ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Short Fic Haikyuu!!] รวมฟิคสั้นเรื่อง Haikyuu!!

    ลำดับตอนที่ #1 : ずっと俺に目を向けて (Oikawa x Kageyama)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 57



    ずっと俺に目を向けて 


     

    Original Story : Haikyuu!!
    Paring : Oikawa x Kageyama
    Rate : PG13


     



               ลูกบอลถูกโยนขึ้นก่อนถูกตบอย่างแรงในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีด้วยท่วงท่าสง่างาม

                เสียงกระทบฝ่ามือดังก้องกังวานไปทั่วโรงยิม หลังจากนั้นก็พุ่งข้ามเน็ตไปอย่างเฉียดฉิว แล้วเด้งลงบนพื้น ตรงเส้นสุดเขตแดนของฝ่ายตรงข้ามพอดิบพอดี

                เนตรสีน้ำตาลหรี่มองผลงานของตนเอง ก่อนก้มลงไปหยิบลูกบอลบนพื้นขึ้นมาแล้วกระโดดตบอย่างต่อเนื่องลูกแล้วลูกเล่าด้วยสีหน้าฉายความหงุดหงิดเล็กน้อยราวกับยังทำไม่ได้ดั่งใจ

              ทั้งที่นั่นเป็นการกระโดดด้วยท่วงท่าอันงดงามหาใครเปรียบ

              ทั้งที่นั่นเป็นการเสริฟที่รุนแรงไร้ที่ติในความคิดของเขาแท้ๆ

                คาเงยามะคิดพลางยืนแน่นิ่งจ้องมองอีกฝ่ายกระโดดตบลูกบอลอยู่เงียบๆจากประตูทางเข้าโรงยิม

                เนตรสีนิลฉายแววทั้งชื่นชมและอิจฉา...อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆในใจ

                ชื่นชมในความสามารถอันโดดเด่นของรุ่นพี่ตนเอง...คนที่เขายกย่องให้เป็นแบบอย่าง..เป็นกำแพงสูงลิบลิ่วที่สักวันจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้

                และเจ็บปวดในใจที่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธเสมอมา ไม่ว่าเขาจะขอร้องให้ช่วยสอนมากแค่ไหน...ชายตรงหน้าก็ไม่เคยตอบรับ...

                ทุกครั้งที่เดินเข้าไปหาก็จะถูกเมินและเดินจากไป โดยไม่เคยหันกลับมามองเขาเลยสักครั้ง

                จนบางครั้งก็นึกสงสัย...ว่าอีกฝ่ายเกลียดเขาขนาดนี้เชียวหรือ

                “อ้าว...รุ่นน้องที่น่ารักของฉัน..มาทำอะไรที่นี่ล่ะ?

                น้ำเสียงรื่นเริงที่ได้ยินทำให้เขาสะดุ้งหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด...สายตาพลันกลับมาโฟกัสภาพแห่งความเป็นจริงตรงหน้าอีกครั้ง

                นัยน์ตาสีน้ำตาลอันคุ้นเคยจ้องมองมาทางนี้ ก่อนริมฝีปากของเจ้าตัวจะกระตุกยิ้ม

                “...มาแอบดูการฝึกซ้อมของโรงเรียนอื่นเนี่ย มันเสียมารยาทน้า...ไม่รู้เหรอ”

                ชายตรงหน้าเอ่ยพลางหัวเราะเบาแล้วปั่นบอลบนนิ้วชี้ของตนเองเองด้วยท่าทีสบายอารมณ์

                แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะประดับรอยยิ้ม...แม้จะเรียกเขาด้วยชื่ออย่างสนิทสนมด้วยท่าทีรื่นเริงและดูไม่ทุกข์ร้อนต่อสิ่งใดมากแค่ไหนก็ตาม...แต่เขาก็รู้สึกถึงระยะห่างจากนัยน์ตาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี...

                ระยะห่างที่นับวันจะยิ่งห่างไกลมากขึ้นทุกที...

                ห่างไกล..ราวกับมีกำแพงเหล็กอันเย็นเยียบขวางกั้นอยู่ตรงหน้า

                “...โออิคาวะซัง...” เขาเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากว่าปกติ...ไม่รู้ทำไมพอเผชิญหน้ากับคนๆนี้ ความหยิ่งทะนงและความมั่นใจในตัวเองที่มีเต็มแน่นอยู่เสมอถึงหายวับไปหมด

                “หืมม...ว่าไงล่ะ?” โออิคาวะเลิ่กคิ้วขึ้น ก่อนเดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า“อดีต”รุ่นน้องของตนเอง

                “อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันสอนลูกเสริฟให้อีก”

                เจ้าตัวพูดกลั้วเสียงหัวเราะเสียดสี แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับเงยหน้าขึ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนตอบรับด้วยสายตาจริงจัง

                “ครับ เรื่องนั่นแหละ”

                “ห๊ะ...เอาจริงเหรอเนี่ย” เนตรสีน้ำตาลเบิกกว้าง บอลในมือตกลงไปกลิ้งขลุกๆกับพื้น กระพริบตาปริบด้วยสีหน้าราวกับไม่อยากเชื่อหูตนเอง...

              นี่ยังไม่เข็ดอีกหรือไง?!

                ที่เขาปฏิเสธอีกฝ่าย แกล้งให้อีกฝ่ายทำท่าหมดหล่อต่อหน้าธารกำนัลตั้งไม่รู้กี่ครั้งเนี่ย...มันไม่ได้ผลเลยเหรอ?

                “...ถ้าไม่เอาจริง ผมคงไม่มาถึงที่นี่หรอกครับ” เนตรสีนิลยังคงฉายความมุ่งมั่น “..ช่วยสอนผมเสริฟด้วยเถอะครับ...โออิคาวะซัง”

                พอได้ยินอีกฝ่ายร้องขอด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนั้นโออิคาวะก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนหลุดหัวเราะในลำคออกมาเบาๆ

                “เห...งั้น..คราวนี้เอาอะไรดีล่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินเข้ามาประชิด แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนห่างเพียงแค่คืบ

                “เอาเป็นว่า...ถ้าโทบิโอะจังวิ่งแก้ผ้ารอบโรงเรียนนี้ได้ครบหนึ่งรอบ...ฉันจะสอนให้ดีมั้ย?

                พอได้ยินคำพูดและรอยยิ้มกวนๆของชายตรงหน้านัยน์เนตรสีนิลก็เบิกกว้าง ใบหน้าพลันซีดเผือดราวกับกระดาษ

              แก้ผ้าวิ่งรอบโรงเรียนอาโอบะโจไซ...

              ใครจะไปทำได้กัน!!

                “ว่าไงล่ะ...ถ้าไม่กล้าทำล่ะก็ กลับไปซะเถอะ” พอเห็นสีหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายโออิคาวะก็ยิ้มอย่างพอใจขึ้นมาทันที เขารู้ดีว่าคนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างราชาเจ้าคอร์ทคงไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นแน่นอน...อันที่จริงคงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนกล้าตามที่เขาพูดหรอกมั้ง ที่แสนอไปเพราะจงใจแกล้งเท่านั้นแหละ

                แต่อดีตรุ่นน้องกลับนิ่งเงียบไปยาวนานจนเขารู้สึกหวั่นๆ...และไม่นานก็เงยใบหน้าที่ยังคงซีดเผือดอยู่ขึ้นมา

                “ถ้าทำแบบนั้น คุณจะสอนผมจริงๆเหรอครับ”

                “อะ...อื้อ แน่นอนน ฉันเคยโกหกนายด้วยเหรอ?

                “.....”

                คราวนี้...ใบหน้าซีดเผือดตรงหน้าเริ่มแต้มสีแดงจางขึ้นมา

              เดี๋ยวนะ...

                เมื่อเห็นภาพตรงหน้าโออิคาวะก็เหงื่อตกขึ้นมาเพราะมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีบางอย่าง และในที่สุดก็เป็นอย่างที่เขาคาด เมื่อร่างเล็กกว่าตรงหน้าค่อยๆดึงเสื้อของตนเองขึ้นจนเขาต้องรีบตะโกนห้ามแทบไม่ทัน

                “เฮ้ย!! ทำอะไรของนาย!!

                ชายหนุ่มเจ้าของฉายามหาราชาทำหน้าราวกับเห็นผีพลางรีบพุ่งเข้าไปดึงเสื้อของอีกฝ่ายลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าหวดลูกเสริฟ

                “บ้าหรือเปล่า มาถอดอะไรตรงนี้!? คนทั่วโรงเรียนเห็นเนี่ยไม่อายบ้างหรือไง??

                “ก็คุณบอกว่าทำแบบนั้นแล้วจะยอมสอนให้นี่ครับ...อีกอย่าง...ตอนนี้เย็นมากแล้วคงไม่มีใครอยู่...ถ้าจะมีคนเห็นก็คงมีแค่โออิคาวะซ....”

                เขาพูดเสียงแผ่วเบาพลางเบือนสายตาไปอีกทาง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แดงเรื่ออยู่แล้วกลับแดงมากขึ้นกว่าเก่า และภาพตรงหน้าก็ทำให้คนมองแอบใจเต้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

                โออิคาวะรีบผละออกจากร่างเล็กกว่าตรงหน้าแล้วกระแอมในลำคอเพื่อคุมสติของตนเองให้มั่นคงเหมือนเดิม เมื่อสงบใจดีแล้วก็ถอนใจหน่อยๆ

                “ฉันไม่คิดว่านายจะทำจริงๆนี่นา...ก็แค่แกล้งพูดไปแบบนั้นแหละ”

                “ไหนคุณบอกว่าไม่เคยโกหกผมไงครับ” คาเงยามะขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยทันที พอเห็นแบบนั้นชายตรงหน้าก็ถอนใจแรงกว่าเก่า นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองสบกับของร่างเล็กกว่าตรงหน้า

                “ทำไมถึงอยากให้สอนให้มากขนาดนั้น...”

                พอได้ยินคำถามของชายตรงหน้า...ภาพฉากในอดีตก็วาบเข้ามาในความคิดทันที...

    “โออิคาวะซัง...ช่วยสอนผมเสริฟหน่อยได้ไหมครับ”

                “ผม.....”

                “เฮอะ นายเองก็เก่งระดับอัจฉริยะไม่ใช่หรือไง...ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ฉันสอนเลย” ชายหนุ่มหัวเราะหยันให้ตนเอง

                “ไม่ใช่นะครับ...จริงๆแล้วผม...”

                พอพูดถึงตอนนี้เขาก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง...

                เพราะไม่อาจพูดเหตุผลที่แท้จริงให้อีกฝ่ายฟังได้...หรือเพราะยังสับสนกับคำตอบในใจของตนเองกันแน่? เรื่องนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

                “.....”

                เมื่อเห็นอดีตรุ่นน้องนิ่งเงียบไปยาวนานโดยไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถาม เขาก็ถอนใจเป็นครั้งที่สามในรอบวัน ก่อนก้มลงไปหยิบลูกบอลขึ้นมาถือไว้ในมือ

                “นี่นายยังไม่เข้าใจอีกหรือไง...ว่าทำไมทุกครั้งที่นายมาขอให้ฉันสอนอะไรให้...ฉันถึงทำตัวแย่ๆใส่แบบนี้ โทบิโอะจัง...” เขาพูดพลางเค่นหัวเราะออกมา

                “เป็นเพราะฉันรำคาญ...เลยอยากทำตัวแย่ๆให้นายเลิกยุ่งกับฉันซักทียังไงล่ะ”

                คำพูดของชายตรงหน้าเป็นประหนึ่งหอกแหลมทิ่มแทงใจให้เจ็บปวด...เจ็บปวดจนชาวาบไปทั้งร่าง

    “เป็นเพราะฉันรำคาญ....”

                ภาพฉากในอดีตที่อีกฝ่ายเกือบจะลงไม้ลงมือใส่ผุดวาบเข้ามาในความคิด...คาเงยามะจึงกำมือแน่น ก่อนหลุบตาลงมองพื้นไม่กล้าสบนัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววเย็นชาตรงหน้า

                ทั้งที่นั่นเป็นคำตอบที่เขารู้ดีอยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้ยินจากปากของอีกฝ่ายตรงๆแบบนี้กลับรู้สึกเจ็บปวดจนขอบตาเริ่มอุ่นชื้น ภาพพื้นโรงยิมที่เห็นพลันพร่าเลือนขึ้นมา...

                ไม่สิ...ต้องบอกว่า ทั้งที่เจ็บปวดจนน่าจะชินชาเสียมากกว่า

                น่าจะเคยชิน...แต่ไม่ว่ากี่ครั้งน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามทุกที

                เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของร่างเล็กกว่าตรงหน้า นัยน์เนตรสีน้ำตาลก็สั่นไหวเล็กน้อย...ก่อนที่จะกลับมานิ่งสงบอีกครั้ง

                โออิคาวะกำลูกบอลที่ถือเอาไว้ในมือแน่นจนรู้สึกเจ็บ...ราวกับพยายามเบี่ยงเบนความเจ็บปวดที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นภายในใจ

                “....ถ้าเข้าใจแล้ว...ก็อย่าทำให้รำคาญอีกแล้วกัน” เขารีบพูดตัดบทก่อนหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากโรงยิมไป ราวกับหากอยู่ต่ออีกเพียงเสี้ยววินาที กำแพงในใจที่เพียรพยายามสร้างขึ้นมาจะพังทลายลง

                แต่ทันใดนั้น...เนตรสีน้ำตาลก็เบิกกว้าง

                เขาหยุดฝีเท้าลงทันที เมื่อถูกมือของใครอีกคนรั้งชายเสื้อเอาไว้จากด้านหลัง

                คาเงยามะกุมชายเสื้อนอกของชายตรงหน้าเอาไว้แน่น แล้วก้มหน้าลงมองพื้นเบื้องล่าง

                “ทำไม...ต้องเกลียดผมขนาดนี้ด้วย....”

                เขาพึมพำเสียงพร่า...ความรู้สึกซึ่งอัดแน่นในใจมายาวนานพรั่งพรูผ่านริมฝีปากออกมาอย่างไม่อาจห้าม

                “...อย่าเกลียดผมเลยได้ไหม...โออิคาวะซัง..."

               น้ำเสียงสั่นเครือซึ่งแสดงความอ่อนแอในใจออกมา ไม่เหลือมาดหยิ่งทะนงเหมือนปกติของอีกฝ่ายนั้น ทำให้เขานิ่งอึ้งไป

                ความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้เอ่อล้นขึ้นมาในอก...จุกขึ้นมาที่ลำคอจนไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกมาได้

    “ทำไม...ต้องเกลียดผมขนาดนี้ด้วย....”

              เกลียด...

                จริงๆแล้ว...เขาเกลียดอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ...?

                คำตอบของคำถามนี้ แท้จริงแล้วเขาเก็บมันเอาไว้ในใจมาตั้งแต่ต้น....ซุกซ่อนและใส่กุญแจอย่างแน่นหนาโดยไม่เคยเคยคิดเข้าไปค้นหาเลยสักครั้ง...

                บางทีอาจเป็นเพราะรู้ดีแก่ใจ ว่าหากค้นหาคำตอบนั้นออกมาเมื่อไรจะเผลอแสดงความอ่อนแอในใจออกมาและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็เป็นได้

                ระหว่างที่กำลูกบอลในมือเอาไว้แน่นจากความสับสนภายในใจ...ก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระแทกลงบนพื้นจากเบื้องหลังพร้อมกับแรงดึงชายเสื้อที่หายวับไปทันที

                โครม!!

                พอหันกลับไปมองเนตรสีน้ำตาลก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นร่างของอดีตรุ่นน้องซึ่งบัดนี้ลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแน่นิ่ง

                “โทบิโอะจัง?!

                เขารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายพลางร้องเรียกชื่อไปด้วยอย่างร้อนรน...แต่แม้จะเขย่าเรียกสติมากเท่าไรก็ไม่ได้สติขึ้นมาเสียทีก็รู้สึกใจหายวาบ รีบเช็คชีพจรและลมหายใจอย่างกระวนกระวาย...แต่พอรับรู้ว่าร่างในอ้อมแขนยังหายใจอย่างสม่ำเสมอและชีพจรยังเต้นอย่างปกติเขาก็ถอนใจโล่งอก

                ทว่า...เมื่อพลิกดูที่ฝ่ามือเนตรสีน้ำตาลก็เบิกกว้างอีกครั้ง เพราะมือเรียวยาวที่เห็นนั้นแดงก่ำราวกับถูกของร้อนลวก และพอถลกแขนเสื้อขึ้นสำรวจดูก็พบว่ามีรอยแดงเช่นนี้ลามไปทั่วท้องแขน

                หากเป็นคนอื่นคงตกใจกับอาการเช่นนี้ แต่เขารู้ดีว่ารอยแดงเหล่านี้เกิดจากอะไร...นั่นเป็นสิ่งที่เขาประสบมาตลอดนับตั้งแต่ได้รู้จักคำว่าวอลเลย์บอล...รอยกระแทกจากลูกบอลที่เกิดขึ้นเพราะฝึกซ้อมอย่างหนัก  และหากเป็นมากร่างกายจะรับไม่ไหวจนอาจหมดสติไปก็ได้

                “...ซ้อมหนักขนาดนี้แล้วยังจะให้ฉันสอนเสริฟให้อีก..หักโหมจนบ้าไปแล้วหรือไง”        

                พอรับรู้ได้แบบนั้นภายในใจก็สั่นคลอนอย่างรุนแรง...เขามักจะเหน็บแนมอีกฝ่ายว่าเป็นอัจฉริยะที่แม้ไม่ต้องพยายามฝึกฝนก็เก่งกว่าคนทั่วไปจนน่าหมั่นไส้...แต่เมื่อเห็นร่องรอยแห่งความพยายามตรงหน้าแล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็เข้ามาก่อกวนในใจไม่หยุดหย่อน

                ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนก็คือความรู้สึกผิดในใจ แต่กลับมีอีกความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่า...

              รู้สึกเป็นห่วงด้วย...อย่างนั้นเหรอ?

                เมื่อคำว่าเป็นห่วงวาบเข้ามาในใจเขาก็หลับตาลงแล้วถอนใจยาว ก่อนอุ้มร่างในอ้อมแขนขึ้นมา แล้วตัดสินใจพาอีกฝ่ายกลับไปพักที่บ้านก่อนส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

               

                ว่าแต่...แล้วบ้านของโทบิโอะมันอยู่ที่ไหนล่ะ?

                กัปทันทีมวอลเลย์โรงเรียนอาโอบะโจไซคิดในใจพลางทำหน้าเซ็งแบบสุดๆ ยิ่งรู้สึกถึงสายตาแปลกๆจากผู้คนรอบด้านก็ยิ่งอดส่งเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอประท้วงตนเองไม่ได้...ผู้ชายตัวโตๆอุ้มกันเดินกลางถนนแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติเสียเท่าไรล่ะมั้ง

                “คอยดูนะโทบิโอะ...ตื่นขึ้นมาเมื่อไรจะคิดหนี้บุญคุณเสียให้เข็ด”

                ชายหนุ่มก้มลงพูดอย่างหงุดหงิด กับร่างในอ้อมแขนที่ยังคงหมดสติหลับตานิ่ง แต่อันที่จริงจะโทษคาเงยามะคนเดียวคงไม่ถูก ตัวเขาที่เป็นรุ่นพี่อีกฝ่ายมานานแรมปีแต่กลับไม่รู้ที่อยู่ของรุ่นน้องเองก็น่าหงุดหงิดไม่แพ้กัน

                ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว ท้องนภาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำทะเลลึกประดับด้วยดวงดาวระยิบระยับประปราย...มืดขนาดนี้จะเดินตามหาบ้านของอีกฝ่ายไปอย่างไร้จุดหมายอีกคงไม่ไหว จึงตัดสินใจกลับไปพักที่บ้านของตนเองก่อนจะดีกว่า

                พอคิดได้แบบนั้นจึงเปลี่ยนเส้นทาง อดทนต่อสายตาคลางแคลงของคนรอบด้านแล้วสาวเท้ายาวเร็วเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ถึงบ้านอย่างเร็วที่สุด

                เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็รีบขึ้นไปบนห้องแล้วค่อยๆวางร่างของอีกฝ่ายบนเตียงนอน วางสัมพาระลงบนพื้นลวกๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆกัน

                นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายพลางนึกทับซ้อนกับภาพในวัยเด็ก

                ดวงหน้าอ่อนเยาว์ดวงนั้น ตากลมโตสีดำสนิทที่มักจ้องมองมาที่เขาอยู่เสมอคู่นั้น

    “โออิคาวะซัง ช่วยสอนผมหน่อยสิครับ”

                “เฮอะ...นายนี่มันน่าหมั่นไส้ที่สุดเลยรู้ตัวหรือเปล่า” ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้ว พลางเอื้อมมือเข้าไปหยิกอีกฝ่ายอย่างแรงจนแก้มยืดออกมา

                “อือ....”

                “โอ๊ย!

                พอถูกทำร้ายร่างกายยามหลับคาเงยามะก็ขยับตัวเล็กน้อย ใบหน้าอ่อนเยาว์ขมวดคิ้วมุ่นทั้งที่ยังหลับตาสนิทราวกับกำลังเผชิญกับฝันร้าย ก่อนจะเหวี่ยงแขนเข้ามาฟาดลงที่ใบหน้าหล่อเหลาของคนร้ายอย่างเต็มรัก พอแก้แค้นโดยไม่รู้ตัวจนเสร็จก็พลิกมานอนตะแคงแล้วนอนหลับสนิทต่อ

                “...เด็กบ้านี่...ไม่ว่าตอนหลับหรือตื่นก็ไม่น่ารักเอาซะเลย!” โออิคาวะลูบใบหน้าที่มีรอยแดงจากฤทธิ์หมัดนิทราของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างหงุดหงิด ก่อนเอื้อมมือไปหยิบปากกาเมจิกมาเขียนหน้าของอีกฝ่ายอย่างสนุก แถมยังเอากล้องมือถือมาถ่ายเป็นหลักฐานเอาไว้ด้วย

                “อุ๊บ...คราวนี้หมดหล่อจริงๆแล้วล่ะ โทบิโอะจัง” ชายหนุ่มหัวเราะรื่นเริงพลางมองภาพในโฟลเดอร์อย่างอารมณ์ดี ก่อนเก็บมือถือกลับไปไว้ในกระเป๋า

                และทันใดนั้น นัยน์ตาก็เหลือบไปเห็นรอยแดงที่ท้องแขนสองข้างของอีกฝ่าย

                “......”

                หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปเอาผ้าชุบน้ำใส่กะละมังกลับมาเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่กลับเผลอเดินไปเตะกระเป๋าที่วางอยู่บนพื้นจนล้มคว่ำ ทำให้ของในกระเป๋าไหลทะลักออกมาบนพื้น

                นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองสัมพาระไหลที่ทะลักออกมา ก่อนนั่งลง วางกะละมังเอาไว้ข้างเตียง แล้วหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งขึ้นมามองดู

                มันเป็นสมุดบันทึกสีดำเรียบที่ไม่มีลวดลายตกแต่งใดๆ สภาพซอมซ่อ ปกบางส่วนขาดหายไป คงเป็นสมุดที่เก่าพอสมควร

                “...สมุดบันทึก...ของโทบิโอะงั้นเหรอ?...” ชายหนุ่มกระพริบตางุนงง ก่อนจะหลุดขำออกมา

                “คนขี้เก๊กแบบนายเขียนบันทึกอย่างกับผู้หญิงแบบนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆน้า...”

                เขายิ้มนิดๆ ก่อนถือวิสาสะแอบเปิดบันทึกของอีกฝ่ายดูเสียเลย

                “ดูหน่อยซิ...ว่าอัจฉริยะเขาบันทึกอะไรก.....”

                ทันทีที่ไล่สายตาไปตามตัวอักษรคำพูดก็พลันหยุดชะงัก...นัยน์เนตรสีน้ำตาลพลันเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

                ข้อความในนั้นเขียนด้วยลายมือเละเทะไม่เป็นระเบียบ อีกทั้งยังระเกะระกะราวกับเขียนตามความรู้สึกที่คิดอยู่ตอนนั้นโดยไม่ได้เรียบเรียงคำพูดและช่องวรรค แต่ข้อความเหล่านั้นกลับทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง

     

    ได้ดูโออิคาวะซังแข่งอีกแล้ว ยังเสริฟได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลย

    ถ้าหากไปขอร้องเขาจะสอนให้ไหมนะ?

     

    วันนี้ไปขอร้องให้โออิคาวะซังช่วยสอนเสริฟให้...แต่เขาดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร

              ไว้คราวหน้าค่อยไปขอร้อง...คราวนี้เขาต้องยอมสอนให้แน่ๆ

     

    โออิคาวะซังปฏิเสธฉันอีกแล้ว...

    ทำไมล่ะ...เพราะรำคาญฉันหรือเปล่า...

              บางที...อาจเป็นเพราะฉันยังไม่ได้เรื่อง...เขาเลยรำคาญก็ได้

     

    ดังนั้นฉันจะเก่งให้มากกว่านี้

     

    จะพยายามให้มากกว่านี้...จนก้าวผ่านเขาและเป็นเซตเตอร์อันดับหนึ่งของจังหวัดให้ได้

     

    หากทำแบบนั้นแล้ว...โออิคาวะซังคงหันกลับมามองบ้าง...

     

              หากทำแบบนั้น...เขาคงจะไม่เกลียดฉัน...ใช่ไหม?

     

    โออิคาวะซัง...

     

    อย่าเกลียดผม...ได้ไหมครับ     


                นัยน์ตาที่จ้องมองสมุดบันทึกพลันสั่นไหว พอๆกับกำแพงในหัวใจที่บัดนี้สั่นคลอนจนพังทลายลงมาไม่เป็นท่า แล้วในที่สุดคำตอบที่เพียรพยายามซุกซ่อนอยู่ในอกก็ถูกเปิดเผยออกมา...คำตอบที่เฝ้าหลอกตนเองว่า “ไม่รู้” มันมาโดยตลอดนับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน

                การที่อีกฝ่ายเฝ้าตามติดเขา...และคิดจะเอาชนะเขามาตลอดนั้นเป็นเพราะอยากให้เขาเห็นตนเองอยู่ในสายตา

                เช่นเดียวกัน...การที่เขาพยายามดันอีกฝ่ายให้ออกห่างและอยากจะแข็งแกร่งกว่าให้ได้นั้น...เป็นเพราะ “หวาดกลัว”ว่าหากตนเองพ่ายแพ้แล้ว ดวงตาสีนิลกลมโตคู่นั้นจะไม่จับจ้องมาที่เขาอีกเป็นครั้งที่สอง

                หวาดกลัว...ว่าตนเองจะไม่อยู่ใน “สายตา” ของอีกฝ่าย...

                หวาดกลัว...ว่าจะอีกฝ่ายจะอยู่สูงขึ้นไปทุกทีจนไม่อาจเอื้อมมือไปถึงได้

                แม้การกระทำจะต่างกันราวเส้นขนาน แต่ความรู้สึกและเป้าหมายของพวกเขากลับเป็นอย่างเดียวกัน ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

              นั่นคือต้องการให้ตนเองอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตลอดไป...

                “...เรานี่มันงี่เง่ากันทั้งคู่เลยนะ...ว่าไหม...โทบิโอะจัง”

                โออิคาวะพูดเสียงแผ่วเบา พลางปิดสมุดบันทึกในมือแล้ววางเอาไว้ข้างกาย ก่อนเหลือบมองไปยังร่างของใครอีกคนซึ่งยังคงนอนหลับสนิท หายใจด้วยจังหวะสม่ำเสมอ

                เขาหยิบผ้าชุบน้ำที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา แล้วเช็ดรอยสีเมจิกบนใบหน้าอ่อนเยาว์ตรงหน้าอย่างเบามือ ก่อนนำผ้าชุบน้ำอีกผืนมาประคบบนแขนแดงร้อนอย่างระวัง

                “ตอนนี้นายคงเพลียมาก...และไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆใช่ไหม”

                ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นแล้วค่อยๆลงไปนอนบนเตียง ก่อนสอดมือเข้าไปรั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้

                “ดังนั้น...ถึงฉันจะทำหรือพูดอะไรตอนนี้...ก็คงไม่รู้เรื่องสินะ”

                นัยน์ตาที่มักฉายแววเย้ยหยันอยู่เสมอทอแสงอ่อนลง เต็มไปด้วยความห่วงหาอาทรอย่างที่คงไม่มีโอกาสได้เห็นในยามปกติ

                โออิคาวะหลับตาลงช้าๆ สดับฟังเสียงลมหายใจของร่างในอ้อมแขนดังกังวานท่ามกลางห้องอันเงียบสงัด

                เขาไล้เรือนผมสีดำอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงราวกับลมหายใจ

                “ฝันดีนะ...โทบิโอะจัง”

                และขอโทษ...ที่ทำให้ต้องเจ็บปวดมาโดยตลอด..

                ขอโทษนะ...โทบิโอะจัง....

     

     

              “เอ๊ะ?! จะยอมสอนให้ผมแล้ว?

                เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังก้องไปทั่วโรงยิมที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น

                “อือฮึ...ใช่สิ..ทำไมล่ะ ไม่เห็นแปลกเลย” คนบอกว่าจะสอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริงพลางหยิบลูกบอลขึ้นมาแล้วกระโดดเสริฟอย่างคล่องตัว ก่อนหันมายิ้มพิมพ์ใจให้อีกต่างหาก ภาพตรงหน้าทำให้คนเห็นรู้สึกหวาดกลัวชะตาของตนเองยังไงชอบกล

                “...มันไม่แปลกที่ไหนกันล่ะครับ...”

                คาเงยามะกระพริบตาอย่างงุนงงยิ่งกว่าตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงนอนของอีกฝ่ายเสียอีก

                หลังได้สติขึ้นมาอีกครั้งสิ่งแรกที่เห็นก็คือใบหน้ายิ้มระรื่นของอีกฝ่าย ในมือโบกมือถือที่หน้าจอมีภาพใบหน้าของเขายามหลับ...แน่นอนว่าไม่ใช่ใบหน้ายามหลับธรรมดา แต่เป็นใบหน้าที่ถูกวาดด้วยสีเมจิกราวกับเด็กวาดต่างหาก

    “หลักฐานว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณนายอีกอย่างหนึ่งไง โทบิโอะจัง <3

                ช่างเป็นประโยคที่ชวนให้ขนลุกซู่จริงๆ

                แต่ว่า....

                “หืม?...เป็นอะไรไป ทำไมหน้าแดง?

                ใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มเข้ามาใกล้ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ และใบหน้าก็ยิ่งแดงจัดยิ่งกว่าเดิม

                “ป..เปล่าครับ..แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย”

                “จริงเหรอ...เห...คงไม่ได้หน้าแดงเพราะคิดถึงตอนที่มานอนค้างคืนที่ห้องฉันหรอกนะ ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ได้ทำมิดีมิร้ายโทบิโอะจังที่น่ารักของฉันหรอก”

                “ม...ไม่ใช่แล้วครับ!

                ใบหน้าอ่อนเยาว์แดงจัดยิ่งกว่าเก่า พลางรีบเบือนสายตาไปอีกทางซ่อนความเขินทันที...ถึงจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรแปลกๆแบบที่ว่ามา...แต่พอคิดว่าได้นอนเตียงเดียวกันตลอดทั้งคืนมันก็อดเขินไม่ได้อยู่ดี

                พอเห็นแบบนั้นคนขี้แกล้งก็หัวเราะเบา แล้วเอาลูกบอลส่งให้อีกฝ่ายถือเอาไว้

                “ถึงจะสอน แต่คนอย่างฉันก็ไม่สอนฟรีๆอยู่แล้วล่ะนะ..”

                “หา...”

                คราวนี้ใบหน้าแดงก่ำพลันซีดลงราวกับกระดาษ ยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับเป็นผู้ชนะของชายตรงหน้าแล้วยิ่งเสียวสันหลังจนขนลุกซู่ไปหมด

                “จ...จะให้ทำอะไรอีกล่ะครับ” คาเงยามะว่าพลางถอยหลังไปสองก้าวโดยอัตโนมัติ

                “...ไม่ต้องกลัวหรอกน่า...ไม่แย่กว่าแก้ผ้าวิ่งรอบโรงเรียนหรอก”

                “มันไม่มีแย่กว่านั้นแล้วครับ!!

                ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มอย่างพอใจ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ

                “เอาล่ะ...งั้น....จะเริ่มล่ะนะ....”

                “เอ๊ะ....”

                ระหว่างที่กำลังกระพริบตางุนงงอยู่นั้น...ภาพตรงหน้าก็พลันมืดสนิท...

                เสียงลูกบอลหล่นจากมือลงไปกระเด้งกับพื้นดังก้องกังวานในโสตประสาท พร้อมกับสัมผัสนุ่มนวลอ่อนหวานที่ทาบทับเข้ามาบนริมฝีปาก...

                ความอบอุ่นจากลมหายใจและริมฝีปากแผ่ซ่านเข้ามาจนสมองมึนงงคิดอะไรไม่ออก...และเมื่อสัมผัสอ่อนนุ่มผละห่างออกไป เขาก็เงยขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

                “.....”

                ทั้งที่มีคำถามนับร้อยพัน แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเสียนี่...

                พอเห็นรุ่นน้องของตนเองนิ่งเงียบไป นัยน์ตาสีน้ำตาลก็ทอแสงอ่อนลง ก่อนจะดึงร่างเล็กกว่าตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้แน่น

                “อ..โออิคาวะซัง...” คาเงยามะพึมพำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงเรื่อฉายความงุนงงกับการกระทำที่ไม่คาดคิด แล้วไม่นานอ้อมกอดถูกกระชับแน่นขึ้นอีกจนเริ่มหายใจได้ลำบาก

                โออิคาวะกระชับอ้อมกอดไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง..ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่ตรงหน้า แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบาราวกับสายลม

                “ฉันไม่มีทางเกลียดโทบิโอะจังหรอกนะ”

                นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง กับคำพูดที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยิน

                “ไม่มีทาง...”

                นั่นเป็นถ้อยคำอันแสนธรรมดา เป็นประโยคสั้นๆที่ไม่ได้ใช้คำพูดสวยงามหรือดูซาบซึ้งอะไรเลยแม้แต่น้อย...แต่มันกลับทำให้ภายในอกของเขาสั่นสะท้าน อารมณ์ที่เคยสะกดกลั้นมานานพลันเอ่อล้นขึ้นมาจนขอบตาอุ่นชื้น

                คาเงยามะค่อยๆเอื้อมมือขึ้นมายึดชายเสื้อของร่างสูงกว่าตรงหน้าเอาไว้แน่น แล้วหลับตาลงช้าๆ...ซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดและคำพูดที่ได้ยิน ราวกับกำลังตอกย้ำตนเองว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝัน

    “ช่วยสอนผมหน่อยสิครับ”

                ภาพในอดีตผุดวาบขึ้นมาอีกครั้ง...ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายในตอนนั้น...เขาเพิ่งจะเข้าใจในตอนนี้เอง

                ว่ามัน...ไม่ใช่แค่อยากให้ช่วยสอนอะไรให้...

                ไม่ใช่แค่รุ่นน้อง...กับรุ่นพี่...

                โออิคาวะซัง...

              จริงๆแล้ว...ผม...

              ระหว่างที่ความรู้สึกอันชัดเจนนั้นเอ่อล้นขึ้นมาในใจโดยยังไม่ได้พูดอะไรออกไป ชายตรงหน้าก็ค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดช้าๆ แล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ระบายยิ้มออกมา

                “แต่อย่าได้ใจไปล่ะ...ไม่ว่าความรู้สึกที่มีกับนายจะมากแค่ไหน ไม่ว่านายจะเป็นอัจฉริยะในรอบกี่ร้อยปีก็ตาม ฉันก็ไม่ยอมแพ้โทบิโอะจังหรอกนะ...”

                รอยยิ้มมั่นใจและสายตาแน่วแน่ราวกับไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดพลันปรากฎให้เห็นอีกครั้ง...และนั่นทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

                บางที...นี่อาจเป็นตัวตนของอีกฝ่าย...ที่ทำให้เขาหลงใหลก็เป็นได้

                “...ผมก็จะไม่ยอมแพ้คุณเหมือนกัน...โออิคาวะซัง...”

                ได้ยินเช่นนั้นโออิคาวะก็หัวเราะเบา “พูดใช้ได้นี่น้า....

                ชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ แล้วใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของร่างเล็กกว่าตรงหน้าด้วยท่าทีเอ็นดูแกมหมั่นไส้

                ”งั้น...มาเริ่มก็เลยเถอะ...เดี๋ยวจะหาว่าไม่คุ้มค่าสอน”

                พอได้ยินคำว่า “ค่าสอน” ใบหน้าอ่อนเยาว์ก็แดงก่ำขึ้นมาทันที

                “พ...พูดอะไรน่ะครับ!

                “เอาล่ะๆ...ฉันมีเวลาให้นายแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะ ถ้าทำให้เลยกว่านี้ฉันจะประจานรูปเมื่อคืนก่อนซะเลย

                “เลิกนิสัยแย่ๆแบบนี้ซักทีได้มั้ยครับเนี่ย!!

                “ฮ่าๆ”

                เสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามา แล้วไม่นานโรงยิมแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงลูกบอลกระทบฝ่ามือดังก้องกังวานลูกแล้วลูกเล่าราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น

                “ฉันไม่มีทางเกลียดโทบิโอะจังหรอกนะ”


                คำพูดของอีกฝ่ายผุดวาบเข้ามาในความคิดอีกครั้งจนเขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แม้จะกำลังตบลูกเสริฟอย่างจริงจังอยู่ก็ตาม

                ทั้งคำพูดนั้น ทั้งความอบอุ่นจากริมฝีปากและอ้อมกอดที่ได้รับโดยไม่คาดคิดเมื่อครู่...เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปอย่างเด็ดขาด

                แม้ไม่นานพวกเขาจะต้องยืนอยู่คนละฟากของสนามแข่งขันก็ตามที

                “ทำอะไรชักช้าจริงโทบิโอะจัง กระโดดให้สูงกว่านี้หน่อยสิ เป็นอัจฉริยะไม่ใช่เรอะ!

                “เงียบไปเลย! ครั้งนี้ผมไม่ยอมแพ้หรอก!

                แล้วความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในอกตอนนี้...สักวัน...จะมีโอกาสได้พูดออกไปหรือเปล่านะ...

                ผมจะได้บอกกับคุณหรือเปล่า...โออิคาวะซัง

                คำว่า “ชอบ” คำนั้น...

               

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×