คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เมื่อเราสลับนิสัยกัน (Oikawa x Kageyama???)
เรื่องสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Haikyuu!! Weekly หัวข้อ "สลับนิสัย" ค่ะ
Paring : Oikawa x Kageyama???
Rate : PG
1 โออิคาวะในเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
2 ความสัมพันธ์ไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนในออริค่ะ
3 จะเรียกได้ว่าเป็นตอนพิเศษของฟิคยาว 14 days ที่เขียนก็ได้(แต่ไม่มีการเชื่อมโยงเนื้อเรื่องกัน คนที่ไม่ได้อ่านฟิคยาวอ่านได้ปกติค่ะ)
เมื่อเราสลับนิสัยกัน
“ถ้าเราสลับนิสัยกัน...นายว่ามันจะเป็นยังไง โทบิโอะจัง?”
คำถามของชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามทำให้คาเงยามะชะงักไปหลายวินาที
เด็กหนุ่มค่อยๆละสายตาจากโจทย์เลขอันแสนปวดหัวตรงหน้า นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกฉายแววครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะทำสีหน้าราวกับกินของขม
“ให้ผมนิสัยเหมือนโออิคาวะซังเหรอครับ...ไม่เอาได้มั้ย”
“หา!พูดแบบนี้หมายความว่าไง นิสัยฉันมันเสียหายตรงไหน?” โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลง ก่อนชี้นิ้วไปที่รุ่นน้องตรงหน้าด้วยสีหน้าขัดใจสุดๆ
เห็นแบบนั้นคาเงยามะจึงกระพริบตาปริบ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“มันแย่มากเลยล่ะครับ”
ทั้งคำพูดและสีหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้คนถูกหาว่า “นิสัยแย่” คิ้วกระตุก เส้นเลือดปูดโปนบนใบหน้าด้วยความหงุดหงิดทันที
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเหี้ยม แล้วเอื้อมมือออกไป ดึงแก้มนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของอีกฝ่ายจนยืดออก
“เด็กแก่แดดคนนี้...กล้าดีนักนะ...!”
“อื้ออ!”
พออีกฝ่ายผละมือออก คาเงยามะก็เอื้อมมือขึ้นมากุมแก้มแดงตุ่ยของตนเอง ก่อนหรี่ตามองชายตรงหน้าด้วยสายตาฉายแววขัดใจ
“โออิคาวะซังเป็นคนเริ่มถามเรื่องนี้ก่อนแท้ๆนะครับ มาแกล้งกันทำไมเนี่ย”
“เฮอะ ก็แค่ถามเล่นๆ โทบิโอะจังนั่นแหละตอบกวนฉันก่อนเอง”
โออิคาวะนั่งกอดอกจ้องมองรุ่นน้องตรงหน้า พลางนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าด้วยท่าทีกวนประสาทอย่างที่สุดไปด้วย
“อีกอย่าง...นี่มันไม่ใช่หนังซักหน่อย เราจะสลับนิสัยกันได้ยังไงเล่า เอ้า ทำโจทย์ข้อต่อไปเร็วๆเข้า”
เขาพูดพลางจิ้มดินสอลงที่หนังสือของอีกฝ่ายรัวๆ เห็นแบบนั้นคาเงยามะก็ทำหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ยอมก้มลงทำโจทย์ต่อตามที่ชายตรงหน้าบอกอยู่ดี
ใช่...นี่มันไม่ใช่หนังโรง ไม่ซีรี่ย์เกาหลี และไม่ใช่การ์ตูนแฟนตาซีอะไรที่ไหน
ไม่มีทางที่พวกเขาจะสลับนิสัยหรือสลับร่างกันได้จริงๆอยู่แล้ว
คิดว่านะ....
เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดขึ้นช้าๆ...ภาพแรกที่เห็นคือเงาร่างของใครคนหนึ่งที่คุ้นเคย ทำลังยืนอยู่ข้างเตียงแล้วก้มลงมองมาที่เขา
เรือนผมสีดำอ่อนนุ่ม...ใบหน้ากลมมน...ร่างบางสูงโปร่ง....
อา....ใช่...เมื่อคืนนี้เขามาติวหนังสือให้เด็กคนนั้นเพื่อเตรียมสอบนี่นะ...คงจะเผลอหลับถึงเช้าล่ะมั้ง
นอกจากนั้นแล้วเด็กคนนั้นยังยืนเท้าสะเอว นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกคู่สวยฉายแววรำคาญ ใบหน้าอ่อนเยาว์ฉายแววหงุดหงิดกำลังก้มลงมองมาทางนี้
เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ...
มันต้องเป็นนัยน์ตากลมโตฉายแววซื่อตรงกับใบหน้าอ่อนเยาว์ฉายแววชื่นชมที่กำลังก้มลงมองทางนี้ไม่ใช่เหรอ!
“นี่จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไรกันครับ โออิคาวะซัง”
ระหว่างที่เขากำลังกระพริบตางุนงงอยู่นั้น เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นพลางส่งเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ
นัยน์ตาสีน้ำเงินที่ทอดมองมาพลันฉายแววรำคาญยิ่งขึ้นไปอีก ราวกับหากยืนอยู่ตรงนี้อีกสักวินาทีเดียวเจ้าตัวจะหมดความอดทนอย่างนั้น
“ติวให้ผมได้ไม่ทนไรก็เผลอหลับแล้ว ไม่ได้เรื่องจริงๆเลย! นี่คุณเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวไปได้ยังไงหา?!”
“ทะ...โทบิโอะ...”
โออิคาวะเอ่ยด้วยน้ำเสียตะกุกตะกัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนเท้าสะเอวตรงหน้าด้วยงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
เด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าเป็นรุ่นน้องใสๆซึ่งพร้อมยอมทำตามเขาทุกคำพูด บัดนี้ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนกระชากผ้าห่มที่คลุมร่างของเขาอยู่ออกอย่างแรง
“ยังจะนั่งอยู่อีกเหรอครับ ลุกขึ้นมาได้แล้วน่า!”
“เดี๋ยวสิ โทบิโอะ...”
ทั้งที่ภายในใจรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะลุกขึ้นไปดึงแก้มอีกฝ่ายแก้แค้นแรงๆ ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปกลับดูตัดพ้อ ประโยคที่พูดออกไปก็เป็นประโยคขอร้องไม่ใช่ประโยคคำสั่งอย่างที่เคย แถมยังยอมลุกจากเตียงตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดีอีกด้วย
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย!
“อย่าทำกับฉันรุนแรงแบบนี้สิ...มันไม่ดีเลยนะ”
พอคำพูดนี้หลุดลอดผ่านริมฝีปากโออิคาวะก็นิ่งชะงักไป ก่อนเอื้อมมือขึ้นมาปิดปากตนเอง
ให้ตาย...ทำไมน้ำเสียงของเขาถึงได้ดูราวกับลูกหมาเชื่องแบบนี้ล่ะ!
“เห...พูดอะไรน่ะครับ”
คาเงยามะหัวเราะเบาๆในลำคอพลางกระตุกยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกฉายแววราวกับผู้มีชัย ก่อนเอื้อมมือเข้ามาดึงแก้มของเขาทั้งสองข้างอย่างแรง
“คุณชอบให้ผมรุนแรงด้วยแบบนี้ตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอครับ...โออิคาวะซังที่น่ารักของผม”
โออิคาวะพยายามรั้งมือที่ดึงแก้มของตนเองออก นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
นี่มันบ้าอะไรกัน!
“เอาล่ะ...รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปข้างนอกกันได้แล้วครับ”
คาเงยามะปล่อยมือออกแล้วระบายยิ้มละไม ก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
โออิคาวะจ้องมองบานประตูกระแทกปิดลง แล้วเอื้อมมือขึ้นมากุมแก้มแดงตุ่ยของตนเองไว้
ทำไม...เด็กคนนั้นถึงมีนิสัยกวนประสาทเหมือนเขาไม่มีผิด...
แล้วทำไม...เขาถึงดูเชื่อฟังอีกฝ่ายมากขนาดนั้น...
“ถ้าเราสลับนิสัยกัน...นายว่ามันจะเป็นยังไง โทบิโอะจัง?”
คำพูดในอดีตของตนเองพลันดังก้องเข้ามาในมโนคิดอีกครั้ง...และนั่นก็ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ ร่างกายแข็งทื่อไปทั้งร่าง
ไม่...นี่ต้องไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน...
โลกใบนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ!
หลังจากนั้นเขาก็ถูกแกล้งต่างๆนานาตลอดช่วงเช้า
ทั้งแย่งอาหารเช้าในจาน ใช้ให้เขาเก็บล้างจานให้ กระทั่งจ้องมองเขาตอนเปลี่ยนเสื้อด้วยสายตาฉายแววเจ้าเล่ห์แปลกๆจนรู้สึกกระอักกระอ่วนจนทำอะไรไม่ถูกไปหมด
โออิคาวะเหลือบมองเด็กหนุ่มที่เดินฮัมเพลงอยู่เคียงข้าง ด้วยสายตาราวกับยังไม่เข้าใจในชะตาชีวิต
นี่พระเจ้าคิดจะกลั่นแกล้งเขาใช่ไหม?
“วันนี้ผมมีสอบเลยอ่านหนังสือจนหมดแรง เพราะงั้นรบกวนถือกระเป่าให้ด้วยนะครับ โออิคาวะซัง” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางหันมายิ้มละไม น้ำเสียงฉายแววรื่นเริงราวกับกำลังเล่นสนุกอยู่เสมอ
“......”
โออิคาวะขมวดคิ้วน้อยๆแต่ก็นิ่งเงียบไป ก่อนยอมถือกระเป๋าและเดินตามร่างเล็กกว่าตรงหน้าไปอย่างว่าง่าย
ถึงจะบอกว่า “รบกวนด้วยนะครับ” แต่สำหรับเขาแล้วนั่นเหมือนเป็นคำสั่งเสียมากกว่า
ราวกับรอยยิ้มและน้ำเสียงของอีกฝ่ายมีพลังดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เขาต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก...
นี่เขาถูกเวทย์มนต์อะไรสะกดอยู่หรือเปล่า?
“กรี๊ดดด คาเยามะคุง!!!”
พอพวกเขาเดินมาจนถึงทางเข้าโรงเรียนคาราสึโนะ เด็กสาวกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 คนก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมรอบพวกเขาทันที
บอกว่า “พวกเขา” คงไม่ถูกเท่าไร....ต้องบอกว่าวิ่งกรูเข้ามาล้อมรอบ “คาเงยามะ” คนเดียวจะถูกต้องมากกว่า
“วันนี้ก็เท่อีกแล้วนะ คาเงยามะคุงเนี่ย” เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทีขวยเขิน
“ฉันทำข้าวกล่องมาให้คุณด้วยค่ะ...รุ่นพี่คาเงยามะ” ส่วนอีกคนยื่นข้าวกล่องที่ห่อด้วยผ้าสีชมพูไปให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“ขะ...ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ?!” เด็กสาวตัวเล็กอีกคนรีบหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายอีกฝ่ายที่หันมายิ้มแล้วชูสองนิ้ว
โออิคาวะจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน
เดี๋ยวนะ...นี่พวกเธอกรี๊ดโทบิโอะอยู่จริงเหรอ?
“พวกเธออุตส่าห์ทำมาให้ฉันเหรอ...ขอบคุณมากเลยนะ”
คาเงยามะเอ่ยพลางยิ้มละไม นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกที่จ้องมองเด็กสาวเหล่านั้นเปี่ยมเสน่ห์จนพวกเธอหน้าแดงก่ำกันไปหมด
โทบิโอะ!...นั่นมันประโยคของฉันไม่ใช่รึไง?!
โออิคาวะคิดในใจพลางถลึงตามองภาพฉากตรงหน้าราวกับไม่เชื่อสายตาคนเอง แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นกลับไม่มีสาวๆที่ไหนมารุมล้อมเขาเลยสักคนอยู่ดี
“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันต้องไปสอบก่อน ไว้ค่อยเจอกัน”
หลังจากกรี๊ดกร๊าดกันจนพอสมควร คาเงยามะก็บอกลา โบกไม้โบกมือไปให้เด็กสาวเหล่านั้นยิ้มๆ แล้วเดินสวนเข้าโรงเรียนไป
โออิคาวะเหลือบกลับไปมองเด็กสาวเหล่านั้นที่บัดนี้ทำท่าเคลิ้มฝันราวกับลมจะจับ แล้วความรู้สึกหงุดหงิดก็ปั่นป่วนในอกขึ้นมาทันที
หงุดหงิด...รู้สึกโมโหจนเผลอกำมือแน่น....
นั่นเป็นเพราะว่า....
“ทำไม...นายถึงต้องไปให้ความหวังผู้หญิงพวกนั้นด้วย โทบิโอะ”
พอเขาพูดประโยคนี้ออกไปด้วยน้ำเสียงแฝงความหงุดหงิด ร่างเล็กกว่าตรงหน้าก็ชะงักฝีเท้า
คาเงยามะหันกลับมาหาเขาแล้วเลิ่กคิ้วถาม
“แล้วมันเสียหายตรงไหนล่ะครับ”
“มันจะไม่เสียหายได้ยังไงล่ะ!...นายไม่ได้ชอบเด็กพวกนั้นซักหน่อย แต่กลับไปหว่านเสน่ห์ใส่แบบนี้” โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลง พลางกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ไม่คิดว่าจะทำให้เด็กพวกนั้นเสียใจเลยรึไง?”
ได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีน้ำเงินก็จ้องมองมาที่เขาแน่นิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง...ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มละไมออกมาอีกครั้ง
คาเงยามะเดินตรงเข้ามาประชิด ทำให้เขาต้องร่นถอยไป จนหลังแนบกับต้นไม้ใหญ่ ไร้ทางถอยหนีอีกต่อไป
ใบหน้าอ่อนเยาว์ระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับล่วงรู้ทุกอย่างในใจ ก่อนจะโน้มเข้ามาใกล้จนจมูกของพวกเขาห่างกันไม่ถึงคืบ
“กลัวเด็กสาวพวกนั้นเสียใจ...หรือจริงๆแล้วคุณเองที่เสียใจกันแน่ครับ...โออิคาวะซัง”
“...ม...หมายความว่ายังไง...”
โออิคาวะเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายทำให้หัวใจพลันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะขึ้นมา
ได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มตรงหน้าก็กระตุกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยสายตาฉายแววนึกสนุก
“ก็หมายความว่า...คุณ หึง ยังไงล่ะครับ”
“ม..ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย ใครว่าฉันหึงนาย...”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางเบือนสายตาไปอีกทาง ใบหน้าพลันแดงเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
คาเงยามะหัวเราะหึในลำคอ ก่อนประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมาสบ แล้วโน้มเข้าไป จูบปลายจมูกของชายตรงหน้าเบาๆ
“ไม่เห็นต้องหึงเลยนี่ครับ” เด็กหนุ่มถอนริมฝีปากออกมา แล้วเคลื่อนเข้าไปกระซิบข้างหูของอีกฝ่าย
“ถึงจะยังไง...ผมก็มีแค่คุณคนเดียวนี่นา...”
เสียงกระซิบที่ได้ยินเคลียใบหูทำให้ใบหน้าของเขาร้อนวาบไปถึงลำคอ
นัยน์ตาสีน้ำเงินลุ่มลึกและเปี่ยมเสน่ห์ที่ทอดมองเข้ามาทำให้ภายในอกด้านซ้ายสั่นระรัวไม่เป็นท่า
ให้ตายสิ...!!
เขาร้องประท้วงในใจเมื่อริมฝีปากอุ่นๆตรงหน้าเคลื่อนจากใบหูเข้ามาทาบทับที่มุมปากของตนเอง
นี่มันไม่ถูกต้อง...ไม่ถูกต้องแล้ว โทบิโอะ!!
โออิคาวะค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ร่างกายพลันแข็งทื่อและเสียววาบ รอรับสัมผัสอ่อนหวานของอีกฝ่าย
เสียงหัวใจเต้นรัวแรงก้องกังวานในโสตประสาท
ช่วยบอกหน่อยเถอะว่านี่เป็นแค่ความฝัน...
มันเป็นแค่ความฝันใช่มั้ย?!
โออิคาวะซัง...
โออิคาวะซัง....
“โออิคาวะซัง!!!”
เสียงตะโกนเรียกอันคุ้นเคยทำให้นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขึ้นทันที
พลันเห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินกลมโตฉายแววเป็นห่วงกำลังจับจ้องมาที่เขาในระยะประชิด
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ...ร้องเสียงดังมากเลย...”
“โทบิโอะจัง....”
โออิคาวะพึมพำพลางกระพริบตาปริบๆเรียกสติของตนเอง พอกวาดสายตามองไปโดยรอบก็พบว่า ตนเองกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะตัวเดิมที่มีหนังสือเรียนวางเรียงราย
โต๊ะเรียนในห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย...
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย...” ชายหนุ่มรู้สึกปวดศีรษะจี๊ดขึ้นมาจนต้องกุมขมับของตนเอง
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ ก็พอพูดเรื่องสลับนิสัยอะไรนั่นไปสักพัก โออิคาวะซังก็เงียบไป มองอีกทีก็ผลอยหลับไปแล้ว” คาเงยามะเอ่ยพลางขมวดคิ้วหน่อยๆ สีหน้ายังคงเจือความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
“...แล้วจู่ๆก็ตะโกนละเมอโวยวายออกมาดังลั่น ผมตกใจหมดเลยนะครับ”
“....งั้นเหรอ...”
โออิคาวะตอบรับก่อนเงยหน้าขึ้นสบกับอีกฝ่าย สมองที่ยังคงมึนงงรีบประมวลสถานการณ์และความทรงจำทั้งหมดทันที...
นัยน์ตากลมโตที่ทอดมองมายังคงฉายแววใสซื่อ ดวงหน้ากลมมนน่ารักไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมอันใด...แถมยังกระพริบตาปริบๆมองเขาด้วยความเป็นห่วงอีกด้วย ไม่มีสีหน้าขี้เล่นแบบที่เห็นเมื่อครู่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
สรุปว่า....เขาฝันไปจริงๆสินะ...
“เฮ้อ....ค่อยยังชั่ว...” ชายหนุ่มถอนใจพลางพิงพนักเก้าอี้ด้วยความโล่งอก
เห็นแบบนั้นคาเงยามะจึงเอียงคอเล็กน้อย ยังคงจ้องสีหน้าของอีกฝ่ายเขม็ง
“ฝันร้ายเหรอครับ?”
“อืม...ร้ายสุดๆเลยล่ะ”
ได้ยินแบบนั้นคาเงยามะก็ถอนใจหน่อยๆ ก่อนลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปหาชายตรงหน้า
“ไม่เป็นอะไรแน่นะครั----อ๊ะ!”
ทว่า...พอเดินเข้าไปใกล้เท่านั้น มือใหญ่ของอีกฝ่ายก็รวบร่างเขาเข้าไปกอดไว้แน่น
คาเงยามะนิ่งชะงักไป นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“โออิคาวะซัง....?”
“...ฝันไปจริงๆด้วยสินะ...”
ชายหนุ่มพึมพำพลางซุกหน้าลงกับไหล่บางตรงหน้า แล้วกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก
นัยน์ตาสีน้ำเงินยังคงฉายแววงุนงง แต่ไม่นานเจ้าตัวก็ถอนใจ แล้วเอื้อมมือขึ้นมากอดตอบชายตรงหน้าเอาไว้หลวมๆ
โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย พลางคิดถึงฝันประหลาดที่เพิ่งประสบมาเมื่อครู่
เขานึกว่าจะไม่ได้เห็นนัยน์ตาใสซื่อดวงนี้อีกแล้ว...นึกว่าจะไม่ได้กอดอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโล่งอกที่ทุกอย่างนั้นเป็นแค่ฝัน
ความฝันที่ฉันต้องเป็นฝ่ายไล่ตามโทบิโอะจังน่ะ...ไม่เอาหรอกนะ...
เพราะว่านายตอนที่เฝ้ามอง...ที่ไล่ตามฉันมาจากข้างหลังนั้น...
เป็นโทบิโอะจังที่น่ารักที่สุดนี่นา....
“เอ๋...ฝันว่าเราสลับนิสัยกันเหรอครับ?”
คาเงยามะซึ่งนั่งอยู่บนเตียงโดยมีใครอีกคนเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังเอ่ยถามขึ้นพลางขมวดคิ้วน้อยๆ
“ใช่...โทบิโอะจังในฝันน่ะร้ายชะมัด” โออิคาวะบ่นอุบอิบ พลางซุกหน้าลงกับซอกคอขาวเนียนตรงหน้า
“ทั้งขี้แกล้ง...ปากเสีย...ปั่นหัวฉันจนมึนไปหมด นอกจากนั้นยังหว่านเสน่ห์ใส่สาวๆแกล้งให้หึงอีก...จริงสิ...แถมยังกล้ารุกฉันด้วย”
พุดไปเขาก็รู้สึกตงิดในใจขึ้นมาเหมือนกัน เพราะนิสัยที่อีกฝ่ายเป็นในความฝันนั้นเหมือนกับนิสัยของตนเองไม่มีผิดเพี้ยน
นี่มันเหมือนเราด่าตัวเองอยู่เลยนี่หว่า...
“เอ๋...ผมรุกโออิคาวะซังด้วยเหรอครับ” นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกทอประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะหันมาหาด้วยสีหน้าสนอกสนใจเป็นพิเศษ
“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีเหมือนกันนะครับ ลองมาสลับกันดูจริงๆกันเถอะ”
“บ้าเรอะ! พูดอะไรของนายโทบิโอะจัง! ห้ามคิด..ห้ามคิด หยุดคิดเดี๋ยวนี้!”
พอได้ยินที่อีกฝ่ายเสนอโออิคาวะก็โวยวายขึ้นมาทันที พลางดึงแก้มนุ่มนิ่มสองข้างตรงหน้า
แค่คิดถึงสายตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มราวกับเป็นผู้ชนะทุกเรื่องของอีกฝ่ายที่ได้เห็นในฝัน....เขาก็เสียวสันหลังวาบแล้ว!
“แค่ล้อเล่นเองน่ะครับ...ถึงจะอยากแต่นิสัยแบบโออิคาวะซังน่ะเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีใครเลียนแบบได้หรอก” คาเงยามะลูบแก้มตนเองป้อยๆแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ ว่านิสัยของอีกฝ่ายนั้นแย่เป็นเอกลักษณ์อย่างที่สุดจริงๆ
“นี่หลอกด่าฉันใช่ไหม...เด็กอวดดีคนนี้”โออิคาวะหรี่นัยน์ตาลงแล้วทำทาจะหยิกแก้มอีกฝ่ายต่อ แต่คาเงยามะกลับรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“แล้วก็....”
“แล้วก็อะไร?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางชะงักมือของตนเองไว้ก่อน
“ก็แค่คิดว่า...ถ้าทำให้โออิคาวะซังหึงได้...ก็คงดีน่ะครับ”เด็กหนุ่มพึมพำพลางหลุบสายตาลงมองพื้น แก้มเนียนแดงก่ำยิ่งกว่าเก่า
โออิคาวะนิ่งเงียบไปยาวนาน...แล้วภาพตอนเห็นอีกฝ่ายถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มสาวๆก็ผุดวาบเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
ในตอนนั้นความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ในอก ความรู้สึกหงุดหงิดที่ถาโถมเข้ามานั้น ไม่ใช่เป็นเพราะขัดใจเรื่องที่นิสัยของพวกเขาสลับกันเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใครเข้ามารุมล้อม...ไม่อยากให้ใครมองอีกฝ่ายแบบนั้นต่างหาก
เป็นความรู้สึกบีบรัดในอก รู้สึกร้อนราวกับมีเพลิงลุกโชนขึ้นมาจนหัวใจปวดร้าว ปั่นป่วนขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว
เป็นความรู้สึกไม่มั่นคงและหวาดกลัว...
กลัว...ว่าอาจจะต้องสูญเสียอีกฝ่ายไป
คิดแบบนั้นนัยน์ตาคู่คมก็หรี่ลงเล็กน้อย ก่อนพึมพำออกมาเบาๆ
“โทบิโอะ...”
“....ครับ?”
“ฉันมันนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยรึเปล่า....” โออิคาวะเอ่ยพลางยิ้มหยันให้ตนเอง
ได้ยินเช่นนั้นคาเงยามะก็รีบหันมาหาอีกฝ่ายทันที
นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววรู้สึกผิดจางๆที่ได้เห็นทำให้คาเงยามะนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนหมุนตัวหันมาหา เอื้อมมือออกไปโอบรอบคอของอีกฝ่ายแล้วกอดเอาไว้แน่น
“...โทบิโอะ?” นัยน์ตาคู่คมเบิกกว้างเล็กน้อยกับการกระทำที่ไม่คาดคิดของร่างเล็กกว่าตรงหน้า
คาเงยามะซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย แล้วพึมพำเสียงอู้อี้ออกมา
“แต่ผมชอบโออิคาวะซังที่เป็นแบบนี้ที่สุดนี่ครับ...”
ได้ยินเช่นนั้นโออิคาวะก็นิ่งเงียบไป...นัยนตาสีน้ำตาลสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะทอแสงอ่อนโยนลง
เขาโอบกอดร่างเล็กกว่าตรงหน้าเอาไว้แน่น ลูบเรือนผมสีดำอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว...ถามไปงั้นแหละ ถึงยังไงฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยนหรอกนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงรื่นเริงพลางกระตุกยิ้ม ทำให้คาเงยามะขมวดคิ้วขัดใจทันที
“...งั้นผมขอให้วันนึงเราสลับนิสัยกันจริงๆดีกว่า”
“เด็กอวดดีคนนี้นี่!” ได้ยินเช่นนั้นเขาก็รัดอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก
“โอ๊ย...จะเจ็บนะครับ...หายใจไม่ออก” คาเงยามะพึมพำพลางดิ้นหยุกหยิกไปมา เห็นแบบนั้นโออิคาวะจึงอดหัวเราะเบาออกมาไม่ได้
ใช่แล้ว...ฉันไม่ยอมสลับนิสัยกับนายหรอกนะ โทบิโอะ
“...ปะ...ปล่อยได้แล้วครับ!!”
“เรื่องอะไร...แบนตายไปซะเถอะ เด็กบ้า!!”
เพราะคนที่แกล้งนายได้...คนที่ปั่นหัวนายได้น่ะ...
“โออิคาวะซังนิสัยไม่ดีที่สุดเลยครับ!”
มีแค่ฉันคนเดียวนี่นา...
โออิคาวะคลายอ้อมกอดออก ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มละไม ก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นสีเรื่อของอีกฝ่าย ก่อนถามออกมาว่า
“นิสัยไม่ดีแล้วชอบมั้ยล่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นคาเงยามะก็ทำหน้ามุ่ยหน่อยๆ...ก่อนซบหน้าลงกับไหล่กว้างตรงหน้า แล้วพึมพำเสียงอู้อี้
“......”
นัยน์ตาสีน้ำตาลพลันทอแสงอ่อนโยนลง ก่อนที่เจ้าตัวจะระบายยิ้มน้อยๆออกมา
“ตอบได้ดีนี่นา....”
เช่นเดียวกับนาย...ที่จ้องมองฉันได้คนเดียวเท่านั้นไงล่ะ...
เข้าใจไหม...โทบิโอะจังที่น่ารักของฉัน?
END
ความคิดเห็น