ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Short Fic Haikyuu!!] รวมฟิคสั้นเรื่อง Haikyuu!!

    ลำดับตอนที่ #3 : เมื่อเราสลับนิสัยกัน (Oikawa x Kageyama???)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 57




             เรื่องสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Haikyuu!! Weekly หัวข้อ "สลับนิสัย" ค่ะ

             Paring : Oikawa x Kageyama???
             Rate : PG



    1 โออิคาวะในเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
    2 ความสัมพันธ์ไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนในออริค่ะ
    3 จะเรียกได้ว่าเป็นตอนพิเศษของฟิคยาว 14 days ที่เขียนก็ได้(แต่ไม่มีการเชื่อมโยงเนื้อเรื่องกัน คนที่ไม่ได้อ่านฟิคยาวอ่านได้ปกติค่ะ)




     


    เมื่อเราสลับนิสัยกัน



               “ถ้าเราสลับนิสัยกัน...นายว่ามันจะเป็นยังไง โทบิโอะจัง?

                คำถามของชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามทำให้คาเงยามะชะงักไปหลายวินาที

                เด็กหนุ่มค่อยๆละสายตาจากโจทย์เลขอันแสนปวดหัวตรงหน้า นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกฉายแววครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะทำสีหน้าราวกับกินของขม

                “ให้ผมนิสัยเหมือนโออิคาวะซังเหรอครับ...ไม่เอาได้มั้ย”

                “หา!พูดแบบนี้หมายความว่าไง นิสัยฉันมันเสียหายตรงไหน?” โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลง ก่อนชี้นิ้วไปที่รุ่นน้องตรงหน้าด้วยสีหน้าขัดใจสุดๆ

                 เห็นแบบนั้นคาเงยามะจึงกระพริบตาปริบ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

                “มันแย่มากเลยล่ะครับ”

                ทั้งคำพูดและสีหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้คนถูกหาว่า “นิสัยแย่” คิ้วกระตุก เส้นเลือดปูดโปนบนใบหน้าด้วยความหงุดหงิดทันที

                ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเหี้ยม แล้วเอื้อมมือออกไป ดึงแก้มนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของอีกฝ่ายจนยืดออก

                “เด็กแก่แดดคนนี้...กล้าดีนักนะ...!

                “อื้ออ!

                พออีกฝ่ายผละมือออก คาเงยามะก็เอื้อมมือขึ้นมากุมแก้มแดงตุ่ยของตนเอง ก่อนหรี่ตามองชายตรงหน้าด้วยสายตาฉายแววขัดใจ

                “โออิคาวะซังเป็นคนเริ่มถามเรื่องนี้ก่อนแท้ๆนะครับ มาแกล้งกันทำไมเนี่ย”

                “เฮอะ ก็แค่ถามเล่นๆ โทบิโอะจังนั่นแหละตอบกวนฉันก่อนเอง” 

                โออิคาวะนั่งกอดอกจ้องมองรุ่นน้องตรงหน้า พลางนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าด้วยท่าทีกวนประสาทอย่างที่สุดไปด้วย

                “อีกอย่าง...นี่มันไม่ใช่หนังซักหน่อย เราจะสลับนิสัยกันได้ยังไงเล่า เอ้า ทำโจทย์ข้อต่อไปเร็วๆเข้า”

                 เขาพูดพลางจิ้มดินสอลงที่หนังสือของอีกฝ่ายรัวๆ เห็นแบบนั้นคาเงยามะก็ทำหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ยอมก้มลงทำโจทย์ต่อตามที่ชายตรงหน้าบอกอยู่ดี

                ใช่...นี่มันไม่ใช่หนังโรง ไม่ซีรี่ย์เกาหลี และไม่ใช่การ์ตูนแฟนตาซีอะไรที่ไหน

                ไม่มีทางที่พวกเขาจะสลับนิสัยหรือสลับร่างกันได้จริงๆอยู่แล้ว

                คิดว่านะ....

     

                เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดขึ้นช้าๆ...ภาพแรกที่เห็นคือเงาร่างของใครคนหนึ่งที่คุ้นเคย ทำลังยืนอยู่ข้างเตียงแล้วก้มลงมองมาที่เขา

                เรือนผมสีดำอ่อนนุ่ม...ใบหน้ากลมมน...ร่างบางสูงโปร่ง....

                อา....ใช่...เมื่อคืนนี้เขามาติวหนังสือให้เด็กคนนั้นเพื่อเตรียมสอบนี่นะ...คงจะเผลอหลับถึงเช้าล่ะมั้ง

                นอกจากนั้นแล้วเด็กคนนั้นยังยืนเท้าสะเอว นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกคู่สวยฉายแววรำคาญ ใบหน้าอ่อนเยาว์ฉายแววหงุดหงิดกำลังก้มลงมองมาทางนี้

                เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ...

                มันต้องเป็นนัยน์ตากลมโตฉายแววซื่อตรงกับใบหน้าอ่อนเยาว์ฉายแววชื่นชมที่กำลังก้มลงมองทางนี้ไม่ใช่เหรอ!

                “นี่จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไรกันครับ โออิคาวะซัง”

                ระหว่างที่เขากำลังกระพริบตางุนงงอยู่นั้น เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นพลางส่งเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ

                นัยน์ตาสีน้ำเงินที่ทอดมองมาพลันฉายแววรำคาญยิ่งขึ้นไปอีก ราวกับหากยืนอยู่ตรงนี้อีกสักวินาทีเดียวเจ้าตัวจะหมดความอดทนอย่างนั้น

                “ติวให้ผมได้ไม่ทนไรก็เผลอหลับแล้ว ไม่ได้เรื่องจริงๆเลย! นี่คุณเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวไปได้ยังไงหา?!

                “ทะ...โทบิโอะ...”

                โออิคาวะเอ่ยด้วยน้ำเสียตะกุกตะกัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนเท้าสะเอวตรงหน้าด้วยงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก

                เด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าเป็นรุ่นน้องใสๆซึ่งพร้อมยอมทำตามเขาทุกคำพูด บัดนี้ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนกระชากผ้าห่มที่คลุมร่างของเขาอยู่ออกอย่างแรง

                “ยังจะนั่งอยู่อีกเหรอครับ ลุกขึ้นมาได้แล้วน่า!

                “เดี๋ยวสิ โทบิโอะ...”

                ทั้งที่ภายในใจรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะลุกขึ้นไปดึงแก้มอีกฝ่ายแก้แค้นแรงๆ ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปกลับดูตัดพ้อ ประโยคที่พูดออกไปก็เป็นประโยคขอร้องไม่ใช่ประโยคคำสั่งอย่างที่เคย  แถมยังยอมลุกจากเตียงตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดีอีกด้วย

                นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!

                “อย่าทำกับฉันรุนแรงแบบนี้สิ...มันไม่ดีเลยนะ”

                พอคำพูดนี้หลุดลอดผ่านริมฝีปากโออิคาวะก็นิ่งชะงักไป ก่อนเอื้อมมือขึ้นมาปิดปากตนเอง

                ให้ตาย...ทำไมน้ำเสียงของเขาถึงได้ดูราวกับลูกหมาเชื่องแบบนี้ล่ะ!

                “เห...พูดอะไรน่ะครับ”

                คาเงยามะหัวเราะเบาๆในลำคอพลางกระตุกยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกฉายแววราวกับผู้มีชัย ก่อนเอื้อมมือเข้ามาดึงแก้มของเขาทั้งสองข้างอย่างแรง

                “คุณชอบให้ผมรุนแรงด้วยแบบนี้ตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอครับ...โออิคาวะซังที่น่ารักของผม

                โออิคาวะพยายามรั้งมือที่ดึงแก้มของตนเองออก นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

                นี่มันบ้าอะไรกัน!

                “เอาล่ะ...รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปข้างนอกกันได้แล้วครับ”

                คาเงยามะปล่อยมือออกแล้วระบายยิ้มละไม ก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก

                โออิคาวะจ้องมองบานประตูกระแทกปิดลง แล้วเอื้อมมือขึ้นมากุมแก้มแดงตุ่ยของตนเองไว้

                ทำไม...เด็กคนนั้นถึงมีนิสัยกวนประสาทเหมือนเขาไม่มีผิด...

                แล้วทำไม...เขาถึงดูเชื่อฟังอีกฝ่ายมากขนาดนั้น...

    “ถ้าเราสลับนิสัยกัน...นายว่ามันจะเป็นยังไง โทบิโอะจัง?

                คำพูดในอดีตของตนเองพลันดังก้องเข้ามาในมโนคิดอีกครั้ง...และนั่นก็ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ ร่างกายแข็งทื่อไปทั้งร่าง

                ไม่...นี่ต้องไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน...

                โลกใบนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ!

               

                หลังจากนั้นเขาก็ถูกแกล้งต่างๆนานาตลอดช่วงเช้า

                ทั้งแย่งอาหารเช้าในจาน ใช้ให้เขาเก็บล้างจานให้ กระทั่งจ้องมองเขาตอนเปลี่ยนเสื้อด้วยสายตาฉายแววเจ้าเล่ห์แปลกๆจนรู้สึกกระอักกระอ่วนจนทำอะไรไม่ถูกไปหมด

                โออิคาวะเหลือบมองเด็กหนุ่มที่เดินฮัมเพลงอยู่เคียงข้าง ด้วยสายตาราวกับยังไม่เข้าใจในชะตาชีวิต

                นี่พระเจ้าคิดจะกลั่นแกล้งเขาใช่ไหม?

                “วันนี้ผมมีสอบเลยอ่านหนังสือจนหมดแรง เพราะงั้นรบกวนถือกระเป่าให้ด้วยนะครับ โออิคาวะซัง” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางหันมายิ้มละไม น้ำเสียงฉายแววรื่นเริงราวกับกำลังเล่นสนุกอยู่เสมอ

                “......”

                โออิคาวะขมวดคิ้วน้อยๆแต่ก็นิ่งเงียบไป ก่อนยอมถือกระเป๋าและเดินตามร่างเล็กกว่าตรงหน้าไปอย่างว่าง่าย

                ถึงจะบอกว่า “รบกวนด้วยนะครับ” แต่สำหรับเขาแล้วนั่นเหมือนเป็นคำสั่งเสียมากกว่า

                ราวกับรอยยิ้มและน้ำเสียงของอีกฝ่ายมีพลังดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เขาต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก...

                นี่เขาถูกเวทย์มนต์อะไรสะกดอยู่หรือเปล่า?

                “กรี๊ดดด คาเยามะคุง!!!

                พอพวกเขาเดินมาจนถึงทางเข้าโรงเรียนคาราสึโนะ เด็กสาวกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 คนก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมรอบพวกเขาทันที

                บอกว่า “พวกเขา” คงไม่ถูกเท่าไร....ต้องบอกว่าวิ่งกรูเข้ามาล้อมรอบ “คาเงยามะ” คนเดียวจะถูกต้องมากกว่า

                “วันนี้ก็เท่อีกแล้วนะ คาเงยามะคุงเนี่ย” เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทีขวยเขิน

                “ฉันทำข้าวกล่องมาให้คุณด้วยค่ะ...รุ่นพี่คาเงยามะ” ส่วนอีกคนยื่นข้าวกล่องที่ห่อด้วยผ้าสีชมพูไปให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ

                “ขะ...ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ?!” เด็กสาวตัวเล็กอีกคนรีบหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายอีกฝ่ายที่หันมายิ้มแล้วชูสองนิ้ว

                โออิคาวะจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน

                เดี๋ยวนะ...นี่พวกเธอกรี๊ดโทบิโอะอยู่จริงเหรอ?

                “พวกเธออุตส่าห์ทำมาให้ฉันเหรอ...ขอบคุณมากเลยนะ”

                คาเงยามะเอ่ยพลางยิ้มละไม นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกที่จ้องมองเด็กสาวเหล่านั้นเปี่ยมเสน่ห์จนพวกเธอหน้าแดงก่ำกันไปหมด

                โทบิโอะ!...นั่นมันประโยคของฉันไม่ใช่รึไง?!

                โออิคาวะคิดในใจพลางถลึงตามองภาพฉากตรงหน้าราวกับไม่เชื่อสายตาคนเอง แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นกลับไม่มีสาวๆที่ไหนมารุมล้อมเขาเลยสักคนอยู่ดี

                “เอาล่ะ เดี๋ยวฉันต้องไปสอบก่อน ไว้ค่อยเจอกัน”

                หลังจากกรี๊ดกร๊าดกันจนพอสมควร คาเงยามะก็บอกลา โบกไม้โบกมือไปให้เด็กสาวเหล่านั้นยิ้มๆ แล้วเดินสวนเข้าโรงเรียนไป

                โออิคาวะเหลือบกลับไปมองเด็กสาวเหล่านั้นที่บัดนี้ทำท่าเคลิ้มฝันราวกับลมจะจับ แล้วความรู้สึกหงุดหงิดก็ปั่นป่วนในอกขึ้นมาทันที

                หงุดหงิด...รู้สึกโมโหจนเผลอกำมือแน่น....

                นั่นเป็นเพราะว่า....

                “ทำไม...นายถึงต้องไปให้ความหวังผู้หญิงพวกนั้นด้วย โทบิโอะ”

                พอเขาพูดประโยคนี้ออกไปด้วยน้ำเสียงแฝงความหงุดหงิด ร่างเล็กกว่าตรงหน้าก็ชะงักฝีเท้า

                คาเงยามะหันกลับมาหาเขาแล้วเลิ่กคิ้วถาม

                “แล้วมันเสียหายตรงไหนล่ะครับ”

                “มันจะไม่เสียหายได้ยังไงล่ะ!...นายไม่ได้ชอบเด็กพวกนั้นซักหน่อย แต่กลับไปหว่านเสน่ห์ใส่แบบนี้” โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลง พลางกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

                “ไม่คิดว่าจะทำให้เด็กพวกนั้นเสียใจเลยรึไง?

                ได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีน้ำเงินก็จ้องมองมาที่เขาแน่นิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง...ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มละไมออกมาอีกครั้ง

                คาเงยามะเดินตรงเข้ามาประชิด ทำให้เขาต้องร่นถอยไป จนหลังแนบกับต้นไม้ใหญ่ ไร้ทางถอยหนีอีกต่อไป

                ใบหน้าอ่อนเยาว์ระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับล่วงรู้ทุกอย่างในใจ ก่อนจะโน้มเข้ามาใกล้จนจมูกของพวกเขาห่างกันไม่ถึงคืบ

                “กลัวเด็กสาวพวกนั้นเสียใจ...หรือจริงๆแล้วคุณเองที่เสียใจกันแน่ครับ...โออิคาวะซัง”

                “...ม...หมายความว่ายังไง...”

                โออิคาวะเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายทำให้หัวใจพลันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะขึ้นมา

                ได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มตรงหน้าก็กระตุกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยสายตาฉายแววนึกสนุก

                “ก็หมายความว่า...คุณ หึง ยังไงล่ะครับ”

                “ม..ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย ใครว่าฉันหึงนาย...”

                ชายหนุ่มเอ่ยพลางเบือนสายตาไปอีกทาง ใบหน้าพลันแดงเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

                คาเงยามะหัวเราะหึในลำคอ ก่อนประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมาสบ แล้วโน้มเข้าไป จูบปลายจมูกของชายตรงหน้าเบาๆ

                “ไม่เห็นต้องหึงเลยนี่ครับ” เด็กหนุ่มถอนริมฝีปากออกมา แล้วเคลื่อนเข้าไปกระซิบข้างหูของอีกฝ่าย

                “ถึงจะยังไง...ผมก็มีแค่คุณคนเดียวนี่นา...”

                เสียงกระซิบที่ได้ยินเคลียใบหูทำให้ใบหน้าของเขาร้อนวาบไปถึงลำคอ

                นัยน์ตาสีน้ำเงินลุ่มลึกและเปี่ยมเสน่ห์ที่ทอดมองเข้ามาทำให้ภายในอกด้านซ้ายสั่นระรัวไม่เป็นท่า

                ให้ตายสิ...!!

                เขาร้องประท้วงในใจเมื่อริมฝีปากอุ่นๆตรงหน้าเคลื่อนจากใบหูเข้ามาทาบทับที่มุมปากของตนเอง

                นี่มันไม่ถูกต้อง...ไม่ถูกต้องแล้ว โทบิโอะ!!

                โออิคาวะค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ร่างกายพลันแข็งทื่อและเสียววาบ รอรับสัมผัสอ่อนหวานของอีกฝ่าย

                เสียงหัวใจเต้นรัวแรงก้องกังวานในโสตประสาท

                ช่วยบอกหน่อยเถอะว่านี่เป็นแค่ความฝัน...

                มันเป็นแค่ความฝันใช่มั้ย?!

     

                โออิคาวะซัง...

     

                โออิคาวะซัง....

     

                “โออิคาวะซัง!!!

     

                เสียงตะโกนเรียกอันคุ้นเคยทำให้นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขึ้นทันที

                พลันเห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินกลมโตฉายแววเป็นห่วงกำลังจับจ้องมาที่เขาในระยะประชิด

                “เป็นอะไรรึเปล่าครับ...ร้องเสียงดังมากเลย...”

                “โทบิโอะจัง....”

                โออิคาวะพึมพำพลางกระพริบตาปริบๆเรียกสติของตนเอง พอกวาดสายตามองไปโดยรอบก็พบว่า ตนเองกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะตัวเดิมที่มีหนังสือเรียนวางเรียงราย

                โต๊ะเรียนในห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย...

                “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย...” ชายหนุ่มรู้สึกปวดศีรษะจี๊ดขึ้นมาจนต้องกุมขมับของตนเอง

                “ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ ก็พอพูดเรื่องสลับนิสัยอะไรนั่นไปสักพัก โออิคาวะซังก็เงียบไป มองอีกทีก็ผลอยหลับไปแล้ว” คาเงยามะเอ่ยพลางขมวดคิ้วหน่อยๆ สีหน้ายังคงเจือความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

                “...แล้วจู่ๆก็ตะโกนละเมอโวยวายออกมาดังลั่น ผมตกใจหมดเลยนะครับ”

                “....งั้นเหรอ...”

                โออิคาวะตอบรับก่อนเงยหน้าขึ้นสบกับอีกฝ่าย สมองที่ยังคงมึนงงรีบประมวลสถานการณ์และความทรงจำทั้งหมดทันที...

                นัยน์ตากลมโตที่ทอดมองมายังคงฉายแววใสซื่อ ดวงหน้ากลมมนน่ารักไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมอันใด...แถมยังกระพริบตาปริบๆมองเขาด้วยความเป็นห่วงอีกด้วย ไม่มีสีหน้าขี้เล่นแบบที่เห็นเมื่อครู่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

                สรุปว่า....เขาฝันไปจริงๆสินะ...

                “เฮ้อ....ค่อยยังชั่ว...” ชายหนุ่มถอนใจพลางพิงพนักเก้าอี้ด้วยความโล่งอก

                 เห็นแบบนั้นคาเงยามะจึงเอียงคอเล็กน้อย ยังคงจ้องสีหน้าของอีกฝ่ายเขม็ง

                “ฝันร้ายเหรอครับ?

                “อืม...ร้ายสุดๆเลยล่ะ”

                ได้ยินแบบนั้นคาเงยามะก็ถอนใจหน่อยๆ ก่อนลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปหาชายตรงหน้า

                “ไม่เป็นอะไรแน่นะครั----อ๊ะ!

                ทว่า...พอเดินเข้าไปใกล้เท่านั้น มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็รวบร่างเขาเข้าไปกอดไว้แน่น

                คาเงยามะนิ่งชะงักไป นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

                “โออิคาวะซัง....?

                “...ฝันไปจริงๆด้วยสินะ...”

                ชายหนุ่มพึมพำพลางซุกหน้าลงกับไหล่บางตรงหน้า แล้วกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก

                นัยน์ตาสีน้ำเงินยังคงฉายแววงุนงง แต่ไม่นานเจ้าตัวก็ถอนใจ แล้วเอื้อมมือขึ้นมากอดตอบชายตรงหน้าเอาไว้หลวมๆ

                โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย พลางคิดถึงฝันประหลาดที่เพิ่งประสบมาเมื่อครู่

                เขานึกว่าจะไม่ได้เห็นนัยน์ตาใสซื่อดวงนี้อีกแล้ว...นึกว่าจะไม่ได้กอดอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

                ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโล่งอกที่ทุกอย่างนั้นเป็นแค่ฝัน

                ความฝันที่ฉันต้องเป็นฝ่ายไล่ตามโทบิโอะจังน่ะ...ไม่เอาหรอกนะ...

                เพราะว่านายตอนที่เฝ้ามอง...ที่ไล่ตามฉันมาจากข้างหลังนั้น...

                เป็นโทบิโอะจังที่น่ารักที่สุดนี่นา....

               

                “เอ๋...ฝันว่าเราสลับนิสัยกันเหรอครับ?

                คาเงยามะซึ่งนั่งอยู่บนเตียงโดยมีใครอีกคนเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังเอ่ยถามขึ้นพลางขมวดคิ้วน้อยๆ

                “ใช่...โทบิโอะจังในฝันน่ะร้ายชะมัด” โออิคาวะบ่นอุบอิบ พลางซุกหน้าลงกับซอกคอขาวเนียนตรงหน้า

                 “ทั้งขี้แกล้ง...ปากเสีย...ปั่นหัวฉันจนมึนไปหมด นอกจากนั้นยังหว่านเสน่ห์ใส่สาวๆแกล้งให้หึงอีก...จริงสิ...แถมยังกล้ารุกฉันด้วย”

                พุดไปเขาก็รู้สึกตงิดในใจขึ้นมาเหมือนกัน เพราะนิสัยที่อีกฝ่ายเป็นในความฝันนั้นเหมือนกับนิสัยของตนเองไม่มีผิดเพี้ยน

                นี่มันเหมือนเราด่าตัวเองอยู่เลยนี่หว่า...

                “เอ๋...ผมรุกโออิคาวะซังด้วยเหรอครับ” นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกทอประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะหันมาหาด้วยสีหน้าสนอกสนใจเป็นพิเศษ

                “ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีเหมือนกันนะครับ ลองมาสลับกันดูจริงๆกันเถอะ”

                “บ้าเรอะ! พูดอะไรของนายโทบิโอะจัง! ห้ามคิด..ห้ามคิด หยุดคิดเดี๋ยวนี้!

                พอได้ยินที่อีกฝ่ายเสนอโออิคาวะก็โวยวายขึ้นมาทันที พลางดึงแก้มนุ่มนิ่มสองข้างตรงหน้า

                แค่คิดถึงสายตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มราวกับเป็นผู้ชนะทุกเรื่องของอีกฝ่ายที่ได้เห็นในฝัน....เขาก็เสียวสันหลังวาบแล้ว!

                “แค่ล้อเล่นเองน่ะครับ...ถึงจะอยากแต่นิสัยแบบโออิคาวะซังน่ะเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีใครเลียนแบบได้หรอก” คาเงยามะลูบแก้มตนเองป้อยๆแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ ว่านิสัยของอีกฝ่ายนั้นแย่เป็นเอกลักษณ์อย่างที่สุดจริงๆ

                “นี่หลอกด่าฉันใช่ไหม...เด็กอวดดีคนนี้”โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลงแล้วทำทาจะหยิกแก้มอีกฝ่ายต่อ แต่คาเงยามะกลับรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อน

                “แล้วก็....”

                “แล้วก็อะไร?”  ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางชะงักมือของตนเองไว้ก่อน

                “ก็แค่คิดว่า...ถ้าทำให้โออิคาวะซังหึงได้...ก็คงดีน่ะครับ”เด็กหนุ่มพึมพำพลางหลุบสายตาลงมองพื้น แก้มเนียนแดงก่ำยิ่งกว่าเก่า

                โออิคาวะนิ่งเงียบไปยาวนาน...แล้วภาพตอนเห็นอีกฝ่ายถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มสาวๆก็ผุดวาบเข้ามาในความคิดอีกครั้ง

                ในตอนนั้นความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ในอก ความรู้สึกหงุดหงิดที่ถาโถมเข้ามานั้น ไม่ใช่เป็นเพราะขัดใจเรื่องที่นิสัยของพวกเขาสลับกันเลยแม้แต่น้อย

                แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใครเข้ามารุมล้อม...ไม่อยากให้ใครมองอีกฝ่ายแบบนั้นต่างหาก

                เป็นความรู้สึกบีบรัดในอก รู้สึกร้อนราวกับมีเพลิงลุกโชนขึ้นมาจนหัวใจปวดร้าว ปั่นป่วนขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว

                เป็นความรู้สึกไม่มั่นคงและหวาดกลัว...

                กลัว...ว่าอาจจะต้องสูญเสียอีกฝ่ายไป

                คิดแบบนั้นนัยน์ตาคู่คมก็หรี่ลงเล็กน้อย ก่อนพึมพำออกมาเบาๆ

                “โทบิโอะ...”

                “....ครับ?

                “ฉันมันนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยรึเปล่า....” โออิคาวะเอ่ยพลางยิ้มหยันให้ตนเอง

                ได้ยินเช่นนั้นคาเงยามะก็รีบหันมาหาอีกฝ่ายทันที

                นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววรู้สึกผิดจางๆที่ได้เห็นทำให้คาเงยามะนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนหมุนตัวหันมาหา เอื้อมมือออกไปโอบรอบคอของอีกฝ่ายแล้วกอดเอาไว้แน่น

                “...โทบิโอะ?” นัยน์ตาคู่คมเบิกกว้างเล็กน้อยกับการกระทำที่ไม่คาดคิดของร่างเล็กกว่าตรงหน้า

                คาเงยามะซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย แล้วพึมพำเสียงอู้อี้ออกมา

                “แต่ผมชอบโออิคาวะซังที่เป็นแบบนี้ที่สุดนี่ครับ...”

                ได้ยินเช่นนั้นโออิคาวะก็นิ่งเงียบไป...นัยนตาสีน้ำตาลสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะทอแสงอ่อนโยนลง

                เขาโอบกอดร่างเล็กกว่าตรงหน้าเอาไว้แน่น ลูบเรือนผมสีดำอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ

                “แน่นอนอยู่แล้ว...ถามไปงั้นแหละ ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยนหรอกนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงรื่นเริงพลางกระตุกยิ้ม ทำให้คาเงยามะขมวดคิ้วขัดใจทันที

                “...งั้นผมขอให้วันนึงเราสลับนิสัยกันจริงๆดีกว่า”

                “เด็กอวดดีคนนี้นี่!” ได้ยินเช่นนั้นเขาก็รัดอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก

                “โอ๊ย...จะเจ็บนะครับ...หายใจไม่ออก” คาเงยามะพึมพำพลางดิ้นหยุกหยิกไปมา เห็นแบบนั้นโออิคาวะจึงอดหัวเราะเบาออกมาไม่ได้

    ใช่แล้ว...ฉันไม่ยอมสลับนิสัยกับนายหรอกนะ โทบิโอะ

                “...ปะ...ปล่อยได้แล้วครับ!!

                “เรื่องอะไร...แบนตายไปซะเถอะ เด็กบ้า!!

    เพราะคนที่แกล้งนายได้...คนที่ปั่นหัวนายได้น่ะ...

                “โออิคาวะซังนิสัยไม่ดีที่สุดเลยครับ!

                มีแค่ฉันคนเดียวนี่นา...

                โออิคาวะคลายอ้อมกอดออก ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มละไม ก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นสีเรื่อของอีกฝ่าย  ก่อนถามออกมาว่า

                “นิสัยไม่ดีแล้วชอบมั้ยล่ะ”

                ได้ยินเช่นนั้นคาเงยามะก็ทำหน้ามุ่ยหน่อยๆ...ก่อนซบหน้าลงกับไหล่กว้างตรงหน้า แล้วพึมพำเสียงอู้อี้

                “......”

                นัยน์ตาสีน้ำตาลพลันทอแสงอ่อนโยนลง ก่อนที่เจ้าตัวจะระบายยิ้มน้อยๆออกมา

                “ตอบได้ดีนี่นา....”

    เช่นเดียวกับนาย...ที่จ้องมองฉันได้คนเดียวเท่านั้นไงล่ะ...


    เข้าใจไหม...โทบิโอะจังที่น่ารักของฉัน?

               

               

      END

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×