ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Evangelion : Living Without You (Kaworu x Shinji) END

    ลำดับตอนที่ #2 : Living Without You : Chapter 2 - Finally…We meet again

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 56


                 


                    พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า อาบย้อมท้องนภาให้กลายเป็นสีเทาอมส้ม ชินจิเดินไปตามถนนด้วยแววตาเหม่อลอย

     

                    เสียงเพลงที่ได้ยินในห้องชมรมเมื่อช่วงบ่ายนั้นยังดังก้องในโสตประสาท...ความหมายของเนื้อเพลงนั้นชวนให้รู้สึกบีบรัดในจิตใจโดยไม่รู้ว่าทำไม

     

                    หลังเลิกเรียนเขารีบเข้าชมรมทันที โดยหวังว่าจะได้พบกับนักเรียนใหม่ที่โทจิและเคนซึเกะเคยเล่าเอาไว้ ทว่านักเรียนคนนั้นกลับไม่ได้มาที่ชมรมในวันนี้

     

                    เด็กหนุ่มจึงไม่อาจรู้ได้ว่า คนที่แอบเข้ามาเล่นเปียโนในห้องชมรมนั้นคือเด็กใหม่คนนั้นหรือเปล่า

     

                    เขาอยากรู้...อยากรู้มากเหลือเกิน...ว่าใครกันที่เป็นคนบรรเลงบทเพลงนั้น...

     

                    ร่างบางหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาแล้วกดโทรหาเพื่อนสนิท

     

                    “ฮัลโหล โทจิหรอ”

     

                    “ชินจิ เลิกช้าจริงเฟ้ย!! ฉันกับเคนซึเกะทนไม่ไหวเลยออกไปกินข้าวก่อนแล้วเนี่ย” น้ำเสียงของโทจิแสดงชัดถึงความหงุดหงิด

     

                    “ขอโทษทีนะ พอดีมัวแต่ยุ่ง..” ชินจิยิ้มจาง

     

                    “ว่าไง เห็นไอ้เด็กใหม่นั่นแล้วใช่ไหมล่ะ แกว่ามันขี้เก๊กมั้ย” โทจิเอ่ยพลางหัวเราะ

     

                    รอยยิ้มเลือนหายไปจากในหน้าอ่อนเยาว์ ชินจิขมวดคิวเล็กน้อย “ไม่...ฉันไม่ได้เจอเขาหรอก...วันนี้เขาไม่ได้มาชมรม”

     

                    “ถ้าอยากเห็นหน้าก็เข้าไปดูในเวปของชมรมเราก็ได้นี่” โทจิพูด

     

                    “...ไม่ได้หรอก...แม้แต่ชื่อ..ฉันก็ยังไม่รู้เลย” เสียงหวานดูเศร้าโศกหม่นหมอง จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจ ว่าเหตุใดถึงได้เปล่งเสียงแบบนั้นออกไป

     

                    “เอ๊..มันชื่ออะไรน้า..นางิ...นางิสะ คาโอรุล่ะมั้ง”

     

                    นางิสะ คาโอรุ 

     

                    เนตรสีดำเบิกกว้าง โทรศัพท์พลันร่วงหล่นจากมือ

     

                    “เฮ้ ชินจิ เฮ้!! เป็นอะไรไป ทำไมเงียบ!?” เสียงตะโกนของโทจิดังออกมาจากโทรศัพท์ที่วางแน่นิ่งอยู่บนพื้น

     

                    ชินจินิ่งอึ้ง ไม่แม้แต่จะก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ชื่อที่ได้ยินนั้นช่างคุ้นเคยและชวนให้รู้สึกเจ็บปวด...เป็นชื่อที่สั่นคลอนหัวใจของเขาอย่างรุนแรง

     

                    “นางิสะ...คาโอรุ” เขาพึมพำกับตนเอง พยายามนึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไร...ก็นึกไม่ออก

     

                    นางิสะ...คาโอรุคุง... 

     

                    พลั่ก!!!

     

                    ทันใดนั้นก็มีใครบางคนถีบเขาจากเบื้องหลัง ร่างบางกระเด็นลงไปหมอบกับพื้น ยังไม่ทันได้หันกลับไปมองว่าใครเป็นคนกระทำ น้ำเสียงเย็นเยียบและโหดเหี้ยมก็ดังอยู่ข้างใบหู

     

                    “อย่าขยับ ถ้าแกยังไม่อยากตาย ทายาทของบริษัท NERV”

     

                    แขนเรียวถูกบิดไปไพล่ด้านหลัง ความเจ็บปวดแล่นแปลบจนหลุดเสียงร้องอุทานออกมา  หลังจากนั้นไม่นานก็มีใครบางคนนำเทปกาวมาปิดปากเขาเอาไว้

     

                    มันไม่ได้มีแค่คนเดียว...ชินจิครุ่นคิดในใจ ถึงไม่ต้องเห็นหน้าเขาก็รู้ดีว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่บริษัทคู่แข่งส่งมาเพื่อทำร้ายเขาอย่างที่พ่อเคยว่าเอาไว้ แต่ด้วยเรี่ยวแรงระดับเขา คงไม่สามารถหนีรอดออกไปจากสถานการณ์แบบนี้ได้แน่

     

                    ผ้าเช็ดหน้าเหม็นฉุนไปด้วยสารเคมีบางอย่างถูกนำมาประกบเอาไว้ที่จมูก ชินจิไอออกมา แล้วสติก็เริ่มพร่าเลือนลง...

     

                    ทันใดนั้นเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มไปด้วยสารเคมีหล่นลงบนพื้น  แรงที่ยึดร่างเขาเอาไว้เมื่อครู่ก็ผ่อนลงจนหายวับไปในที่สุด เขาได้ยินเสียงผู้คนตะโกนร้องเรียกกัน แต่เพราะสติที่เริ่มพร่าเลือนลงทุกที จึงไม่อาจจับใจความอะไรได้มากนัก

     

                    หรือจะมีใครบางคน..เข้ามาช่วยเขาเอาไว้...

     

                    ไม่นานนักสรรพเสียงก็พลันเงียบลง แขนที่ถูกผูกรั้งไว้ด้านหลังถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เทปกาวถูกดึงออกอย่างเบามือ

     

                    เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างของตนเองถูกใครบางคนอุ้มขึ้นมาในอ้อมแขน ภาพใบหน้าของคนที่อุ้มเขาเอาไว้พร่ามัวราวกับถูกบดบังด้วยเมฆหมอก...ทั้งที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแท้ๆ..แต่เขากลับรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด

     

                    ชินจิรู้สึกราวกับได้เห็นรอยยิ้มอันคุ้นเคยบนดวงหน้าพร่าเลือนดวงนั้น...พลันเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาพร้อมกับสติของเขาที่ดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา

     

                    “เราได้เจอกันเสียทีนะ ชินจิคุง”

     

     

                    เปลือกตาหรือเปิดขึ้นช้าๆ ภาพตรงหน้าพร่าเลือนจนต้องพยายามหรี่ตาปรับโฟกัส ที่นอนทับอยู่เบื้องหลังคือเตียงนุ่มนิ่มอุ่นสบาย ผ้าหนานุ่มห่มคลุมขึ้นมาจนถึงคอ

     

                    พอเริ่มมองโดยรอบได้ชัด เขาก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องส่วนตัวที่มืดสนิทและเต็มไปด้วยกลิ่นยา ร่างบางค่อยๆขยับตัว ร่างกายยังหลงเหลือความเจ็บปวดอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนัก แผลถลอกตามตัวถูกใครบางคนใส่ยาและพันผ้าพันแผลไว้ให้อย่างเรียบร้อย

     

                    “ตื่นแล้วหรอ?”

     

                    น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลดังขึ้นมาจากด้านข้าง ชินจิตวัดสายตาไปมอง ก่อนพบชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเตียง

     

                    เขายันร่างขึ้นมานั่งด้วยความตกตะลึง ชายคนนั้นยังคงนั่งนิ่งเช่นเดิม เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดเสื้อยืดทับด้วยเสื้อเชิ้ตและใส่กางเกงยีนส์แบบง่ายๆ ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปมีรอยยิ้มประทับอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตาสีแดงราวกับโลหิตที่จับจ้องมาที่เขาแฝงไปด้วยความโหยหาและเจ็บปวด แต่ก็มีเสน่ห์ชวนให้จ้องมอง

     

                    ไม่รู้ทำไม...เขาจึงไม่อาจละสายตาไปจากนัยน์ตาคู่นั้นได้

     

                    “คุณ...” ชินจิเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนช่วยเขาออกมาจากสถานการณ์เมื่อครู่ “เป็นคนช่วยผมเอาไว้หรอ?”

     

                    “ใช่แล้ว” ชายแปลกหน้ายังคงระบายยิ้ม  “ชินจิคุง ไม่เจ็บตรงไหนแล้วใช่ไหม?”

     

                    นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง “ทำไม คุณถึงรู้ชื่อผมได้?”

     

                    ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ความโดดเดี่ยวฉายวาบในดวงตา “...การรู้ชื่อและข้อมูลส่วนตัวเล็กๆน้อยของคนที่จะต้องคอยคุ้มกัน มันเป็นเรื่องปกตินี่นะ”

     

                    เมื่อได้ยินเช่นนั้นชินจิก็เดาได้ทันที คนตรงหน้าคงเป็นคนคุ้มครองที่บิดาของเขาส่งมาตามที่เคยบอกเอาไว้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังประหลาดใจ เพราะคนอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มรูปงามซึ่งน่าจะมีอายุใกล้เคียงกับเขา ไม่ใช่ชายร่างยักษ์ใส่สูทถือปืนอย่างที่เคยคิดเอาไว้

     

                    “งั้นเองหรอก...คุณพ่อบอกให้คุณมาช่วยคุ้มกันผมสินะ” ชินจิยิ้มแห้งๆ “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ไม่ได้ต้อนรับ แถมเจอกันครั้งแรกผมก็อยู่ในสภาพนี้อีก”

     

                    “เจอกันครั้งแรก...งั้นหรอ”

     

                    “เอ๊ะ? อะไรนะครับ?” ชินจิถามเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดพึมพำอะไรบางอย่าง

     

                    “เปล่าหรอก” ชายตรงหน้ายิ้มจาง “ว่าแต่...ไม่ต้องพูดกับฉันสุภาพขนาดนั้นก็ได้ เรียกแบบปกติก็พอ พวกเรารุ่นราวคราวเดียวกันนี่นะ”

     

                    “อ่ะ อ๋อ ได้สิ...เอ่อ...แล้วนาย...”

     

                    “นางิสะ คาโอรุ” ชายหนุ่มเอ่ย “เรียกคาโอรุก็ได้นะ”

     

                    “นางิสะ คาโอรุ...เอ๊ะ! นายเป็นนักเรียนชมรมดนตรีคนใหม่นี่เองหรอ” ชินจิยิ้มอย่างดีใจ โดยที่ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดต้องรู้สึกยินดีขนาดนี้ “ดีจัง นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอนายเสียแล้วสิ”

     

                    เมื่อเห็นท่าทีดีใจของร่างบาง สีหน้าของคาโอรุก็สดใสขึ้นมาเล็กน้อย “อื้ม เพราะต้องคอยคุ้มกันนาย ก็เลยต้องเข้าเรียนที่เดียวกัน อยู่ชมรมเดียวกันไปด้วย ขอโทษนะ ที่อาจจะละเมิดความเป็นส่วนตัวไปบ้าง”

     

                    “แต่เสียงเปียโนของนางิสะคุงก็เยี่ยมยอดมากนี่นา เข้าชมรมดนตรีก็ถูกแล้วนี่!!” ชินจิกล่าวอย่างมั่นใจ ว่าเสียงที่ได้ยินในช่วงบ่ายนั้นต้องเป็นเสียงเปียโนของคนตรงหน้าแน่

     

                    และเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด...ถึงได้รู้สึกเช่นนั้น

     

                    “อ๊ะ จริงสิ ฉันขอเรียกนายว่านางิสะคุงได้ไหม” ชินจิมีท่าทีเขินเล็กน้อย “อ๊ะ แต่ไม่ได้เป็นเพราะไม่อยากสนิทกับนายอะไรแบบนั้นหรอกนะ ก็แค่ว่า...นางิสะที่แปลว่าชายหาดน่ะ...เป็นชื่อที่ดีออกไม่ใช่หรอ”

     

                    ทันใดนั้นชินจิก็หยุดชะงัก เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายพลันหม่นหมองลง

     

                    “นางิสะคุง?”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองก็ชอบชื่อนางิสะเหมือนกัน” เขาระบายยิ้มบาง “ตอนนี้ดึกมากแล้ว ชินจิคุงรีบนอนพักเถอะนะ เดี๋ยวฉันจะเฝ้าตรงนี้เอง”

     

                    “เอ๊ะ? ไม่เป็นไรหรอก ที่นี่มีห้องว่างตั้งเยอะ เดี๋ยวฉันพานายไปนอนสบายๆดีกว่า” เขาพูดด้วยความเกรงใจ แต่จู่ๆร่างสูงของอีกฝ่ายก็โน้มเข้ามาใกล้ พลางเอื้อมมือขาวซีดออกมาสัมผัสรอยถลอกบริเวณคางเบาๆ

     

                    นัยน์เนตรสีโลหิตทอแสงอ่อนลง “นอนเถอะ ฉันจะปกป้องนายเอง”

     

                    ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นสีเรื่อ ก่อนพยักหน้าแต่โดยดี “อื้อ”

     

                    ชินจิค่อยๆเอนตัวลงนอน ผ้าห่มถูกเลิ่กขึ้นมาคลุมเอาไว้จนถึงคอ ความอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยทำให้เขาเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา เปลือกตาค่อยๆปรือปิดลงช้าๆ..

     

                    ทั้งๆที่อีกฝ่ายเป็นเพียงคนแปลกหน้าแท้ๆ แต่ทำไมนะ...

     

                    ทำไมถึงได้รู้สึกอบอุ่น และเชื่อใจในตัวชายผู้นี้นัก...

     

                    คาโอรุเฝ้ามองร่างบางยามหลับ เขาเอื้อมมือออกไป หมายสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย

     

                    “อ๊ะ จริงสิ ฉันขอเรียกนายว่านางิสะคุงได้ไหม” 

     

                    มือพลันหยุดชะงักแล้วชักกลับเข้ามา นัยน์เนตรสีโลหิตฉายแววรวดร้าว

     

                    “นายจำฉันไม่ได้จริงๆสินะ” เสียงพึมพำแผ่วเบาดังแว่วอยู่ในห้องอันเงียบกริบ แต่กลับไม่มีคำตอบใด นอกจากเสียงหายใจเป็นจังหวะของอีกฝ่ายเท่านั้น

     

                    ชายหนุ่มนั่งลงบนพื้นแล้วฟุบใบหน้าลงบนเตียงข้างๆร่างบางตรงหน้า เขากลับตาลงช้าๆ  ริมฝีปากคู่สวยระบายยิ้มจาง

     

                    “ถึงจะเป็นแบบนั้น ถ้านายมีความสุขได้ก็พอแล้วล่ะนะ ชินจิคุง”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×