ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Evangelion : Living Without You (Kaworu x Shinji) END

    ลำดับตอนที่ #3 : Living Without You :Chapter 3 - I was born to meet you

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 56




                   เสียงบรรเลงเพลงดังก้องกังวานไปทั่วห้องชมรมดนตรี ทั้งสมาชิกชมรมและคนที่เข้ามาเยี่ยมชมต่างยืนมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าแกรนเปียโนด้วยความตกตะลึง นิ้วเรียวยาวไล่เรียงไปตามคีย์ ไหลลื่นราวกับเต้นระบำ เสียงเพลงอันไพเราะไร้ที่ติ ประกอบกับท่วงท่าสง่างามของเจ้าตัว ทำให้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่คาโอรุโดยไม่อาจละสายตาไปได้

     

                    ชินจิมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าชื่นชม...

     

                    เสียงเพลงที่ได้ยินเมื่อวานนี้ นางิสะคุงเป็นคนเล่นจริงๆด้วย

                   

                    ถึงจะไม่ได้พิสูจน์ด้วยตาตนเอง แต่ลักษณะการเล่นที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังไร้กรอบและขีดจำกัดในจังหวะและท่วงทำนองนั้นล้วนเป็นเอกลักษณ์ในการเล่นของชายตรงหน้า จนหากได้ยินเพียงครั้งเดียว ก็จะจดจำได้แม่นอย่างแน่นอน

     

                    เมื่อคาโอรุเล่นเพลงจบ ทุกคนในห้องก็ต่างปรบมือให้อย่างพร้อมเพรียง กระทั่งโทจิที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาหมั่นไส้ก็ยังอดทึ่งจนปรบมือชมเชยไมได้

     

                    หลังจากผ่านการแสดงของคาโอรุไปไม่นาน สมาชิกทุกคนต่างแยกย้ายทยอยกลับบ้านกันไป จนเหลือเพียงแค่ชินจิและคาโอรุสองคนเท่านั้น

     

                    “นางิสะคุง เล่นเปียโนเก่งมากๆเลยเนอะ” ชินจิเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล่นเปียโน

     

                    คาโอรุเงยหน้าขึ้นมาสบ พลางยิ้ม “ฉันแค่เล่นมามากกว่าคนทั่วไปก็เท่านั้นเอง”

     

                    “ไม่หรอก ขนาดฉันพยายามซ้อมตั้งนานก็ยังเล่นไม่ได้ครึ่งของนายเลยนะ” ชินจิถอนใจเมื่อรู้สึกถึงความไร้พรสวรรค์ของตนเอง แต่พอนึกถึงเสียงเพลงที่อีกฝ่ายเล่นเมื่อครู่ก็อดพูดด้วยความชื่นชมไม่ได้

     

                    “แต่ว่าเมื่อกี้มันสุดยอดเลยนะ ฉันน่ะ ชอบเพลงที่นางิสะคุงเล่นมากที่สุดเลย”

     

                    คาโอรุมองใบหน้าฉายแววชื่นชมตรงหน้าพลางหวนคิดถึงภาพในอดีต ริมฝีปากคู่คมระบายยิ้มอ่อนโยน ก่อนเอื้อมออกไปจับมือเล็กของชินจิเอาไว้

     

                    “มาสิ” เขายิ้มสดใสให้ชินจิ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใจของร่างบางเต้นรัวเร็ว “มานั่งนี่สิ แล้วเล่นให้ฉันฟังบ้าง”

     

                    “อะ..เอ่อ...ตะ..แต่ว่า” ใบหน้าอ่อนเยาว์แดงร้อนไปหมด ชินจิรีบหลบสายตาไปอีกทาง การจ้องมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้ภายในใจว้าวุ่นจนทำอะไรไม่ถูก

     

                    “มาเถอะนะ” พูดจบก็ฉุดมือเขาให้ลงไปนั่งข้างๆ แถมยังไม่ยอมปล่อยมืออีกต่างหาก

     

                    “เล่นคู่กันนะ” คาโอรุยิ้มพลางประคองมือของชินจิมาวางบนแป้นคีย์ ชินจิเหลือบไปมองอีกฝ่ายแว่บหนึ่ง ก่อนถอนหายใจยอมแพ้ แล้วลงมือเล่นเพลงง่ายๆที่เขาพอเล่นได้โดยไม่ต้องมองโน้ต

     

                    บทเพลงที่ชินจิเล่นนั้นเป็นบทเพลงระดับพื้นฐานที่คนเรียนเปียโนเบื้องต้นควรจะเล่นได้ทุกคนเท่านั้น ทว่าท่วงท่า อารมณ์ความรู้สึก รวมถึงเสียงดนตรีที่ออกมานั้นกลับทำให้คาโอรุแปลกใจ

     

                    เป็นบทเพลงธรรมดาเพลงหนึ่ง แต่หากผู้เล่นใส่ใจลงไประหว่างไล่เรียงนิ้วลงบนเปียโนแล้วล่ะก็ เสียงดนตรีที่ออกมาก็อาจไพเราะจนฟังไม่รู้เบื่อได้

     

                    “ชินจิคุง เล่นเก่งเหมือนกันนี่นา” คาโอรุเอ่ยอย่างประหลาดใจ แม้อีกฝ่ายจะจำเรื่องราวไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่ได้เล่นคู่กันแล้ว คราวนี้ชินจิเล่นได้ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากกว่าเยอะทีเดียว

     

                    “ไม่หรอก” ชินจิยิ้มเขินๆ “ก็แค่ฝึกซ้ำไปซ้ำมา ถ้าทำแบบนั้นแล้วก็จะเก่งขึ้นเองแหละ”

     

                    เนตรสีโลหิตเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของร่างบางตรงหน้า “ทำซ้ำ..งั้นหรอ”

     

                    “ใช่แล้วล่ะ ฉันเคยได้ยินมาว่า ถ้าอยากจะเล่นให้ดีขึ้นล่ะก็ ควรจะฝึกซ้ำไปซ้ำมา” ชินจิยิ้มบาง นัยน์ตาสีดำเหลือบมองแป้นคีย์ตรงหน้า ก่อนกดนิ้วลงไปบนคีย์จนบังเกิดเสียงดังกังวานไปทั่วห้อง

     

                    “ไม่มีข้อกำหนดอะไร แค่เล่นอย่างเป็นอิสระ ฝึกจนรู้สึกพอใจกับเสียงที่ออกมาเท่านั้นก็พอ”

     

                    “ต้องทำยังไงเสียงถึงจะออกมาดีกว่านี้หรอ?”

                    “ก็มีแต่ต้องฝึกซ้ำไปซ้ำมา เล่นจนกว่าจะพอใจในเสียงเท่านั้นล่ะนะ”

                   

                    ภาพความทรงจำในอดีตฉายชัดในความคิด ทันใดนั้นคาโอรุก็จับมือทั้งสองของอีกฝ่ายเอาไว้

     

                    “นางิสะคุง?” ใบหน้าอ่อนเยาว์ฉายแววงุนงง

     

                    คาโอรุออกกุมมือบอบบางเอาไว้แน่นขึ้น นัยน์เนตรสีโลหิตจับจ้องไปยังสายตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า

     

                    “ที่บอกว่าเล่นซ้ำ นายได้ยินมาจากไหนหรอ?”

     

                    “เอ๊ะ...” ชินจิเอียงคอครุ่นคิด คิ้วเรียวขมวดมุ่น “อืมม...เหมือนจะเคยได้ยินจากใครที่ไหนเมื่อนานมาแล้ว...แต่...นึกไม่ออกเลยแฮะ”

     

                    “จำอะไรไม่ได้เลยจริงๆหรอ” คาโอรุเอ่ยย้ำด้วยท่าทีคาดคั้น “นายจำฉันไม่ได้เลยจริงๆหรอ ชินจิคุง”

     

                    นัยน์ตาสีดำสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาสีแดงราวกับโลหิตตรงหน้าระคนไปด้วยความวาดหวังและเศร้าหมองจนทำให้ในใจของเขาเจ็บปวดขึ้นมา จำได้งั้นหรอ...หมายความว่ายังไง...หมายความว่าเขาเคยเจอชายตรงหน้ามาก่อน...อย่างนั้นหรอ?

     

                    “ฉัน...” ชินจิพยายามนึกเรื่องราวต่างๆด้วยความสับสน ภาพห้วงความฝันอันโหดร้ายฉายวาบเข้ามาอีกครั้ง ทุกอย่างในหัวสับสนปนเปจนยุ่งเหยิงไปหมด

     

                    เมื่อเห็นท่าทีสับสนของอีกฝ่าย เนตรสีโลหิตก็ทอแสงอ่อนลง คาโอรุถอนหายใจยาว ก่อนปล่อยมือบางให้เป็นอิสระ

     

                    “ขอโทษนะที่ทำอะไรเสียมารยาท” เขาเอื้อมมือออกไปลูบเรือนผมสีดำสนิทของชินจิเบาๆ “ถึงจะนึกอะไรไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก แค่ฉันได้อยู่กับชินจิคุงแบบนี้ก็เพียงพอแล้วล่ะนะ”

     

                    “....” ชินจินิ่งเงียบเมื่อเห็นท่าทีเศร้าและผิดหวังของชายตรงหน้า บรรยากาศในห้องดนตรีพลันหม่นหมองลงจนเด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดไปหมด เขาพยายามคิดหาวิธีทำให้อารมณ์ของอีกฝ่ายดีขึ้น และแล้วก็นึกอะไรบางอย่างได้

     

                    “จริงสิ!” ชินจิทำท่าดีใจเมื่อนึกวิธีแก้ปัญหาออก “เราออกไปดูซากุระด้วยกันเถอะนะ!”

     

                    “ซากุระ?” คาโอรุเหลือบมามอง “แต่ว่า ตอนนี้มันน่าจะร่วงเกือบหมดแล้วไม่ใช่หรอ”

     

                    “นางิสะคุงนี่ไม่รู้อะไรเลยน้า” ชินจิหัวเราะเบาๆพลางยิ้มรื่นเริง “ตอนที่กำลังร่วงนี้แหละ ถ้าได้มองในที่เด็ดๆล่ะก็ จะสวยยิ่งกว่าตอนมันบานทั้งต้นเสียอีกนะ”

     

                    “ที่เด็ดๆ?” ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความสนใจทันที “ที่ไหนล่ะ?”

     

                    ใบหน้าอ่อนเยาว์ระบายยิ้มสดใส แต่ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนเอื้อมออกไปจูงมือของอีกฝ่ายเอาไว้

     

                    “ตามมานี่สิ” แล้วทั้งสองก็เดินออกจากห้องชมรมดนตรีไปด้วยกัน

     

                   

                    “ที่นี่มัน...”  

     

                    คาโอรุจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย โดยมีร่างเล็กกว่ายืนยิ้มกริ่มอยู่เบื้องหลัง

     

                    “สวยใช่มั้ยล่ะ” ชินจิยิ้ม พลางเดินเข้ามายืนเคียงคู่

     

                    พวกเขาไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล แต่เป็นเนินเขาแห่งหนึ่งซึ่งถัดจากรั้วมหาวิทยาลัยทางด้านหลังไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่เนื่องจากมีรั้วเหล็กสูงใหญ่กั้นระหว่างเขตมหาวิทยาลัยกับเนินเขาแห่งนี้อยู่ แถมยังมีป้ายห้ามเข้าติดเอาไว้อีก จึงไม่ค่อยมีใครกล้าพอจะเข้ามาที่นี่เสียเท่าไร คงมีแต่ร่างบางตรงหน้าเท่านั้นแหละมั้ง ที่กล้าปีนขึ้นมาได้

     

                    คาโอรุเหลือบกลับไปมองรั้วเหล็กสูงเบื้องหลังที่มีป้ายห้ามเข้าห้อยต่องแต่งอยู่ ก่อนหัวเราะเบา “ชินจิคุงน่ะ ปีนขึ้นมาตรงนี้ได้ยังไงนะ ดูผอมขนาดนั้นแท้ๆ”

     

                    หากเป็นอิคาริ ชินจิที่เขาเคยรู้จักล่ะก็ จะต้องไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แน่นอน อีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากจริงๆ

     

                    แต่ถึงจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน...เขาก็ยัง... 

     

                    “นี่ อย่าดูถูกสิ เห็นอย่างนี้ก็ออกกำลังกายเป็นประจำนะ” ว่างพลางทำหน้ามุ่ย ก่อนพยายามโชว์กล้ามลีบๆให้ดู ซึ่งเป็นภาพที่คาโอรุอดเอ็นดูไม่ได้

     

                    “นั่นสินะ...ชินจิคุงแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ” ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มอ่อนโยนมาให้ “แบบไหนฉันก็ชอบทั้งนั้นแหละนะ”

     

                    ชินจิรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด เขารีบก้มหน้างุดเพื่อหลบความเขินอายของตนเอง เด็กหนุ่มไม่เคยพบเจอใครที่พูดแสดงออกความรู้สึกมาตรงๆแบบชายตรงหน้ามาก่อนเลยในชีวิต พอได้ยินใจจึงเต้นรัวแรงไปหมด...นี่เขาเป็นอะไรไปนะ?

     

                    “ร...เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ดูสิ ดูซากุระสิ...ข้างล่างนั่นไง...” เขาเอ่ยเสียงอึกอัก ก่อนพยายามแสร้งเป็นสนใจวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าเพื่อกลบความว้าวุ่นในใจ

     

                    ต้นซากุระเรียงรายไปตามเนินลาดของหุบเขาเล็กๆแห่งนี้จนกลายเป็นเนินสีชมพูอ่อนงดงาม แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมา สายลมเย็นสบายโชยเอื่อย พัดพากลีบดอกซากุระให้ร่วงหล่นลงมาบนพื้นประดุจม่านฝนปรอย

     

                    คาโอรุเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต้นซากุระขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง กลีบดอกร่วงโรยจนเกือบหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงกิ่งก้านแห้งเหี่ยว เฝ้ารอฤดูร้อนที่กำลังคืบคลานเข้ามาถึง

     

                    “นั่งใต้ต้นนี้กันเถอะนะ” ชินจิพูดพลางดึงมือของคาโอรุให้ลงมานั่งด้วยกัน ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้านุ่มนิ่มที่เต็มไปด้วยกลีบดอกซากุระร่วงหล่น

     

                    คาโอรุหยิบกลีบซากุระกลีบหนึ่งขึ้นมามองดู ก่อนกำเอาไว้ในอุ้งมือ

                   

                    “ซากุระที่ร่วงหล่นลงมา มันน่าเศร้าจังเลยนะ” เขาพึมพำแผ่วเบา

     

                    ชินจิเบือนสายตามาหาอีกฝ่าย คาโอรุกำลังก้มลงมองกลีบซากุระในมือด้วยรอยยิ้มจาง

     

                    “ทั้งๆที่เคยออกดอกงดงามอยู่บนต้นแท้ๆ ทั้งๆที่อยู่กับต้นซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของตัวเองมาตลอด แต่สุดท้ายก็ต้องร่วงหล่น และเลือนหายไป...เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” เนตรสีโลหิตฉายแววเศร้าออกมา

     

                    “การต้องจากสิ่งสำคัญไป เลือนหายไปโดยไม่มีโอกาสได้เฝ้าดู มันช่างน่าเศร้าจริงๆ”

     

                    และเขา...ก็คงเป็นเหมือนกลีบดอกซากุระเหล่านี้... 

     

                    ที่ร่วงหล่น...และไม่ได้อยู่ในความทรงจำของอีกฝ่าย ไม่ว่าโลกจะย้อนกลับมากี่ครั้งก็ตาม 

     

                    ทันใดนั้น มือเรียวบางก็เอื้อมมาจับไหล่ของเขาแล้วดึงให้หันมาเผชิญหน้ากับตนเอง คาโอรุตาเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เมื่อจู่ๆใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่ายก็เคลื่อนเข้ามาใกล้

     

                    “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ” ชินจิเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อ แต่กระนั้นก็ไม่ยอมหลบสายตา “ถึงจะได้อยู่บนต้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ซากุระงดงามที่สุดไม่ใช่หรอ”

     

                    “ชินจิคุง?”

     

                    “และถึงจะร่วงหล่นลงไปแล้ว แต่ฉันก็มั่นใจ ว่ากลีบดอกจะคอยเฝ้ามองต้นซากุระได้ผลิดอกอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น...และที่สำคัญ” ใบหน้าอ่อนเยาว์ระบายยิ้ม “ฉันว่าต้นซากุระน่ะ ไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ได้ผลิดอกอันงดงามร่วมกับกลีบดอกของมันหรอกนะ”

     

                    ไม่มีวันลืม... 

     

                ไม่ว่าจะย้อนกลับมากี่ครั้ง...ก็ไม่มีวันลืมไปได้... 

     

                    “ขอโทษนะ จากที่นายพูด ดูเหมือนว่าเราจะเคยเจอกันมาก่อน แต่ฉันนึกเรื่องนางิสะคุงไม่ออกจริงๆ” ชินจิหลุบตาลง “แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น...เราก็สร้างความทรงจำและช่วงเวลาดีๆขึ้นมาใหม่ก็ได้ไม่ใช่หรอ”

     

                    “สร้างความทรงจำ..ขึ้นมาใหม่?”

     

                    “ใช่แล้ว” ชินจิแย้มยิ้มสดใส พลางเลื่อนมือขึ้นมาประคองใบหน้าของคาโอรุเอาไว้เบาๆ

     

                    “เพราะฉะนั้น นางิสะคุง อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นอีกเลยนะ”

     

                    คาโอรุนิ่งเงียบไป...เมื่อได้ยินคำพูดอันแน่วแน่มั่นใจ และได้เห็นรอยยิ้มสดใสของร่างบางตรงหน้า

     

                    ในอดีต เขามักจะเป็นคนอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายที่ไร้ซึ่งความสุข ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ตรม คอยดูแลให้กำลังใจเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในโลกแห่งไหนก็ตาม

     

                    แต่ในวันนี้...วันที่เขาเกิดมาในฐานะของลิลิน...เกิดมาในร่างกายของมนุษย์ กลับเป็นวันที่อีกฝ่ายเข้ามาให้กำลังใจเขา ยิ้มให้เขา และอยู่เคียงข้างเขาแทน...

     

                    ณ โลกอันเพียบพร้อมแห่งนี้... 

     

                    เนตรสีโลหิตอ่อนแสงลง คาโอรุระบายยิ้มบาง ไร้ซึ่งความโศกเศร้าอีกต่อไป...

     

                    จริงสินะ...ความทรงจำอันงดงามและเจ็บปวดเมื่อครั้งอดีตกาลนั้น..ทั้งเขาและอีกฝ่ายสามารถเลือกที่จะแก้ไข เรียนรู้ และสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้...

     

                    “นางิสะคุง...” ชินจิเอียงคอสงสัย  แต่ไม่นานนักเนตรกลมโตก็เบิกกว้าง เมื่อใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้

     

                    และช่องว่างระหว่างพวกเขาก็ค่อยๆเลือนหายไป....

     

                    ริมฝีปากทาบทับลงมาอย่างแผ่วเบา เป็นริมฝีปากเย็นเฉียบทว่ากลับนุ่มนวลและชวนให้ถวิลหา สัมผัสที่ได้รับอ่อนโยนและไร้ซึ่งความปรารถนาใด มีเพียงแต่ความอบอุ่นแล่นวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ และก็มากขึ้นเรื่อยๆทุกที

     

                    มันทำให้เขารู้สึกหวนคิดถึงอะไรบางอย่างที่ไกลแสนไกล...คิดถึงช่วงเวลาอันงดงามที่ยังนึกเป็นภาพไม่ออก...

     

                    คาโอรุถอนริมฝีปากออกช้าๆ เนตรสีโลหิตฉายแววอาทรมองมาที่ใบหน้าสีแดงเรื่อตรงหน้า ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง

     

                  “ฉันเกิดมาเพื่อได้พบนาย ชินจิคุง” 

     

                    ไม่ว่าจะในโลกอดีต โลกปัจจุบัน หรืออนาคต....

     

                  ฉันก็จะเกิดมาเพื่อความสุขของนายเสมอ และตลอดไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×