คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : This World Without You 君がいない、この世界で (Oikawa x Iwaizumi)
This World Without You 君がいない、この世界で
บางครั้ง...สิ่งที่มีอยู่ข้างกายแทบทุกวันอาจทำให้รู้สึกชินชาจนไม่เห็นค่าขึ้นมา
กว่าจะรู้ตัวก็คือวันที่ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปเสียแล้ว
นี่...อิวะจัง
โลกที่ไม่มีนาย...มันจะเป็นโลกที่เจ็บปวดจนต้องเสียน้ำตามากแค่ไหนกันนะ
แฮ่ก...แฮ่ก
ชายหนุ่มหอบหายใจพลางเร่งฝีเท้าวิ่งไปตามถนนซึ่งทอดขึ้นสู่เนินเขาเป็นรอบที่สิบของวัน หยาดเหงื่อไหลรินเปียกเสื้อวอร์มที่ใส่อยู่จนชุ่มโชก ใบหน้าหล่อเหลาดูอิดโรยเพราะผ่านการซ้อมมาอย่างหนักตลอดทั้งวัน
แม้จะเหนื่อยจนแทบขาดใจ...แม้แข้งขาจะอ่อนแรงจนแทบก้าวเดินต่อไปไม่ไหว เขาก็ยังคงวิ่งต่อไปแบบนั้นโดยไม่คิดหยุดพัก
หากไม่พยายามให้ถึงที่สุดล่ะก็...คงต้องพ่ายแพ้ต่อไปอย่างนี้
เพราะเขา...ไม่ใช่อัจฉริยะ
“เฮ้!โออิคาวะ!”
เสียงตะโกนเรียกอันคุ้นเคยดังกังวานจากเบื้องหลัง ทำให้ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าไป
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบกลับไปมองร่างของใครบางคนที่วิ่งตามหลังมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ใครบางคน...ที่มักอยู่เคียงข้าง...คอยผลักดันและเฝ้ามองเขาจากด้านหลังเสมอมา
“เลิกวิ่งซักที นี่มันเย็นมากแล้ว ซ้อมมาทั้งวันแล้วไม่ใช่รึไง” อิวะอิซึมิเอ่ยพลางหอบหายใจหน่อยๆ นัยน์ตาคู่คมจ้องมองชายตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง
“กลับกันได้แล้ว โออิคาวะ”
“อิวะจังกลับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยววันนี้ฉันกลับบ้านคนเดียว” ทว่าคนถูกห้ามกลับเอ่ยด้วยสายตาดื้อดึง ก่อนทำท่าจะหันหลังกลับไปวิ่งต่อ
เห็นแบบนั้นอิวะอิซึมิก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนรีบกระชากเสื้อวอร์มของอีกฝ่ายให้หันกลับมาหาทันที แล้วพูดเสียงดุ
“หยุดหักโหมร่างกายได้แล้วเจ้าบ้า ถ้าไม่สบายไปจะทำยังไงหา!”
“แล้วถ้าไม่ทำแบบนี้เราจะชนะหรือไงเล่า?!” โออิคาวะขึ้นเสียงกลับ มือทั้งสองกำแน่นจนเป็นรอยแดง
“ถ้าไม่ทำแบบนี้...แล้วฉันจะชนะอัจฉริยะพวกนั้นได้ยังไง! อิวะจังเข้าใจกันบ้างสิ!”
เสียงตะคอกของชายตรงหน้าทำให้อิวะอิซึมินิ่งเงียบไป ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายฉายแววทั้งเจ็บแค้นและปวดร้าวกับความพ่ายแพ้อันไม่รู้จบที่ต้องเผชิญมาตลอด
เพราะพวกเขาเพิ่งแพ้ให้กับทีมคาราสึโนะในการแข่งครั้งสุดท้าย...และนั่นหมายความว่าจะไม่มีโอกาสได้แข่งในระดับมัธยมปลายอีกต่อไปแล้ว
ทั้งทีเป็นแบบนั้น...ชายตรงหน้ากลับไม่ยอมแพ้เรื่องวอลเลย์บอลแล้วกลับไปสนใจการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ แต่กลับทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักยิ่งกว่าเก่า
ราวกับจะเคี่ยวกรำร่างกายให้เจ็บปวด เพื่อบรรเทาความปวดร้าวในใจของตนเอง
นัยน์ตาของอิวะอิซึมิทอแสงอ่อนโยนลง ก่อนเอื้อมมือเข้าไปวางบนไหล่ของอีกฝ่าย
“เราแพ้แล้ว...ยอมรับมันเถอะนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางบีบไหล่ของร่างสูงกว่าตรงหน้าเบาๆ ไหล่ที่มักแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เพียงลำพังอยู่เสมอ
“ยอมรับ...แล้วลุกขึ้นยืนใหม่ให้ได้ โออิคาวะ”
ได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมก็หรี่ลงพลันฉายแววเจ็บแค้นขึ้นมา ก่อนดันมือที่จับไหล่ของตนเองออกแล้วตะโกนกลับมาว่า
“ฉันก็ลุกขึ้นยืนใหม่อยู่นี่ไงล่ะ ไม่เห็นเหรอ?!”
“มีเหตุผลหน่อยสิเจ้าบ้าคาวะ!” อิวะอิซึมิขึ้นเสียงกลับด้วยความหงุดหงิด “นี่มันเรียกว่าพาล ไม่ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว!เลิกงี่เง่าซักที กลับกันได้แล้ว!”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางเอื้อมมือเข้าไปหา หมายคว้าแขนของร่างสูงกว่าตรงหน้าแล้วพาเดินกลับไปด้วยกันเหมือนทุกที ทว่ากลับถูกปัดมือออกอย่างแรง
เพี้ยะ!
อิวะอิซึมินิ่งอึ้งไป นัยน์ตาเบิกกว้างเล็กน้อย จ้องมองมือของตนเองที่ถูกปัดออกจนเป็นรอยแดงด้วยความตกตะลึง
“บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับอิวะจังไงล่ะ!” โออิคาวะขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิด
“เมื่อไรจะเลิกตามติดฉันซักที เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว!”
เสียงตะคอกของอีกฝ่ายทำให้อิวะอิซึมินิ่งเงียบไปยาวนาน เขากำมือที่ยังคงปวดแปลบเพราะถูกปัดออกเอาไว้ นัยน์ตาพลันฉายแววปวดร้าวออกมาให้เห็น
ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะโมโหหรือหงุดหงิดกับอะไรมาแค่ไหน...ชายตรงหน้าก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขามาก่อนเลย
นี่เป็นครั้งที่อีกฝ่ายทำแบบนี้กับเขา...
พอเห็นสีหน้าของอิวะอิซึมิหม่นหมองลงโออิคาวะก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง...นัยน์ตาคู่คมพลันสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเพียงแค่รู้สึกแค้นใจ...และยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาเลยสักนิด จึงเผลอทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่เพราะยังรู้สึกหงุดหงิดเจ็บแค้นในความพ่ายแพ้ จึงยังไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรกับอีกฝ่ายในตอนนี้ เลยหันหลังแล้วทำท่าจะเดินจากไป
ช่างเถอะ...ยังไงเราก็เจอกันทุกวันอยู่แล้ว...
พรุ่งนี้...ค่อยขอโทษอิวะจังก็ได้...
เขาคิดเช่นนั้นพลางเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่ทว่า...
ปี๊น!!
เสียงแตรรถดังสนั่นไปทั่วบริเวณทำให้เขารีบตวัดสายตาไปทางต้นเสียงทันที
รถตู้คันหนึ่งพุ่งทยานเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ระวัง โออิคาวะ!!”
โครม!
เสียงเรียกของอีกฝ่ายยังคงดังก้องกังวานในโสตประสาท...ทว่ากลับแผ่วเบาและดูห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ
อิวะจัง...
ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่างจนไม่อาจขยับกายได้ เขาพยายามขยับริมฝีปากเพื่อร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย...ทว่ากลับไม่มีเสียงใดหลุดลอดผ่านลำคอออกมา
แล้วรอบกายก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดสนิท...ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลง
อิวะจัง...
.
.
.
ฉัน...ขอโทษนะ
“โออิคาวะซัง!”
เสียงเรียกของใครบางคนทำให้เปลือกตาขยับเล็กน้อย ก่อนค่อยๆปรือเปิดขึ้นมา
ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของรุ่นน้องอันคุ้นเคย ที่บัดนี้ก้มลงมองมาที่เขาด้วยสายตาฉายความเป็นห่วง
“คินดะอิจิ...คุนิมิจัง...” โออิคาวะพึมพำเสียงแผ่วเบาพลางพยายามหรี่นัยน์ตาลงเพื่อปรับโฟกัสภาพให้ชัด เห็นแบบนั้นสีหน้าของทั้งคินดะอิจิและคุนิมิก็ดูผ่อนคลายลงทันที
“ค่อยยังชั่วหน่อย ตื่นแล้วเหรอครับ พวกเราเป็นห่วงแทบแย่” คินดะอิจิเอ่ยยิ้มๆพลางถอนใจโล่งอก
“นี่ฉัน...อยู่ที่ไหนเนี่ย...” โออิคาวะพยายามจะขยับตัวลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกเจ็บไปทั่วร่างจนต้องรีบล้มตัวลงไปนอนเช่นเดิม
“อย่าเพิ่งขยับสิครับ!” คินดะอิจิร้องห้าม พอเห็นว่ารุ่นพี่ตรงหน้ายอมลงไปนอนแต่โดยดีเขาก็ถอนใจยาว
“อยู่ที่โรงพยาบาลใกล้ๆโรงเรียนนี่แหละครับ เพราะคุณเดินไม่ระวังเลยโดนรถตู้เฉี่ยวเข้า ดีนะที่หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็คงกลับได้แล้ว”
“ถูกรถชนเหรอ....” โออิคาวะพึมพำพลางขมวดคิ้วมุ่น นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปโดยรอบอย่างมึนงง เพราะยังสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จริงสิ...ก่อนหน้านี้เขาแพ้การแข่งขัน เลยรู้สึกเจ็บใจจนหักโหมฝึกหนักซ้อมทั้งวันทั้งคืน
แล้วจากนั้นก็ไปวิ่งคนเดียวจนถึงเย็น...พออิวะอิซึมิเข้ามาห้ามก็เกิดทะเลาะกันขึ้นมา...ก่อนที่จะถูกรถตู้ชน
ทะเลาะกัน...จนเขาเผลอทำเรื่องเลวร้าวกับอีกฝ่ายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ...
อิวะจัง...ฉัน...
“จริงสิ!แล้วอิวะจังล่ะ!” โออิคาวะรีบลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วถามอย่างร้อนรนทันที
“อิวะจัง...อยู่ไหน?!”
ทว่าทั้งคินดะอิจิและคุนิมิกลับขมวดคิ้วน้อยๆด้วยความงุนงง ก่อนที่ทั้งสองจะหันมามองหน้ากัน แล้วหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“อิวะจัง...คือใครเหรอครับ?”
คำพูดของรุ่นน้องตรงหน้าทำให้โออิคาวะนิ่งชะงักไป ความหงุดหงิดถาโถมเข้ามาจนเผลอขึ้นเสียงตะโกนออกมาว่า
“อย่ามาล้อเล่นสิคุนิมิจัง!อิวะจังน่ะ...อิวะอิซึมิ ฮาจิเมะ เอสชมรมวอลเลย์ของพวกเรา รองกัปตันของฉันไง!”
คราวนี้ทั้งคุนิมิและคินดะอิจิต่างกระพริบตางุนงงอีกครั้ง ก่อนที่คินดะอิจิจะถอนใจยาว
“บางทีโออิคาวะซังอาจจะได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองก็ได้ พักก่อนเถอะครับ”
“หา?!”
คุนิมิจ้องมองรุ่นพี่ของตนเอง ก่อนตอบเสียงเรียบ
“ที่ชมรมของเราไม่มีคนชื่ออิวะอิซึมิหรอกครับ” เด็กหนุ่มหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย ก่อนพูดต่อว่า
“และคุณ...ก็ไม่ใช่กัปตันชมรมวอลเลย์ของเราด้วย”
คำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้นัยน์ตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง พลันรู้สึกชาวาบแล่นไปทั่วสันหลัง ร่างกายแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
ที่ชมรมไม่มีคนชื่ออิวะอิซึมิ...และที่ว่าเขาไม่ใช่กัปตันชมรมวอลเลย์...
นี่มันหมายความว่ายังไง...?
หลังจากที่คินดะอิจิและคุนิมิขอตัวออกจากห้องไป โออิคาวะก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาทันที
ทว่าพอเปิดสมุดรายชื่อ...เขากลับไม่พบชื่อของอีกฝ่ายอยู่ในนั้น
“อะไรกัน...” ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ก่อนตัดสินใจกดเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่จำได้ลงไปแทน แล้วกดโทรออก
‘หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ’
เสียงเครื่องตอบรับที่ดังขึ้นจากปลายสาย ทำให้เขานิ่งเงียบไปยาวนาน
โออิคาวะลดโทรศัพท์ในมือลง พลันรู้สึกร่างกายแข็งทื่อไปหมด
‘ที่ชมรมของเราไม่มีคนชื่ออิวะอิซึมิหรอกครับ’
คำพูดของรุ่นน้องคนสนิทดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงกำมือแน่น แล้วกระชากสายน้ำเกลือที่แขนออก แล้วรีบลุกไปแต่งตัวทันที
ไม่มีทางหรอก...ไม่มีทางเป็นไปได้
เขารีบวิ่งออกจากโรงพยาบาลออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงเรียกของพยาบาลที่ดังตามหลังเข้ามา
เรื่องที่โลกนี้ไม่มีอิวะจังอยู่น่ะ...ไม่มีทางเป็นไปได้
ร่างสูงเร่งฝีเท้าไปตามถนนอันคุ้นเคย เบื้องล่างท้องนภายามอัสดงที่เริ่มมืดมิดลงทุกที
แม้ร่างกายจะยังบาดเจ็บ แม้กล้ามเนื้อทุกส่วนจะร่ำร้องให้หยุดฝืนตัวและนอนพักเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง
นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววสับสน ความรู้สึกร้อนร้นว้าวุ่นถาโถมเข้ามาในอกจนหัวใจสั่นระรัวไปหมด
บางที...โทรศัพท์ของอีกฝ่ายอาจจะเสียก็ได้
และบางที...คินดะอิจิกับคุนิมิอาจเพียงแค่ล้อเขาเล่น
ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นก่อนเร่งฝีเท้าวิ่งไปยังบ้านของอิวะอิซึมิ ที่มักไปมาหาสู่กันจนคุ้นเคยตั้งแต่เล็กจนโต
ไม่นานนักโออิคาวะก็ชะงักฝีเท้า ก่อนจ้องมองบ้านหลายหลังที่ตั้งเรียงรายอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาฉายแววตกตะลึง
ตรงที่ซึ่งควรมีบ้านของอีกฝ่าย...บ้านหลังที่เขามักไปมาหาสู่จนคุ้นชินตั้งแต่เด็ก...บัดนี้กลับเป็นเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งรอบูรณาการก่อนสร้างหอพักแห่งใหม่เท่านั้น
ไม่จริง....
ชายหนุ่มยังคงปฏิเสธกับตนเองในใจแบบนั้น ก่อนตัดสินใจโทรไปหาโค้ชชมรมวอลเลย์ของตนเองสมัยเรียนที่คิตะกาวะไดอิจิ โทรไปหาเพื่อนร่วมชั้นของตนเองทั้งสมัยมัธยมต้นจนถึงในโรงเรียนอาโอบะโจไซ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
พวกเขา...ไม่เคยพบ อิวะอิซึมิ ฮาจิเมะ
รวมถึง...ไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน
“....บ้าน่า...นี่มันความฝัน...ฝันใช่ไหม...” โออิคาวะพึมพำกับตนเอง ก่อนเอื้อมมือขึ้นมาตบหน้าตนเองหลายครั้ง
ความเจ็บปวดที่เต้นตุบๆอยู่บนใบหน้า...เป็นหลักฐานบ่งบอกว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝัน
ไม่จริง...ไม่จริงใช่ไหม...
“บอกฉันทีสิ...อิวะจัง...”
ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง นัยน์ตาคู่คมสั่นไหว ภายในอกด้านซ้ายบีบรัดจนรู้สึกเจ็บปวด
ไม่จริงใช่ไหม...ที่ว่าโลกใบนี้ไม่มีอีกนายอยู่แล้ว...
ไม่จริงใช่ไหม...ที่จะไม่ได้พบหน้า...จะไม่ได้ยินเสียงของนายอีก...
ช่วยบอกทีเถอะ...ว่าทั้งหมดนี้...เป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น
โออิคาวะทั้งวิ่งทั้งเดินไปอย่างไร้จุดหมาย สายตากวาดมองไปรอบๆอย่างร้อนรน พลางตะโกนเรียกชื่อของใครคนนั้นโดยไม่อายสายตาผู้คนที่จ้องมองมา
“อิวะจัง!อยู่ไหน อิวะจัง! อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ!” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายพลางหอบหายใจไปด้วย
“ออกมาหาฉันเถอะ อิวะจัง!”
เขาออกตามหาอีกฝ่ายแบบนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร จนท้องนภาเบื้องบนแปรเปลี่ยนเป็นสีรัตติกาล จนมองเห็นดวงดาวทอแสงระยิบระยับประดับบนนั้นได้ชัดเจน รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมปลายอาโอบะโจไซแล้ว
โออิคาวะจ้องมองป้ายโรงเรียนมัธยมปลายของตนเองแน่นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินตรงเข้าไปด้านใน
โรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งตึกเรียน ทั้งสนามหญ้า ทั้งต้นไม้ ทั้งม้านั่ง...ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับอีกฝ่ายทั้งนั้น
เขาเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าโรงยิมที่มักซ้อมวอลเลย์กับอีกฝ่ายเป็นประจำทุกวัน ก่อนหยิบกุญแจในกระเป๋าขึ้นมาไขประตูโรงยิม แล้วเดินเข้าไปด้านใน
พอเปิดไฟ ภาพคอร์ตอันคุ้นตาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ลูกวอลเลย์ถูกวางเรียงอยู่ในกระบะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่มีเพียงลูกหนึ่งที่พลัดหล่นลงมาวางอยู่ที่พื้นคอร์ต
‘และคุณ...ก็ไม่ใช่กัปตันชมรมวอลเลย์ของเราด้วยครับ’
โออิคาวะก้มลงหยิบลูกบนพื้นขึ้นมา ก่อนโยนขึ้นไปด้านบน แล้วกระโดดเสิร์ฟเช่นเดียวกับที่เคย
ลูกวอลเลย์พุ่งจากมือข้ามไปยังคอร์ตฝั่งตรงข้าม แล้วออกนอกเส้นด้านหลังไปไกล ก่อนเด้งไปกระทบกำแพงส่งเสียงก้องกังวานไปทั่ว
นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองการเสิร์ฟของตนเองเมื่อครู่ด้วยความตกตะลึง...ก่อนที่เขาจะหยิบลูกมาเสิร์ฟอีกหลายลูก และผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ชายหนุ่มจ้องมองลูกเสิร์ฟสุดท้ายของตนออกเส้นด้านหลังไปด้วยนัยน์ตาสั่นไหว พลางกำมือเอาไว้แน่น
ตอนนี้...เขารู้ชัดแจ้งแล้ว ว่าสิ่งที่คุนิมิพูดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย
ฝีมือการเล่นวอลเลย์ของเขาในตอนนี้ ไม่มีทางเพียงพอที่จะเป็นกัปตันทีมชมรมวอลเลย์ชื่อดังอย่างเซย์โจวอย่างแน่นอน
ทั้งที่เป็นสิ่งที่รักมาก...ทั้งที่ปกติเคยทำได้ยอดเยี่ยม...แต่ในตอนนี้เขากลับเป็นเพียงนักวอลเลย์ฝีมือดาษเดื่อนธรรมดาคนนึงเท่านั้น
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น...ปรากฎอยู่ชัดเจนในใจ
‘เฮ้ หักโหมเกินไปแล้ว’
น้ำเสียงออกดุแต่เจือความห่วงหาอาหารของอีกฝ่ายในความทรงจำ ผุดวาบเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
‘ใจเย็นๆสิเฟ้ย เจ้าโง่!’
‘ในคอร์ตวอลเลย์น่ะมีตั้งหกคนไม่ใช่รึไง?!’
นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมหรี่ลงพลันรู้สึกอุ่นชื้นที่ขอบตาขึ้นมา
‘หยุดหักโหมร่างกายได้แล้วเจ้าบ้า ถ้าไม่สบายไปจะทำยังไงหา!’
เพราะในโลกแห่งนี้...ไม่มีอีกฝ่ายคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังเขาอีกต่อไปแล้ว
เพราะในโลกนี้...ไม่มีสายตาฉายแววอาทร ไม่มีน้ำเสียงออกดุที่มักตะโกนใส่เขาด้วยความเป็นห่วงอีกต่อไปแล้ว
เพราะในโลกนี้...ไม่มีมือคู่นั้น...ที่คอยฉุดรั้งเขาจากห้วงแห่งความมืดมิด...คอยดึงเขาขึ้นจากหลุมแห่งความสิ้นหวังอีกต่อไป...
หากไม่มีอิวะอิซึมิล่ะก็...เขา...ก็ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง
ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวขึ้นทุกที...ภายในอกด้านซ้ายบีบรัดให้ปวดร้าว...ความรู้สึกว้าเหว่และโดดเดี่ยวอัดแน่นอยุ่ในอก จุกขึ้นมาถึงลำคอจนร้อนผ่าวไปหมด
“โลกที่ไม่มีอิวะจัง...” โออิคาวะพึมพำเสียงแผ่วเบา
มันช่างว้าเหว่...โดดเดี่ยว...และปวดร้าวมากเหลือเกิน
ชายหนุ่มเดินจากโรงยิม แล้วออกนอกประตูโรงเรียน ก้าวเท้าไปตามถนนอันมืดมิดเพียงลำพัง
เขาหยุดยืนอยู่ที่ถนนสายใหญ่สายหนึ่ง ที่บัดนี้มีรถยนต์วิ่งขวักไขว่ด้วยความเร็วสูง
นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองไฟข้ามถนนที่ปรากฏสีแดงตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
‘เมื่อไรจะเลิกตามติดฉันซักที เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว!’
คำพูดที่เขาเผลอพูดทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปโดยไม่ตั้งใจ ผุดวาบเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
‘พรุ่งนี้...ค่อยขอโทษอิวะจังก็ได้...’
เขาเคยคิดเช่นนั้น...โดยไม่รู้ว่าอาจไม่มีวันพรุ่งนี้รออยู่อีกต่อไป
บางครั้ง...สิ่งที่มีอยู่ข้างกายแทบทุกวันอาจทำให้รู้สึกชินชาจนไม่เห็นค่าขึ้นมา
กว่าจะรู้ตัวก็คือวันที่ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปเสียแล้ว
โออิคาวะค่อยๆก้าวเท้าเหยียบลงไปบนถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูง
ก่อนที่เขาจะเข้ามาอยู่ในโลกที่ไร้ซึ่งอีกฝ่าย...ในตอนนั้นเขาถูกรถชนอย่างแรงจนหมดสติ ดังนั้นหากถูกชนอีกครั้ง เขาอาจจะกลับไปที่โลกแห่งเดิมได้
จะต้องขอโทษ...จะต้องกลับไปให้ได้
เขาคิดเช่นนั้นพลางกำมือเอาไว้แน่น
ฉันจะกลับไปหานายให้ได้...อิวะจัง...
และคราวนี้...จะไม่หันหลังเดินจากนายไปไหนอีกแล้ว
โครม!!!
รถคันหนึ่งพุ่งเข้ามากระแทกร่างของเขาส่งเสียงดังเลื่อนลั่นจนหูอื้อไปหมด
แรงกระแทกที่ถาโถมเข้ามาสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส ก่อนจะรู้สึกชาไปทั้งร่าง
“มีคนถูกรถชน รีบเรียกรถพยาบาลเร็ว!”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่โออิคาวะได้ยิน...ก่อนที่สติจะดับวูบเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
เขาไม่รู้...ว่าโลกแห่งนี้คือความฝัน...คือโลกคู่ขนาน...หรือคือโลกหลังความตายกันแน่
แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาคิดได้...ว่าอาจนำพาตนเองกลับไปหาอีกฝ่ายได้อีกครั้ง...
แล้วหากว่านี่คือความเป็นจริง...และโลกที่มีอิวะจังเกิดเป็นความฝันขึ้นมาล่ะ?
ฮ่ะๆ...ถ้าเป็นแบบนั้นก็ช่างสิ ฉันยอมตายก็ได้...
เพราะโลกที่ไม่มีอิวะจังอยู่นั้น...ฉันไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
ปิ๊บ...ปิ๊บ...
สิ่งแรกที่สัมผัสได้ คือเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ รอบกายเย็นเฉียบจนร่างกายสั่นสะท้าน รู้สึกปวดระบมไปหมดทั้งตัว เพียงแค่กระดิกนิ้วความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วร่าง
เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดขึ้นช้าๆ แสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดานที่สาดส่องลงมาทำให้ภาพฉากตรงหน้าดูพร่ามัว ราวกับอยู่ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว
พอภาพตรงหน้าเริ่มแจ่มชัด สิ่งแรกที่เห็น....คือนัยน์ตาฉายแววอาทรที่ประดับบนใบหน้าอันคุ้นเคยของใครบางคน
ดวงหน้าอันคุ้นเคย...ที่เขารู้สึกโหยหามากมายเหลือเกิน
“โออิคาวะ!ตื่นแล้วเหรอ...เป็นยังไงบ้าง?!” อิวะอิซึมิเรียกชายตรงหน้าด้วยสีหน้าฉายแววเป็นห่วง คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ใบหน้าดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากอยู่เฝ้าไข้อีกฝ่ายยาวนานติดต่อกันหลายวัน
พอเห็นว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาจ้องมองเขาตาไม่กระพริบ อิวะอิซึมิก็ถอนใจโล่งอก
“เจ้าบ้าเอ๊ย...โตป่านนี้แล้วยังข้ามถนนไม่ระวังจนโดนรถชนอีก”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางระบายยิ้มจาง นัยน์ตาที่เคยเข้มแข็งอยู่เสมอบัดนี้ฉายแววทั้งหวาดกลัว ทั้งโล่งอกระคนอยู่ในนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยเสียงสั่นพร่าราวกับจะร้องไห้ออกมา
“ฉันเป็นห่วง...แทบตายอยู่แล้ว...”
โออิคาวะจ้องมองใบหน้าที่ดูราวกับจะร้องไห้ออกมาของอีกฝ่ายแน่นิ่ง...นัยน์ตาสีน้ำตาลพลันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะฝืนความเจ็บปวดยันตัวขึ้นมานั่ง ทำให้สายน้ำเกลือที่ระโยงระยางอยู่หลุดออกจากข้อพับแขนจนโลหิตไหลหยดออกมาเป็นทาง
“ทำอะไรของนาย!! อย่าลุกขึ้นมาแบบนั้นสิ!” อิวะอิซึมิรีบส่งเสียงห้าม ก่อนทำท่าจะเข้าไปพยุงให้อีกฝ่ายนอนลงเหมือนเดิม
ทว่า...กลับถูกวงแขนของชายตรงหน้ารวบเข้าไปกอดเสียก่อน
“......!!”
อิวะอิซึมินิ่งชะงักไป นัยน์ตาเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง
“โออิคาวะ...”
“อิวะจัง....อิวะจังจริงๆด้วยสินะ....”
โออิคาวะพึมพำเสียงสั่นเครือ ก่อนกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก
ทั้งใบหน้า....ทั้งน้ำเสียง....ทั้งไออุ่นที่ได้สัมผัส...ทั้งหมดนั่นคืออีกฝ่ายแน่นอนไม่มีผิด...
โลกแห่งนี้...คือโลกแห่งความเป็นจริงใช่ไหม....
โลกที่มีอิวะจังอยู่ด้วย...
ได้ยินแบบนั้นอิวะอิซึมิก็กระพริบตางุนงงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะเบาๆ แล้วลูบเรือนผมสีน้ำตาลตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“พูดอะไรของนาย...ก็ต้องจริงสิเฟ้ย...หัวกระแทกจนสมองเพี้ยนไปแล้วเหรอ”
โออิคาวะนิ่งเงียบไปยาวนาน....นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นไหวอย่างรุนแรง...ก่อนซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย แล้วพึมพำเบาๆ
“อิวะจัง....”
“อะไรล่ะ...”
“ฉันขอโทษ...ที่พูดไม่ดีกับนายแบบนั้น...” ชายหนุ่มกอดร่างในอ้อมแขนให้แน่นยิ่งกว่าเดิมราวกับจะไม่ยอมให้หนีไปไหน
“เพราะฉะนั้น...อย่าหายไปไหนนะ...อิวะจัง....”
ได้ยินเช่นนั้นอิวะอิซึมิก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง นัยน์ตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะทอแสงอ่อนโยนลง
เขาเอื้อมมือขึ้นมากอดตอบชายตรงหน้าเอาไว้
“เจ้าโง่...คิดว่าพูดแค่นั้นจะทำให้ฉันโกรธจนหนีไปงั้นเหรอ คิดว่าตัวเองทำตัวน่าถีบใส่ฉันมากี่ครั้งแล้วหา เจ้าโง่คาวะ” อิวะอิซึมิยิ้มน้อยๆ ก่อนซบหน้าลงกับไหล่กว้างตรงหน้า
“เพราะฉะนั้น...ฉันจะอยู่คอยสั่งสอนคนงี่เง่าอย่างนายแบบนี้...ตลอดไปนั่นแหละ”
โออิคาวะเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของอีกฝ่าย หยาดน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว
เขากอดร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้น ก่อนระบายยิ้มสดใสออกมา
“อื้อ...ฉันก็จะอยู่กวนประสาทอิวะจังแบบนี้...ตลอดไปด้วยเหมือนกัน”
ไม่ว่าโลกแห่งนี้จะเป็นโลกแห่งความฝัน....เป็นโลกหลังความตาย...หรือโลกคู่ขนานแห่งไหนก็ตาม
เรื่องนั้น....เขาไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว
เพราะที่นี่...คือโลกที่มีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง...
หากโลกที่มีอิวะจังอยู่....เกิดเป็นโลกแห่งความฝันขึ้นมาล่ะก็
ฉันขออยู่ในความฝันตลอดไปได้ไหม...?
หลังจากนั้นไม่นาน อาการของเขาก็ฟื้นฟูดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
แพทย์แจ้งว่าเขาถูกชนอย่างแรงจนถึงขั้นโคม่า นอนหมดสติไปนานเกือบสิบวันราวกับสมองไม่ตอบสนองอะไรอีกแล้ว
การที่เขาฟื้นตัวขึ้นมาจนเป็นปกติได้เร็วขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจทางการแพทย์อย่างมาก อันที่จริงเรื่องนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่แพทย์ประจำตัวเดินออกจากห้องไป โออิคาวะก็เหลือบมองไปที่อิวะอิซึมิที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียง
แล้วภาพที่เขาเดินไปกลางถนนให้รถชนในความฝัน...ไม่สิ...ในโลกที่ไม่มีอีกฝ่ายนั่น ก็ปรากฎเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
การที่เขากลับมาหาอีกฝ่ายในโลกแห่งนี้ได้ เป็นเพราะการตัดสินใจในตอนนั้นหรือเปล่า...เรื่องนั้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
และบางที...อาจไม่มีวันรู้ไปตลอดกาลเลยก็ได้
แต่เรื่องนั้น...ใครจะสนกันล่ะ
พอเหลือบเห็นชายตรงหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว อิวะอิซึมิก็ลดหนังสือในมือลง ก่อนขมวดคิ้วมุ่น
“เฮ่....นั่งยิ้มอะไรของนาย นอนพักได้แล้ว ถึงจะหายดีแต่ก็ยังอาการหนักอยู่เข้าใจไหม ถ้าเป็นอะไรไปจะทำยังไง” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นมาแล้วดันไหล่ของอีกฝ่ายให้ลงไปนอนบนเตียงเหมือนเดิม แล้วทำท่าจะผละออก
“เอ้า นอนได้แล้ว.....!”
ทว่าร่างที่นอนบนเตียงกลับจับข้อมือของเขาเอาไว้ ก่อนดึงให้เข้ามาใกล้ชิด รั้งไม่ให้หนีไปไหน
“...จะทำอะไรของนาย...ปล่อยสิ!” อิวะอิซึมิเอ่ยเสียงแข็ง ใบหน้าพลันแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
โออิคาวะเลื่อนมือขึ้นมาประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มสดใส
“ฉันน่ะ....ไม่ยอมเป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า” ชายหนุ่มเอ่ยพลางหัวเราะเบา
“โลกที่ไม่มีฉันอิวะจังเองก็คงจะเจ็บปวดมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ทิ้งอิวะจังไปไหนหรอกนะ”
ก็คงจะเจ็บปวดมากเหมือนกัน?
ได้ยินเช่นนั้นอิวะอิซึมิก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ก่อนตัดสินใจโยนคำพูดแปลกประหลาดของชายตรงหน้าทิ้งไป เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะสมองของอีกฝ่ายได้รับการกระทบกระเทือนก็ได้
แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ระบายยิ้ม แล้วเอื้อมมือไปเขกหัวร่างสูงกว่าตรงหน้าเบาๆด้วยความหมั่นไส้
“ไอ้คนหลงตัวเองเอ๊ย....”
“เจ็บนะ อิวะจังใจร้าย...ฉันเป็นคนป่วยนะ” โออิคาวะทำหน้าบูด นัยน์ตาฉายแววทั้งตัดพ้อและออดอ้อน
“เฮอะ นี่เห็นว่าป่วยนะถึงเขกเบาหน่อย คราวนี้จะเลิกหลงตัวเองได้รึยัง” อิวะอิซึมิหรี่นัยน์ตาลงจ้องมองคนป่วยตรงหน้าอย่างหมั่นไส้
“ถึงฉันจะหลงตัวเองแบบนี้ แต่อิวะจังก็ชอบฉันใช่มั้ยล่ะ”
โออิคาวะเลิ่กคิ้วแล้วผิวปากทำหน้ารื่นเริงอย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด ได้ยินเช่นนั้นอิวะอิซึมิก็หน้าแดงเรื่อขึ้นทันที
“พูดอะไรออกมา...ไม่อายรึไง...งี่เง่า!”
“แล้วมันจริงมั้ยล่ะ” โออิคาวะเลิ่กคิ้วนิดๆ เห็นแบบนั้นอิวะอิซึมิก็รีบเบือนสายตาไปอีกทาง
“รู้อยู่แล้วยังจะถามอีกเจ้าบ้า...รีบนอนพักได้แล้ว”
พอเห็นใบหน้าเขินหน่อยๆที่หาดูได้ยากยิ่งของอีกฝ่าย โออิคาวะก็หลุดหัวเราะออกมา
เขาโน้มใบหน้าเข้าไป หอมแก้มตรงหน้าเบาๆ
“งั้น....ฝันดีนะ อิวะจัง”
ก็โลกที่ไม่มีอิวะจังน่ะ...มันทั้งเหงา...ทั้งโดดเดี่ยว...และเจ็บปวดมาก
ดังนั้นโลกที่ไม่มีฉัน...อิวะจังก็คงจะเจ็บปวดเหมือนกันสินะ
เพราะเรา...คงมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง...โดยไม่มีกันและกันไม่ได้
君がいない、この世界で
โลกที่ไม่มีนายน่ะ...
ฉัน...ไม่ต้องการมันหรอกนะ
ความคิดเห็น