ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงรักซาตาน

    ลำดับตอนที่ #11 : ห่วงใย

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 64


    “เราจะไปไหนกันหรอคะ” หลังจากนั่งรถมาสักพัก และเส้นทางก็ไม่ใช่ทางที่จะกลับโรงแรม

    "ผมนึกว่าคุณไม่ได้เอาปากมาด้วยซะอีก เห็นไม่พูดไม่จา”

     ‘ผู้ชายแบบไหน ถึงชอบพูดจาเหน็บแนมผู้หญิง’  อิงค์กาญจน์นึกค่อนขอดในใจ แต่เลือกที่จะนั่งเงียบต่อไป ทำเอาอีกคนหงุดหงิด

    “ว่าไงอาวุธ เจอตัวหรือยัง ให้คนของเราออกตามตัวให้ได้ ชั้นกลัวว่า” เจ้านายหนุ่มขบกรามจนนูนเป็นสัน สายตาที่มองทอดไปดูเป็นกังวล

    “ฉันกำลังไป” 

     เดาว่าปลายสายเป็นผู้ช่วยของเขาที่ให้ไปรับคน แต่ไม่บรรลุเป้าหมาย จึงทำให้เขาขับรถมุ่งหน้าไปทางเขาใหญ่ หญิงสาวลุถึงคำตอบโดยไม่ต้องรอคำตอบจากคนขับ ที่ตอนนี้เพิ่มความเร็วแทบจะมิดไมล์รถหรู จนหญิงสาวต้องจับเข็มขัดแน่นด้วยกลัวความเร็ว พร้อมหลับตาปี๋

      ปราณนต์เหลือบเห็นอาการของคนร่วมทาง จึงยกเท้าออกจากคันเร่งให้อยู่ในระดับความเร็วไม่มากนัก

      อิงค์กาญจน์ค่อยๆ คลายมือที่กำเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น และค่อยๆ ลืมตา

     

     รถแล่นมานานเท่าไรไม่รู้ อิงค์กาญจน์เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากเรื่องเมื่อคืน

     เสียงพูดคุยที่แว่วมาจากนอกรถ ปลุกคนในรถให้ตื่นจากภวังค์

     "ครับบอส”

    “ตามนี้ละกัน เดี๋ยวผมเข้าที่พักก่อน กลับกรุงเทพคงไม่ไหว ยังไงแจ้งผมด้วย”

    “ครับ”

    “จ๊อกๆ”

    หญิงสาวลืมไปเลยว่าไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง โรคกระเพาะของเธอกำเริบเสียแล้ว

    “เป็นอะไรคุณ” เปิดประตูมาเห็นหญิงสาวที่เขานำติดตัวมาด้วยนั่งตัวงอ อีกทั้งหน้าตาที่เหยเกซีดเป็นไก่ต้ม

    “ปวดท้องค่ะ น่าจะเพราะไม่ได้ทานข้าวกลางวันค่ะ” ตอบออกไปด้วยเสียงที่แหบพร่า

    “คุณเป็นโรคกระเพาะเหรอ ทำไมไม่บอกผม” ชายหนุ่มถามออกไปอย่างห่วงใย

    เขาห่วงเรื่องงานจนลืมไปเสียสนิทว่าหญิงสาวยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เที่ยง นี่ก็ปาเข้าไปจะสี่โมงเย็นแล้ว

    “เดี๋ยวผมพาไปโรงพยาบาล”

    “ไม่ต้องค่ะ พาฉันไปทานข้าวก็พอค่ะ ฉันมียาพกมาด้วย ได้ทานข้าวทานยาเดี๋ยวก็หายค่ะ” อิงค์กาญจน์บอกได้แค่นั้นก็ปวดจี๊ดที่ท้องขึ้นมาอีก

     "ทานอีกสิคุณ ทานแค่นี้จะกินยาได้ยังไง” เจ้านายหนุ่มสั่งลูกน้องสาว หลังจากเห็นหญิงสาวรวบช้อนส้อมลง เตรียมหายาให้กระเป๋าถือ

       “ฉันทานไม่ไหวแล้วค่ะ” พูดพลางแกะยาวางบนฝ่ามือแล้วเอาใส่ปากพร้อมดื่มน้ำตาม แต่มิวายเอามือกุมท้อง

       “ผมว่าเราเข้าที่พักเหอะ” ไม่พูดเปล่าพลางเดิมอ้อมมาช่วยพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น

       “เราไม่กลับกรุงเทพกันเลยหรอคะ”

       “ธุระยังไม่เสร็จ ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน” เจ้านายหนุ่มบอกด้วยหน้าตาครุ่นคิด หญิงสาวไม่อยากต่อความยาวตอนนี้เนื่องจากอยากนอนพักมากกว่าจะสืบสาวราวเรื่อง

       “คุณพักห้องนี้นะ ส่วนผมพักอีกห้องข้างๆ มีอะไรเรียกผมได้ คุณไปนอนพักเถอะ”

      “ขอบคุณค่ะ” ตอบได้แค่นั้นจริงๆ หญิงสาววางกระเป๋าสะพายไว้บนหัวเตียง พร้อมล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนเพลีย

     

      “คุณ คุณ ตื่นมาทานข้าวต้มก่อน จะได้ทานยาแล้วนอนต่อ” หญิงสาวตื่นตามเสียงเรียกของเจ้านายผู้เย็นชา

      หลังจากเข้ามาเช็คดูว่าหญิงสาวนอนหลับไปได้สักพัก เขาก็ออกไปคุยงานต่อกับอาวุธ ใจก็พะวงห่วงคนที่ทิ้งให้นอนอยู่ที่บ้านพักส่วนตัวคนเดียว จนผู้ช่วยของเขาเสนอว่าให้เขามารอฟังข่าวที่บ้านพัก จะได้ดูแลคนป่วยด้วย

        “นี่ครับบอส เสื้อผ้าตามไซส์ที่บอสสั่ง และก็อาหารอ่อนๆ ให้คุณน้ำอิง เห็นว่าเธอโรคกะเพาะกำเริบ”

        “รู้ดีทุกเรื่องนะนาย ฉันสั่งเฉพาะเสื้อผ้า” รับถุงมาพร้อมกล่าวเหน็บแนมผู้ช่วยอย่างไม่จริงจังนัก

        “ว่าแต่ว่าทำไมบอสถึงรู้ไซส์เสื้อผ้าคุณน้ำอิงล่ะครับ” ถามแบบกระซิบกระซาบ

        “ทะลึ่งละ” ปราณนต์เลี่ยงจะตอบคำถามผู้ช่วยหนุ่ม

        “มีอะไรโทรหาฉันได้ตลอดนะ ระวังตัวด้วย” ตบบ่าผู้ช่วยหนุ่มอย่างห่วงใย

        “รับทราบครับบอส” อาวุธยิ้มให้เจ้านายหนุ่ม เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่เจ้านายมีให้ แค่คำพูดไม่กี่คำแต่ก็ทำให้หัวใจผู้ช่วยหนุ่มมีพลังในการทำงาน

                    

           “อาบน้ำแล้วมาทานข้าวทานยา” สั่งพร้อมวางถุงเสื้อผ้ายื่นให้หญิงสาว

        ‘นอกเวลางานยังจะออกคำสั่งอีก’ อิงค์กาญจน์นึกค่อนในใจ แต่ก็ยอมทำตาม รับถุงเสื้อผ้าและพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนที่เธอพัก

           พอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินออกมาจากห้องนอน เห็นเจ้านายหนุ่มนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารก่อนแล้ว

          “ดีขึ้นรึยัง” ถามเสียงแข็งทั้งที่ภายในใจห่วงใยหญิงสาวหน้าตาซีดเซียวปราศจากเครื่องสำอางตรงหน้ายิ่งนัก

          “ดีขึ้นแล้วค่ะ ทานได้รึยังคะ” ตอบพลางมองอาหาร ต่อมหิวเริ่มทำงาน

          ‘ก็แหงล่ะ ตอนเย็นเธอทานได้นิดเดียวเอง’

          “ก็ทานสิ” ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มทรงเครื่องชามตนเอง โดยทำเป็นไม่สนใจอีกคน

         “วางไว้ตรงนี้แหละเดี๋ยวผมจัดการเอง คุณไปทานยาแล้วนอนพักเลย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวเตรียมหยิบชามไปล้าง

         “ทำตามที่ผมบอก” ปราณนต์ทำตาดุเมื่อเห็นอาการของหญิงสาวจะขัดขืน

         “ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”

        ชายหนุ่มมองตามร่างบางอย่างห่วงใย เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครมานานเท่าไรแล้วนะ ครั้งสุดท้ายตอนคบกับดาด้า            

                   

    ถ้าเขากับดาด้า หรืออรเนศ ไม่เลิกรากันไป เมื่อ 5 ปีก่อน ป่านนี้เขาคงแต่งงาน มีลูกชายกับลูกสาวตัวน้อยๆ อย่างที่เขาวาดฝันไว้กับคนรักเก่า

    เขากับดาด้าคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ครอบครัวทั้งสองต่างฝ่ายสนับสนุนการคบหา เนื่องจากเป็นครอบครัวนักธุรกิจเฉกเช่นกัน ดาด้าเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ แต่เขาก็ยอมทำตามในสิ่งที่หญิงสาวต้องการเสมอ เพราะคำว่ารักคำเดียว

    พอเรียนจบปริญญาตรีในประเทศ เขาก็ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านโรงแรมที่ Cornell University  มหาวิทยาลัยเก่าแก่ในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี 1922 เป็นสถาบันชั้นนำระดับแนวหน้าในกลุ่ม Ivy League มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นให้นักศึกษาที่จบไปสามารถเริ่มต้นธุรกิจด้านการโรงแรมเป็นของตนเองได้

    ซึ่งก่อนไปเรียนต่อ เขากับดาด้าได้ทำการหมั้นหมายกันไว้ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของเขาต่อแฟนสาว และสัญญากันว่าหลังจากเรียนจบกลับมาจะแต่งงานกัน

    แต่แล้วระยะทางก็พาลให้รักครั้งนั้นของเขาพังทลาย เขาไปเรียนต่อได้ไม่ถึงปี เพื่อนสนิทของเขาอย่างภวินทร์ก็ส่งภาพข่าวกอสซิปที่แฟนสาวควงลูกชายนายพลออกงานบ่อยจนผิดสังเกต

    ตัวเขาเองมั่นใจในตัวแฟนสาวเลยไม่ได้เอ่ยถามใดๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปจนไม่อาจเรียกคืนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก เหตุผลในการขอถอนหมั้นเพียงเพราะดาด้ารักคนอื่นมากกว่าเขา ต่อมาไม่นานเขาก็ได้รับข่าวจากทางบ้านว่าหญิงสาวอดีตคู่หมั้นได้จัดงานแต่งงานใหญ่โตกับลูกชายนายพลคนนั้น

    ทำเอาเขาแทบไม่เป็นผู้เป็นคน กินเหล้าแทนน้ำ ไม่มีกะจิตกะใจร่ำเรียนหนังสือ พร่ำแต่จะกลับเมืองไทยไปเคลียร์กับแฟนสาวให้รู้แล้วรู้รอด นี่แหละหนาที่คำโบราณกล่าวไว้ ‘สามวันจากนารีเป็นอื่น’

    ปราบ ผู้เป็นพ่อจำเป็นต้องบินด่วนเพื่อมาเตือนสติลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ให้ทำใจยอมรับความจริงให้ได้ แล้วให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้จบ อนาคตเขายังอีกไกล

    จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นหนุ่มเพลบอย ควงสาวไม่ซ้ำหน้า ไม่ผูกมัด แต่ไร้หัวใจ ซึ่งเป็นที่กล่าวขานในกลุ่มนักเรียนในอเมริกา เขาปฏิญานกับตัวเองว่าจะไม่รักใครอีก

                    “กริ๊ง ๆ” เสียงโทรศัพท์ทำให้ปราณนต์ตื่นจากภวังค์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×