คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Living Without You : Chapter 1 - This Perfect World
ภาพโดยรอบถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน...
ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน...ก็เต็มไปด้วยซากศพและหยาดโลหิต....
เสียงกรีดร้องดังกังวานอยู่ในโสตประสาท..ร่างบางทรุดเข่าลงแล้วกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด...น้ำเสียงคร่ำครวญด้วยความทุกข์ตรมและอาฆาตพยาบาทดังทับซ้อนกันจนไม่อาจเข้าใจเป็นคำพูดได้...
ภายในอกเจ็บราวกับถูกบีบรัด...ตรงกลางของจิตใจหนักหน่วงประหนึ่งมีลูกตุ้มขนาดใหญ่ถ่วงตรึงเอาไว้...ข้างในอกซ้ายยังคงเต้นเป็นจังหวะ สูบฉีดความสิ้นหวังให้หล่อเลี้ยงไปทั่วร่าง
เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว...ไม่มีใครที่เขาไว้ใจ และไม่มีใครที่จะไว้ใจเขา...ทุกคนต่างหนีหายจากไปทีละคน...ทีละคน...
แล้วเขา...จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร?
สติเริ่มพร่าเลือนลง...อะไรบางอย่างหมุนวนทับซ้อนในลานสายตาจนแทบจะอาเจียนออกมา...และวินาทีที่สติสัมปชัญญะกำลังจะดับวูบลง...เสียงๆหนึ่งก็ดังแว่วแผ่วเบา
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
“เราจะได้พบกันอีก”
จะได้พบกันอีก.....
“คาโอรุคุง!!!”
นัยน์ตาเบิกโพลง พร้อมกับเสียงหอบหายใจเร็วแรง...
แสงอาทิตย์ทอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ห้องอันคุ้นเคย เสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะ เบื้องหน้าคือเพนดานห้องซึ่งมีที่ติดประดับรูปดาวเรียงรายอยู่ ดาวเหล่านั้นส่องแสงริบหรี่ราวกับเปลวเพลิงใกล้มอดดับ พร้อมที่จะเก็บแสงสว่างในวันใหม่เอาไว้ในตัวและส่องสว่างยามค่ำคืนอีกครั้ง
นัยน์ตาสีดำกระพริบถี่ ตอกย้ำกับตนเองว่าภาพฉากอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง เมื่อปรับจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว เด็กหนุ่มก็ถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆยันร่างลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
เสียงเพลงบรรเลงดังจากเครื่องแลบท็อปที่พักหน้าจอเอาไว้ เขารีบลุกจากเตียงแล้วกดแป้นคีย์บอร์ดสองสามครั้ง ทันใดนั้นเสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังออกมาจากลำโพง
“ตื่นแล้วหรอจ๊ะ ชินจิ ทานข้าวแล้วหรือยัง” ใบหน้าของหญิงสาววัยสามสิบปลายๆคนหนึ่งปรากฎขึ้นบนหน้าจอ
เด็กหนุ่มมีสีหน้าสดใสขึ้นทันที เขายิ้มบาง ก่อนตอบอีกฝ่าย “ยังเลยครับแม่ วันนี้มีเรียนช่วงบ่ายเลยตื่นสาย”
อิคาริ ยูอิ ยิ้มสดใส ก่อนเตือนด้วยน่ำเสียงอาทร “เข้ามหาลัยใหม่ๆคงเรียนหนักมากสินะลูก ต้องระวังสุขภาพด้วยนะจ๊ะ”
“ครับ แม่เองก็เหมือนกันนะครับ”
“อ้อจริงสิ พ่อเขามีอะไรจะพูดกับลูกแน่ะ” ยูอิเอ่ยพลางหันไปทางด้านข้าง “คุณคะ ฉันคุยเสร็จแล้วค่ะ”
พอเอ่ยถึงผู้เป็นพ่อ ชินจิก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อก็มักจะเข้มงวดและเจ้าระเบียบกับเขาเสมอมา ต่างกับผู้เป็นแม่ที่ทั้งอ่อนโยนและใจดี
ใบหน้าขรึมของอีกฝ่ายปรากฎขึ้นบนหน้าจอ “สบายดีหรือเปล่า ชินจิ”
“เอ่อ...สบายดีครับพ่อ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “คุณพ่อ มีอะไรจะพูดกับผมหรอครับ?”
เก็นโดนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนกระแอมแล้วพูดต่อ “ช่วงนี้มีข่าวว่าบริษัทคู่แข่งของเรากำลังคิดใช้วิธีสกปรกเล่นงานพวกเราอยู่ ฉันเลยอยากเตือนแกให้ระวังเอาไว้” ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นทันที “ถ้ามีใครน่าสงสัยเข้ามาตีสนิทล่ะก็ อยู่ให้ห่างซะ แล้วก็อย่าออกไปไหนมาไหนตอนกลางคืนคนเดียว”
ชินจิกระพริบตาถี่ “คุณพ่อเป็นห่วงผมหรอครับ”
“แล้วฉันคุยกับแกอยู่หรือเปล่าล่ะ?” เก็นโดขมวดคิ้ว พลางเอ่ยเสียงดุ “เอาเถอะ ฉันตัดสินใจส่งคนไปคอยคุ้มกันแกทางนั้นแล้ว อีกไม่นานเขาคงไปหาแกที่นั่น ต้อนรับเขาด้วยแล้วกัน” ก่อนรีบตัดการสื่อสารออกไปทันที
นัยน์ตากลมโตมองหน้าจอมืดสนิทตรงหน้าก่อนระบายยิ้มบาง แม้จะเข้มงวดหรือเจ้าระเบียบกับเขาแค่ไหน แต่ชินจิก็รู้ดี ว่าพ่อยังคอยเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ
ครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของบริษัทผลิตหุ่นยนต์ซึ่งมีชื่อว่า NERV เนื่องจากเก็นโดเป็นอัจฉริยะด้านการเขียนโปรแกรมซอฟท์แวร์รวมถึงมีการตัดสินใจบริหารที่เด็ดขาด จึงทำให้บริษัทNERVก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับแนวหน้าของโลกได้อย่างรวดเร็ว
เพราะเหตุผลนั้น พ่อและแม่ของเขาจึงต้องไปอาศัยอยู่ที่ประเทศเยอรมันเพื่อติดต่อค้าขายเกือบตลอดทั้งปี ทิ้งให้เขาซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวอยู่ในบ้านหลักใหญ่เพียงลำพัง โดยมักจะใช้การติดต่อสื่อสารกันโดยใช้คอมพิวเตอร์อย่างเมื่อครู่นี้เป็นประจำแทบทุกวัน
ชินจิลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ นัยน์เนตรสีดำเหลือบมองไปยังชั้นหนังสือที่ตั้งอยู่รอบๆห้อง ถึงจะต้องอยู่คนเดียวแต่เขาก็ไม่รู้สึกเหงาหรือน้อยเนื้อต่ำใจอะไรเท่าไร เพราะว่าชอบอ่านหนังสือและบทกวีต่างๆมาก เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านและค้นคว้าสิ่งที่น่าสนใจในหนังสือเหล่านี้ รวมถึงเอาไว้ใช้ในการเรียนคณะอักษรศาสตร์ที่ตนเองกำลังศึกษาอยู่ได้อีกด้วย และนอกจากนั้น การทำอาหารเองก็เป็นงานอดิเรกอีกอย่างที่เขาชื่นชอบ แค่อ่านหนังสือและคิดเมนูรวมถึงฝึกทำอาหารไปเรื่อยเปื่อย เวลาก็หมดไปหนึ่งวันเสียแล้ว เขาจึงไม่รู้สึกเหงาแต่อย่างใด
ร่างบางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพาดบ่า แล้วเดินไปยังห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ พลางนึกถึงเมนูอาหารเช้าที่จะทำในวันนี้ไปด้วย
ชีวิตของเขาดีพร้อมแทบทุกอย่าง..ทั้งครอบครัว ฐานะการเงิน การศึกษา...และอนาคตที่สดใส...
แต่ไม่รู้ทำไม...เขาถึงรู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปบางอย่าง...
เป็นอะไรที่สลักสำคัญและสั่นคลอนภายในใจลึกๆไม่ว่ายามหลับหรือตื่น...
ภาพความฝันอันโหดเหี้ยมที่มักฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าวาบเข้ามาในความคิด ชินจิสะบัดหน้าเพื่อไล่ความฝันอันน่าสะพรึงกลัวนั้นออกไป แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เมื่อประตูห้องน้ำแง้มปิดลง..คำพูดของบิดาก็วาบเข้ามาในความคิด
“ฉันตัดสินใจส่งคนไปคอยคุ้มกันแกทางนั้นแล้ว อีกไม่นานเขาคงไปหาแกที่นั่น”
คนคอยคุ้มกันงั้นหรอ...จะเป็นคนแบบไหนกันนะ? ร่างบางครุ่นคิดในใจ ก่อนตัดสินใจปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน เดี๋ยวพอได้พบอีกฝ่ายเขาก็คงรู้เองแหละนะ
“เฮ้!! ชินจิ “ เสียงเรียกอันคุ้นเคยทำให้ร่างบางหันไปมอง และก็ต้องยิ้ม เมื่อเห็นเพื่อนสนิททั้งสองคนกำลังวิ่งเข้ามาหา
“โทจิ เคนซึเกะ” ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย โดยพวกเขาเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ “วันนี้เลิกเรียนแล้วหรอ? เอ๊ะ แต่วันนี้มีกิจกรรมที่ชมรมนี่”
แม้จะอยู่คนละคณะ แต่ทั้งชินจิ โทจิ และเคนซึเกะต่างก็อยู่ชมรมดนตรีสากลเหมือนกัน และพวกเขาก็มักจะนัดเจอกันเมื่อมีกิจกรรมชมรมอยู่เสมอ
“ไม่เอาล่ะ วันนี้ขี้เกียจเข้าชมรม” โทจิยักไหล่ “มีแต่พวกผู้หญิงมาส่งเสียงดังเต็มไปหมด ไม่มีสมาธิเฟ้ยย”
“เอ๊ะ? ทำไมแบบนั้นล่ะ” ชินจิทำหน้างุนงง ปกติผู้หญิงในชมรมดนตรีสากลมักจะเป็นคนเงียบๆ ไม่น่าจะส่งเสียงดังอะไรได้
“คืองี้นะชินจิคุง” เคนซึเกะหัวเราะเบาๆ “นายอาจจะยังไม่รู้เพราะช่วงนี้ไม่ได้เข้าชมรมใช่ไหม ว่าตอนนี้มีนักเรียนใหม่เข้ามาอยู่ในชมเราเมื่อสองสามวันก่อนน่ะ”
“เอ๊ะ งั้นหรอ ก็ดีสิ” เด็กหนุ่มพูดด้วยความประหลาดใจระคนยินดี ชมรมดนตรีของมหาวิทยาลัยนั้นมักจะตกอับและแสดงผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจเสมอ บรรยากาศก็เงียบๆซึมๆ เลยไม่ค่อยมีใครอยากเข้าเสียเท่าไร การที่มีนักเรียนใหม่เข้ามาในชมรมแบบนี้จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อย
“เฮอะ ดีที่ไหนล่ะ!” โทจิกล่าวอย่างหงุดหงิด “ขี้เก๊ก น่าหมั่นไส้จะตายไป”
“คือพอดีว่าเขาทั้งหล่อ แถมเล่นเปียโนเก่งระดับโปรด้วย และได้ข่าวว่าก่อนเข้ามาที่มหาวิทยาลัยเรา เขาเคยสอบเข้าโตไดได้เลยเชียวนะ สาวๆก็เลยตามมากรี๊ดที่ชมรมกันใหญ่ โทจิเขาก็เลยอิจฉาน่ะสิ” เคนซึเกะหัวเราะก๊ากออกมา
“หุบปากเลยเฟ้ย!!!!”
ชินจิมองเพื่อนทั้งสองทะเลาะกันพลางหัวเราะเบา “เอาน่าๆ ยังไงวันนี้ฉันก็เรียนเลิกเย็นอยู่แล้ว เดี๋ยวจะรอเข้าชมรมด้วยเลยล่ะกัน เผื่อได้ทำความรู้จักกับนักเรียนคนนั้นไปด้วยไง”
“ตามใจนายแล้วกัน งั้นวันนี้พอเลิกชมรมแล้วโทรมาก็แล้วกันนะ เผื่อจะได้ไปกินข้าวบ้านนายอีกไง” โทจิและเคนซึเกะเอ่ยพลางโบกมือลา “ไปก่อนนะ ชินจิ”
“อื้อ โชคดีนะ” ชินจิโบกมือตอบ ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัย
เขาเดินมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนในคาบบ่ายอย่างเร่งรีบ เหลือเวลาอีกเพียงแค่สามนาทีก็จะเริ่มเลคเชอร์แล้ว ขาเรียวก้าวเร็วขึ้นจนกลายเป็นกึ่งวิ่งผ่านประตูห้องเรียนทั้งสองฟาก ห้องบรรยายที่เขาจะเรียนในวันนี้อยู่ที่สุดระเบียงทางเดิน ถัดจากห้องชมรมดนตรีสากลของเขานี่เอง
ทันใดนั้น...เสียงเปียโนก็ดังแว่ว พร้อมกับเสียงใครบางคนฮัมเพลงแผ่วเบา
開いたばかりの花が散るのを
ดอกไม้แรกแย้มร่วงหล่น
「今年も早いね」と
残念そうに見ていたあなたは
เธอที่เฝ้ามองพลางพูดว่า “ปีนี้บานเร็วอีกแล้วนะ” ด้วยท่าทีเสียดายนั้น
とてもきれいだった
ช่างงดงามมากเหลือเกิน
ชินจิชะงักฝีเท้าก่อนมองไปยังประตูห้องชมรมที่ปิดอยู่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในเวลาแบบนี้ ไม่น่าจะมีใครอยู่ในห้องชมรม...แต่ทำไมถึง?
もし今の私を見れたなら
หากเธอได้เห็นฉันในตอนนี้ล่ะก็
どう思うでしょう
จะคิดอย่างไรนะ
あなたなしで生きてる私を
ตัวฉัน...ที่มีชีวิตอยู่โดยปราศจาคเธอ
เสียงบรรเลงเปียโนนั้นลื่นไหลและงดงามราวสายน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน น้ำเสียงนั้นก็นุ่มนวลแผ่วเบา...แต่กระนั้น...ก็ช่างโศกเศร้าจับจิต
ใครกันนะ...ใครกันที่เล่นเพลงเศร้าแบบนี้ออกมาได้...ชินจิครุ่นคิด พลันรู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างประหลาด
บางทีอาจเป็นนักเรียนใหม่คนนั้นก็เป็นได้...คงเพราะเพิ่งเข้ามาใหม่ ก็เลยยังไม่รู้กฎของชมรมว่าไม่ให้เข้ามาใช้ห้องดนตรีในเวลาเรียน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ร่างบางก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้า แล้วเคาะประตูห้องชมรมสามครั้ง
เสียงดนตรีพลันหยุดลง...ชินจิจึงตะโกนผ่านประตูห้องที่ปิดสนิท
“ขอโทษนะครับ แต่พอดีเขาไม่ให้ใช้ห้องดนตรีในเวลาเรียนน่ะครับ”
ทว่ากลับไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย...ชินจิขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปทันที
เพียงเพื่อพบเปียโนหลังหนึ่งพร้อมกับที่นั่งอันว่างเปล่า
“เอ๊ะ?” นัยน์ตาสีดำเบิกกว้าง...ทางเข้าออกของห้องนี้มีเพียงประตูบานที่เขาเปิดเข้ามากับหน้าต่างของห้องเท่านั้น แต่ห้องนี้อยู่บนชั้นสิบสามของตึก หากเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ไม่น่าจะกระโดดหนีออกไปได้...แล้วคนที่เล่นเพลงเมื่อครู่นี้หายตัวไปได้ยังไง?
“หรือเรา..จะหูฝาดไปนะ?” ชินจิเอียงคอด้วยความงุนงง แต่เสียงเพลงที่ทั้งเพราะและเศร้าโศกจับจิตเมื่อครู่นี้ ชัดเจนในโสตประสาทจนไม่อาจนึกว่าเป็นเพียงการคิดไปเองได้
あなたなしで生きてる私を
ตัวฉัน...ที่มีชีวิตอยู่โดยปราศจาคเธอ
“หวา สายมากแล้ว!” เมื่อเหลือบมองเวลาอีกที เด็กหนุ่มก็รีบรุดออกจากห้องไปโดยลืมเรื่องนักเล่นเปียโนปริศนาไปเสียสนิท เพราะเขาเข้าห้องบรรยายสายไปเกือบห้านาทีแล้ว
สิ้นเสียงบานประตูแง้มปิด...แล้วรอยยิ้มบางก็ปรากฎบนใบหน้าขาวซีดดวงนั้น..
“ครั้งนี้ ฉันสัญญาว่าจะทำให้นายมีความสุขให้ได้ อิคาริ ชินจิคุง”
ความคิดเห็น