ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) ตราบตะวันไร้แสง

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 : ผมถูกปลุกตั้งแต่เช้ามืด

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 56


                “ไอ้ต้น ตื่นเว้ย !!

                “มึงรีบมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

                “ไอ้ต้าร์ขาหัก !

     

                ผมต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพราะเสียงโทรศัพท์ คุยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียเพราะยังลืมตาตื่นได้ไม่เต็มที่ ขี้หูขี้ตายังเขรอะกรังเต็มไปหมด แต่พอเมื่อรู้ข่าวจากไอ้แบงค์ (เพื่อนร่วมห้อง) ที่ไปช่วยแม่ขายปลาในตลาดก็รีบกระวีกระวาดกระโดดลุกออกจากเตียงแทบไม่ทัน ยังดีที่ป้าข้างบ้านยังไม่ตื่นขึ้นมาตะโกนร้องว่าคนบ้าบุกเพราะสภาพกึ่งเปลือยของผม หากยังเป็นข่าวในชุมชนและเรื่อง (เสื่อมๆ) นี้ถึงหูแม่อีก ผมคงโดนหักเงินค่าขนมไปยาว

                ไอ้ต้าร์โดนรถชนครับ

                ผมรีบกระโดดคร่อมจักรยานสีแดงตัวเก่งที่เก่าราวพระเจ้าตากแล้วรีบปั่นออกมาจากชานบ้านให้เร็วที่สุด (และเบาที่สุดเพราะไม่ฉะนั้นคุณหญิงคุณชายที่นอนอยู่บนบ้านคงจะเฉ่งผมจนหูชาแน่) กางเกงพละจากโรงเรียนมัธยมต้นตัวเก่งที่ผมเอามาใส่นอนชอบตกลงมาพันโซ่จักรยานอยู่เรื่อย ดีนะที่ตอนนี้เช้าขนาดไก่ยังไม่โห่ ชาวบ้านชาวช่องเขาเลยยังไม่ออกมาเดินเพ่นพ่านบนถนนกัน

                ไม่งั้นผมคงโดนแจ้งความข้อหาอนาจารในที่สาธารณะแน่นอน

                ผมถีบจักรยานไว้ตรงบริเวณที่จอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าโรงพยาบาลท้องถิ่นอย่างเร่งรีบ โดยที่ไม่ลืมคว้าหนังยางมัดถุงกับข้าวที่อยู่ในตะกร้ามามัดขอบกางเกงให้แน่นพอที่ผมจะมั่นใจได้ว่า เมื่อตอนผมวิ่ง ไอ้กางเกงแสนรักตัวนี้คงจะไม่มากองรวมกันอยู่ที่ตาตุ่ม

                ในโรงพยาบาลท้องถิ่นของรัฐบาลดูเก่า ๆ โทรม ๆ เหมือนไม่มีเจ้าหน้าที่จากทางรัฐมาตรวจความเรียบร้อยเป็นปี ๆ โรงพยาบาลนี้หากให้พูดตรง ๆ แล้วนึกความได้ง่ายคือ คลินิกขนาดใหญ่ที่เหมือนจะร้างไปแล้วน่ะแหละครับ ในนี้มีเพียง 2-3 ห้องตรวจ ไม่มีห้องพักคนไข้ ไม่มีห้องจ่ายยา มีเพียงโถงแคบ ๆ กับเก้าอี้สามถึงสี่ตัวเพื่อให้คนไข้ต่อคิวเข้ารับการรักษาเท่านั้น

                ซึ่งโรงพยาบาลเล็ก ๆ แบบนี้มันก็ดีอยู่อย่าง คือผมไม่ต้องแรงออกตามหาให้มันวุ่นวาย

                ผมเดินเข้าไปในโรงพยาบาลก็เจอพวกมันสองตัว (ที่นั่งทำหน้าเหี่ยวอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีฟ้ากรังๆ) พอดี แปลกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นไอ้แบงค์ด้วย ไม่คิดว่ามันจะมาส่งไอ้ต้าร์ถึงโรงพยาบาลน่ะครับ

                ไอ้แบงค์เป็นคนเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมคนแรก

                “เฮ้ย ! ต้น มานี่ ๆ” มันกวักมือเรียกแล้วตบเก้าอี้ข้าง ๆ ตัว “มาช้าจนกูคิดว่ามึงจะไม่มาซะแล้ว”

                “กูพยายามที่จะเร็วที่สุดในชีวิตแล้วว้อย” ผมพูดพลางเดินเข้าไปนั่ง “แล้วพวกมึงนั่งรออะไรล่ะเนี่ย ? ไม่ไปอาบน้ำ ? เช้านี้มึงจะไม่ไปเรียนกันหรือไง ?

                “แม่งมาถึงก็บ่นเลย” ไอ้ต้าร์บ่นพึมพำ “หมอเขาเขียนใบสั่งยาอยู่”

                “อ่อ” ผมเลิกคิ้ว “ว่าแต่มึงไปทำยังไงให้รถชนวะไอ้ต้าร์”

                ถึงไอคิวมึงจะน้อยก็ไม่น่าจะโง่และซื่อบื้อขนาดนี้นะ ... ผมนึกในใจ ไม่อยากเปิดศึกทะเลาะกับมัน (ที่กำลังพิการขาเดี้ยง) ตั้งแต่เช้าตรู่

                แต่ไอ้ต้าร์สะดุ้งครับ ดูท่าทางมันอึกอัก ดวงตาหลุบต่ำ ...ไม่ยอมตอบคำถามผม

                “เอ่อ .. กูเห็นมันไปด้อม ๆ มอง ๆ แถว ๆ ร้านน้าจี๊ด พอกำลังจะถามว่าทำห่าอะไรตั้งแต่เช้าขนาดนี้ แม่กูก็เข็นรถซาเล้งที่ขนปลามาขายชนหน้าแข้งแม่งเข้าให้ ... เหี้ย ต้าร์อย่ามามองกูแบบนั้น แม่กูแก่แล้วสายตาไม่ดีมึงก็รู้” ไอ้แบงค์เป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดทั้งผมฟัง

                “แล้วพวกมึงอยู่บ้านหลังเดียวกัน นอนก็นอนห้องเดียวกัน ไม่รู้เลยหรือไงว่ามันออกจากบ้านมา ?

                แหม ขอโทษครับ กูหลับเป็นตายขนาดนั้น

                “แล้วที่มึงบอกว่ารถชนนี่ก็คือรถขนปลาเนี่ยนะ ? โถ่ ไอ้ห่านี่ กูก็นึกว่าไอ้ต้าร์แม่งโดนรถสิบล้อบี้ ตกใจอย่างกับบ้านบึ้ม” ... เกือบดีใจแล้วเชียวนะ “ว่าแต่ไอ้แค่รถขนปลามันจะทำให้ขาหักได้เลยหรอวะ?

                ไอ้แบงค์ยักไหล่ทำนองว่า ...กูก็ไม่รู้เหมือนกัน

                นั่งรอท่ามกลางความเงียบสักพักก็มีผู้หญิงวัยกลางคนโผล่ออกมาจากหน้าต่างห้องตรวจ หน้าตาอาเจ๊แกเหมือนคนที่ถูกปลุกออกมาเพื่อเป็นเพื่อนไปเยี่ยวตอนกลางคืน ไอ้ต้าร์ทำหน้าบูดย่นคิ้วไปทางคนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นหมอก่อนจะหันมาสะกิดผมยิก ๆ

                “คนนี้แหละมึงคุณหมอ เจ๊แกโหดชิบหายเลย” มันกระซิบ

                ดวงตาใต้แว่นกรอบเหลี่ยมสีแดงจ้องมาทางผม “นี่ใช่ไหมคะญาติของผู้ป่วย?” แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ตอบคำถามเจ๊แกก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมากนะคะ ใบสั่งยาอยู่นี่ เดี๋ยวเอาไปซื้อยาที่ร้านขายยาข้าง ๆได้เลย” แกพูด ๆ แล้วทำท่าเหมือนจะเดินเข้าไป (นอนต่อ) ในห้อง

                “เอ่อ” ผมร้องเรียก “ไม่มีไม้เท้าให้หรอกหรอครับ?

                โอเคครับ ผมขอโทษ อย่ากระโดดกัดคอผมนะครับเจ๊

                “คะ ? จะเอาไปทำอะไร ?” ป้าแกถามกลับเสียงสูง

                “อ้าว ก็ญาติผมขาหักไม่ใช่หรอครับ ?

                ผมหันไปมองหน้าไอ้แบงค์ “...ก็เพื่อนผมขาหักนี่ครับคุณหมอ ไม่มีไม้เท้าช่วยพยุงให้หน่อยหรอครับ?” ไอ้แบงค์เป็นคนถามแทน

                หน้าคุณหมอเริ่มดูหน่าย ๆ

                “หมอไม่ทราบว่าพวกคุณพูดถึงเรื่องอะไรนะคะ”

                “...?

                “แต่คนไข้แค่ขาแพลงเท่านั้นแหละค่ะ”

     

                หลังจากตบกระบาลไอ้แบงค์ไปจนหนำใจ ไอ้แบงค์ก็ช่วยผมพยุงต้าร์ขึ้นบนเบาะหลังอย่างทุลักทุเล ไอ้แบงค์ขอตัวกลับไปช่วยแม่ขายปลาต่อ ผมปั่นจักรยานไปประมาณ 1 ช่วงตึกก็ถึงร้านขายยา ผมทิ้งไอ้ต้าร์ไว้บนจักรยานแล้ววิ่งไปจ่ายยาที่ร้าน คนขายมองผมแปลก ๆ เหมือนจะหงุดหงิดแกมรำคาญ แต่ก็ยอมจ่ายยาให้ (แบบหน้าง่วงๆ) แต่โดยดี

                ย้อนกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน

                “เหี้ยต้าร์ แล้วมึงลงมาจากรถทำไมเนี่ย” ผมถามพลางมองหน้าง่วง ๆ มึน ๆ ของมัน

                “จักรยานมึงเบา ตัวกูก็หนัก ขืนนั่งต่อกูได้ล้มพับลงไปอีกข้างแน่ ๆ”

                ผมถอนหายใจแล้วมองหน้ามัน “...แล้วมึงจะขึ้นไปอีกยังไง คิดอะไรบ้างหรือเปล่า”

                “เอ๊ะ...” หน้ามันเหมือนเพิ่งจะนึกความจริงข้อนี้ได้ “เออว่ะ ... กูลืม”

                พ่อง

                “งั้นมึงเดินเลย” ผมพูดพลางขึ้นคร่อมจักรยาน “อย่ามามองหน้า ไม่งั้นมึงก็ยืนเหี่ยวอยู่ตรงนี้แล้วกัน”

                ไอ้ต้าร์ทำหน้าเบ้ เดินขากระเผกตามหลังมาอย่างเสียไม่ได้

                ผมขี่จักรยานไปอีกแปบนึง ยังไม่ทันจะพ้นตาจากโรงพยาบาล พอเห็นไอ้ต้าร์มันเงียบ ๆ ไปเลยหันกลับไปมองมันอีกที ก็เห็นไอ้ต้าร์นั่งกองอยู่บนถนน ...หน้าร้านขายยานั่นแหละครับ

                “ทำเหี้ยอะไรวะต้าร์” ผมตะโกนถามมัน มันเงยหน้าขึ้นมามองผม ส่งสายตาค้อน ๆ มาให้

                “กูเจ็บขา เดินไม่ไหว”

                สำออยสัส

                ผมขี่จักรยานกลับไปยังจุดเริ่มต้น มองไอ้ตัวง้องแง้งที่นั่งคาอยู่บนพื้น “แล้วมึงจะให้กูทำยังไง?

                มันยื่นแขนสองข้างออกมาข้างหน้าแทนคำตอบ

                ผมมองหน้ามัน “แล้วจักรยานกูล่ะ ?

                “มึงก็อุ้มกูแล้วก็จูงจักรยานไปด้วยไงต้น” ง่ายดีนะมึง

                ผมยังคงยืนมองหน้ามัน “ถ้ากูไม่อุ้มมึงก็จะนั่งอยู่อย่างนี้ ?

                “เออ”

                ผมถอนหายใจ ย่อตัวลงแล้วหันหลังไปหามัน “ขึ้นมา ถ้ายังเอ๋ออยู่กูทิ้งเอาไว้ตรงนี้จริง ๆ นะ”

                หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันทำหน้ายังไง รู้สึกแต่ว่ามีตัวอะไรเกาะเป็นตุ๊กแกอยู่บนหลัง “ตัวมึงหนักจริงๆ นะต้าร์” ผมบ่นเบา ๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่หรอกครับ แม่งเบาจะตาย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเลี้ยงลูกแล้วอุ้มลูกอยู่ยังไงอย่างนั้นเลย    ซึ่งมันก็ไม่ได้ตอบอะไร มันซุกหน้าบนแผ่นหลังผม จมูกเล็ก ๆ ถูไปบนเสื้อยืดสีขาวตัวบาง ...จั๊กจี๋ว่ะไอ้ห่านี่

                ผมเดินลากจักรยานสีไพลินที่มีรอยสีถลอกเป็นริ้ว ๆ ไปตามทางยาว

                ผมไม่รู้ว่าไอ้คนข้างหลังมันหลับไปหรือยัง

                ความรู้สึกแปลก ๆ ในใจมันทำให้ผมอมยิ้มออกมาเล็ก ๆ

                ซึ่งแน่นอนว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นเป็นแบบไหน

                ไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อน

               

                ความจริงแล้วถ้าผมรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนนั้น ปัจจุบัน .. มันอาจจะไม่เลวร้ายแบบนี้ก็ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×