ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Short Fic Haikyuu!!] รวมฟิคสั้นเรื่อง Haikyuu!!

    ลำดับตอนที่ #4 : This World Without You 君がいない、この世界で (Oikawa x Iwaizumi)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ย. 57


     


    This World Without You 君がいない、この世界で

     

     บางครั้ง...สิ่งที่มีอยู่ข้างกายแทบทุกวันอาจทำให้รู้สึกชินชาจนไม่เห็นค่าขึ้นมา

    กว่าจะรู้ตัวก็คือวันที่ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปเสียแล้ว

     

     

                นี่...อิวะจัง

                โลกที่ไม่มีนาย...มันจะเป็นโลกที่เจ็บปวดจนต้องเสียน้ำตามากแค่ไหนกันนะ

     

                แฮ่ก...แฮ่ก

                ชายหนุ่มหอบหายใจพลางเร่งฝีเท้าวิ่งไปตามถนนซึ่งทอดขึ้นสู่เนินเขาเป็นรอบที่สิบของวัน หยาดเหงื่อไหลรินเปียกเสื้อวอร์มที่ใส่อยู่จนชุ่มโชก ใบหน้าหล่อเหลาดูอิดโรยเพราะผ่านการซ้อมมาอย่างหนักตลอดทั้งวัน

                แม้จะเหนื่อยจนแทบขาดใจ...แม้แข้งขาจะอ่อนแรงจนแทบก้าวเดินต่อไปไม่ไหว เขาก็ยังคงวิ่งต่อไปแบบนั้นโดยไม่คิดหยุดพัก

                หากไม่พยายามให้ถึงที่สุดล่ะก็...คงต้องพ่ายแพ้ต่อไปอย่างนี้

                เพราะเขา...ไม่ใช่อัจฉริยะ

                “เฮ้!โออิคาวะ!

                เสียงตะโกนเรียกอันคุ้นเคยดังกังวานจากเบื้องหลัง ทำให้ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าไป

                นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบกลับไปมองร่างของใครบางคนที่วิ่งตามหลังมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา

                ใครบางคน...ที่มักอยู่เคียงข้าง...คอยผลักดันและเฝ้ามองเขาจากด้านหลังเสมอมา

                “เลิกวิ่งซักที นี่มันเย็นมากแล้ว ซ้อมมาทั้งวันแล้วไม่ใช่รึไงอิวะอิซึมิเอ่ยพลางหอบหายใจหน่อยๆ นัยน์ตาคู่คมจ้องมองชายตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง

                “กลับกันได้แล้ว โออิคาวะ”

                “อิวะจังกลับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยววันนี้ฉันกลับบ้านคนเดียวทว่าคนถูกห้ามกลับเอ่ยด้วยสายตาดื้อดึง ก่อนทำท่าจะหันหลังกลับไปวิ่งต่อ

                เห็นแบบนั้นอิวะอิซึมิก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนรีบกระชากเสื้อวอร์มของอีกฝ่ายให้หันกลับมาหาทันที แล้วพูดเสียงดุ

                “หยุดหักโหมร่างกายได้แล้วเจ้าบ้า ถ้าไม่สบายไปจะทำยังไงหา!

                “แล้วถ้าไม่ทำแบบนี้เราจะชนะหรือไงเล่า?!” โออิคาวะขึ้นเสียงกลับ มือทั้งสองกำแน่นจนเป็นรอยแดง

                “ถ้าไม่ทำแบบนี้...แล้วฉันจะชนะอัจฉริยะพวกนั้นได้ยังไง! อิวะจังเข้าใจกันบ้างสิ!

                เสียงตะคอกของชายตรงหน้าทำให้อิวะอิซึมินิ่งเงียบไป ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายฉายแววทั้งเจ็บแค้นและปวดร้าวกับความพ่ายแพ้อันไม่รู้จบที่ต้องเผชิญมาตลอด

                เพราะพวกเขาเพิ่งแพ้ให้กับทีมคาราสึโนะในการแข่งครั้งสุดท้าย...และนั่นหมายความว่าจะไม่มีโอกาสได้แข่งในระดับมัธยมปลายอีกต่อไปแล้ว

                ทั้งทีเป็นแบบนั้น...ชายตรงหน้ากลับไม่ยอมแพ้เรื่องวอลเลย์บอลแล้วกลับไปสนใจการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ แต่กลับทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักยิ่งกว่าเก่า

                ราวกับจะเคี่ยวกรำร่างกายให้เจ็บปวด เพื่อบรรเทาความปวดร้าวในใจของตนเอง

                นัยน์ตาของอิวะอิซึมิทอแสงอ่อนโยนลง ก่อนเอื้อมมือเข้าไปวางบนไหล่ของอีกฝ่าย

                “เราแพ้แล้ว...ยอมรับมันเถอะนะ

                ชายหนุ่มเอ่ยพลางบีบไหล่ของร่างสูงกว่าตรงหน้าเบาๆ ไหล่ที่มักแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เพียงลำพังอยู่เสมอ

                “ยอมรับ...แล้วลุกขึ้นยืนใหม่ให้ได้ โออิคาวะ

                ได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมก็หรี่ลงพลันฉายแววเจ็บแค้นขึ้นมา ก่อนดันมือที่จับไหล่ของตนเองออกแล้วตะโกนกลับมาว่า

                “ฉันก็ลุกขึ้นยืนใหม่อยู่นี่ไงล่ะ ไม่เห็นเหรอ?!”

                “มีเหตุผลหน่อยสิเจ้าบ้าคาวะ!อิวะอิซึมิขึ้นเสียงกลับด้วยความหงุดหงิด นี่มันเรียกว่าพาล ไม่ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว!เลิกงี่เง่าซักที กลับกันได้แล้ว!

                ชายหนุ่มเอ่ยพลางเอื้อมมือเข้าไปหา หมายคว้าแขนของร่างสูงกว่าตรงหน้าแล้วพาเดินกลับไปด้วยกันเหมือนทุกที ทว่ากลับถูกปัดมือออกอย่างแรง

                เพี้ยะ!

                อิวะอิซึมินิ่งอึ้งไป นัยน์ตาเบิกกว้างเล็กน้อย จ้องมองมือของตนเองที่ถูกปัดออกจนเป็นรอยแดงด้วยความตกตะลึง

                “บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับอิวะจังไงล่ะ!โออิคาวะขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิด

                เมื่อไรจะเลิกตามติดฉันซักที เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว!”

                เสียงตะคอกของอีกฝ่ายทำให้อิวะอิซึมินิ่งเงียบไปยาวนาน เขากำมือที่ยังคงปวดแปลบเพราะถูกปัดออกเอาไว้ นัยน์ตาพลันฉายแววปวดร้าวออกมาให้เห็น

                ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะโมโหหรือหงุดหงิดกับอะไรมาแค่ไหน...ชายตรงหน้าก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเขามาก่อนเลย

                นี่เป็นครั้งที่อีกฝ่ายทำแบบนี้กับเขา...

                พอเห็นสีหน้าของอิวะอิซึมิหม่นหมองลงโออิคาวะก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง...นัยน์ตาคู่คมพลันสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย

                เขาเพียงแค่รู้สึกแค้นใจ...และยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาเลยสักนิด จึงเผลอทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

                แต่เพราะยังรู้สึกหงุดหงิดเจ็บแค้นในความพ่ายแพ้ จึงยังไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรกับอีกฝ่ายในตอนนี้ เลยหันหลังแล้วทำท่าจะเดินจากไป

                ช่างเถอะ...ยังไงเราก็เจอกันทุกวันอยู่แล้ว...

                พรุ่งนี้...ค่อยขอโทษอิวะจังก็ได้...

                เขาคิดเช่นนั้นพลางเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

                แต่ทว่า...

                ปี๊น!!

                เสียงแตรรถดังสนั่นไปทั่วบริเวณทำให้เขารีบตวัดสายตาไปทางต้นเสียงทันที

                รถตู้คันหนึ่งพุ่งทยานเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว

                “ระวัง โออิคาวะ!!

                โครม!

                เสียงเรียกของอีกฝ่ายยังคงดังก้องกังวานในโสตประสาท...ทว่ากลับแผ่วเบาและดูห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ

                อิวะจัง...

                ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่างจนไม่อาจขยับกายได้ เขาพยายามขยับริมฝีปากเพื่อร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย...ทว่ากลับไม่มีเสียงใดหลุดลอดผ่านลำคอออกมา

                แล้วรอบกายก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดสนิท...ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลง

                อิวะจัง...

                .          

                .

                .

                ฉัน...ขอโทษนะ

     

                “โออิคาวะซัง!

                เสียงเรียกของใครบางคนทำให้เปลือกตาขยับเล็กน้อย ก่อนค่อยๆปรือเปิดขึ้นมา

                ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของรุ่นน้องอันคุ้นเคย ที่บัดนี้ก้มลงมองมาที่เขาด้วยสายตาฉายความเป็นห่วง

                “คินดะอิจิ...คุนิมิจัง...โออิคาวะพึมพำเสียงแผ่วเบาพลางพยายามหรี่นัยน์ตาลงเพื่อปรับโฟกัสภาพให้ชัด เห็นแบบนั้นสีหน้าของทั้งคินดะอิจิและคุนิมิก็ดูผ่อนคลายลงทันที

                “ค่อยยังชั่วหน่อย ตื่นแล้วเหรอครับ พวกเราเป็นห่วงแทบแย่คินดะอิจิเอ่ยยิ้มๆพลางถอนใจโล่งอก

                “นี่ฉัน...อยู่ที่ไหนเนี่ย...”  โออิคาวะพยายามจะขยับตัวลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกเจ็บไปทั่วร่างจนต้องรีบล้มตัวลงไปนอนเช่นเดิม

                อย่าเพิ่งขยับสิครับ!คินดะอิจิร้องห้าม พอเห็นว่ารุ่นพี่ตรงหน้ายอมลงไปนอนแต่โดยดีเขาก็ถอนใจยาว

                 อยู่ที่โรงพยาบาลใกล้ๆโรงเรียนนี่แหละครับ เพราะคุณเดินไม่ระวังเลยโดนรถตู้เฉี่ยวเข้า ดีนะที่หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็คงกลับได้แล้ว

                ถูกรถชนเหรอ....โออิคาวะพึมพำพลางขมวดคิ้วมุ่น นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปโดยรอบอย่างมึนงง เพราะยังสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

                จริงสิ...ก่อนหน้านี้เขาแพ้การแข่งขัน เลยรู้สึกเจ็บใจจนหักโหมฝึกหนักซ้อมทั้งวันทั้งคืน

                แล้วจากนั้นก็ไปวิ่งคนเดียวจนถึงเย็น...พออิวะอิซึมิเข้ามาห้ามก็เกิดทะเลาะกันขึ้นมา...ก่อนที่จะถูกรถตู้ชน

                ทะเลาะกัน...จนเขาเผลอทำเรื่องเลวร้าวกับอีกฝ่ายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ...

                อิวะจัง...ฉัน...

                “จริงสิ!แล้วอิวะจังล่ะ!โออิคาวะรีบลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วถามอย่างร้อนรนทันที

                “อิวะจัง...อยู่ไหน?!”

                ทว่าทั้งคินดะอิจิและคุนิมิกลับขมวดคิ้วน้อยๆด้วยความงุนงง ก่อนที่ทั้งสองจะหันมามองหน้ากัน แล้วหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง

                “อิวะจัง...คือใครเหรอครับ?”

                คำพูดของรุ่นน้องตรงหน้าทำให้โออิคาวะนิ่งชะงักไป ความหงุดหงิดถาโถมเข้ามาจนเผลอขึ้นเสียงตะโกนออกมาว่า

                “อย่ามาล้อเล่นสิคุนิมิจัง!อิวะจังน่ะ...อิวะอิซึมิ ฮาจิเมะ เอสชมรมวอลเลย์ของพวกเรา รองกัปตันของฉันไง!”

                คราวนี้ทั้งคุนิมิและคินดะอิจิต่างกระพริบตางุนงงอีกครั้ง ก่อนที่คินดะอิจิจะถอนใจยาว

                “บางทีโออิคาวะซังอาจจะได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองก็ได้ พักก่อนเถอะครับ

                “หา?!”

                คุนิมิจ้องมองรุ่นพี่ของตนเอง ก่อนตอบเสียงเรียบ

                “ที่ชมรมของเราไม่มีคนชื่ออิวะอิซึมิหรอกครับเด็กหนุ่มหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย ก่อนพูดต่อว่า

                “และคุณ...ก็ไม่ใช่กัปตันชมรมวอลเลย์ของเราด้วย

                คำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้นัยน์ตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง พลันรู้สึกชาวาบแล่นไปทั่วสันหลัง ร่างกายแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก

                ที่ชมรมไม่มีคนชื่ออิวะอิซึมิ...และที่ว่าเขาไม่ใช่กัปตันชมรมวอลเลย์...

                นี่มันหมายความว่ายังไง...?

               

                หลังจากที่คินดะอิจิและคุนิมิขอตัวออกจากห้องไป โออิคาวะก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาทันที

                ทว่าพอเปิดสมุดรายชื่อ...เขากลับไม่พบชื่อของอีกฝ่ายอยู่ในนั้น

                “อะไรกัน...ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ก่อนตัดสินใจกดเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่จำได้ลงไปแทน แล้วกดโทรออก

                หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ

                เสียงเครื่องตอบรับที่ดังขึ้นจากปลายสาย ทำให้เขานิ่งเงียบไปยาวนาน

                โออิคาวะลดโทรศัพท์ในมือลง พลันรู้สึกร่างกายแข็งทื่อไปหมด

                ที่ชมรมของเราไม่มีคนชื่ออิวะอิซึมิหรอกครับ

                คำพูดของรุ่นน้องคนสนิทดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงกำมือแน่น แล้วกระชากสายน้ำเกลือที่แขนออก แล้วรีบลุกไปแต่งตัวทันที

                ไม่มีทางหรอก...ไม่มีทางเป็นไปได้

                เขารีบวิ่งออกจากโรงพยาบาลออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงเรียกของพยาบาลที่ดังตามหลังเข้ามา

                เรื่องที่โลกนี้ไม่มีอิวะจังอยู่น่ะ...ไม่มีทางเป็นไปได้

                ร่างสูงเร่งฝีเท้าไปตามถนนอันคุ้นเคย เบื้องล่างท้องนภายามอัสดงที่เริ่มมืดมิดลงทุกที

                แม้ร่างกายจะยังบาดเจ็บ แม้กล้ามเนื้อทุกส่วนจะร่ำร้องให้หยุดฝืนตัวและนอนพักเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง

                นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววสับสน ความรู้สึกร้อนร้นว้าวุ่นถาโถมเข้ามาในอกจนหัวใจสั่นระรัวไปหมด

                บางที...โทรศัพท์ของอีกฝ่ายอาจจะเสียก็ได้

                และบางที...คินดะอิจิกับคุนิมิอาจเพียงแค่ล้อเขาเล่น

                ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นก่อนเร่งฝีเท้าวิ่งไปยังบ้านของอิวะอิซึมิ ที่มักไปมาหาสู่กันจนคุ้นเคยตั้งแต่เล็กจนโต

                ไม่นานนักโออิคาวะก็ชะงักฝีเท้า ก่อนจ้องมองบ้านหลายหลังที่ตั้งเรียงรายอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาฉายแววตกตะลึง

                ตรงที่ซึ่งควรมีบ้านของอีกฝ่าย...บ้านหลังที่เขามักไปมาหาสู่จนคุ้นชินตั้งแต่เด็ก...บัดนี้กลับเป็นเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งรอบูรณาการก่อนสร้างหอพักแห่งใหม่เท่านั้น

                ไม่จริง....

                ชายหนุ่มยังคงปฏิเสธกับตนเองในใจแบบนั้น ก่อนตัดสินใจโทรไปหาโค้ชชมรมวอลเลย์ของตนเองสมัยเรียนที่คิตะกาวะไดอิจิ โทรไปหาเพื่อนร่วมชั้นของตนเองทั้งสมัยมัธยมต้นจนถึงในโรงเรียนอาโอบะโจไซ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

                พวกเขา...ไม่เคยพบ อิวะอิซึมิ ฮาจิเมะ

                รวมถึง...ไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน

                “....บ้าน่า...นี่มันความฝัน...ฝันใช่ไหม...โออิคาวะพึมพำกับตนเอง ก่อนเอื้อมมือขึ้นมาตบหน้าตนเองหลายครั้ง

                ความเจ็บปวดที่เต้นตุบๆอยู่บนใบหน้า...เป็นหลักฐานบ่งบอกว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝัน

                ไม่จริง...ไม่จริงใช่ไหม...

                “บอกฉันทีสิ...อิวะจัง...

                ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง นัยน์ตาคู่คมสั่นไหว ภายในอกด้านซ้ายบีบรัดจนรู้สึกเจ็บปวด

                ไม่จริงใช่ไหม...ที่ว่าโลกใบนี้ไม่มีอีกนายอยู่แล้ว...

                ไม่จริงใช่ไหม...ที่จะไม่ได้พบหน้า...จะไม่ได้ยินเสียงของนายอีก...

                ช่วยบอกทีเถอะ...ว่าทั้งหมดนี้...เป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น

                โออิคาวะทั้งวิ่งทั้งเดินไปอย่างไร้จุดหมาย สายตากวาดมองไปรอบๆอย่างร้อนรน พลางตะโกนเรียกชื่อของใครคนนั้นโดยไม่อายสายตาผู้คนที่จ้องมองมา

                อิวะจัง!อยู่ไหน อิวะจัง! อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ!” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายพลางหอบหายใจไปด้วย

                ออกมาหาฉันเถอะ อิวะจัง!”

                เขาออกตามหาอีกฝ่ายแบบนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร จนท้องนภาเบื้องบนแปรเปลี่ยนเป็นสีรัตติกาล จนมองเห็นดวงดาวทอแสงระยิบระยับประดับบนนั้นได้ชัดเจน รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมปลายอาโอบะโจไซแล้ว

                โออิคาวะจ้องมองป้ายโรงเรียนมัธยมปลายของตนเองแน่นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินตรงเข้าไปด้านใน

                โรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งตึกเรียน ทั้งสนามหญ้า ทั้งต้นไม้ ทั้งม้านั่ง...ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับอีกฝ่ายทั้งนั้น

                เขาเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าโรงยิมที่มักซ้อมวอลเลย์กับอีกฝ่ายเป็นประจำทุกวัน ก่อนหยิบกุญแจในกระเป๋าขึ้นมาไขประตูโรงยิม แล้วเดินเข้าไปด้านใน

                พอเปิดไฟ ภาพคอร์ตอันคุ้นตาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ลูกวอลเลย์ถูกวางเรียงอยู่ในกระบะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่มีเพียงลูกหนึ่งที่พลัดหล่นลงมาวางอยู่ที่พื้นคอร์ต

                และคุณ...ก็ไม่ใช่กัปตันชมรมวอลเลย์ของเราด้วยครับ

                โออิคาวะก้มลงหยิบลูกบนพื้นขึ้นมา ก่อนโยนขึ้นไปด้านบน แล้วกระโดดเสิร์ฟเช่นเดียวกับที่เคย

                ลูกวอลเลย์พุ่งจากมือข้ามไปยังคอร์ตฝั่งตรงข้าม แล้วออกนอกเส้นด้านหลังไปไกล ก่อนเด้งไปกระทบกำแพงส่งเสียงก้องกังวานไปทั่ว

                นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองการเสิร์ฟของตนเองเมื่อครู่ด้วยความตกตะลึง...ก่อนที่เขาจะหยิบลูกมาเสิร์ฟอีกหลายลูก และผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

                ชายหนุ่มจ้องมองลูกเสิร์ฟสุดท้ายของตนออกเส้นด้านหลังไปด้วยนัยน์ตาสั่นไหว พลางกำมือเอาไว้แน่น

                ตอนนี้...เขารู้ชัดแจ้งแล้ว ว่าสิ่งที่คุนิมิพูดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย

                ฝีมือการเล่นวอลเลย์ของเขาในตอนนี้ ไม่มีทางเพียงพอที่จะเป็นกัปตันทีมชมรมวอลเลย์ชื่อดังอย่างเซย์โจวอย่างแน่นอน

                ทั้งที่เป็นสิ่งที่รักมาก...ทั้งที่ปกติเคยทำได้ยอดเยี่ยม...แต่ในตอนนี้เขากลับเป็นเพียงนักวอลเลย์ฝีมือดาษเดื่อนธรรมดาคนนึงเท่านั้น

                เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น...ปรากฎอยู่ชัดเจนในใจ

                เฮ้ หักโหมเกินไปแล้ว

                น้ำเสียงออกดุแต่เจือความห่วงหาอาหารของอีกฝ่ายในความทรงจำ ผุดวาบเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

                ใจเย็นๆสิเฟ้ย เจ้าโง่!

                ‘ในคอร์ตวอลเลย์น่ะมีตั้งหกคนไม่ใช่รึไง?!’

                นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่คมหรี่ลงพลันรู้สึกอุ่นชื้นที่ขอบตาขึ้นมา

                หยุดหักโหมร่างกายได้แล้วเจ้าบ้า ถ้าไม่สบายไปจะทำยังไงหา!

                เพราะในโลกแห่งนี้...ไม่มีอีกฝ่ายคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังเขาอีกต่อไปแล้ว

                เพราะในโลกนี้...ไม่มีสายตาฉายแววอาทร ไม่มีน้ำเสียงออกดุที่มักตะโกนใส่เขาด้วยความเป็นห่วงอีกต่อไปแล้ว

                เพราะในโลกนี้...ไม่มีมือคู่นั้น...ที่คอยฉุดรั้งเขาจากห้วงแห่งความมืดมิด...คอยดึงเขาขึ้นจากหลุมแห่งความสิ้นหวังอีกต่อไป...

                หากไม่มีอิวะอิซึมิล่ะก็...เขา...ก็ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง

                ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวขึ้นทุกที...ภายในอกด้านซ้ายบีบรัดให้ปวดร้าว...ความรู้สึกว้าเหว่และโดดเดี่ยวอัดแน่นอยุ่ในอก จุกขึ้นมาถึงลำคอจนร้อนผ่าวไปหมด

              “โลกที่ไม่มีอิวะจัง...โออิคาวะพึมพำเสียงแผ่วเบา

                มันช่างว้าเหว่...โดดเดี่ยว...และปวดร้าวมากเหลือเกิน

                ชายหนุ่มเดินจากโรงยิม แล้วออกนอกประตูโรงเรียน ก้าวเท้าไปตามถนนอันมืดมิดเพียงลำพัง

                เขาหยุดยืนอยู่ที่ถนนสายใหญ่สายหนึ่ง ที่บัดนี้มีรถยนต์วิ่งขวักไขว่ด้วยความเร็วสูง

                นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองไฟข้ามถนนที่ปรากฏสีแดงตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

                เมื่อไรจะเลิกตามติดฉันซักที เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว!

                คำพูดที่เขาเผลอพูดทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปโดยไม่ตั้งใจ ผุดวาบเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

                พรุ่งนี้...ค่อยขอโทษอิวะจังก็ได้...

                เขาเคยคิดเช่นนั้น...โดยไม่รู้ว่าอาจไม่มีวันพรุ่งนี้รออยู่อีกต่อไป

     

    บางครั้ง...สิ่งที่มีอยู่ข้างกายแทบทุกวันอาจทำให้รู้สึกชินชาจนไม่เห็นค่าขึ้นมา

    กว่าจะรู้ตัวก็คือวันที่ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปเสียแล้ว

     

                โออิคาวะค่อยๆก้าวเท้าเหยียบลงไปบนถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูง  

                 ก่อนที่เขาจะเข้ามาอยู่ในโลกที่ไร้ซึ่งอีกฝ่าย...ในตอนนั้นเขาถูกรถชนอย่างแรงจนหมดสติ ดังนั้นหากถูกชนอีกครั้ง เขาอาจจะกลับไปที่โลกแห่งเดิมได้

                จะต้องขอโทษ...จะต้องกลับไปให้ได้

                เขาคิดเช่นนั้นพลางกำมือเอาไว้แน่น

                ฉันจะกลับไปหานายให้ได้...อิวะจัง...

                และคราวนี้...จะไม่หันหลังเดินจากนายไปไหนอีกแล้ว

                โครม!!!

                รถคันหนึ่งพุ่งเข้ามากระแทกร่างของเขาส่งเสียงดังเลื่อนลั่นจนหูอื้อไปหมด

               แรงกระแทกที่ถาโถมเข้ามาสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส ก่อนจะรู้สึกชาไปทั้งร่าง

                “มีคนถูกรถชน รีบเรียกรถพยาบาลเร็ว!

                นั่นคือเสียงสุดท้ายที่โออิคาวะได้ยิน...ก่อนที่สติจะดับวูบเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

                เขาไม่รู้...ว่าโลกแห่งนี้คือความฝัน...คือโลกคู่ขนาน...หรือคือโลกหลังความตายกันแน่

                แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาคิดได้...ว่าอาจนำพาตนเองกลับไปหาอีกฝ่ายได้อีกครั้ง...

               

    แล้วหากว่านี่คือความเป็นจริง...และโลกที่มีอิวะจังเกิดเป็นความฝันขึ้นมาล่ะ?

    ฮ่ะๆ...ถ้าเป็นแบบนั้นก็ช่างสิ ฉันยอมตายก็ได้...

    เพราะโลกที่ไม่มีอิวะจังอยู่นั้น...ฉันไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร

     

                ปิ๊บ...ปิ๊บ...

                สิ่งแรกที่สัมผัสได้ คือเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ รอบกายเย็นเฉียบจนร่างกายสั่นสะท้าน รู้สึกปวดระบมไปหมดทั้งตัว เพียงแค่กระดิกนิ้วความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วร่าง

                เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดขึ้นช้าๆ แสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดานที่สาดส่องลงมาทำให้ภาพฉากตรงหน้าดูพร่ามัว ราวกับอยู่ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว

                พอภาพตรงหน้าเริ่มแจ่มชัด สิ่งแรกที่เห็น....คือนัยน์ตาฉายแววอาทรที่ประดับบนใบหน้าอันคุ้นเคยของใครบางคน

                ดวงหน้าอันคุ้นเคย...ที่เขารู้สึกโหยหามากมายเหลือเกิน

                “โออิคาวะ!ตื่นแล้วเหรอ...เป็นยังไงบ้าง?!” อิวะอิซึมิเรียกชายตรงหน้าด้วยสีหน้าฉายแววเป็นห่วง คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ใบหน้าดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากอยู่เฝ้าไข้อีกฝ่ายยาวนานติดต่อกันหลายวัน

                พอเห็นว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาจ้องมองเขาตาไม่กระพริบ อิวะอิซึมิก็ถอนใจโล่งอก

                “เจ้าบ้าเอ๊ย...โตป่านนี้แล้วยังข้ามถนนไม่ระวังจนโดนรถชนอีก”

                ชายหนุ่มเอ่ยพลางระบายยิ้มจาง นัยน์ตาที่เคยเข้มแข็งอยู่เสมอบัดนี้ฉายแววทั้งหวาดกลัว ทั้งโล่งอกระคนอยู่ในนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยเสียงสั่นพร่าราวกับจะร้องไห้ออกมา

                “ฉันเป็นห่วง...แทบตายอยู่แล้ว...”

                โออิคาวะจ้องมองใบหน้าที่ดูราวกับจะร้องไห้ออกมาของอีกฝ่ายแน่นิ่ง...นัยน์ตาสีน้ำตาลพลันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะฝืนความเจ็บปวดยันตัวขึ้นมานั่ง ทำให้สายน้ำเกลือที่ระโยงระยางอยู่หลุดออกจากข้อพับแขนจนโลหิตไหลหยดออกมาเป็นทาง

                “ทำอะไรของนาย!! อย่าลุกขึ้นมาแบบนั้นสิ!” อิวะอิซึมิรีบส่งเสียงห้าม  ก่อนทำท่าจะเข้าไปพยุงให้อีกฝ่ายนอนลงเหมือนเดิม

                ทว่า...กลับถูกวงแขนของชายตรงหน้ารวบเข้าไปกอดเสียก่อน

                “......!!

                อิวะอิซึมินิ่งชะงักไป นัยน์ตาเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง

                “โออิคาวะ...”

                “อิวะจัง....อิวะจังจริงๆด้วยสินะ....”

                โออิคาวะพึมพำเสียงสั่นเครือ ก่อนกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก

                ทั้งใบหน้า....ทั้งน้ำเสียง....ทั้งไออุ่นที่ได้สัมผัส...ทั้งหมดนั่นคืออีกฝ่ายแน่นอนไม่มีผิด...

                โลกแห่งนี้...คือโลกแห่งความเป็นจริงใช่ไหม....

                โลกที่มีอิวะจังอยู่ด้วย...

                ได้ยินแบบนั้นอิวะอิซึมิก็กระพริบตางุนงงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะเบาๆ แล้วลูบเรือนผมสีน้ำตาลตรงหน้าอย่างเอ็นดู

                “พูดอะไรของนาย...ก็ต้องจริงสิเฟ้ย...หัวกระแทกจนสมองเพี้ยนไปแล้วเหรอ”

                โออิคาวะนิ่งเงียบไปยาวนาน....นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นไหวอย่างรุนแรง...ก่อนซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย แล้วพึมพำเบาๆ

                “อิวะจัง....”

                “อะไรล่ะ...”

                “ฉันขอโทษ...ที่พูดไม่ดีกับนายแบบนั้น...” ชายหนุ่มกอดร่างในอ้อมแขนให้แน่นยิ่งกว่าเดิมราวกับจะไม่ยอมให้หนีไปไหน

                “เพราะฉะนั้น...อย่าหายไปไหนนะ...อิวะจัง....”

                ได้ยินเช่นนั้นอิวะอิซึมิก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง นัยน์ตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะทอแสงอ่อนโยนลง

                เขาเอื้อมมือขึ้นมากอดตอบชายตรงหน้าเอาไว้

                “เจ้าโง่...คิดว่าพูดแค่นั้นจะทำให้ฉันโกรธจนหนีไปงั้นเหรอ คิดว่าตัวเองทำตัวน่าถีบใส่ฉันมากี่ครั้งแล้วหา เจ้าโง่คาวะ” อิวะอิซึมิยิ้มน้อยๆ ก่อนซบหน้าลงกับไหล่กว้างตรงหน้า

                “เพราะฉะนั้น...ฉันจะอยู่คอยสั่งสอนคนงี่เง่าอย่างนายแบบนี้...ตลอดไปนั่นแหละ”

                โออิคาวะเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของอีกฝ่าย หยาดน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว

                เขากอดร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้น ก่อนระบายยิ้มสดใสออกมา

                “อื้อ...ฉันก็จะอยู่กวนประสาทอิวะจังแบบนี้...ตลอดไปด้วยเหมือนกัน”

                ไม่ว่าโลกแห่งนี้จะเป็นโลกแห่งความฝัน....เป็นโลกหลังความตาย...หรือโลกคู่ขนานแห่งไหนก็ตาม

                เรื่องนั้น....เขาไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว

                เพราะที่นี่...คือโลกที่มีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง...

     

    หากโลกที่มีอิวะจังอยู่....เกิดเป็นโลกแห่งความฝันขึ้นมาล่ะก็

    ฉันขออยู่ในความฝันตลอดไปได้ไหม...?

               

                หลังจากนั้นไม่นาน อาการของเขาก็ฟื้นฟูดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

                แพทย์แจ้งว่าเขาถูกชนอย่างแรงจนถึงขั้นโคม่า นอนหมดสติไปนานเกือบสิบวันราวกับสมองไม่ตอบสนองอะไรอีกแล้ว

                การที่เขาฟื้นตัวขึ้นมาจนเป็นปกติได้เร็วขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจทางการแพทย์อย่างมาก อันที่จริงเรื่องนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจเลยด้วยซ้ำ

                หลังจากที่แพทย์ประจำตัวเดินออกจากห้องไป โออิคาวะก็เหลือบมองไปที่อิวะอิซึมิที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียง

                แล้วภาพที่เขาเดินไปกลางถนนให้รถชนในความฝัน...ไม่สิ...ในโลกที่ไม่มีอีกฝ่ายนั่น ก็ปรากฎเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

                การที่เขากลับมาหาอีกฝ่ายในโลกแห่งนี้ได้ เป็นเพราะการตัดสินใจในตอนนั้นหรือเปล่า...เรื่องนั้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

                และบางที...อาจไม่มีวันรู้ไปตลอดกาลเลยก็ได้

                แต่เรื่องนั้น...ใครจะสนกันล่ะ

                พอเหลือบเห็นชายตรงหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว อิวะอิซึมิก็ลดหนังสือในมือลง ก่อนขมวดคิ้วมุ่น

                “เฮ่....นั่งยิ้มอะไรของนาย นอนพักได้แล้ว ถึงจะหายดีแต่ก็ยังอาการหนักอยู่เข้าใจไหม ถ้าเป็นอะไรไปจะทำยังไง” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นมาแล้วดันไหล่ของอีกฝ่ายให้ลงไปนอนบนเตียงเหมือนเดิม แล้วทำท่าจะผละออก

                “เอ้า นอนได้แล้ว.....!

                ทว่าร่างที่นอนบนเตียงกลับจับข้อมือของเขาเอาไว้ ก่อนดึงให้เข้ามาใกล้ชิด รั้งไม่ให้หนีไปไหน

                “...จะทำอะไรของนาย...ปล่อยสิ!” อิวะอิซึมิเอ่ยเสียงแข็ง ใบหน้าพลันแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว

                โออิคาวะเลื่อนมือขึ้นมาประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มสดใส

                “ฉันน่ะ....ไม่ยอมเป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า” ชายหนุ่มเอ่ยพลางหัวเราะเบา

                “โลกที่ไม่มีฉันอิวะจังเองก็คงจะเจ็บปวดมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ทิ้งอิวะจังไปไหนหรอกนะ”

                ก็คงจะเจ็บปวดมากเหมือนกัน?

                ได้ยินเช่นนั้นอิวะอิซึมิก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ก่อนตัดสินใจโยนคำพูดแปลกประหลาดของชายตรงหน้าทิ้งไป เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะสมองของอีกฝ่ายได้รับการกระทบกระเทือนก็ได้

                แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ระบายยิ้ม แล้วเอื้อมมือไปเขกหัวร่างสูงกว่าตรงหน้าเบาๆด้วยความหมั่นไส้

                “ไอ้คนหลงตัวเองเอ๊ย....”

                “เจ็บนะ อิวะจังใจร้าย...ฉันเป็นคนป่วยนะ” โออิคาวะทำหน้าบูด นัยน์ตาฉายแววทั้งตัดพ้อและออดอ้อน

                “เฮอะ นี่เห็นว่าป่วยนะถึงเขกเบาหน่อย คราวนี้จะเลิกหลงตัวเองได้รึยัง” อิวะอิซึมิหรี่นัยน์ตาลงจ้องมองคนป่วยตรงหน้าอย่างหมั่นไส้

                “ถึงฉันจะหลงตัวเองแบบนี้ แต่อิวะจังก็ชอบฉันใช่มั้ยล่ะ”

                โออิคาวะเลิ่กคิ้วแล้วผิวปากทำหน้ารื่นเริงอย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด ได้ยินเช่นนั้นอิวะอิซึมิก็หน้าแดงเรื่อขึ้นทันที

                “พูดอะไรออกมา...ไม่อายรึไง...งี่เง่า!

                “แล้วมันจริงมั้ยล่ะ” โออิคาวะเลิ่กคิ้วนิดๆ เห็นแบบนั้นอิวะอิซึมิก็รีบเบือนสายตาไปอีกทาง

                “รู้อยู่แล้วยังจะถามอีกเจ้าบ้า...รีบนอนพักได้แล้ว”

                พอเห็นใบหน้าเขินหน่อยๆที่หาดูได้ยากยิ่งของอีกฝ่าย โออิคาวะก็หลุดหัวเราะออกมา

                เขาโน้มใบหน้าเข้าไป หอมแก้มตรงหน้าเบาๆ

                “งั้น....ฝันดีนะ อิวะจัง”

     

    ก็โลกที่ไม่มีอิวะจังน่ะ...มันทั้งเหงา...ทั้งโดดเดี่ยว...และเจ็บปวดมาก

    ดังนั้นโลกที่ไม่มีฉัน...อิวะจังก็คงจะเจ็บปวดเหมือนกันสินะ

    เพราะเรา...คงมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง...โดยไม่มีกันและกันไม่ได้

     

    君がいない、この世界で

    โลกที่ไม่มีนายน่ะ...

    ฉัน...ไม่ต้องการมันหรอกนะ

               

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×