คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : แปล Fic Haikyuu!! : Ritz Party リッツパーティー (Oikawa x Kageyama)
เจอฟิคเรื่องนี้โดยบังเอิญตอนอ่าน pixiv ค่ะ เป็นฟิคที่เขาว่ากันว่าเป็น โออิคาเงในอุดมคติ //// น่ารักมากเลยค่ะ เลยต้องมาแปล อ่านแล้วโดขิโดขิ ฟฟฟฟ
Story By : Higeneko ซัง
Translate By Me
http://www.pixiv.net/novel/show.php?id=4274416
หลังจากวันที่เขาบอกว่า “พอกันที!” และวางสายโทรศัพท์ไป
เมลซึ่งเคยส่งมาหาทุกวันก็เงียบหาย จากวันนั้นมาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้ว
และความอิสระ...ก็เข้ามาเยือนผมโดยไม่รู้ตัว
Ritz Party リッツパーティー
ผมลืมตาขึ้นมา แล้วเหยียดแขนบิดขี้เกียจ ตรงหน้ามีเพียงความว่างเปล่า
แม้ผ้าม่านจะปิดอยู่ แต่แสงอาทิตย์ก็ยังส่องสว่างเข้ามาในห้อง
‘...ไม่อยู่แล้วสินะ’
เพราะการฝึกซ้อมอย่างหนักทำให้ผมหลับไปโดยเผลอทิ้งที่ว่างด้านซ้ายเอาไว้เล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
แปลกจังเลยนะ...ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องระวังว่าจะมีใครอยู่ข้างๆตอนนอนแล้วแท้ๆ
ผมหาวหวอด ก่อนเหยียดกายลุกขึ้นนั่ง
วันนี้ตื่นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกว่าที่เคย คงเพราะเมื่อวานกินผักเยอะล่ะมั้ง พอกลับบ้านมาถึงได้นอนหลับทันที
เตรียมตัวภายในห้านาที...ล้างหน้าแปรงฟัน...เปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วพิมพ์ส่งเมลไปหาใครบางคนว่าตื่นแล้ว แต่กระนั้นก็ชะงักไป
‘ไม่ต้องส่งเมลแล้วนี่นะ...’
คิดแบบนั้นก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าทันที เพราะไม่จำเป็นต้องถือมันเดินไปด้วยอีกแล้ว
ผมเดินไปหยิบข้าวปั้นที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนทุกๆเช้า ก่อนออกจากบ้านไป
ผมวิ่งไปกินข้าวปั้นไป...ไม่สิ หรือว่าจะกินข้าวปั้นไปแล้ววิ่งไปมากกว่านะ
“แบบไหนก็เหมือนกันแหละน่า”
ถ้าหากเป็นเขาล่ะก็...จะต้องพูดแบบนี้แน่ๆ
ได้รับอิสระมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว...ตั้งแต่วันจันทร์มาก็ไม่ได้ยินเสียงของเขาอีก
ทำไมถึงได้ทะเลาะกันได้นะ...ผมเองก็จำสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน
อาจเป็นเพราะวันจันทร์เรามักทะเลาะกันบ่อยจนเหมือนเป็นกำหนดการไปแล้วล่ะมั้ง
โออิคาวะซังชอบถามผมว่า “ตอนนี้ทำอะไรอยู่” ทั้งที่จะตอบแบบไหนก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแท้ๆ
พอเขาถามตอนที่โทรศัพท์คุยกัน ผมก็จะตอบว่า “คุยโทรศัพท์กับโออิคาวะซังครับ” หรือถ้าถูกถามทางเมลก็จะตอบว่า “ส่งเมลหาคุณครับ” ตอบซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้น แล้วโออิคาวะซังก็จะบอกว่า
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!!”
เขาเคยอธิบายว่า ที่เป็นแบบนั้นเพราะอยากจะรู้ว่าผมเป็นเช่นไรบ้างระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ตอนตื่นนอน พักเที่ยง หลังแข่ง หรือตอนกลับบ้าน ทุกอย่างต้องโทรรายงานตลอดทั้งวันไม่รู้กี่ครั้ง
ในเมื่อทุกๆวันก็ทำอะไรเหมือนๆกัน ถึงไม่บอกก็น่าจะรู้แน่นอนอยู่แล้วแท้ๆ
อันที่จริง โออิคาวะซังน่ะ รู้เรื่องผมดีกว่าตัวผมเองอีก
ทั้งที่เป็นแบบนั้น แล้วทำไมต้องบอกว่า “ติดต่อมาด้วยล่ะ” แบบนี้ด้วยนะ
‘เอ...เขาเรียกว่าอะไรนะ...ผักฮ่องเต้เหรอ...ไม่ใช่สิ?’
รายงานตัว...ติดต่อไป...หรือปรึกษากัน เขาเรียกว่าผักขมล่ะมั้ง (ภาษาญี่ปุ่น การติดต่อรายงานความคืบหน้าให้อีกฝ่ายรู้อ่านว่า ほうれんそうโฮเร็นโซ ที่พ้องเสียงกับคำว่า ผักขมในภาษาญี่ปุ่น โทบิโอะไม่เก่งศัพท์ยากๆก็เลยเข้าใจผิดค่ะ 555)
เรื่องผักขมเนี่ย ผมไม่ถนัดเอาซะเลย
“ถ้าไม่ชอบให้ใครมาจำกัดอิสระล่ะก็ เลิกกันเถอะ” โออิคาวะซังบอกผมทางโทรศัพท์แบบนั้นในวันจันทร์
จำกัดอิสระ...ในพจนานุกรมเขียนเอาไว้ว่า “ทำให้ไม่มีอิสระ”
การที่ต้องทำผักขมบ่อยๆนั้น ถ้าบอกว่าไม่รำคาญผมก็คงโกหกแล้ว
แต่ว่า...ก็ไม่ได้รังเกียจเช่นกัน
แค่ว่า...ก่อนที่จะมาคบกับเขา ผมใช้ชีวิตและตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ทั้งเดินตามถนน ทั้งฝึกซ้อมก็ไม่เคยทำร่วมกับใครมาก่อนเลย
พอเวลาที่อยู่ร่วมกันกับโออิคาวะซังเพิ่มมากขึ้น ก็เลยยังไม่ชินกับการแบ่งเวลาเท่านั้นเอง
ตอนที่เขาหยุดพัก ผมกลับไม่ได้หยุด มันตรงข้ามกันแบบนั้น
จะว่าไป...เราไม่ได้เห็นหน้ากันมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้วสินะ...
ผมกลืนข้าวปั้นชิ้นสุดท้ายลงคอ ระหว่างรอสัญญาณไฟบนถนน
ตั้งแต่ที่โออิคาวะซังบอกว่า “พอกันที” ก็คิดจะปรับความเข้าใจ แต่เขาไม่ได้โทรมาก็เลยไม่ได้ทำ
ส่วนใหญ่เวลาทะเลาะกัน จะปรับความเข้าใจทางโทรศัพท์ตลอด
‘มีแค่เวลาเจอกัน...ที่ไม่ปรับความเข้าใจกันอย่างนั้นเหรอ’
ถ้าได้เจอหน้ากันและเคลียร์กันตรงๆ คงปรับความเข้าใจกันได้ทันที
ถ้าโออิคาวะซังบอกว่าคิดอะไร หรือจริงๆแล้วไม่ได้คิดอะไรกันแน่...ถ้าทำแบบนั้นผมจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
เพราะผมเป็นคนหัวช้า พอใช้เมลถึงได้ทะเลาะกัน
พอคุยกันโดยไม่ได้เจอหน้าก็จะทะเลาะกันได้แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย
เพราะงั้น...ไม่ต้องทำผักขมอะไรนั่น จะดีกว่าหรือเปล่า
พอมองเห็นโรงเรียน ผมก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สายลมพัดผมหน้าม้าให้ปลิวไสวไปด้านหลัง แล้วภายในหัวก็ถูกสับเปลี่ยนเป็นเรื่องวอลเลย์ทันที
ระหว่างที่กำลังซ้อมช่วงเช้า ฮินาตะก็มองมาด้วยสีหน้าแปลกๆ
“มีอะไรล่ะ” ผมถามออกไป
“ยังไงล่ะ...รู้สึกว่าคาเงยามะดูพร้อมกว่าปกตินะ”
“หา?มีอะไรไม่พอใจ พูดมาชัดๆซิ!”
“ไม่ใช่นะ! ก็...มันดูเจ๋งสุดๆยังไงไม่รู้”
พอฮินาตะพึมพำอะไรที่ผมไม่เข้าใจ อาซาฮีซังก็พูดแทนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฮินาตะอยากจะพูดว่า วันนี้นายเล่นวอลเลย์ได้สมบูรณ์ไร้ทิ่ติมากขึ้นล่ะมั้ง” เขายิ้มขื่นๆ “ตอนที่ซ้อมกันวันเสาร์ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
ทั้งที่ได้รับคำชมว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ แต่พอถูกพูดเสริมว่า “ไร้ที่ติจนน่ากลัว”แล้ว ก็ไม่รู้สึกภูมิใจเลยสักนิด
ช่วงหลายวันมานี้รู้สึกร่างกายคล่องแคล่ว มองการเคลื่อนไหวรอบด้านได้ละเอียดขึ้นจริงๆ
เพราะสมองโล่งโปร่งสบาย...
หรือเพราะ...มันว่างเปล่ากันแน่
ระหว่างอยู่ในห้องเรียน แม้จะบอกว่าสมองปลอดโปร่ง แต่กลับไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษพูดเลยสักคำ
พอถึงพักกลางวันก็ฝ่าฝูงชนออกไปซื้อเครื่องดื่ม ก่อนลังเลว่าจะซื้อโยเกิร์ตหรือนมดี สุดท้ายพอตัดสินใจไม่ได้ก็กดไปพร้อมกันทั้งสองอย่าง ผลก็คือได้นมหล่นลงมาจากเครื่องต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว
หลังกลับถึงห้องเรียนก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋า...ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
ทั้งที่นอนมาเยอะแล้ว แต่กลับฟุบหลับที่โต๊ะเรียนตลอดคาบบ่าย
ระหว่างคาบชมรมก็เล่นได้ดีเลยถูกชมจนรู้สึกประหลาดใจ สภาพร่างกายยอดเยี่ยมไร้ที่ติจริงๆ แต่ตรงกันข้าม ภายในใจกลับรู้สึกราวกับมีบางอย่างผิดเพี้ยนไป
พอเลิกชมรม ก็ไม่มีใครเดินด้วยกันทุกวันจันทร์เหมือนเดิมอีกแล้ว จึงเดินกลับบ้านในเวลาเร็วกว่าที่เคย
ทั้งที่ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรแท้ๆ
ผมเดินบนถนนแคบๆ แล้วก็มองเห็นกลุ่มเด็กประถมวิ่งผ่านไปพลางตะโกนหากันด้วยท่าทีสนุกสนาน จึงคิดถึงใบหน้าของโออิคาวะซังขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแท้ๆ
เป็นใบหน้าตอนที่เขาพูดออกมาว่า
“เราเจอกันไม่ได้ตลอดเวลานี่นะ”
ตอนนั้นเราพูดอะไรกัน ผมลืมมันไปหมดแล้ว แต่ทว่าตอนนั้นโออิคาวะซังไม่ได้ยิ้มอยู่
เขาบอกว่า...ถึงอยากเจอ ก็มาเจอไม่ได้ทันที
ดังนั้นถึงได้ถามว่าทำอะไรอยู่ เพราะแม้จะเป็นเวลาเดียวกันแต่ก็อยู่คนละสถานที่...เขาบอกมาแบบนั้น
ตอนนั้นผมตอบไปว่าอะไรนะ...
พยายามนึก แต่ทว่ากลับนึกออกเพียงใบหน้าบูดบึ้งของโออิคาวะซังเท่านั้น
ทั้งที่ปกติจะยิ้มมากกว่านี้แท้ๆ
รอยยิ้มของโออิคาวะซังมีทั้งหมดสองแบบ
อย่างแรกคือกระตุกยิ้ม ส่วนอย่างที่สอง คือตอนที่รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นนั้นแปลกมาก จนขมวดคิ้วน้อยๆ และยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนใจออกมา
‘เรา...ไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นมานานเท่าไรแล้วนะ’
และทำไม...เขาถึงทำหน้าราวกับเหงาอยู่ตลอด
ทันใดนั้น สุนัขตัวหนึ่งที่เดินอยู่ก็หันมาเห่าผม
จริงสิ...
ผม...ไม่เคยพยายามอย่างเต็มที่...เพื่อให้โออิคาวะซังดีใจเลยนี่นะ...
ตอนผักขมไปหาเขาก็รู้สึกรำคาญ บางครั้งก็เผลอลืมไปด้วย ถึงจะโดนโกรธก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น
แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ซักหน่อย
แค่ผมส่งเมลไปหา แค่โทรศัพท์ไปหา โออิคาวะซังก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีแล้ว
ตอนที่โออิคาวะซังมาสาย เขาจะพาผมเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วซื้อของให้ นอกจากนั้น ยังยกนั้กเก็ตอันสุดท้ายให้ผมด้วย
นั่นเรียกว่า “การง้อ”
บางที...การง้ออาจเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่คิดก็ได้
สายลมอ่อนโยนพัดผ่านเข้ามา
ตอนนี้...ผมอยากเจอโออิคาวะซัง
ถ้าไม่เจอล่ะก็...วันนี้จะเป็นวันที่ไม่สมบูรณ์
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะขอโทษเรื่องอะไรดี แต่คงบอกเขาว่า “ยังไงก็ขอโทษนะครับ”แบบนี้ไป
ผมเร่งฝีเท้าไปทางโรงเรียนเซย์โจว และแซงสุนัขที่เห่าผมเมื่อครู่ไป
ก่อนจะถึงสะพานสายสั้นๆตรงหน้า ก็เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น จึงหยุดฝีเท้าเพราะอาจจะเดินไปชนเขาได้
แต่พอเห็นเครื่องแบบอันคุ้นเคย ก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นนักเรียนของที่ไหน และรู้ว่าเงาร่างนั้นเป็นใคร
เงาร่างนั้นทำท่าราวกับจะโยนอะไรบางอย่างลงไปในแม่น้ำแต่ก็หยุดชะงัก
ตอนที่อยากเจอไม่สามารถเจอได้ก็จริง
แต่หากตั้งใจมาเจอล่ะก็...ต้องได้พบอย่างแน่นอน
“...โออิคาวะซัง?”
โออิคาวะซังที่กำลังจะโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งเป็นครั้งที่สองชะงักค้าง แล้วหันมามอง
พอสบสายตากัน เขาก็ลดมือลง และไม่ขยับเขยื้อนอีก
หลังจากนิ่งเงียบไปไม่นาน โออิคาวะซังที่ยืนตัวแข็งทื่อก็เบี่ยงสายตาไปอีกทาง
“มาทำอะไรที่นี่” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง พลางเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าเสื้อ
พอถูกถามว่าทำอะไรอยู่...ผมก็คิดคำตอบได้ว่า “กำลังมีชีวิตอยู่” ได้อย่างเดียว
หัวใจที่เต้นรัวเร็วและมีชีวิตชีวา เหงื่อที่ไหลเคลียใบหู
เมื่อได้มาอยู่ตรงหน้าคนที่ชอบ...
ผมรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตอยู่มากกว่าปกติ
“...ผมมาเจอโออิคาวะซังครับ”
พอเค้นเสียงตอบออกไปได้ โออิคาวะซังก็จ้องมองผมเขม็งด้วยความประหลาดใจ
“นึกว่าจะตอบว่า กำลังมีชีวิตอยู่ ซะอีก...”
เดาพลาดเฉยเลย...เขาพูดแล้วกระพริบตาปริบเพราะคิดไม่ถึง จริงๆแล้วไม่ได้เดาผิดหรอก...แต่ถ้าบอกว่ามีชีวิตอยู่ ความหมายมันจะคลาดเคลื่อนไปต่างหาก
“ได้ยินนายบอกว่ามาเจอฉันเนี่ยไม่อยากจะเชื่อหูเลย หิมะจะตกรึเปล่า” โออิคาวะซังพูดพลางขมวดคิ้ว แล้วพิงหลังกับราวสะพาน
เวลาคนพูดด้วยท่าทีแบบนี้ มักจะหลบซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้
ท้องนภาที่แยกออกเป็นสีฟ้าอ่อนและสีเข้มแผ่ขยายอยู่ด้านบนของพวกเรา
“ไหนๆก็พูดอะไรแปลกๆออกมาแล้ว ลองพูดว่าโออิคาวะซังเท่ อะไรแบบนี้บ้างเป็นไง”
เขาพูดล้อเล่นแบบนั้นด้วยท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนปกติ คงจะยังโกรธอยู่สินะ
“ไม่เคยคิดว่าเท่หรอกครับ ถ้าเท่ล่ะก็ ต้องเป็นคนแบบโนยะซังสิ”
“โนยะนี่ใคร”
ก่อนที่ผมจะตอบออกไป โออิคาวะซังก็พูดว่า “อ้อ ลิเบโร่อัจฉริยะคนนั้นเหรอ” เขาให้คำตอบกับตนเองพลางทำหน้าบูดบึ้งไปด้วย
โออิคาวะซังที่เท่งั้นเหรอ...เป็นแบบนั้นกันนะ
ที่นึกออกก็มีแต่สีหน้าตอนที่เขาเสิร์ฟลูกพลาด ใบหน้าด้านข้างตอนกินแฮมเบอร์เกอร์จนท้องอืด และดวงหน้าจริงจังตอนที่แยกทางกันเท่านั้น
“ให้ตายสิ เคยพูดอะไรน่ารักๆเช่น อยากเจอฉันจนตัวสั่นแบบนั้นบ้างมั้ยเนี่ย”
โออิคาวะซังทำหน้ามุ่ย เวลาเขาไม่พอใจอะไรบางอย่างจะทำหน้าแบบนี้ และพูดโทนเสียงต่ำแบบนี้
ทั้งที่ตั้งใจมาปรับความเข้าใจกันแท้ๆ แต่อารมณ์ของเขากลับแย่ลงเรื่อยๆ
กระนั้นแล้ว...ผมก็จะไม่โกหกหรอก
“ผมไม่ได้อยากเจอคุณตลอด อย่างเช่นตอนเล่นวอลเลย์ก็ไม่เคยอยากเจอคุณเลย”
“อ้อหรอ ยังไงไม่มีฉันนายก็สบายกว่าอยู่แล้วนี่ใช่มั้ย หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้คงเล่นวอลเลย์ได้ไม่มีที่ติเลยสินะ”
“สบายกว่า?”
อาทิตย์ที่แล้ว ผมใช้ชีวิตได้ลงล็อคอย่างมาก
ไม่ต้องโทรหาโออิคาวะซังก็เลยมีเวลานอนมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์ตแบตมือถือ เสิร์ฟลูกก็สวย ผักที่กินเข้าไปก็ย่อยได้ดี ตอนซ้อมก็ไม่มีอะไรมาขัดสมาธิ
ทว่า...ตอนที่กำลังฝึกหนักอยู่นั้น...ผมกลับเปิดโทรศัพท์มือถือดูไม่รู้กี่ครั้ง
เพราะผมนิ่งเงียบไป โออิคาวะจึงตีความเอาเองแล้วถอนใจออกมา
ทว่าก่อนที่เขาจะพูดว่า “พอกันที” อีกครั้ง
“แต่ว่า....”
ผมรีบอ้าปากขัดขึ้นมา
“มันไม่พอครับ”
การที่ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้วก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่าเหมือนกับเมื่อเช้านี้
ความอิสระ...มันไม่เห็นสบายตรงไหนเลย....
ไม่มีใครมาจำกัดอิสระ ไม่มีนัด...ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเป็นไรเลยแท้ๆ
แต่เพราะได้พบเขา ความอิสระนั้นถึงโหดร้าย
และทำให้ใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งความหมาย
“ผม...มีโออิคาวะซังไม่พอครับ”
บางที...นี่อาจไม่ใช่คำที่เขาอยากได้ยิน
แต่ว่า...สำหรับผมแล้ว ชีวิตที่ไม่มีเขานั้นเป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ นั่นเป็นความรู้สึกที่แท้จริงอย่างแน่นอน
“เหมือนกับซุปที่ไม่ใส่มิโสะ หรือแกงกะหรี่ที่ไม่ใส่ไข่ลวก”
เหมือนกับไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อมเลยสักอย่าง
“ถึงจะรำคาญ ถึงจะต้องนอนดึกก็ไม่เป็นไร”
ผมเอื้อมมือออกไปหาโออิคาวะซัง แล้วกำเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาเอาไว้แน่น
“แม้จะลำบากขึ้นมาอีกหน่อย...แต่ก็อยากอยู่กับคุณ”
พลันได้กลิ่นอาหารเย็นจากที่ไหนซักแห่งลอยมากระทบจมูก
โออิคาวะซังเบิกตากว้าง แล้วก้มลงมองผมเงียบๆไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับมองมนุษย์ต่างดาวอะไรบางอย่าง คราวนี้ผมเลยทำหน้ามุ่ยบ้าง
นี่ผมพูดอะไรแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ
ผมคิดจะปล่อยมือจากเสื้อของเขา ทั้งที่ไม่ได้ดึงเขาเข้ามาหา แต่โออิคาวะซังกลับโน้มเข้ามาใกล้
“ให้ตาย...อะไรของนาย”
กลิ่นกายของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้
โออิคาวะซังกอดผมเอาไว้ ผมจึงวางคางไว้ที่ไหล่ของเขา
“คิดจะง้อฉันเนี่ย เร็วไปหมื่นปีนะ...เด็กบ้า..”
เสียงลมหายใจออกราวกับกำลังหัวเราะของเขาดังเคลียใบหูจนรู้สึกจั๊กจี้
ผมกำเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ราวกับไม่อยากให้ไออุ่นจากร่างของเขาหนีห่างไป
“...ยังไงก็ขอโทษนะครับ”
พอผมขอโทษออกไป โออิคาวะซังก็ผละห่างออกไปนิดหน่อย แล้วขมวดคิ้ว
“จริงๆเล้ย”
ผมจ้องมองรอยยิ้มอ่อนใจแบบที่สองของเขาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
บางอย่างพองโตขึ้นอยู่ลึกๆภายในอก พลันรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาทีละนิด
หากในตอนนี้ เขาถามผมว่ากำลังทำอะไรอยู่ล่ะก็
ผมคงตอบได้ว่า “กำลังหลงรักคุณ”
ตอบได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
END
ความคิดเห็น