ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Evangelion : Living Without You (Kaworu x Shinji) END

    ลำดับตอนที่ #4 : Living Without You : Chapter 4 - Love Takes No Time

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 56




               “เฮ้ ฟังอยู่หรือเปล่า ชินจิ?”

     

     

                    เสียงตะโกนของโทจิดังขึ้น แต่กระนั้นคนถูกเรียกก็ยังนั่งเหม่อลอยไร้ซึ่งการตอบสนอง แก้วน้ำในมือยังคงนิ่งค้างไม่เคลื่อนไปจรดริมฝีปากเสียที ทำเอาเพื่อนรักทั้งสองทำหน้างุนงงเป็นไก่ตาแตก

     

                    “อิคาริคุงเขาเป็นอะไรของเขาน่ะ?” เคนซึเกะขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางยื่นหน้าเข้ามาสำรวจคนใจลอย พอไล่ตามสายตาของอีกฝ่ายไปก็เห็นภาพนักเรียนใหม่กำลังคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมอยู่

     

                    “ไอ้นางิสะนั่นมันทำไมหรอ?” โทจิถามด้วยสีหน้าสงสัยเป็นที่สุด แต่เมื่อเห็นชินจิยังคงเหม่อลอยราวกับไม่ได้ยิน จึงเดินเข้าไปจับไหล่ของอีกฝ่ายแล้วเขย่าเบาๆ

     

                    “ชินจิ!! นายเป็นอะไรของนายห๊า!!”

     

                    “โทจิคุง...เคนซึเกะคุง...” ชินจิเอ่ยเสียงแผ่วราวกับจะร้องไห้ สายตายังคงจับจ้องไปที่ใครอีกคนในห้องชมรม  “ถ้าเกิดพวกนายใจเต้นกับผู้ชายด้วยกันขึ้นมา พวกนายจะทำยังไง...”

     

                    พอได้ยินเพื่อนรักพูดอะไรล่อแหลม โทจิก็ทำหน้าตะลึงค้าง ส่วนเคนซึเกะนั้นเผลอพ่นน้ำออกมาใส่หน้าเพื่อนรักเข้าเต็มๆ

     

                    “ห๊ะ?!” โทจิอ้าปากค้าง ยกแขนขึ้นมาเช็ดน้ำบนหน้าลวกๆ ความช็อคจากสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาไม่มีเวลาหันไปโวยวายใส่เคนซึเกะ “ว่าอะไรนะ ขออีกที ไม่เข้าใจ..”

     

                    อันที่จริงเขาไม่อยากจะเข้าใจต่างหากล่ะมั้ง

     

                    “ฉะ...ฉัน..หมายความว่า...” คราวนี้ชินจิก้มหน้างุด ก่อนพยายามรวบรวมความกล้าสุดความสามารถเพื่อถามอีกครั้ง

     

                    “นายเคยรู้สึก...ใจเต้นกับผู้ชายเหมือนกันบ้างหรือเปล่า?”

     

                    “จะเคยได้ยังไงล่ะโว้ย!!” เพื่อนสุดแมนตะโกนพลางตบหัวเป็นการสั่งสอนอีกฝ่ายเบาๆ “อย่าบอกนะว่านายเจอไอ้บ้านั่นมันเล่นแผลงๆจนวิปริตไปแล้ว!?”

     

                    “นายหมายถึงกับนางิสะคุงหรอ?” เคนซึเกะขยับแว่นพลางเหลือบไปมองคนร้ายซึ่งบัดนี้มีนักเรียนหญิงหลายคนเข้ามารุมล้อมเพื่อขอคำแนะนำในการเล่นเปียโน

     

                    “ฉะ...ฉัน...” ชินจิแก้มแดงราวกับมะเขือเทศเมื่อเผลอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนขึ้นมา ภายใต้ปรอยกลีบซากุระร่วงหล่นและสายลมโชย ริมฝีปากเย็นเฉียบนั้นค่อยๆเคลื่อนมาสัมผัสอย่างแผ่วเบา พร้อมกับคำพูดแสนหวานนั้น

     

     

     

     

                    “ฉันเกิดมาเพื่อได้พบนาย ชินจิคุง” 

     

     

     

                    นี่เรา...เป็นคนใจง่ายขนาดนี้เลยหรอเนี่ย...เด็กหนุ่มตัดพ้อกับตนเองในใจ พลางรู้สึกอยากจะเอาหัวโขกลงบนโต๊ะขึ้นมา

     

                    หลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้น เมื่อคาโอรุถอนริมฝีปากแล้วพูดถ้อยคำแสนหวานนั้นด้วยรอยยิ้ม ชินจิก็เอาแต่นิ่งอึ้ง อยู่ในสภาวะช็อคทำอะไรไม่ถูกไปนาน...หัวใจเต้นรัวเร็ว ภายในใจรู้สึกหวั่นไหวสั่นคลอนไปหมด...พอรู้ตัวอีกที ก็ถูกอีกฝ่ายจูงมือกลับมาถึงบ้านเสียแล้ว

     

                    เป็นครั้งแรกที่ชินจิรู้สึกหวั่นไหวในความรู้สึกมากขนาดนี้ ความรู้สึกแบบนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่าอะไรกันแน่

     

                    แต่ที่แน่ๆก็คือ....

     

                    เขาไม่ได้นึกรังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายเลย...ไม่เลยสักนิด...      

     

                    แต่มันกลับเป็นสัมผัสที่อบอุ่น...ชวนให้รู้สึกคิดถึง ชวนให้โหยหาถึงบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ

     

                    “แต่ก็ไม่แปลกใจอะไรเท่าไรล่ะนะ” เคนซึเกะเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “นางิสะคุงเขาดูมีเสน่ห์ออกจะตาย ถ้าได้อยู่ใกล้กัน นอนห้องเดียวกันแบบนั้น จะหวั่นไหวก็ไม่แปลก”

     

                    “ไม่แปลกที่ไหนกันเฟ้ยย!! แกไปสนับสนุนเพื่อนเข้าสู่ทางเสื่อมอย่างนั้นได้ยังไงเคนซึเกะ!” โทจิตวาดลั่น พลางจับไหล่ของชินจิไว้และเขย่าเพื่อเตือนสติ “ฟังนะชินจิ นี่เป็นแค่ความแปรผันทางอารมณ์ของวัยรุ่นเท่านั้น แกก็เคยเรียนมาไม่ใช่เรอะ!! ตั้งสติหน่อยสิ อย่าเพิ่งเดินทางผิดเซ่!!”

     

                    “จะ..ใจเย็นๆ โทจิคุง” ชินจิยิ้มแห้ง พลางพยายามดันตัวออกห่างจากชายตรงหน้า โทจิเป็นคนที่ถ้าอารมณ์เสียขึ้นมาล่ะก็ จะควบคุมการใช้กำลังของตนเองไม่ค่อยได้ และตอนนี้เขาก็ถูกอีกฝ่ายรั้งเข้ามาใกล้อย่างแรงจนแทบจะกอดกันอยู่แล้ว

     

                    “ทำอะไรอยู่หรอ ชินจิคุง?”

     

                    น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงกระแสเย็นเยียบดังขึ้นจากเบื้องหลังทำให้ทั้งโทจิและชินจิหยุดชะงัก พอหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าคาโอรุมายืนอยู่ตรงหน้า

     

                    “นางิสะคุง..” ชินจิรีบผละออกจากโทจิทันที “คุยกับอาจารย์เสร็จแล้วหรอ”

     

                    “อื้อ เสร็จแล้วล่ะ” เขาเอ่ยพลางเหลือบสายตามองโทจิแว่บหนึ่งพลางยิ้มละไม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ทั้งโทจิและเคนซึเกะรู้สึกหนาวๆร้อนๆพิกล

     

                    “กลับกันเถอะนะ” คาโอรุส่งมือมาให้เขา

     

                    “อะ..อื้อ” ชินจิพยักหน้า แล้วยื่นมืออกไปหาอีกฝ่าย พลางรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุอย่างไรชอบกล

     

                    “งั้น..ฉันกลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” ชินจิหันมายิ้มแห้ง แล้วโบกมือลาเคนซึเกะและโทจิที่นั่งตะลึงค้างอยู่ที่เดิม

     

                     คาโอรุจูงมือชินจิเดินกลับบ้านโดยไม่หันกลับมาพูดอะไรเลยสักคำ ชายหนุ่มบีบมือเล็กเอาไว้แน่นจนชินจิเริ่มรู้สึกเจ็บ แถมยังเดินเร็วเสียจนเขาต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งถึงจะตามทัน ท่าทีเย็นชากว่าปกติของคนตรงหน้า ถึงไม่ถามก็รู้ว่าคงกำลังไม่พอใจอะไรเขาอยู่สักอย่าง

                   

                    “ทำไมเสร็จเร็วจังเลยล่ะ คิดว่าจะช่วยสอนพวกผู้หญิงในชมรมนานกว่านี้ซะอีก” ชินจิพยายามหาหัวข้อสนทนาเพื่อคลายความตึงเครียด

     

                    “ฉันไม่สนใจจะสอนคนอื่นหรอก” คาโอรุเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่ได้หันกลับมา  “จะสอน..ก็เพียงแค่ชินจิคุงเท่านั้น”

     

                    ทั้งที่คิดว่าจะชวนคุยให้บรรยากาศดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นทุกอย่างยิ่งแย่ลงกว่าเดิม คาโอรุเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก คราวนี้ชินจิรู้สึกเหนื่อยจนตามอีกฝ่ายไม่ทันแล้ว

     

                    “น..นี่ นางิสะคุง เดินช้าๆหน่อยสิ” ชินจิร้องขอพลางหอบหายใจ และฉับพลันนั้นอีกฝ่ายก็หยุดเดินกะทันหัน จนหน้าผากของเขาชนกับแผ่นหลังตรงหน้าอย่างจัง

     

                    “โอ๊ย..เฮ้ออ จะหยุดก็หยุดไม่บอกเลย” ร่างบางบ่นพึมพำ ก่อนช้อนสายตาเงยขึ้นมอง คาโอรุหันหลังกลับมา

     

                    “ไม่เหมือนกับชินจิคุงสินะ...”

     

                    “เอ๊ะ..?”

     

                    ใบหน้าคมคายเรียบเฉย เนตรสีโลหิตหลุบลองมองชินจิด้วยสายตาเย็นชา

     

                    “ชินจิคุงน่ะ สนิทกับใครตั้งหลายคน รวมถึงพวกสึสึฮาระคุงด้วย”

     

                    คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดแบบนี้เพราะอะไร แต่กระนั้นก็ตอบออกไป “อื้อ ต้องสนิทมากสิ ก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาตั้งแต่มัธยมต้นเลยนี่นา”

     

                    “งั้นหรอ” นัยน์ตาคู่สวยฉายแววตัดพ้อเล็กน้อย พลางระบายยิ้มจาง “นั่นสินะ ถ้าไม่สนิทมากชินจิคุงคงไม่ยอมให้กอดแบบนั้นหรอก”

     

                    “ไม่ใช่แบบนั้นนะ!” ชินจิรีบค้านพลางจับมือของอีกฝ่ายไว้อย่างร้อนรน “เราไม่ได้กอดกันแบบนั้น โทจิคุงเขาแค่ล้อฉันเล่นเท่านั้นเอง”

     

                    เขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดขนาดนั้น แต่การได้เห็นแววตาตัดพ้อและผิดหวังของคาโอรุ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในใจ

     

                    “อย่างนั้นหรอ” เนตรสีโลหิตมองสบตาราวกับกำลังค้นหาคำตอบ

     

                    “ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอก” ชินจิเอ่ยพลางหลบสายตาไปอีกทาง แก้มแต้มสีชมพูจาง “ปกติแล้วเรื่องแบบนั้นน่ะ ถ้าไม่ใช่คนสำคัญก็ทำไม่ได้หรอกนะ”

     

                    คาโอรุนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปประชิดร่างบางตรงหน้า “ถ้าไม่ใช่คนสำคัญ ก็ไม่ยอมให้กอดอย่างนั้นสินะ”

     

                    “อื้อ...” ตอบได้เพียงแค่นั้น นัยน์ตาสีดำก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

     

                    เพราะจู่ๆคนตรงหน้าก็รวบร่างของเขาเข้ามากอดเอาไว้

     

                    “น..นางิสะคุง..”  ชินจิร้องประท้วง พลางมองเลิ่กลั่กไปทั่วเพราะกลัวจะมีใครมาเห็นเข้า “ทำอะไรน่ะ นี่มันกลางถนนนะ”

     

                    “ถ้าอย่างนั้น...”

     

                    “เอ๊ะ?” ชินจิเหลือบขึ้นมอง นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ

     

                    “ถ้าอย่างนั้น..ตอนนี้ฉันก็เป็นคนสำคัญของชินจิคุงแล้วใช่ไหม?”

     

                    เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นชินจิก็นิ่งอึ้งไปทันที...

     

                    เพราะบอกว่าต้องเป็นคนสำคัญเท่านั้นถึงจะยอมให้กอด ชายตรงหน้าจึงแปลความหมายว่า...ถ้าได้กอดจึงจะกลายเป็นคนสำคัญอย่างนั้นสินะ...

     

                    นี่มันตรรกะอะไรของเขาเนี่ย... 

     

                    ชินจิอดขำออกมาไม่ได้ แม้คาโอรุจะแลดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา  เงียบขรึมกว่าเขา อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะในหลายๆด้านก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่เหมือนกัน

     

                    “ชินจิคุง?” คาโอรุคลายอ้อมกอดพลางเหลือบลงมองมาเมื่อเห็นร่างในอ้อมแขนหัวเราะ แต่ชินจิกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา

     

                    “ไม่มีอะไรหรอก” เขาพูดพลางซบหน้าลงกับอกของอีกฝ่าย แล้วหลับตาลงช้าๆ ก่อนลอบพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะเบา

     

                    “ตอนนั้นมากกว่ากอดแท้ๆ ยังมาพูดแบบนี้อีกน้า”

     

                    ในตอนนั้น...ที่ริมฝีปากของพวกเขาแนบสัมผัสกัน....

     

                    “ต้องเป็นคนสำคัญเท่านั้นถึงจะยอมให้สัมผัส...” 

     

                    เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเขาจึงยอมให้ชายตรงหน้าเข้ามาใกล้ชิดได้ถึงขนาดนี้นะ...

     

                    เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ...จะทำให้ความรู้สึกในใจหยั่งลึก...จนให้ความสำคัญกับใครคนหนึ่งที่เพิ่งพบกันไม่ถึงอาทิตย์ได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ?

     

                    บางทีอาจเป็นเช่นนั้น...

     

                    เพราะความรู้สึกบางอย่างอาจไม่จำเป็นต้องใช้เวลาพิสูจน์ก็เป็นได้..

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×