ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The silver fox ตำนานจิ้งจอกเงิน

    ลำดับตอนที่ #9 : ภายใต้ม่านควัน 100%

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 54


    ภายใต้ม่านควัน

     

                สิ่งที่ประจันต่อหน้าเหล่าคณะเดินทางนั้น  ไม่ทราบจะใช้คำใดมาอธิบายถึงจะถูกต้องก็เพราะว่าสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกอายะนั้นจะว่าเป็นสิ่งมีชีวิตก็ไม่ได้  แต่จะบอกว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก็ไม่ถูก  ถ้ามองผ่าน ๆ 8-9ในสิบส่วนจะต้องบอกว่าเป็นแค่ควันไฟธรรมดาแน่นอน  แต่ถ้ามันเป็นเพียงควันไฟธรรมดาคงไม่ทางที่เหล่าคณะเดินทางที่พอจะมีฝีมืออยู่บ้างอย่างพวกอายะกังวลได้เป็นแน่  แต่ถ้าไอ้เจ้าควันไฟธรรมดาพวกนี้เกิดมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ อย่างที่คณะเดินทางกำลังประสบพบเจอในตอนนี้ถามจริง ๆ คุณจะรู้สึกยังไง!!!!!

                ฮานะย้ายตัวเองมาหลบหลังอายะโดยที่ร่างเล็กยืนสง่าสงบนิ่งหาได้มีท่าทีวิตกต่อเหตุการณ์ตรงหน้าแม้เพียงน้อยนิด   ไอและคูมิโกะเคลื่อนตัวมายืนข้างอายะตั้งแต่สังเกตเห็นกลุ่มควันมีชีวิตทั้งสองต่างก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมทุกเมื่อหากกลุ่มควันตรงหน้ามีท่าทีว่าจะเข้ามาโจมตี  เคียวเด็กหนุ่มผู้เย็นชาถึงแม้ไม่มีท่าว่าจะทำการเตรียมพร้อมก็ตาม  แต่จริง ๆ แล้วได้ร่ายเวทเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยเมื่อใดก็ตามที่เจ้าพวกกลุ่มควันน่าสงสัยกระโจนเข้ามาเมื่อนั้นก็ถึงคราวพินาศของพวกมันอย่างไม่ต้องสงสัย  แตกต่างโดยสินเชิงกับชายหนุ่มชาวภูตพฤกษาอย่างชิซึเนะนัยน์ตาสีมรกตสาดแสงขณะจังจ้องมองกลุ่มควันดำทมึนนิ่ง  มือขวาเรียกคทาคู่ใจออกมาถือไว้เตรียมพร้อม  ต่างจากปากบางที่เริ่มทำหน้าที่ปากมอมอีกครั้งอย่างเติมประสิทธิภาพ

                “ผมว่าเจ้าพวกนั้นคงอยากจะรีราศกับคุณเป็นแน่สินะครับ”

                “คุณก็ว่าไปนั้น  ท่าทางมันจะชอบเต้นรำหมู่มากกว่านะค่ะ”และไม่มีทางที่อายะจะยอมน้อยหน้า  สวนกลับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่คนมองอย่างชิซึเนะรู้สึกว่ามันชั่งกวนประสาทยิ่งกว่าอะไร

                “อายะจัง...มันหมายความว่ายังไงกันแน่”น้ำเสียงสัน ๆ ดังมาจากด้วยหลังของอายะ  ฮานะเป็นผู้เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ  ด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านี้มันช่างไม่ตรงกับสิ่งที่อายะน้องสาวผู้เป็นที่รักของตนบอกสักนิด

                “ไม่มีอะไรทั้งนั้นละค่ะพี่   ไม่ต้องห่วงอะไรหรอกค่ะ”  ตอบพร้อมรอยยิ้มละไมก่อนหันกลับไปจ้องมองกลุ่มควันดำนิ่งโดยที่ยังคงรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง

                “เดียวมันก็จบแล้ว...”ทิ้งท้ายสั้น ๆ ดวงตาคู่กลมโตสีเปลือกไม้นิ่งสงบไร้แววใด ๆ ทั้งยังรอยยิ้มบาง ๆ ที่ประดับบนริมฝีปากเล็กสีเชอรี่กลับไม่ทำให้ใบหน้าหวานแลดูชั่วร้ายแต่อย่างใดซ้ำยิ่งทำให้แลดูน่ารักซุกซนเข้าไปอีก

                “เอายังไงดีอายะจัง”คูมิโกะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใส   มันช่างไม่เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าซะจริง....ถึงแม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส   แต่มันชั่งขัดกับมือบางที่กำลังเดาะมีดเล่มเล็กบางขึ้นลงอย่างเพลิดเพลิน  ปลายแหลมของมีดเล่มบางต้องกระทบแสงสีแดงของอาทิตย์ยามพลบค่ำ  มีดเล็กที่ไม่มีคนบ้าที่ไหนคิดจะพิสูจน์ความคมโดยการลองเฉียดคอตัวเองเล่นเป็นแน่

                “ไม่คิดจะเต้นกันสักเพลงหรอกเหรอ”ยังไม่วายมีเสียงประชดเล็ก ๆ จากชิซึเนะอย่างอดไม่ได้  แต่หน้าแปลกที่ครั้งนี้ไร้ซึ้งเสียงโต้ตอบเช่นทุกคราว มีแต่เสียงฝีเท้าคู่หนึ่ง  แม้เสียงนั้นจะเบาแสนเบาแต่ในขณะนี้ที่ไร้ซึ่งเสียงสรรพสิ่ง  เงียบเสียจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตนเอง  ทำให้เสียงนั้นดังเต็มสองรูหูของทุกคน  เมื่อมองตามก็พบว่ามันเป็นเสียงฝีเท้าของร่างเล็ก ๆ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้นัยน์ตาเสียงเดียวกัน  ร่างเล็กเดินเข้าใกล้กลุ่มควันดำช้า ๆ โดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย  ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้เขม็งด้วยไม่เข้าใจว่าเจ้าของร่างเล็กนั้นคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่  แต่ไม่ว่าเจ้าของร่างเล็กนั้นจะคิดอะไรอยู่หรือแม้จะไม่ได้คิดอะไรอยู่เลยก็ตาม  เด็กสาวเจ้าของเรือนผมและนัยน์ตาสีดำรัตติกาลก็ทำได้แต่เพียงเชื่อมั่นและปกป้องเจ้าของร่างเล็กผู้เป็นทั้งนายและเพื่อนสนิทที่เชื่อใจและรักที่สุดด้วยความภักดีไม่เสื่อมคลาย

                ไม่มีใครรู้ว่าอายะกำลังคิดจะทำอะไรถึงได้เดินดุ่ม ๆ เข้าไปใกล้กลุ่มควันที่มีท่าทางไม่เป็นมิตรอย่างไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย หวังว่าอายะจะไม่ได้คิดจะแก้ปัญหาด้วยการเจรจาหรอกนะ  ไม่แน่อายะอาจจะรู้ภาษาควันก็ได้...แต่ถึงจะรู้ภาษาควันจริง ๆ  ดูท่าพวกมันจะไม่ยอมเจรจาด้วยความสดุดีจริง ๆ หรอกนะ  ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นความคิดที่ทุกคนในคณะนี้คิดพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายเลยจริง ๆ ทันทีที่เห็นอายะเดินเข้าใกล้กลุ่มควันนั้นแต่น่าแปลกที่ไม่มีใครเอ่ยปากห้ามร่างเล็กหรือแม้แต่จะมีความคิดที่จะห้ามแม้แต่น้อย  หรือเพราะจริง ๆ รู้สึกอยากจะเห็นฉากจิ้งจอกน้อยปะทะควันสยองกลางป่าก็ไม่ทราบได้

                แต่เหมือนร่างเล็กจะรู้ว่ามีคนคิดอยากเห็นศึกปะทะครั้งใหญ่ก็เป็นได้ร่างเล็กของอายะจึงหันมาเอ่ยถามด้วยดวงตาใสซื่อ(เหมือนจะ)ไร้เดียนสา

                “ไม่คิดจะห้ามหรือถามจริง ๆ หรอ”

                แต่ก็ได้รับแค่รอยยิ้มแหยะ ๆ ของทุกคนที่แปลได้ว่า ไม่เลยสักนิด เป็นคำตอบที่ไม่ต้องถามอีกเป็นครั้งที่สอง  แม้แต่เคียวที่ปกติมักจะนิ่งไม่มีปฏิกิริยาเสมอก็ยังยิ้มตอบเช่นเดียวกันกะทั่งพี่สาวผู้รักและห่วงน้อยสาวเป็นที่สุดอย่างฮานะก็ยังเป็นหนึ่งในนั้นด้วย 

                ให้ตายสิ...มันน่าน้อยใจนักทั้ง  ๆ ที่เห็นเราจะเดินเหยียบขี้แล้วแท้ ๆ ยังไม่มีใครคิดจะห้ามสักคนเดียว  กระทั่งฮานะก็ยังเป็นกับเค้าด้วยอีกคน  ไม่รักอายะแล้วรึไงกัน!!  มันน่านักนะ

                แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นให้เมื่อฮานะยังอยู่ตรงนี่ด้วย  อายะก็ไม่มีทางที่จะอาระวาดเด็ดขาดเพราะนั้นเป็นสัจธรรมของโลก  อาเมท~~

                อายะละจากหน้าเหล่าคนที่จ้องมองตนกระทำการที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่มีท่าทีจะเข้ามาห้ามแต่อย่างใด  ดวงตาสีเปลือกไม้จ้องมองกลุ่มควันตรงหน้านิ่งดวงตากลมโตหลับพริ้มไว้อาลัยให้ตนเองนิ่ง ๆ เป็นเวลาสามวินาที 

                ดวงตาสีเปลือกไม้จับจ้องมองตรงไปข้างหน้านิ่งดวงตาทั้งคู่ไร้ซึ่งแววแกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้นจะมีก็แต่ความนิ่งสงบราวกับผิวน้ำอันไร้เกลียวคลื่น  แต่จงอย่าได้ไว้วางใจกับแววตานี้เป็นอันขาดเพราะมันไม่ต่างกันผืนน้ำที่นิ่งสงบแต่สำหรับใต้น้ำนั้นมันเป็นคนละเรื่องกันเลย

                ร่างเล็กเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเปลือกไม้เช่นเดียวกันสีของนัยน์ตาเดินเข้าไปใกล้กลุ่มควันขึ้นอีก  ทุกย่างก้าวล้วนไร้ซึ่งความกวาดกลัว  แต่ใช่ว่าพวกที่ยืนมองอยู่ด้านหลังจะไม่ห่วงร่างเล็กที่เดินเข้าไป  ทั้งหมดแม้จะดูเหมือนแค่ยืนนิ่งมองดูการกระทำของอายะอยู่เฉย ๆ ก็จริง ๆ แต่ทุกคนได้เตรียมพร้อมอยู่ทุกเมื่อหากกลุ่มควันเหล่านั้นทำท่าจะเข้าโจมตีร่างเล็ก ๆ นั้นแม้แต่ปลายเล็บ

                น่าแปลกเพราะจนแล้วจนรอดกลุ่มควันเหล่านั้นก็ไม่มีท่าทีจะเข้าโจมตีอายะแม้แต่น้อยทั้งยังดูเหมือนว่าพวกมันจะมองไม่เห็นอายะเสียด้วยซ้ำไป...

                จนแล้วจนรอยจนถึงตอนที่ร่างเล็กของอายะเดินหายเข้าไปในกลุ่มควันนั้นก็แล้ว  แต่พวกกลุ่มควันพวกนั้นก็ยังคงไร้ปฏิกิริยาอยู่ดี 

                ตั้งแต่ร่างเล็ก ๆ ของอายะหายเข้าไปในกลุ่มควันเป็นเวลาราว 5 นาทีแล้วแต่ห้านาทีนั้นสำหรับพวกฮานะที่รออยู่ทางด้านนอกกลับเป็นระยะเวลายาวนานเสียจนน่าตกใจ  และในที่สุดเสียงเล็กของอายะก็ตะโกนออกมาจากหลังกลุ่มควันที่ดูราวกับมีชีวิตนั้น

                “เฮ้!!  ค่อย ๆ เดินเข้าได้แล้วค่ะพี่ฮานะ”  ฮานะมองหน้าชิซึเนะที่กำลังจ้องตอบเธอนิ่งราวกับทั้งคู่กำลังปรึกษากันทางสายตาแต่เมื่อดูท่าทางจะไม่รอดฮานะก็ทำท่าจะหันไปของความเห็นของเคียวและสองเพื่อนสาวของอายะแต่เมื่อหันมองด้านข้างของตนก็พบเพียงความว่างเปล่าเพราะบุคคลทั้งสามนั้นเดินเข้าไปด้านหลังกลุ่มควันจนกำลังจะลับหายไปด้านหลังเสียแล้ว  เป็นผลให้ทั้งฮานะและชิซึเนะจึงต้องเดินตามเข้าไปอย่างเลียงไม่ได้

                ผิดคาดจากที่ชิซึเนะคาดไว้มาก  ชายหนุ่มชายภูตคาดว่าสิ่งที่รอพวกเค้าอยู่จะเป็นบรรดาเหล่าอสูรต่าง ๆ เสียอีกแต่ผิดคาดที่สิ่งที่รอพวกตนอยู่นั้นกลับเป็นธรรมชาติที่สวยงามไปเสียอย่างนั้น

                ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี  ดอกไม้นา ๆ พันธุ์ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ  บรรดาสัตว์นานาพันธุ์ต่างรวมขับขานบทเพลงแห่งธรรมชาติอย่างเป็นสุขมันชั่งแต่ต่างเสียเหลือเกินกับกลุ่มควันที่อยู่ด้านหลัง  ดวงตาสีมรกตมองอายะนิ่งด้วยความสงสัย  แต่คงเป็นเพราะจ้องมองอยู่เป็นนานจนทำให้คนถูกจ้องรู้สึกตัวจนทำให้ดวงตาสีเปลือกไม้หันมาประสานสายตาเป็นเชิงถาม

                “อยากถามอะไรรึเปล่าชิซึเนะจัง”คำถามนี้เล่นเอาชิซึเนะตะลึงเล็กน้อย  ก่อนขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทางไม่พอใจเป็นอย่างมาก

                “อายะจังการอ่านความคิดของคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนะครับ”แต่สิ่งที่ตอบกลับมานั้นผิดคาดจากที่ชาวหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตคาดไว้เป็นอย่างมาก 

                “ใครบอกว่าอายะอ่านความคิดชิซึเนะจังกันเล่า....หืม?”ด้วยประโยคเดียวนี้ทำให้ชิซึเนะถึงกับไปไม่ถูก  อีกทั้งรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมยังปั้นหน้าหนูไม่รู้  หนูไม่ได้ทำ ราวกันเด็กน้อยผู้โดนปรับปรำจนทำให้ชิซึเนะในตอนนี้สภาพไม่ต่างอะไรกับเป็นใบ้  ได้แต่ตะลึงนิ่งเงียบทำอะไรถูก  ก่อนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกตัวหันหลังออกเดินหนีไปเสียดื้อ ๆ และหากสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่าใบหูของชายหนุ่มนั้นแดงเสียยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกเป็นไหน ๆ

                “อายะอย่าแกล้งฮายะโตะซังสิจ้ะ”คนที่คิดจะเอ่ยห้ามปรามอายะในตอนนี้เห็นจะมีก็แต่ฮานะเพียงคนเดียวเท่านั้นจริง ๆ เสียแล้วสิ  และเป็นที่แน่นอนที่อายะไม่มีทางทำตามอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน  จบคำปรามของฮานะร่างเล็กของอายะผู้เป็นน้องสาวที่น่ารักของฮานะก็เดินอาด ๆ ตามชายเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตอย่างสุดแสนจะสบายอารมณ์โดยถือคำพูดของฮานะเป็นเพียงลมผ่านหู ถือคติ  ต่อหน้าเชื่อฝัง ลับหลังผ่าฝืน ผ่านหูเป็นลืม  อย่างแข็งขันเป็นที่น่ายกย่อง

               

    ***************************************************************************

                หลังจากที่ร่างเล็กของน้องสาวผู้น่ารักของฮานะเดินห่างไปพอสมควรฮานะก็ได้เริ่มกวาดสายตาสำรวจรอบ ๆ ตัวอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกหลังจากที่เดินผ่านเข้ามาหลังกลุ่มควันที่มองดูราวกับมีชีวิตพวกนั้นอย่างไร้ปัญหา

                จากที่ในคราวแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาพืนป่าที่อยู่ตรงหน้าฮานะนั้นเป็นป่าที่แลดูสวยงามอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ยิ่งมองดูดี  ๆ อีกครั้งสิ่งที่ปรากฏตรงหน้านั้นยิ่งสวยงามจับตาอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ อีกเลย  ต้นไม้แต่ละต้นสูงราว ๆ สองเมตรได้  สายลมอ่อนพัดพากลิ่นหอมอ่อนจากดอกไม้ป่านานาพันธุ์ให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด  บริเวณที่ไม่มีต้นไม้หรือดอกไม้ป่าปกคลุมอยู่นั้นก็จะถูกยึดครองด้วยต้นหญ้าเขียวขจี  แต่เมื่อสังเกตดี ๆ ไกลห่างออกไปปรากฏเป็นกำแพงใสราวกระจกและหากลองสักเกตอีกนิดก็จะมองเห็นได้ไม่ยากถึงล่องรอยของการแตกดูราวกับกระจกบานใหญ่ยักษ์ถูกมือดีโยนหินขนาดใหญ่กระแทกอย่างแรงจนทำให้กระจกบานใหญ่ที่สวยงานให้แตกอย่างน่าชัง

                ฮานะมองดูกำแพงมิติที่แตกร้าวด้วยความรู้สึกไม่ทราบจะบรรยายเช่นไร  มันช่างเป็นความรู้สึกที่มีทั้งความปวดร้าว  ความสิ้นหวัง  และกระทั่งสงสัย....สงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้กำแพงมิติที่ถูกเล่าขานว่าแข็งแกร่งไม่สามารถทำลายได้  ถึงกับเกิดรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ได้ถึงเพียงนี้

                คิดได้ไม่นานฮานะก็ถูกเสียงของน้องสาวสุดที่รักอย่างอายะดึงออกจากการแสกนพื้นที่อย่างเสียไม่ได้  เมื่อหันไปตามเสียงก็เห็นได้อย่างชัดเจน

                ร่างเล็ก  ๆ เจ้าของเส้นผมและนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเปลือกไม้ยืนโดยใช้แขนข้างหนึ่งเท้าเข่าเอาไว้ส่วนอีกข้างที่เหลือกวักเรียกฮานะอย่างน่ารัก  ใบหน้าน่ารักหันมายิ้มอย่างสดใสเช่นทุกครั้ง  รอบ ๆ ตัวอายะประกอบไปด้วยคณะเดินทางครบทุกคน  โดยที่ทุกคนเหมือนจะล้อมวงดูอะไรบางอย่างอยู่  จนเมื่อฮานะเดินเข้าใกล้ก็รู้อย่างชัดเจนว่าทุกคนกำลังล้อมวงรอบ ๆ หม้อขนาดใหญ่มาก ๆ ลักษณะไม่ต่างกับหม้อที่พวกพ่อมดแม่มดไว้ใช้ปรุงยาพิษสักนิดเดียว  โดยมีชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเขียวและนัยน์ตาสีมรกตถือช้อนขนาดใหญ่คนสิ่งที่อยู่ในหม้อ ดูราวกับพวกพ่อมดชั่วร้ายกำลังปรุงยาพิษอยู่อย่างไรอย่างนั้น  ผิดแต่ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังคนอยู่นั้นพวกเค้าทุกคนจะต้องกินเป็นอาหารเย็นของวันนี้เท่านั้น...

                “ชิซึเนะจังทำไมสีมันเป็นอย่างนั้นละ”เสียงหวาน ๆ เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อจะกินได้จริง ๆ อย่างที่ชายหนุ่มบอกหรือไม่

                ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแม้แต่นิดที่อายะจะถามออกไปเพราะสีของน้ำแกงที่ออกเขียวอมม่วงผสมเทาจนมันออกมาเป็นสีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะกินได้จริง ๆ ถ้ามีใครมาบอกอายะว่ามันเป็นยาพิษแล้วละก็อายะคงจะเชื่อทันทีโดยไม่คิดจะสงสัยแม้แต่น้อย

                ไม่จริงน่า  นี่ฉันจะต้องกินมันเป็นข้าวเย็นจริง ๆ เหรอ!!

                นั้นเป็นความคิดเดียวกันที่ทุกคนไม่แม้จะเป็นฮานะผู้แอบหลงรักชายผู้เป็นคนปรุงอาหารหม้อนี้เองกับมือก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน

                “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับอายะจัง  แน่นอนมันต้องกินได้อยู่แล้วครับ”ไม่รู้ว่าคิดได้เองรึเปล่าแต่อายะรู้สึกว่าท้ายประโยคมันเบามากทั้งน้ำเสียงของคนพูดยังไม่ชัดเจนอีกด้วย  ทั้งใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มชาวภูตก็มีสีหน้าซีดขาวไม่มั่นใจอยู่ 8-9ส่วนเสียจนทำให้ความน่าเชื่อถือที่มีอยู่น้อยนิดลดต่ำจนติดลบในเวลาอันรวดเร็ว

                “อายะจะไปตกปลานะ” อายะที่ไม่คิดจะเชื่อใจในประโยคของชิซึเนะเอ่ยเสียงเรียบเสร็จก็เดินเข้าไปด้านในของป่าพร้อมกับดจ้าโอไลออนล์ตัวโตตามไปติด ๆ 

                “งันเดียวคูมิโกะกับไอจังจะไปให้ผลไม้ป่านะจ้ะ”เมื่อเห็นเพื่อนสาวพูดอย่างนั้นคูมิโกะก็ได้อาสาไปหาผลไม้ป่าอีกคน

                “เดียวผมไปกับอายะนะครับ”เด็กหนุ่มผู้ไม่วางใจในอาหารของเพื่อนหนุ่มชาวภูตก็ไปเดินหนีไปอีกคน  ก่อนเดินออกไปทางที่เด็กสาวร่างเล็กเจ้าของผมและดวงตากลมโตสีน้ำตาลเปลือกไม้ออกไปช้า ๆ 

                “เอ่อ...ระ..รุ่นพี่ค่ะงันเดียวฉันจะไปเตรียมที่พักนะค่ะ”ไม่พูดพรำทำเพลงอะไรมากพูดจบฮานะก็เดินหนีชิซึเนะไปอีกคน  โดยไม่มีความเป็นห่วงแม้แต่นิดว่าชายหนุ่มที่ตนแอบรักจะเกิดคิดสั้นฆ่าตัวตายหรือคิดทำอะไรบ้า ๆ หรือเปล่า

               โดยไม่มีใครคิดสนใจอากัปกิริยาของเจ้าของหม้อปรุงยาพิษในสายตาของทุกคนแม้แต่น้อย  หากว่าตอนนี้มีใครสักคน   แค่ใครสักคนได้หันมามองชิซึเนะแล้วละก็คงจะเห็นชายหนุ่มผู้สุดแสนจะฉลาดในเวลาปกติ  รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาคมคายผู้หญิงเห็นเป็นต้องตกหลุมรัก  หน้าซีดเผือก  นัยน์ตาสีมรกตที่มักฉายแววรอบรู้ตลอกเวลามีน้ำตาคลอจะไหลแหล่มิไหลแหล่ หูตกหางลู่ไม่ต่างอะไรกับหมาน้อยผู้น่าสงสารที่โดยเจ้านายทิ้งโดยไม่แม้จะเหลียวหลังมามองเสียด้วยซ้ำ  หากว่าอายะมองเห็นท่าทางของชายหนุ่มในตอนนี้เข้าแล้วละก็ไม่แคล้วต้องหัวเราะงอหงายไม่มีมาดแม้แต่ฮานะยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่มีทางทำให้อายะหยุดหัวเราะไม่ง่าย ๆ  มันช่างเป็นภาพที่หน้าดูชมเสียจริง ๆ มันช่างน่าเสียดายที่อายะไม่เห็นสาระรูปเช่นนี้ของชิซึเนะจริง ๆ

     

                แล้วด้วยเหตุนี้ทำให้อาหารเย็นได้ถูกเปลี่ยนเป็นปลาย่างหอมกรุ่น  ผลไม้ป่าหอมหวานแทนโดยไม่มีผู้ใดคิดขัดค้าน ช่างน่าสงสารชิซึเนะผู้ใจดีอาสาทำอาหารเย็นหม้อใหญ่เลี้ยง  แต่ทุกคนโดยมีแกนนำหลักคืออายะทำเป็นลืมอาหารเย็นหม้อใหญ่ฝีมือชิซึเนะอย่างแข็งขันอย่างน้อยนักจะได้เห็น....แล้วยังทำเป็นไม่สนใจหรือจริง ๆ คงจะลืมกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้  ว่าชายหนุ่มเจ้าของฝีมืออาหารหม้อใหญ่โดยปล่อยให้ชายหนุ่มตกลงสู่หลุมลึกที่มืดมิดที่ถูกเรียกว่าห่วย แตก   โดยไม่มีท่าทีจะสนใจแม้แต่น้อยนิด.....

                ทุกอย่างเป็นไปตามที่อายะบอกไม่มีผิดการเข้าการใกล้กำแพงมิติในตอนนี้ไม่ทำให้เกินอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น 

                “อายะจังทำไมตำนานในอดีตถึงได้ห้ามเข้าใกล้กำแพงมิติในยามที่กำแพงมิติปั่นป่วนละ”ฮานะเอ่ยถามเมื่อทุกคนทานอาหารเย็นเป็นที่เรียบร้อย  ใช่แล้วนั้นก็เป็นคำถามที่ทุกคนต้องการรู้มากที่สุดในเวลานี้คำถามหนึ่ง 

                ร่างเล็กเจ้าของชื่อส่งยิ้มน่ารักกลับไปให้ฮานะ  ดวงตากลมโตฉายประกายประหลาดที่ไม่สามารถอ่านได้   แม้แต่ชิซึเนะผู้เป็นถึงภูตพฤกษาก็ไม่อาจเข้าใจในแววตานั้น...แววตาที่ถอดแบบมาจากอินุยาฉะ  ฮิรุกะเจ้าแห่งจิ้งจอกทั้งหลายผู้เป็นพ่อของฮานะและอายะ  แต่ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจยิ่งนักที่มีเพียงอายะเท่านั้นที่สืบทอดแววตานี้มาเพียงผู้เดียว  และไม่เพียงแววตาอย่างเดียวเท่านั้นทั้งนิสัย  ความเจ้าเล่ห์  เหลียมจัดหรือแม้แต่บุคลิกแห่งการเป็นผู้นำอายะก็ได้รับสืบทอดมาเสียหมด  ในขณะเดียวกันฮานะผู้เป็นพี่สาวกลับไม่ได้รับการสืบทอดนิสัยต่าง ๆ ของฮิรุกะผู้เป็นพ่อมาแม้แต่น้อย  แต่กลับสืบทองนิสัยและกิริยาเรียบร้อยของผู้เป็นแม่อย่างอินุยาฉะ  อามาเนะได้อย่างครบทวนจะขาดก็แต่นิสัยรักเรื่องสนุกที่มันไปฝังตัวอยู่กับอายะเป็นที่เรียบร้อยไม่ตกหล่น  และนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่อย่างน้อย ๆ ในตระกูลอินะยาฉะก็ยังมีคนที่ดูเป็นผู้เป็นคนอยู่  ถึงแม้จะไม่สามารถเอ่ยห้ามอายะได้  แต่อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีคนดี ๆ อยู่บ่างละน่า.....ชิซึเนะส่ายหัวแรง ๆ ไล่ความคิดไร้สาระออกไปก่อนหันมาสนใจในสิ่งที่อายะกำลังจะพูดต่อไป

                “ก็...ไม่มีอะไรมากมายหรอ  ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้นละ”มันช่างเป็นคำตอบที่ไม่เหมือนคำตอบสักนิดในสายตาของคนฟัง  ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้นแต่น้ำเสียงและแววตานั้นทำไมกันนะ  มันช่างเป็นสายตาของคนที่รับรู้ทุกอย่างแต่กลับไม่ยอมที่จะพูดออกมาเสียอย่างนั้น 

                เมื่อต้องเจอกันสายตาของอายะในตอนนี้ชิซึเนะเลือกที่จะนิ่งเงียบและรอ  ใช่...รอให้อายะเป็นคนเอ่ยออกมาเองโดยใช้สายตาของตนเองคาดคั่นคำตอบโดยไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมา  ทุกคนก็เลือกที่จะเงียบเช่นเดียวกันแต่เหตุผลกลับแตกต่างจากชิซึเนะโดยสินเชิง  นั้นเป็นเพราะทุกคนรู้จักอายะดียิ่งกว่าชายหนุ่มชาวภูตนั้นเอง   เพราะรู้เป็นอย่างดีว่าการนิ่งเงียบและเฝ้ารอคำตอบโดยใช้เพียงสายตานั้นเป็นสิ่งที่อายะต้องการนั้นเอง  การทำเช่นนั้นไม่มีทางที่อายะจะตอบเด็ดขาดและเรื่องทุกอย่างก็จะถูกคลุมด้วยหมอกควันอีกครั้ง 

                “อายะจัง  อย่ามัวแต่เล่นสิจ้ะ”ด้วยเหตุนี้ฮานะจึงได้รับเกียรตินี้ไปโดยปริยา   แต่ก็อีกละ  อายะไม่มีทางสลดอยู่ดีนั้นละ  อายะยิ้มเจ้าเล่ห์น้อย ๆ เพียงเสียววินาทีฮานะไม่ทันสังเกตเห็นแต่มันไม่มีทางรอดพ้นสายตาของพวกเคียวและรวมไปถึงชิซึเนะไปได้อยู่ดี  หรือจะพูดอีกนัยน์ก็คืออายะต้องการที่จะให้ทุกคนได้เห็นโดยที่ไม่ต้องการให้ฮานะผู้เป็นพี่สาวของตนเองเห็นนั้นเอง 

                ศรีษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นไหมสีเปลือกไม้เอียนซบตักฮานะ  ดวงตากลมโตสีเปลือกไม้หลับพริ้มด้วยท่าทางมีความสุขโดยที่ทุกคนได้แต่มองอายะนิ่งไม่รู้จะพูดอะไรดี  ยิ่งเมื่อเห็นฮานะเห็นน้องสาวหลับตาพริ้มด้วยท่าทางมีความสุขก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบผมนุ่ม ๆ ของอายะด้วยความเอ็นดูไอ คูมิโกะรวมไปถึงเคียวถึงกับทำอะไรไม่ถูกไม่คิดว่าอายะจะใช้วิธีนี้ในการหลบเลียงไม่เอ่ยถึงเรื่องที่พวกเค้าต้องการจะรู้ 

                “อย่าคิดว่าจะหนีด้วยวิธีนี้ได้นะจ้ะอายะจัง”  น้ำเสียงเย็น ๆ เรียกให้เปลือกตาบางเปิดออกปรากฏนัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้สดใสแต่เมื่อสบเข้ากับดวงตากลมโตสีนำตาลเข้มที่ปกติมักฉายแววอบอุ่นมาทเสมอแต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่าและปรากฏเพียงแววรู้ทัน  ดวงหน้าหวานเรียบร้อยดำทมึนลงอย่างเห็นได้ชัดทำเอาอายะเป็นต้องยิ้มแหะ ๆ ส่งไปให้  ทำทีเป็นกระแฮ่มกระไออย่างไม่ความจำเป็นสักนิด  พลันรู้สึกจะนอนต่อก็ใช่ที่  แต่ไม่รู้จะลุกดีรึเปล่า  อายะค่อย ๆ ดันตัวลุกขึ้นนั่ง  ปฏิกิริยาของพี่น้องทั้งคู่เรียกให้ผู้ที่นั่งอยู่เกิดรู้สึกนับถือหญิงสาวผู้เรียบร้อยอย่างฮานะขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

                “เอาละ  ก็ได้ ๆ พี่ฮานะไม่เห็นต้องดุขนาดนั้นเลยนี่นา...”แต่มีหรือคนอย่างอายะจะยอมรับผิด  ไม่มีทาง!

                เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ  และอายะเริ่มหายจากอาการงอนฮานะเป็นที่เรียบร้อยชิซึเนะจึงไม่รีรอที่จะถามอายะอีกครั้งในคำถามเดียวกับที่ฮานะเอ่ยถามไปก่อนหน้า

                “ตำนานกล่าวไม่ถูกต้องอย่างนั้นนะหรือ”ดวงตาสีมรกตจ้องมองอายะอย่างต้องการคำตอบ  ดวงตาทั้งคู่ฉายแววจริงจังแหลมคมราวกับต้องการที่จะมองให้ทะลุลงไปถึงก้นบึงภายในของอายะก็ไม่ปาน  แต่ดวงตาคู่กลมโตสีเปลือกไม้ก็ไม่มีท่าทีจะหลบแต่อย่างใด  ทั้งยังส่งยิ้มที่อ่านไม่ออกไปให้ชายหนุ่มอย่างท้าทายเป็นอย่างมากด้วยความที่เป็นคนไม่ยอมใครง่าย ๆ

                “หึ..หึ...อย่าคิดมากสิค่ะ  มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ซับซ่อนเสียหน่อย”น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นราวกับว่าเรื่องที่ตนจะกล่าวต่อไปนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่มีสระสำคัญแต่อย่างไร  ทั้งยังเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียยิ่งกว่าเรื่องดินฟ้าอากาศเสียอีกนั้นทำให้ผู้ที่รอฟังอยู่นั้นขมวดคิ้วยิ่งขึ้นไปอีก

                อายะมองสีหน้าของผู้ร่วมเดินทางกับตนเองอย่างพออกพอใจ  ยิ่งได้เห็นอีกฝ่ายคิดกังวลมากเท่าใด  ยิ่งอยากรู้...อยากรู้ว่าถ้าพวกเค้าได้รับรู้ถึงความจริงแล้วจะทำหน้าเช่นไร 

                หึ..หึ...เพียงแค่คิดก็สนุกแล้ว  อยากเห็นกับตาตัวเองเร็ว ๆ จริง ๆ ฮ่าๆๆ...ฮ่าๆๆ

                ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นแต่ดวงหน้าหวานน่ารักก็ยังคงรักษาท่าทางสงบเรียบนิ่งเช่นเดิมได้อย่างดี 

                “เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”ชิซึเนะพึมพำเสียงเบาถึงแม้จะเหมือนชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแต่อายะรู้ดีว่าชายหนุ่มกำลังถามตนเองอยู่และทุกคนก็คงอยากรู้เช่นเดียวกัน  อายะไม่ได้ตอบคำถามในทันทีแต่นั่งมองหน้าของชายหนุ่มเชื่อสายภูตพฤกษานิ่ง  ดวงหน้าที่ฉายแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด  สีหน้าที่พยายามที่จะหาคำตอบด้วยตัวเอง  และสีหน้าที่จนปัญญาที่จะหาคำตอบไม่ใช่แค่ชิซึเนะคนเดียวฮานะก็เช่นเดียวกัน  ผิดกับเคียวและเพื่อนสาวทั่งสองคนของอายะที่ถึงแม้จะอยากรู้มากแค่ไหนแต่ก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างเหนียวแน่น  แต่มันน่าจะเป็นแค่เคียวคนเดียวเสียมากกว่าเพราะทั้งไอและคูมิโกะจริง ๆ แล้วถึงแม้จะอยากรู้ความจริงมากสักแค่ไหนแต่ก็ไม่คิดที่จะถามอายะแต่อย่างใด  ทั้งสองคนต้องการเพียงทำตามที่อายะต้องการก็พอเพราะไม่ว่าจะอย่างไรถ้าอายะอยากบอกก็คงจะพูดออกมาเอง

                อายะจ้องมองดวงหน้าที่แสดงสีหน้าหลายหลายด้วยความเพลิดเพลิน  ดื่มด่ำกับความสับสนของเพื่อนร่วมเดินทางอย่างเงียบ ๆ พร้อมจิตนาการถึงความสนุกเมื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ร่วงรู้ถึงความเป็นจริงที่ถูกเก็บงำในความมืดมิดนานแสนนานด้วยความสนุกราวกับเด็กน้อยกำลังเล็งเห็นของเล่นที่น่าสนใจเป็นที่สุด

                โดยไม่ต้องการเฝ้าจินตนาการต่อไปอีกแล้ว  อายะไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถามเป็นครั้งที่สอง  เตรียมเอ่ยถึงสิ่งที่ทุกคนต้องการล่วงรู้ด้วยความสนุกสนานกับสิ่งที่กำลังจะเกิด...............

                 

     

     ------------------------------------------------------------------------

    ชอบไม่ชอบเม้นบอกได้นะครับ  ผมไม่กัดหรอกฉีดยาครบทุกเข็มแล้ว

    ถึงผมจะกัดจริง ๆ (อ้าวว) ก็ไม่เป็นไรจริง ๆ นะครับ  ผมมีปลอกคอแล้ว(ตกลงมันเป็นตัวไร)ฮี่  ฮี่...

    ล้อเล่นครับ  แต่ยังไงก็ต้องขอโทษก่อนนะครับผมตกภาษาไทยเพราะงันไม่ต้องสงสัยว่าทำไมพิมพ์ผิดเยอะจัง  ต้องขอโทษด้วยนะครับ(โค้งเก้าสิบองศาไหว้งาม ๆ สี่ทิศ)  แล้วก็ขอโทษอีกครั้งนะครับ(ตกลงมันมาขอโทษอย่างเดียว=_=lll) ที่ไรท์แต่งหน้าเบื่อแต่ก็ขอบคุณ(จุดพุฉลองมันเลิกขอโทษแล้ว)ที่อ่านนิยายเรื่องน้นะครับ  ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ  ขอบคุณครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×