเข้าหากัน ก่อนที่หมอนั่นจะเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ ขยับแว่นขึ้นไปไว้บนหน้าผากและเอาแต่จ้องหน้าเขา “โกรธฉันอยู่สินะ”
ข้อสันนิษฐานของเขาคงใช่หรือไม่ก็ใกล้เคียง สังเกตได้จากหน้าใสๆของหมาแสบที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม.. ชานยอลเม้มปากก่อนเสหน้ามองไปทางอื่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึก..แต่ถึงตอนนี้แล้วเขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมเมื่อคืนถึงได้ทำอะไรแบบนั้นกับนายตัวแสบ บรรยากาศพาไปล่ะมั้ง.. ไม่จริงหรอก.. นายรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ปาร์คชานยอล
“ย่าห์.. ถ้านายไม่ยอมลงไปเล่นฉันจะอุ้มนายทิ้งทะเลเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“ยุ่งอะไรด้วยเล่า อ๊ากกกก!!! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!” โวยวายไปตอนนี้ก็ไม่ทันซะแล้ว เพราะทันทีที่คำขู่บ้าบอของนายหยอยนั่นจบลง ตัวเขาทั้งตัวก็ลอยหวือขึ้นจากพื้นเรือด้วยแรงมหาศาล “อ๊ากกก ไม่เอา ปล่อยฉันนะ!! ฮืออออออออออ ก็ฉันว่ายน้ำไม่เป็นอะ!!”
ชานยอลชะงักไปเมื่อได้ยิน ไม่ยักกะรู้ว่าหมอนี่ว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อวานก็ยังเห็นเล่นน้ำโครมๆอยู่นี่หว่า
“แล้วเมื่อวาน..”
“ฉันเล่นคลื่นโว้ยยย เล่นคลื่นอะไม่เคยเห็นไง??”
เขาเกือบจะได้หลุดขำ แต่เพราะแน่ใจว่าถ้าเผลอหัวเราะออกไปเมื่อไหร่คงได้โดนนายตัวแสบนี่ทุบเอาแน่ๆถึงได้ทนกลั้นมันเอาไว้ “แล้วอยากลงไปดูปะการังมั้ยล่ะ?”
ยังมาทำเมิน.. จับโยนทะเลจริงๆซะดีมั้ยเนี่ย?
“หมาแสบ”
“ไม่ได้ชื่อหมาแสบโว้ย!”
“แต่ก็หันมาทุกทีที่เรียกไม่ใช่รึไง?”
แล้วหน้าใสๆนั่นก็ได้หันหนีไปอีกรอบ คราวนี้ชานยอลชักหมันไส้เลยแกล้งทำเป็นจะปล่อยตัวเล็กนี่ให้หลุดมือซึ่งก็ได้ผลเพราะแบคฮยอนหน้าเหวอก่อนจะรีบคว้าคอเขาไว้แน่น “หมาแสบ..”
ยอมให้นายเรียกคนเดียวเลยนะนายหยอย..
“ตกลงว่าอยากดูปะการังมั้ย ฮึ?”
“อือออออออ..... อยาก”
ก็แค่นั้น ;D
หลายครั้งที่เขาเดาใจผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลไม่ออก แม้จะคิดอยู่เสมอว่าหมอนี่น่ะอ่านใจง่ายจะตายไป แต่เอาเข้าจริงๆแบคฮยอนก็ไม่รู้หรอกนะว่านายตัวสูงนี่คิดอะไรอยู่.. บางครั้งก็ใจดีจนเขาเผลอเอาแต่ใจ บางครั้งก็ดุจนไม่อยากจะเข้าใกล้ ดูอย่างตอนนี้สิ เมื่อกี๊ยังขู่เค้าว่าจะโยนลงทะเลอยู่เลย แล้วไหงจู่ๆใจดีทำตัวเป็นแพลอยน้ำให้เกาะซะงั้น
“นายนี่เหมือนห่วงยางเลยเนอะ” แบคฮยอนพูดไปตามที่คิด พร้อมกับขยับแขนกอดรัดไหล่กว้างๆของอีกฝ่ายให้แน่นกว่าเดิม ไม่ใช่อะไร ก็แค่กลัวหลุดตกทะเลไปน่ะ
“นายก็เหมือนลูกหมาตกน้ำเหมือนกันล่ะน่า”
คนฟังทำปากเบะ.. รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเวลาที่โดนเรียกว่าลูกหมาหรือหมาแสบ “ทำไมถึงได้ชอบเรียกฉันว่าหมานะ หน้าฉันมันเหมือนหมาตรงไหนเหรอถามจริง”
“จะให้ตอบจริงดิ?”
“เออ งั้นไม่ต้องตอบและ”
ชานยอลอมยิ้มจนแก้มตุ่ย “อยากดูปะการังตรงนี้ป่ะ” จริงๆไม่น่าถาม เพราะไงหมาแสบก็คงไม่ปฏิเสธอยู่แล้วล่ะ..
“หมาแสบ”
“หือ??”
“ฉันมีความลับจะบอกล่ะ”
จ๋อม.. หมาแสบรีบโงหัวขึ้นจากผืนน้ำทันทีที่ได้ยิน ขมวดคิ้วสงสัยเหมือนเจ้าหนูจำไม
“ตรงนี้มันตื้น...” ชานยอลบอกด้วยสีหน้ากลั้นขำจนหน้าแดง “ขานายยังถึงเลย”
“ย๊า!!!!”
อั่ก!
“โอ๊ย!” ถึงกับเรียบเรียงเหตุการณ์ไม่ทัน รู้แค่ว่าพอตั้งตัวได้อีกทีเขาก็โดนน้ำทะเลสาดใส่หน้าจนแสบไปหมด เสียงซ่าๆดังกลบเสียงโวยวายของนายตัวแสบจนฟังไม่รู้เรื่อง ประมาณสามสิบวินาทีที่ใช้ในการก่อการร้ายของหมาแสบ ชานยอลรู้สึกว่านั่นมันคือช่วงเวลาอันโหดร้ายที่แสนจะยาวนาน
ถ้าเดาไม่ผิดนี่หมาแสบถีบเข้าที่ซี่โครงเขาใช่มั้ย?
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ชานยอลเองก็ยังมีหน้ายิ้มตามนายตัวแสบที่เดินลุยน้ำหนีไปอีกทาง ..รู้งี้หลอกต่ออีกหน่อยก็ดี มีตัวนุ่มๆเกาะอยู่บนหลังแล้วรู้สึกดีชะมัด
แบคฮยอนกำลังรู้สึกหน้าเสียอย่างถึงที่สุด ตาบ้านั่นแกล้งเขาอีกแล้ว! ไอ้แค่ยอมเผยความจริงไปว่าว่ายน้ำไม่เป็นก็เสียฟอร์มจะแย่ แต่ไอ้ที่โดนหลอกว่าน้ำลึกจนต้องเกาะหลังเค้าไปอย่างกับลูกหมานั่นมันเทียบกันไม่ได้เลยซักนิด เขาหันขวับกลับไปมองด้านหลังก็เป็นต้องอารมณ์เสียกว่าเก่า ..เออ ยิ้มเข้าไป ยิ้มให้ปากฉีกไปเลยนะ!!
“ย๊า ฉันไม่ได้บอกว่าน้ำมันลึกซักหน่อย นายไม่ยอมลงเองต่างหากล่ะหมาแสบ!”
แล้วจะตอกย้ำให้ได้อะไรวะเนี่ย หา ไอ้หยอยยย!!
อ๊ากกก อยากฆ่าคน!!!
โมโหเสร็จแล้วก็มายืนหอบแฮ่กๆ นี่เดินมาไกลแค่ไหนแล้วเนี่ย หันกลับไปอีกทีก็พบว่าเรือของพวกเขาเหลือเท่าหนึ่งกำมือซะแล้ว แบคฮยอนหันซ้ายแลขวา บรรยากาศแถวนี้เงียบสงบและแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เงยหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นเมฆสีขาวกระจายเต็มไปหมด ริมฝีปากสีเปลือกส้มคลี่ยิ้มนิดๆ ..สวยจัง
“เจ้าแบคฮยอนล่ะ” อู๋ฟานที่ขึ้นมานั่งเล่นอยู่บนเรือก่อนแล้วถามเขาที่เพิ่งจะปีนกลับขึ้นจากน้ำ
“เดินไปเล่นทางโน้น..” เขาชะงักที่กำลังพูดเมื่อหันไปมองอีกฝั่งที่เพิ่งจะเห็นแบคฮยอนดำผุดดำว่ายอยู่เมื่อครู่ ทว่าตอนนี้กลับไม่พบว่ามีใครอยู่ “เมื่อกี๊ผมยังเห็นหมอนั่นอยู่เลย”
ชานยอลเพ่งสายตา ก่อนจะพบความผิดปกติบางอย่าง
เขาจ้วงน้ำเร็วและรุนแรงจนแขนทั้งท่อนชาร้าวไปหมด สิ่งเดียวที่มีอยู่ในสมองตอนนี้คือต้องไปถึงตัวเจ้านั่นให้เร็วที่สุด บ้าเอ๊ย! ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย ตากลมเบิกกว้างเมื่อว่ายน้ำเข้ามาใกล้ วงน้ำที่กระเพื่อมแรงตอบคำถามเขาได้ทั้งหมด ชานยอลไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าหาแล้วล็อกตัวนายตัวแสบที่สำลักน้ำจนหน้าแดงนั้นเอาไว้ก่อนพาร่างอ่อนปวกเปียกกลับขึ้นเรือ
ฝ่ามือหนาปัดเอาเส้นผมเกะกะออกจากใบหน้าคนหมดสติก่อนโน้มตัวลงเพื่อฟังเสียงหัวใจพร้อมกับกดข้อมือหาชีพจร
“รีบปฐมพยาบาลดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ไกด์หนุ่มรีบเสนอความคิด
“ไม่ต้อง” ชานยอลขัด แม้จะเป็นเหตุฉุกเฉินแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อยากให้ใครแตะต้องตัวหมาแสบของเค้าทั้งนั้น ใบหน้าหล่อจัดโน้มลงต่ำ มืออีกข้างบีบจมูกเล็กเอาไว้
แค่ก!!
ก่อนที่ริมฝีปากเขาจะได้สัมผัสกับกลีบปากสีเรื่อของหมาแสบ น้ำใสๆก็พุ่งขึ้นมาเปรอะเต็มใบหน้า
ให้ตายสิ..ขนาดหมดสติก็ยังไม่วายทำร้ายเขาจนได้
“นายหยอย...ฮือออ....” จู่ๆคนตัวเล็กก็ร้องไห้โฮ หน้าใสๆที่ตอนนี้แดงก่ำเพราะสำลักน้ำฟุ่บเข้าซุกกับอกเขาแน่น “ตะคริวกินอะ ฮือออ.. ฉันกลัวมากเลยเมื่อกี๊”
อีกครั้งที่หลุดยิ้มออกมาเพราะความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ชานยอลลูบผมที่เปียกชื้นนั้นเบาๆก่อนพร่ำบอกว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะหมาแสบ”
“ให้แบคฮยอนอาบน้ำแล้วก็นอนพักซักหน่อยนะ เย็นๆค่อยไปหาอะไรกินกัน” ลู่หานบอกกับเขาก่อนจะหันไปยังคนป่วยที่ยืนทำหน้าซึมอยู่ข้างๆ เก็กหน้าดุพลางกำชับอีกครั้ง “อย่าดื้อกับชานยอลล่ะ กินยาแก้ไข้กันไว้ด้วยรู้มั้ย”
“ฮะ” เชื่องผิดปกติ... แต่ก็ดีแล้วล่ะ
หลังจากอาบน้ำ เช็ดผมจนแห้ง กินข้าวแล้วก็กินยาเรียบร้อยแล้วหมาแสบก็คลานขึ้นไปซุกตัวบนเตียงโดยไม่ต้องให้พูดยาก ..คงจะเพลียจัด ทั้งสะสมมาจากที่จมน้ำเมื่อกี๊รวมถึงที่เมื่อคืนนอนน้อยด้วยล่ะมั้ง..ชานยอลก็ได้แต่หวังว่าตัวซนจะไม่ป่วยไปง่ายๆหรอกนะ ไม่ได้ไม่อยากดูแล แต่เห็นหน้าตาหงอยๆของหมอนั่นแล้วมันไม่ชิน
เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงไหล่เล็ก ก่อนทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเตียง เอื้อมมือหนาไปลูบเส้นผมนิ่มนั่นอย่างเบามือ
จริงๆถ้าป่วยแล้วว่าง่ายแบบนี้ก็น่าป่วยอยู่หรอกนะ ^^
จับเอามือเรียวมากุมไว้ ..ร่างโปร่งอมยิ้มเมื่อสัมผัสถึงก้านนิ้วเล็กเหมือนมือของผู้หญิง และอดใจไม่ได้จนต้องจับมันขยับไปมา ให้แบมือบ้าง กำมือบ้าง..
หัวใจนายเล็กเท่านี้เองเหรอ?
ชานยอลกำมือตัวเองดูบ้าง และค่อยๆวางมันลงบนมือเล็กของแบคฮยอน
..ใส่หัวใจของฉันยังไม่หมดเลย..
.
อย่างที่รู้ๆกันว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ถนัดกับการมาสถานที่แบบนี้ แต่เพราะเห็นว่ามาเที่ยวทั้งทีอีกทั้งพนักงานโรงแรมก็ยังแนะนำให้มาเปิดหูเปิดตา ก็เลยต้องมาเสียหน่อย..เดี๋ยวจะหาว่าเสียเที่ยว
บรรยากาศของบาร์ที่นี่ถือว่าโอเคทีเดียว ไม่อึกทึก ไม่แออัดเบียดเสียด แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงา ..ตรงฟลอร์ด้านล่างนั่นก็มีนักท่องราตรีไปโยกย้ายกันอยู่ไม่น้อย
“เบื่อหรือเปล่าครับ เดี๋ยวอีกซักครู่ดีเจก็จะออกมาแล้ว อดใจรอนิดเดียวครับคุณลูกค้า”
อยากจะบอกบริกรหน้าใสนี่ไปเหลือเกินว่าพวกเขาไม่ได้เบื่อ แต่ที่นั่งแหมะกันอยู่แบบนี้เพราะมันไม่ใช่แนวต่างหากล่ะ
“แบคฮยอนกุนเป็นไงมั่ง”
“เห็นว่ากลับมาซ่าได้เหมือนเดิมแล้ว เจ้าชานกำลังพามา”
ลู่หานยิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ก็แค่ไม่นานที่มันวูบลงและจางหายไป..
“ลู่หาน..”
“หืม?”
“อึดอัดรึเปล่า?” อู๋ฟานเลือกที่จะเข้าประเด็นโดยไม่คิดอ้อมค้อม ..พูดกันตามตรงก็คือ เขายังไม่สบายใจนัก ตั้งแต่ตอนที่คนตัวเล็กตอบรับเขาเมื่อคืน อะไรหลายๆอย่างมันทำให้เกิดความไม่เข้าใจ แม้ว่าหัวใจจะพองโตเท่าบอลลูน
“ทำไมถามงั้น?”
“ไม่รู้สิ” มือหนาคว้าแก้ววิสกี้ขึ้นมาจิบ แต่กลิ่นและรสชาติแรงๆของมันทำให้ต้องย่นจมูก ลู่หานหัวเราะจนอู๋ฟานต้องหันมาย่นคิ้วใส่เป็นเด็กถูกขัดใจ
“นายเองก็ดูแลฉันดีมาตลอด” ทว่าประโยคถัดไปก็ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยน อู๋ฟานค่อยคลายหัวคิ้วเปลี่ยนเป็นจ้องลึกลงไปในดวงตากลมสวยคู่นั้น
“เพราะงั้นถ้าฉันจะให้นายดูแลต่อไปมันจะเป็นอะไรไปล่ะ” ลู่หานยกมือขึ้นเท้าคาง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนต้องประกายกับแสงไฟดูระยิบระยับก่อนที่เจ้าตัวจะหลบตา หยิบเอาเครื่องดื่มสีฟ้าในแก้วทรงสูงขึ้นจิบ
“นายอาจไม่เชื่อ แต่รู้ไว้เถอะว่านายน่ะเป็นคนแรกเลยที่ทำให้อู๋อี้ฟานสูญเสียการทรงตัวได้ขนาดนี้”
“พูดแบบนี้แสดงว่าเคยมีแฟนมาหลายคนล่ะสิ”
วูบหนึ่งที่รอยยิ้มของเขาได้เลือนหายไป ก่อนที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งตอนที่ลู่หานหันมาสบตา เขายิ้มบางๆให้ก่อนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มีแค่คนเดียวต่างหาก”
ตากลมโตลุกวาว ก่อนมือบางจะเอื้อมมาเขย่าแขนเขาจนโคลง “จริงเหรอ ใครอะ ไม่เห็นเคยเล่าบอก”
อู๋ฟานส่ายหัวให้กับภาพน่ารักน่าชังตรงหน้า “อะไรกัน ไม่มีใครอยากเล่าเรื่องแฟนเก่าให้แฟนใหม่ฟังหรอกนะ ไม่รู้รึไง”
คำพูดนั้นส่งผลไปถึงลู่หานมากกว่าการทำให้เขาเลิกเซ้าซี้ แต่เป็นการนิ่งเงียบไปโดยปริยาย
จริงสิ.. บางทีเขาก็ลืมไปสนิทว่าตัวเองไม่ใช่ ‘เพื่อน’ ของอู๋ฟานอีกแล้ว
จริงๆนายควรจะถามตัวเองนะลู่หาน ว่าต้องการให้มันเป็นแบบนี้จริงๆหรือเปล่า?
“โหยยยยย นี่ผมมาผิดคิวอีกแล้วใช่ป้ะ???” ถึงจะรู้ว่าเดาไม่ผิดแน่ แต่จะให้เอาแต่ยืนดูคนสวีทกันก็ใช่เรื่อง ชานยอลคิดว่าการโผเข้ามากอดคอพี่ชายแล้วออกปากแซวให้เขินนิดหน่อยน่าจะเป็นอะไรที่น่าทำมากกว่า
ลู่หานกับอู๋ฟานหลบสายตากันไปคนละทาง ฝ่ายพี่ชายเขาทำทีเป็นเรียกบริกรเพื่อสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม ส่วนพี่ชายหน้าสวยก็ทักทายแบคฮยอนทันทีที่เห็นหน้า ชานยอลได้แต่เบะปาก แต่ยังคงความลั่นล้าไว้ในแววตาไม่เปลี่ยน
“แบคฮยอนกุนจะเอาอะไร? น้ำอัดลม น้ำผลไม้หรือว่า..”
“ระดับนี้น้ำส้มไม่ได้แอ้มร้อก! วิสกี้เพียวมาเลยดีกว่า!”
อู๋ฟานทำเพียงกระตุมยิ้มแต่ไม่ได้คัดค้านอะไร โตๆกันแล้ว ถ้านายตัวเล็กนั่นมั่นใจว่าดื่มได้เขาก็ไม่ขัด อีกอย่างสายตาของเจ้าชานยอลน่ะมันกำลังบอกเค้าว่า 'ผมดูแลได้'
“ไปเต้นกันๆ” พอกรึ่มเข้าหน่อย หมาแสบก็ออกลายทันที ตัวเล็กผุดลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเขย่าแขนชานยอลจนหัวโคลงไปมา ฝ่ายคนโดนอ้อน(ที่ค่อนไปทางบังคับมากกว่า)ทำแก้มอูมใส่ พยายามส่งสายตาให้หมาแสบว่าลากคนแก่สองคนนั้นไปด้วยสิ แต่เหมือนว่าแบคฮยอนจะไม่เข้าใจความหมายมันเท่าไหร่ ซึ่งจริงๆแล้วเขาจงใจเพิกเฉยมันต่างหากล่ะ ท้ายที่สุดนายหยอยก็ยอมลุกตามเขามาจนได้
“ทำไมไม่ลากสองคนนั้นมาด้วย?”
“ลากมาก็สืบสวนนายไม่ได้อะดิ”
“สืบสวนอะไร?”
“พี่อู๋ฟานกับพี่ลู่หาน......เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนั้น?? บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
ชานยอลพ่นลมหายใจคล้ายจะหัวเราะแต่ก็ไม่เชิง “แค่นี้ดูไม่ออกไง?”
แบคฮยอนย่นคิ้ว “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อคืน”
“อย่าบอกนะว่า!” นิ้วเรียวชี้มาตรงหน้า ส่วนชานยอลทำลอยหน้าลอยตาและเมื่อเจอจ้องเข้านานๆก็หาทางออกโดยการตบบ่าแบคฮยอนรัวๆบอกเป็นนัยๆว่าให้เริ่มวาดลวดลายแดนซ์ได้แล้ว “ร้ายทั้งพี่ทั้งน้อง”
แต่ก็ไม่วายโดนสรรเสริญจนได้น่ะ..
“โอ๊ย!” ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน แต่เป็นเสียงเขาเอง ชานยอลกุมดั้งจมูกตัวเองยู่หน้าด้วยความเจ็บ
“เฮ้ยนายหยอย ขอโทษ เต้นมันส์ไปหน่อยอะ” ให้ตาย เห็นแววตาก็รู้แล้วว่าจงใจชัดๆ หมาแสบแล่บลิ้นใส่ก่อนจะรีบมูฟหนีไปอีกทางเพราะไม่อาจมั่นใจได้ว่านายหยอยจะไม่เอาคืน
“โอ๊ะ งื้อ....!” แต่คราวนี้กลายเป็นฝ่ายแหกปากซะเอง แบคฮยอนกุมหน้าผากตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองคู่กรณี แล้วก็มีอันได้เหวอ “นายโอเซ!!??”
แบคฮยอนรู้สึกได้ว่าโดนดึงแขนแล้วรั้งไปทางด้านหลัง ซึ่งพอหันไปก็เจอเข้ากับนายหยอยที่คงจะตามหาเค้าอยู่
“ดูหน้าตาพี่ไม่ค่อยปลื้มเลยนะที่เจอผม” คนอายุน้อยเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ชานยอลที่มัวแต่สนใจกลัวว่าหมาแสบจะไปมีเรื่องกับใครเข้าเพิ่งจะได้สังเกตชัดๆว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ดวงตากลมโตจ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง แววตารีเรียวของหมอนี่ไม่น่าไว้ใจซักนิด
“แต่ฉันจำได้นะ ว่าไม่ได้บอกนายนี่นาว่าจะมาที่นี่” จู่ๆแบคฮยอนก็พูดขึ้นพร้อมกับเกาหัว
โอเซฮุนเลยได้ถอนหายใจใส่ไปที “แล้วคิดว่าฉันตามนายมารึไงเล่า”
“ใครจะไปรู้กับนายล่ะ?”
เซฮุนไม่ได้คิดจะต่อความกับนายตัวเล็ก ใบหน้าหล่อจัดหันกลับมายังพี่ชายตัวสูงอีกครั้ง..ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าสายตาของชานยอล ณ ตอนนี้จับอยู่ที่ใคร
“คยองซูก็มานะครับ นั่งอยู่ตรง..อ้าว เดินมาโน่นแล้ว”
ชานยอลตวัดสายตากลับมาที่ร่างโปร่ง คิ้วหนาขมวดมุ่นในขณะที่สายตาดุดันนั้นจ้องโอเซฮุนราวกับจะแทงให้ทะลุ ส่วนแบคฮยอนเมื่อได้ยินที่เซฮุนพูดแบบนั้นก็มองหาเจ้าของชื่อทันที ซึ่งไม่ยากเลยที่จะเจอ
“ชานยอล เรามีเรื่องจะคุยด้วย”
แบคฮยอนมองดูแผ่นหลังของคนทั้งคู่ที่เดินตามกันออกไป ..ภายในใจรู้สึกสับสนและมึนงงไปหมด
ถ้าเขาจะสังเกตซักนิด ก็จะพบว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่
ระหว่างคยองซู..กับนาย คิดไม่ยากเลยใช่มั้ยว่าฉันจะอยู่ข้างใคร?
โอเซฮุนเบนสายตาออกไปอีกทาง
มันก็เป็นแค่เกมส์น่าเบื่อๆที่เขาไม่น่าเข้ามาเล่นด้วยตั้งแต่แรก
“นายมากับใครน่ะตัวเล็ก” เขารู้คำตอบของคำถามนั้นอยู่แก่ใจ แต่ที่ถามก็เพราะสงสารหรอก เห็นทำหน้าหงอยยืนบื้อแล้วก็เลยชวนคุยสักหน่อย ..จริงๆวันนี้เค้ารู้สึกหงุดหงิดอยู่หน่อยๆล่ะ
“พี่อู๋ฟานกับพี่ลู่หาน..อะ..” ยังไม่ทันจะพูดจบ เซฮุนก็เดินนำออกไปก่อนแล้ว แบคฮยอนเพิ่งนึกขึ้นได้ เซฮุนกับพี่ลู่หานเป็นพี่น้องกันนี่นา
เซฮุนเดินมาจนถึงโต๊ะของพวกเขาจนได้ หมอนั่นโค้งให้พี่อู๋ฟานก่อนจะยกแก้วบรั่นดีที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมา “ซักแก้วนะครับ”
“แต่ฉันดื่มไม่เก่งหรอกนะ”
“หมดแก้วละกัน” พูดกับอู๋ฟานแต่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างบางซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
อู๋ฟานยักไหล่ ยอมยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดเพราะไม่อยากมีปัญหา ดูจากสีหน้าและแววตาแล้วเด็กเซฮุนคงเลยคำว่ากรึ่มไปมากพอดู
“พี่ลูฮานนี่ใจร้ายจัง”
ลู่หานจะทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ทำไม่ได้ คำพูดของเซฮุนทำให้ต้องจ้องอีกฝ่ายกลับ
“มาเที่ยวเชจูทั้งที ไม่เห็นบอกผมซักคำ”
“จริงด้วยสิ ลู่หานไม่ได้บอกน้องเหรอ?” อู๋ฟานหันมาถามลู่หานที่เอาแต่จ้องเด็กตรงหน้าด้วยแววตานิ่งเฉย
“ไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องหนิ”
เซฮุนกระตุกยิ้ม “พี่หนีเที่ยว ผมจะฟ้องพ่อกับแม่”
ไม่รู้ทำไม แต่ขอบตาทั้งสองข้างของเขามันร้อนผ่าว คล้ายว่าในอีกไม่ช้าไม่นาน น้ำอุ่นๆคงไหลออกมา
เซฮุน..ทำไมนายถึงได้พูดมันออกมาอย่างหน้าตาเฉย..
แล้วทำไม..ฉันถึงไม่อยากได้ยินถ้อยคำแบบนั้นจากปากของนาย ไม่อยากได้ยินซักนิด
ลู่หาน.. นายเองไม่ใช่เหรอที่อยากเป็น ‘พี่ชาย’
“อู๋ฟาน”
“หืม??”
“ไปที่ฟลอร์กันมั้ย?”
“นายชวนฉันเต้นเหรอ?”
ลู่หานพยักหน้า ก่อนจะแสร้งยิ้มออกมา ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าเอาแขนของอู๋ฟานมาคล้องไว้แล้วเดินออกไปด้วยกันโดยไม่พูดอะไร มีเพียงอู๋ฟานที่ยังหันหลังกลับมาเพื่อเอ่ยชวน “เด็กๆ ไปด้วยกันรึเปล่า?”
แบคฮยอนส่ายหัวรัวๆให้เป็นคำตอบ ตัวเล็กยื่นมือไปหยิบเอาน้ำแข็งมาอมเล่นและยังใจดียื่นให้เซฮุนบ้าง “โหหห ดูมองพี่เค้าเข้า หวงพี่ชายไง??”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พี่อู๋ฟานน่ะเป็นคนดี ฝากพี่ลู่หานไว้กับพี่อู๋ฟานซะอย่าง รับรองว่าไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง เชื่อฉันดิ”
“หมายความว่าไง?”
“เอ๊า ก็หมายความตามที่พูดอะแหละ”
“สองคนนั้นเป็นอะไรกัน?”
“นายดูไม่ออกจริงอะ?”
เซฮุนหรี่ตาลง จ้องหน้าแบคฮยอนราวกับจะกินเนื้อ “ทำหน้าดุใส่ฉันไม ฉันไม่รู้เรื่องด้วยนะ จู่ๆสองคนนั้นก็เป็นแฟนกัน...อ่อใช่.. พี่อู๋ฟานน่าจะขอพี่ลู่หานคบเมื่อคืนนี้ล่ะมั้ง อะอ้าวนายโอเซ จะไปไหนน่ะ??”
เอาสิ.. ถ้าจะทิ้งให้เขานั่งหงอยอยู่ที่โต๊ะคนเดียวโด่เด่แบบนี้อะนะ!!! >[]<
.
ชานยอลโทรมาบอกพี่อู๋ฟานว่าจะไปส่งคยองซู พวกเขาเลยดิ่งกลับที่พักกันมาก่อน พี่ชายสองคนเดินแยกไปยังห้องของตัวเอง ส่วนแบคฮยอนก็เดินมาอีกทาง ..เอื่อยๆ
รู้สึกเหมือนจะหมดแรง
มือบางผลักประตูห้องเข้ามา เดินไปหยิบเอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ 20 นาทีหลังจากนั้นถึงได้ออกมา.. เดินลากขาไปที่เตียงใหญ่กลางห้อง เอนตัวลงนอน คว้าหมอนข้างมากอดไว้
เพียงแค่หลับตาลง เสียงปะทุของพลุหลากสีก็ดังก้อง.. ในวันที่สายลมพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย คลื่นม้วนตัวกระทบฝั่งแผ่วๆ บนท้องฟ้าที่มืดสนิทปรากฏเป็นเส้นสีของดอกไม้ไฟ ก่อนที่ภาพพวกนั้นจะหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าของใครบางคน
ความอุ่นของบางสิ่งประทับลงบนริมฝีปาก
แรงดึงดูดที่มองไม่เห็นทำให้คนสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้น
นอกจากเสียงพลุและคลื่นแล้ว.. เขาได้ยินเสียงหัวใจ ตุบ.. ตุบ..
มากกว่าหนึ่งดวง
มันก้องดัง.. อย่างกับกลองทึบ
หมอนข้างยุบยวบตามแรงกอดรัด แบคฮยอนลืมตาขึ้นมาเพื่อพบว่าเขาอยู่เพียงลำพัง
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เปลือกตาบางปิดลงอีกครั้ง..
กลิ่นวิสกี้ปะปนกับกลิ่นโคโลญจ์คุ้นจมูกลอยมาใกล้จนต้องกำมือไว้แน่น.. ก่อนสัมผัสจากบางอย่างจะแตะลงเบาๆบนหน้าผาก เส้นผม ลามถึงใบหู
ชานยอลกำลังลูบหัวเค้า..
แบคฮยอนลืมตาขึ้นอีกครั้ง.. เห็นเงาร่างสูงทาบอยู่ตรงกระจกระเบียง ชานยอลเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้า คิดอะไรอยู่นะ?
กำลังคิดว่าจะตอบคำถามของคยองซูยังไง... ใช่รึเปล่า?
20%..
ร่างสูงของชานยอลเดินตามแรงฉุดรั้งตรงข้อมือจนมาถึงบริเวณหลังบาร์ เยื้องจากพื้นที่สุบบุหรี่นิดหน่อย.. ตามจริงคยองซูคงอยากจะลากเขาไปไกลกว่านั้นหากไม่ขืนเอาไว้ คนที่ตัวสูงเพียงเลยไหล่เขามานิดเดียวเท่านั้นเงยหน้าขึ้นจ้องด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาไม่เข้าใจมันเลยซักนิด
“ทำไมไม่บอกเรา ว่าจะมาที่นี่”
น้ำเสียงตัดพ้อและแรงกดจากข้อนิ้วเล็กที่กำลังย้ำลงมาบนหลังมือคล้ายจะทำให้หัวใจของชานยอลกระตุกวูบ ดวงตากลมโตที่แสนไร้เดียงสาเบือนหนีออกไป เช่นเดียวกับมือเล็กที่ปล่อยออก
“คยองซู...”
“เราลืมไป ลืมอีกแล้วว่าเราไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน”
คำพูดของคยองซูนั้นแทบไม่ต้องตีความหมาย ชานยอลเข้าใจ..และรู้ดีที่สุด
แต่เขาตั้งใจ..ทั้งที่รู้ ทว่าเขาก็ยังทำให้คยองซูเสียใจอีกจนได้
แต่เพราะมีบางคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในจิตใจ เกาะกรังอยู่ที่ผนังความคิด ‘บางคำถาม’.. ที่เขาต้องหาคำตอบถึงได้ตัดสินใจมาที่นี่โดยไม่บอกคยองซู
ก็แค่ความคิดง่ายๆ ของคนที่ไม่รู้อะไรคนหนึ่ง
“แต่เราไม่เคยลืมเรื่องเมื่อก่อนเลย ทำยังไงถึงจะลืมได้นะ” คนตัวเล็กหันกลับมาจ้องหน้าเขาอีกครั้งและเอ่ยถามออกมาเหมือนคนโง่
กลับกลายเป็นชานยอลเองที่หลบสายตา จับจ้องอยู่เพียงปลายเท้าในขณะที่คยองซูเคลื่อนเข้ามาใกล้
“ที่เราบอกเลิกนายก่อน เพราะเราไม่อยากเป็นฝ่ายเสียใจ” ก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง ที่เพิ่งพบว่าความเจ็บมากมายมหาศาลเหล่านั้นไม่ได้ลดหายไปอย่างที่คิดเลยแม้แต่นิด คยองซูไม่รู้ว่าชานยอลเจ็บปวดแค่ไหน รู้เพียงแค่ว่าตัวเขาเองเจ็บปวดทนแค่หายใจก็ยังร้าวไปอก
“ทั้งที่คิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัย แต่รู้มั้ยว่าสุดท้ายก็เป็นเราเองที่ร้องไห้จนแทบไม่ได้นอน”
คำอธิบายจากคยองซูสร้างความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถบอกเล่าได้ ชานยอลเงยหน้าขึ้น..ทว่ายังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนคยองซูก็โผเข้ากอดทั้งตัว ความอุ่นชื้นเปรอะเปื้อนอยู่บนไหล่ที่มีเพียงเชิ้ตสีเข้มคอยซับ ..เขาทำให้คยองซูร้องไห้อีกแล้ว
“ชานยอล เรากลับมารักกันได้มั้ย”
นายยังรักฉันอยู่ใช่รึเปล่า?
“ต่อให้ต้องเสียน้ำตาอีกเป็นร้อยๆครั้ง แต่ฉันก็หยุดรักนายไม่ได้อยู่ดี”
.
เสียงกร่อบๆของปลายเล็บที่กระทบกับโต๊ะไม้เก่าๆฟังดูน่ารำคาญ แต่ที่มากกว่านั้นคือไอ้โทรศัพท์บ้านี่ต่างหากที่กำลังทำให้เขาประสาทกิน เซฮุนยกแก้วเหล้าขึ้นกระดก คร้านจะนับว่ามันเป็นแก้วที่ไหร่ของค่ำคืนนี้ จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น..จะกี่แก้วก็ช่างรู้แค่ว่ามันทำให้เขาเมาได้ก็พอใจแล้ว
เซฮุนไม่โกหกหรอกว่าเหตุผลของความเบื่อหน่ายภายในคลับนั้นมันมาจากแสงสีชวนเวียนหัว หรือว่าสายตาหยาดเยิ้มของสาวๆที่ทำให้งุ่นง่าน เพราะแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่ามันเป็นเพราะอะไร
ข้อความก็ส่งไปตั้งนานแล้ว ถ้าจะไม่มาก็ควรโทรบอกกันไม่ใช่รึไง!
“เฮ้ไอ้น้อง มาคนเดียวแบบนี้อารมณ์เปลี่ยวหรือไง พี่หาคนนั่งเป็นเพื่อนให้เอามั้ย?” เด็กหนุ่มทำเพียงปรายตาเฉยชามองผู้ชายตัวใหญ่ข้างตัว “ในคลับนั่นน่ะเกลื่อนกลาดแถมน่าเบื่อ แต่ของพี่รับรองว่าเด็ด”
“พอดีว่าวันนี้ไม่เงี่ยนเท่าไหร่”
ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มยักไหล่ แต่ก็ยอมลุกออกไปแต่โดยดี เซฮุนเบนสายตากลับมาที่ชายหาดทอดยาวซึ่งถูกความมืดระบายทับจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม เหลือไว้เพียงเสียงคลื่นดังแผ่วราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นที่เขาเอาแต่จ้องโทรศัพท์อย่างกับจะฆ่าเสียให้ได้หากมันมีชีวิตขึ้นมา บรั่นดีในขวดดีไซน์หรูพร่องลงเหลือไม่ถึงครึ่ง และตอนนี้มันก็กำลังลดปริมาณน้อยลงไปอีกเมื่อเซฮุนเทมันเรี่ยราดไม่ลงแก้ว เสียงโห่เฮจากโต๊ะถัดกันน่ารำคาญนักในความรู้สึก คิดว่ามากันเยอะแล้วจะทำกร่างหรือไง ไม่รู้ว่ามีความสุขห่าอะไรกันนัก
“เฮ้ย เบาหน่อยเว้ย!”
ทั้งกลุ่มหันมาทางเขาเป็นตาเดียว หากแต่เซฮุนก็ไม่ได้นึกสนใจอะไรมากมาย แค่เสียงเงียบลงเขาก็มีอารมณ์กินต่อแล้ว
“พ่อมึงเป็นตำรวจน้ำรึไงวะ?”
อาจจะเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือว่าเนื้อความในประโยคนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการฉุนกึก มือหนาวางกระแทกแก้วลงกับโต๊ะจนเหล้ากระฉอก ยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลจนเซไปชนเก้าอี้ล้มกองไปกับพื้นทราย
“เกี่ยวไรกับพ่อกูวะ”
“หน้าตามึงนี่วอนส้นจริงๆเลยว่ะ”
“พ่อกูให้หน้ากูมาแบบนี้ มีปัญหา?”
อั่ก!
หมัดหนักหน่วงกระแทกเข้าที่โหนกแก้ม แรงเหวี่ยงอย่างรุนแรงส่งผลให้ร่างทั้งร่างล้มกลิ้ง เซฮุนใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการถ่มเอาเลือดคาวๆออกจากปากก่อนจะพุ่งเข้าสวนหมัดอย่างไม่คิดออมแรง มือหนาคว้าเข้าที่คอเสื้อของไอ้หัวหน้าแก๊ง ประเคนข้อนิ้วเข้าให้จนเลือดกำเดาไหล ถัดจากนั้นเขาก็โดนเอาคืนจากพื้นรองเท้าผ้าใบที่ฮุกเข้าให้เต็มหน้าท้อง เหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆทว่าก่อความเสียหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด ขวดแก้วแตกกระจายและนับว่าโชคดีที่มันไม่ได้มาแตกเอาบนหัวเขา
ร่างของเซฮุนถูกกดลงกับพื้นตามด้วยโดนอัดอีกสองสามหมัดก่อนจะตั้งตัวได้ลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้าง มือคว้าขวดเบียร์ที่หล่นอยู่ข้างๆได้ กำลังจะได้ซัดเอาเลือดหมาๆออกจากปากทรามๆอยู่แล้วหากไม่มีใครบางคนรั้งเขาเอาไว้
“เซฮุน หยุด หยุดนะ!”
แรงแค่นั้นทำอะไรเขาไม่ได้หรอก หากแต่เพราะน้ำเสียงคุ้นหูนั่นต่างหากที่ทำให้เขาหยุดการกระทำทุกอย่าง
ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกดึงรั้งให้ลุกขึ้น เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ถูกลากไปอีกทาง ผู้จัดการร้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงดิ่งมายังที่เกิดเหตุ และเซฮุนไม่โง่พอที่จะยืนบื้อให้ถูกปรับหรือลงบันทึกประจำวัน เด็กหนุ่มลากเอาคนที่เข้ามาขัดจังหวะติดมือไปด้วย ไม่สนถ้อยคำโวยวายจากอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าแรงที่มากกว่าแม้จะถูกลดทอนบางส่วนไปแล้วจากเหตุการณ์ชกต่อยเมื่อครู่ไม่สามารถทำให้ลู่หานหยุดยั้งมันได้ เขาโดนลากให้เดินตามมาซึ่งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเด็กบ้านี่มองทางบ้างหรือเปล่า
“เซฮุน นี่! ปล่อยได้แล้ว!!”
เซฮุนหยุดฝีเท้า ลู่หานจึงใช้จังหวะนั้นสะบัดข้อมือหลุดออกมา ตากลมโตจ้องอีกฝ่ายเขม็ง อยากจะตะโกนถามเหลือเกินว่า ‘เป็นบ้าอะไรขึ้นมา’ แต่ก็ยั้งมันไว้ทันเมื่อคิดได้ว่ามันเป็นคำถามที่งี่เง่าชะมัด
“รออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหน”
เขาบอกอีกฝ่ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งไปยังร้านขายยาใกล้ๆที่กำลังจะปิด ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมถุงพลาสติกเล็กๆที่เซฮุนรู้ดีว่ามันมีอะไรอยู่ข้างใน
เด็กตัวสูงถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนม้านั่งริมทาง และถูกมือเล็กจับเข้าที่ใบหน้าเพื่อหันมันไปซ้ายทีขวาที ลู่หานขมวดคิ้วเข้าหากันนิดๆ ดูแล้วตลกดี..คงกำลังโมโหเขาแต่ก็สงสารสภาพที่เห็นจนเกินกว่าจะดุออกมา หรือไม่ก็คงหมดคำที่จะพูดกับคนอย่างเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง
เขาก็เป็นของเขาแบบนี้
ขี้โมโห ใจร้อน เอาแต่ใจ
ราวกับว่าคนตรงหน้ารู้ว่าเขาเป็นพวกไม่ชอบให้ใครตอกย้ำ.. ลู่หานทำแผลให้เงียบๆโดยไม่พูดหรือบ่นอะไร และเซฮุนก็แทบลืมไปแล้วว่าตัวเองเจ็บอยู่
ปลายนิ้วนิ่มสะกิดเข้าที่ริมฝีปากเขาเพราะการที่ต้องแปะพลาสเตอร์ให้ตรงมุมปาก คนตัวเล็กสะดุ้งเพียงเล็กน้อยสังเกตได้จากแววตาที่กระตุกวูบแต่ก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยการกดย้ำว่าแปะแน่นแล้วและหันไปเก็บซองพลาสติกที่ฉีกแล้วลงในถุง
แม้ว่าจะดื่มไปมากพอควร แต่เซฮุนยังคงมีสติพอที่จะจดจำอะไรได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยลืมว่าหัวใจของเขากระซิบคำว่าอะไร.. ทันทีที่ลู่หานหันกลับมา เขาก็รั้งเอาต้นคอของอีกฝ่ายเข้าหาก่อนกดย้ำริมฝีปากนุ่มหยุ่นนั้นด้วยปากของเขา ย้ำสัมผัสซ้ำๆจนความอุ่นเปลี่ยนเป็นร้อนวาบ เซฮุนหลับตาลงเพื่อฟังเพียงเสียงหัวใจตัวเองโดยเพิกเฉยต่ออาการขัดขืนที่เกิดขึ้นจากมือเล็ก มืออีกข้างตามไปรั้งเอาร่างบางเข้าหา กอดไว้แนบชิดจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ และถือวิสาสะดุนดันลิ้นร้อนเข้าไปขโมยความหอมหวานที่ไม่เคยได้สัมผัสเพียงครั้ง เสียงครางอือดังใกล้จนหัวใจเต้นรัวแรง..
น่าแปลกที่นี่ไม่ใช่จูบแรกของเขา และมันก็ไม่ใช่จูบแรกระหว่างเราสองคน
ทว่าเขากลับควบคุมหัวใจเอาไว้ไม่ได้เลย
จูบที่แสนเอาแต่ใจสิ้นสุดลงหลังจากนั้น ลู่หานผลักเอาออกอย่างแรงและทำท่าจะลุกหนีแต่เขาดึงข้อมือบางนั่นไว้ทัน ออกแรงรัดมันไว้ราวกับว่ามือของตัวเองเป็นคีมเหล็ก
“เคยทำแบบนี้กับใครรึเปล่า”
“ทำบ้าอะไรของนาย” ลู่หานกัดฟัน เค้นคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าดุดัน
“ลูฮาน ตอบฉันสิว่านายเคยทำแบบนี้กับใครรึเปล่า”
ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก.. ลู่หานพยายามรั้งเอามือตัวเองออกมาหากแต่มันไม่แม้แต่จะกระดิก
“ฉันจะย้ายไปอยู่กับนาย”
“......”
“กลับจากที่นี่ ฉันจะย้ายไปที่บ้านของนายทันที”
เซฮุนยอมปล่อยมือเขา แต่ลู่หานกลับยังนั่งอยู่ที่เก่าและเอาแต่ยิ้มเศร้าๆออกมา
“หัวใจของคนเรา มันก็เป็นแค่ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย..”
“ฉันไม่ได้จะบอกว่าหัวใจของฉันมันอ่อนแอหรอกนะ ฉันก็แค่เป็นห่วงหัวใจของนาย”
“อย่าทำร้ายมันให้มากนักเลย.. เซฮุน”
TBC
ลงครบแล้วค่ะ ฮู่เร่!!
ปล. อ่านแล้วเม้นท์ด้วยจิ ._______.
กาเท่เร่คุง’s talk : ว่าจะอดใจเขียนให้ครบ 100% ก่อนแล้วลงทีเดียว แต่ก็พบว่าสภาพร่างกายคงไม่ไหวแล้ว -__- ขออนุญาตลง 80% ก่อนนะคะและสัญญาว่าอีก 20% ไม่นานเกินรอแน่ๆ ^^
จริงๆไม่น่าเรียกว่าภาคต่อเลยเนอะ มันก็คือตอนที่ 13 (ต่อจากตอนที่ 12) ดีๆนี่เอง -_-^ เอออันนี้ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะแบ่งพาร์ททำไม เอ่อ.... ไรท์อินดี้ไปป้ะ 555555
ตอนพิเศษคริสโฮยังไม่จบนะคะ แต่เนื้อหาไม่ได้ต่อกับภาคสองนี้ เพราะงั้นจะสลับอ่านไปมาก็ได้ไม่มีปัญหา ;D
ยังต้องการกำลังใจจากทุกคนเหมือนเดิมค่ะ ^^
ความคิดเห็น