คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ความทรงจำตรั้งแรก 100%
หลังจากเหตุการณ์วุ่น ๆ ผ่านไปคณะเดินทางยังคงเดินทางต่อ� แต่มีคน(ตัว)ร่วมเดินทางด้วยอีกหนึ่งเดินปิดท้ายขบวน�� แม้จะได้ร่วมเดินทางแต่กลับไม่เป็นที่ต้องการของใครแต่ก็นะ...จะบอกว่าเข้าร่วมคณะเดินทางก็คงจะไม่ได้เพราะคน(ตัว)นั้นหน้าด้านเดินตามเองต่างหาก� ถ้าพูดถึงอายะละก็ตอนนี้เด็กสาวร่างเล็กยังนอนหลับสบายอยู่บนหลังของเคียวอย่างไม่มีท่าทีจะตื่นในเร็ว ๆ นี้แม้แต่น้อย
����������� เมื่อหัวหน้าคณะจำเป็นอย่างอายะนอนไม่รู้ตัวและชิซึเนะก็ไม่มีทีท่าจะหนีการตามติดของเจ้าเสือยักษ์โอไลออนล์ได้พ้นก็มีแต่ต้องปล่อยในมันเดินตามได้เรื่อย ๆ
����������� ในขณะนี้การเดินทางของคณะเดินทางตกอยู่ในความเงียบ� เงียบจนน่าอึดอัดไม่มีใครพูดอะไร� แม้แต่คูมิโกะก็ยังเงียบ� ยิ่งคนที่เงียบอยู่แล้วอย่างเคียวและไอนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงียบเสียนึกว่าไม่มีตัวตน...
����������� ทามกลางความเงียบเสียงงึมงำเบา ๆ จากคนหลับบนหลังเคียวแม้จะเบามากแค่ไหนแต่ในตอนที่ความเงียบปกคลุมอย่างในตอนนี้นั้นมันกลับฟังดูดังและชัดเจน� เป็นดังเสียงระฆังสวรรค์ที่มาปัดเป่าความเงียบที่น่าอึดอัดให้สิ้น�
����������� เปลือกตาบางเปิดเปลือกตาช้า ๆ แต่พอนัยน์ตาสีเปลือกไม้ต้องแสงแดดยามพลบค่ำก็ต้องปิดเปลือกตาลง� แต่ดูท่าทางเปลือกตาบาง ๆ นั้นจะหนักเกินไปในความรู้สึกของเจ้าของ� จนเจ้าของดวงตากลมโตสีเปลือกไม้ทำท่าจะกลับสู่นิทราอีกครั้งเดือดร้อนเจ้าของแผ่นหลังที่ใจดีให้ยืมหลับพิงกับไหล่ให้ซบ� มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเคียวนั้นทั้งรู้สึกดีใจและทรมานใจแค่ไหน� จะไม่เป็นอะไรเลยถ้าหากว่าร่างเล็ก ๆ ที่หลับอยู่บนหลังของตนนั้นนอนนิ่ง ๆ� แต่นี่อะไรกัน!�� ทั้งดิ้นดุกดิกไปมา� ยังไม่ได้นับว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของอายะแนบสนิทกับหลังของเค้าจนไม่มีช่องว่างให้แม้แต่ลมผ่าน� ไม่ใช้ไม่รู้สึกดีหรอกนะ� แต่มัน!...อ๊ากกก� นี่ยังไม่นับลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดต้นคออยู่นะ� แม่คุณเอ่ย!� ทำไมไม่หันหน้าไปอีกทางเล่า� จะทรมานเค้าอีกนานขนาดไหนหลงนึกว่าแม่เจ้าพระคุณจะตื่นแต่ที่ไหนได้ทำท่าจะหลับต่อเสียอย่างนั้น�
����������� เมื่อมองดูแล้วร่างเล็กบนหลังมีท่าทีจะนอนต่อเคียวจึงคิดใช่มาตรการสุดท้ายปลุกร่างเล็กบนหลัง�� ไม่ใช้ใจร้ายคิดจะกวนการนอนอันเป็นความสุขลำดับต้น ๆ ของร่างเล็กหรอกนะแต่ตัวเค้าไม่ไหวจริง ๆ และในการปลุกก็ไม่ได้มีอะไรมากเพียงแค่โยนร่างเล็ก ๆ บนหลังให้สูงขึ้นนิดหน่อยเช่นตอนที่พวกเค้ายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ� ถึงแม้อายะในตอนนี้โตจากตอนเด็กไม่เท่าไรก็ตาม�อย่างตอนที่คนตัวเล็กบนหลังชอบอ้อนขี่หลังเค้าใกล้ตก��� แล้วยิ่งได้ยิ่งเสียงคางเล็กกระทบกับไหล่แกร่งของตน� ทำให้แทบกลั่นเสียงหัวเราะไม่ไหวและแน่นอนด้วยการนั้นทำให้คนร่างเล็กแสนซนมีอันพับความคิดจะนอนต่อและจำใจต้องตื่นเสียไม่ได้.....
����������� เป็นที่รู้กันว่าอายะเป็วพวกความดันต่ำเวลาตื่นยิ่งเมื่อถูกบังคับให้ต้องตื่นจากนิทราอันเป็นที่รักยิ่ง...มันยิ่งหน้ากลัวเป็นทวี
����������� “ตายซะ!!� อย่าอยู่เลยนี่� นี่� !!”ดวงตาสีเปลือกไม้ยังไม่ทันจะลืมด้วยซ้ำไปเสียงหวานแหลมก็แผดเสียงร้องทันทีและไม่ได้มีแต่เสียงเท่านั้นทั้งยังมีมือเล็ก ๆ ที่เคียวคิดมาตลอกว่าบอกบางน่ารักก็ได้ทำการประทวงเจ้าคนที่มารบกวนการพักผ่อนอันแสนสำราญของตนทันที��
����������� แน่นอนหากไม่นับการต้องมาโดนตระโกนใส่หูกับมือเล็ก ๆ ที่ทั้งทุบทั้งตบทั้งทึ้งแล้วละก็การได้แกล้งอายะอีกครั้งเช่นยังเด็กก็เป็นเรื่องที่ทำให้เคียวมีความสุขจนเผยแย้มยิ้มบาง� ๆ ด้วยความสุขไม่ได้
����������� ไอที่ตอนนี้เดินรั้งท้ายนำหน้าเสือยักษ์โอไลออนล์มองภาพของเพื่อนสาวบนหลังเด็กหนุ่มนัยน์ตาเรียวคมสีท้องฟ้าที่ยังคงนิ่งปล่อยให้เพื่อนสาวร่างเล็กที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเจ้านายของตนเงียบ ๆ พลางความไม่ไว้ใจในตัวของเคียวก็ค่อย ๆ จางลงช้า ๆ� หลังจากเห็นการกระทำหลาย ๆ อย่างและดวงตาสีฟ้าที่มักฉายแววอบอุ่นและห่วงใยที่มอบให้กับอายะเพื่อนสาวและเจ้านายที่ทั้งไอและคูมิโกะรักยิ่งกว่าชีวิตของตน
***************************************************************************
����������� เรื่องนี้เป็นความลับมาตลอดสิบกว่าปี� แม้ในสังคมโลกมนุษย์ธรรมดาจะไม่มีใครรู้แต่ในโลกปีศาจแล้วน้อยคนนักจะไม่รู้ว่าตระกูลคาราซึและตระกูลคาเงะแห่งเผ่าอีกานั้นเป็นตระกูลที่รับใช้ตระกูลอินุยาฉะแห่งเผ่าจิ้งจอกตั้งแต่สมัยบรรณการ� และการที่บุตรของตระกูลอินุยาฉะเมื่อแรกเกิดตระกูลที่รับใช้ใกล้ชิดทั้งสองจะส่งหรือแม้แต่แต่งตั้งลูกของตนให้เป็นองครักษ์เพื่ออยู่ข้างกายบุตรของเจ้าตระกูลอินุยาฉะพี่ชายและพี่สาวของทั้งไอและคูมิโกะเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดพี่ฮายะแต่เป็นเพราะพี่ฮานะไม่ชอบทำให้ทั้งสองคนจำเป็นต้องทำตามพี่ฮานะที่ว่าห้ามเดินตาติดเธอเด็ดขาดแต่จริง ๆ แล้วทั้งสองก็ยังคงตามติดพี่สาวของอายะอยู่ดีเพียงแต่ตัวหญิงสาวนั้นไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง� และตัวของไอและคูมิโกะก็ได้มาเป็นคนที่จะมาอยู่รับใช้อย่างใกล้ชิดของอายะ �ครั้งแรกที่ได้เจออายะยังจำได้ดี� ตอนนั้นเธออายุเพียงแค่สามขวบ�
����������� “ข้าชื่อ คาราซึ� ไอ� เจ้าค่ะ”เด็กหญิงตัวเล็กผมสีดำรัตติกาลตัดสั้นจนดูผ่าน ๆ แทบทำให้คิดว่าเป็นเด็กชายอีกทั้งดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่เรียบเฉยนั้นอีก�
����������� “สวัสดีค่ะข้าชื่อ� คาเงะ คุมิโกะ� เจ้าค่ะนับแต่นี้ไปจะมาเป็นองครักษ์ของนายน้อยอินะยาฉะเจ้าค่ะ”เด็กหญิงอีกคนที่ยืนข้าง ๆ เอ่ยแนะนำพร้อมด้วยรอยยิ้มน่ารัก�� ทั้งเส้นผมและดวงแต่สีดำราวรัตติกาลเช่นเดียวกันเด็กหญิงข้างตัว� หากแต่เด็กน้อยคนนี้กลับแย้มยิ้มตลอดเวลาจนใครมองเป็นต้องรู้สึกเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง�� คงเป็นเพราะเสียงแนะนำตัวของเด็กหญิงทั้งสองเรียกให้เด็กน้อยอีกคนที่หันหลังอยู่นั้นกลับมาสนใจเด็กทั้งสองคนที่บอกว่าจะมาเป็นองครักษ์ของตัวเอง
����������� เด็กน้อยหันกลับมาจับจ้องเด็กหญิงทั้งสองคนนิ่งไม่เอ่ยอะไร� ดวงหน้าหวานน่ารักเอียงเล็กน้อยยิ่งทำให้เด็กหญิงตรงหน้าน่ารักยิ่งขึ้นไปอีก� ดวงตาสีเปลือกไม้ฉายแววสงสัยน้อย ๆ
����������� “ทั้งสองคนจะมาเป็นเพื่อนเล่นของอายะไงไม่ดีใจหรอ?”ชายหนุ่มเรือนผมสีแดงเพลิงราวเปลวไฟ� นัยน์ตาคมสีเดียวกันฉายแววอบอุ่นเมื่อจับจ้องมองลูกคนเล็กของตนที่ยังคงทำหน้างงงวย� เด็กน้อยจ้องมองพ่อของตนสลับกับเด็กหญิงสองคนที่มากับผู้ชายสองคนที่เด็กน้อยเคยเห็นว่ามาหาพ่อของตนก่อนเอ่ยถามกลับไปด้วยคำถามที่พ่อของตนกับเด็กหญิงทั้งสองพูดไม่ตรงกัน
����������� “เค้าบอกว่าจะมาเป็นองครักษ์ของอายะไม่ใช่หรอค่ะแล้วทำไมคุณพ่อบอกว่าเค้าอยากจะเป็นเพื่อนกับอายะหรอค่ะ”ประโยคเดียวทำเอาเด็กหญิงที่มีดวงหน้าเรียบเฉยไม่เข้ากับดวงหน้าอ่อนเยาว์นั้นถึงกับหลุดปากเล็ก ๆ อ้ากว้าง� ดวงตาสีรัตติกาลเบิกกว้างจนอายะคิดว่าน่าจะใหญ่กว่าไข่ไก่เสียด้วยซ้ำ�� และไม่ใช่เพียงแค่เด็กหญิงผมสั้นเพียงคนเดียวเท่านั้นเด็กหญิงอีกคนและผู้ใหญ่ทั้งสองที่อายะเคยเห็นหน้าก็มีสีหน้าไม่ต่างกันเสียเท่าไร�� แต่จะเป็นด้วยความอ่อนเยาว์หรืออะไรไม่ทราบได้ทำให้เด็กน้อยกระตุกชายกางเกงผู้เป็นพ่อเบา ๆ�� ถามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์� เรียกเสียงหัวเราะของผู้เป็นพ่อและประโยคนั้นยิ่งทำให้ดวงตาทั้งสี่คู่ยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก
����������� “คุณพ่อค่ะพวกคุณลุงกับอีกสองคนทำไมตาเค้าโตกว่าไข่ไก่อีกอะ”� ได้ยินว่าบุตรคนเล็กของท่านเจ้าตระกูลเป็นอัจฉริยะที่หมื่นปีจะปรากฏครั้งแต่ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้� จนไอชักจะสงสัยนิด ๆ ว่าตนได้ข้อมูลมาผิดหรือไม่รู้ว่าการคิดไม่เชื่อใจต่อผู้ที่จะมาเป็นนายของตนนั้นเป็นสิ่งไม่ดีแต่มันก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ นิ�� เด็กน้อยผมสั้นสีรัตติกาลคิดเงียบ ๆ
����������� “แล้วแต่อายะจังอยากให้เป็นดีไหม”ผู้เป็นพ่อกล่าวตอบยิ้ม ๆ ให้ลูกสาวคนเล็กของตนด้วยรอยยิ้ม� มองดวงหน้าหวานน่ารักเอียงน้อย ๆ� จมอยู่ในความคิดของตนก่อนจะแย้มยิ้มน่ารักอีกครั้งก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนเผยสีหน้าประหลาดใจอีกครั้ง� แต่คงต้องยกเว้นผู้เป็นพ่อจองเด็กน้อยไว้คนหนึ่ง
����������� “อายะไม่ชอบให้ใครมาเรียกอายะว่านายน้อยอะ� และถ้าอายะพูดว่าไม่ให้คอยตามเหมือนพี่ฮานะไอจังกับคูมิโกะจะก็คงจะตามอายะอยู่ดี...ถ้ามีคนมาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ คอยตามอย่างพี่ฮานะละก็...ไม่อยากคิดเลยอายะคงรำคาญมาก ๆ เลยละค่ะคุณพ่อ....เอางี้ละกันเรามาเป็นเพื่อนกันนะ”พร้อมส่งยิ้มหวาน ๆ น่ารัก ๆ ให้เด็กหญิงทั้งสองคน� แต่มันกลับทำให้ผู้เป็นบิดาของคนลับ ๆ ล่อ ๆ ที่ถูกเอ่ยถึงพูดไม่ถูกเลยทีเดียว� พลางคิดว่าบุตรคนเล็กของนายท่านของตนคนนี้นั้นเป็นอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริงอย่างไม่ต้องพูดถึงเลย
����������� และยังมีข้อแม้อีกหลาย ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือจะต้องปฏิบัติกับคนที่จะเป็นนายเหนือหัวของทั้งไอและคุมิโกะเช่นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น� ��ไม่เรียกนำหน้าด้วยนายน้อยปิดท้ายด้วยเจ้าค่ะ� และต้องเรียกอายะว่าอายะ� และเมื่อไอและคูมิโกะได้มาอยู่รับใช้อย่างใกล้ชิดก็ยิ่งได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวไอคิดนั้นผิดถนัด�
����������� อายะนั้นเป็นคนที่มีความรู้สึกเร็วมากแม้ว่าเผ่าจิ้งจอกนั้นเป็นเผ่าที่มีความรู้สึกเร็วกว่าปีศาจเผ่าอื่น ๆ มากแต่สำหรับเผ่าจิ้งจอกอายะก็ยังเป็นคนที่ความรู้สึกเร็วมากที่สุดที่เคยมีมาก่อนเลยทีเดียว� อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สูงมากอีกด้วย� ไม่ว่าจะเรียนรู้ในเรื่องใดก็ดูเหมือนจะง่ายดายไปเสียหมด
����������� แต่ก็เป็นเพราะเงือนไขที่อายะกำหนดนี่ละที่ทำให้ไอและคูมิโกะปฏิญาณกับตนเองว่าจะปกป้องคนผู้นี้ด้วยชีวิต� จงรักภักดีต่อนายเหนือหัวและเพื่อนรักคนนี้ด้วยวิญญาณจากวินาทีที่ตกลงยอมรับข้อตกลงของอายะไปจนดวงวิญญาณนี้จะแตกสลายไป� ไม่ว่าจะเกิดในชาติไหนเป็นใครก็จะขอจงรักภักดีแต่เพียงคนที่ชื่อ อินุยาฉะ� อายะแต่เพียงผู้เดียว.....
����������� “จัง...ไอจัง...ไอจัง!”ดวงตาคู่สีรัตติกาลเบิกกว้างด้วยความตกใจไม่คิดว่าตัวเองจะจมอยู่ในภวังของตนจนไม่รับรู้ถึงสิ่งภายนอกได้ถึงเพียงนี้
����������� “ไอจังคิดอะไรอยู่หรอยิ้มแก้มปริเชียว”เสียงใส ๆ ของคูมิโกะเอ่ยล่อเลียน� ไอเพียงแต่ส่ายศรีษะเบา ๆ และเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม
����������� ไม่หน้าเชื่อว่าเธอที่มีหน้าที่ปกป้องอายะจะเดินเหม่อได้ขนาดที่คูมิโกะตระโกนเสียงดังขนาดนั้นถึงได้รู้สึกตัว�
����������� คูมิโกะมองเพื่อนสาวผู้นิ่งเงียบของตนยิ้ม ๆ ถึงแม้ไอจะไม่ได้เอ่ยตอบอะไรเธอมาก็จริงแต่ด้วยการที่คบหาเป็นเพื่อนกันมานานนับสิบปีทำให้รู้ได้ไม่ยาก� ทำไม้คูมิโกะจะไม่รู้ไอนั้นเป็นคนที่สามารถคิดหรือทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่มีปัญหาแต่เมื่อกี้กลับเหม่อลอยได้ถึงขนาดนั้น� และเรื่องเดียวที่ทำให้ทั้งตัวของคูมิโกะเองและไอเหม่อลอยไม่รับรู้เรื่องราวนอกกายได้ขนาดนั้นก็คงจะมีแต่เรื่องของอายะเท่านั้น�� เพราะเมื่อใดก็ตามที่ทั้งคู่คิดถึงเรื่องของอายะพวกเธอทั้งคู่จะตัดการรับรู้ภายนอกออกจนหมดไม่รับรู้อะไรเลยและตกอยู่ในภวังความคิดของตนจนทำให้โดนอายะแกล้งหลายต่อหลายครั้ง�
����������� “ไปกับเถอะ”ไอเรียกคูมิโกะเสียงเรียบก่อนก้าวตรงไปรวมกลุ่มกับอายะที่ยังคงอาละวาดเคียวไม่เลิก� โดยมีฮานะคอยปลอบน้องสาวให้เลิกรังแกเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าที่อุตส่าห์ใจดีให้ยืมหลังแต่กลับทำดีไม่ได้ดีแถมยังต้องมารอบรับพายุความดันต่ำของใครบางคนอีก� และยังมีพื้นหลังเป็นชิซึเนะหัวเราะร่าโดยไม่คิดจะเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย����
����������� ไปกันเถอะ...ไม่ว่าจะไปที่ไหนพวกเราจะตามไปอยู่เคียงข้างเธอเสมอ...
����������� ในทุกที่...ที่อายะอยู่จะมีไอและคูมิโกะติดตามไปปกป้องอายะ...เสมอ....
***************************************************************************
����������� อายะหลับมาทำหน้าที่อีกครั้งแม้ปากเล็กสีเชอรี่จะส่งเสียงบ่นอุบอิบเป็นการท้วงเคียวเป็นระยะไม่ได้หยุดก็ตาม� ตอนนี้คณะเดินทางยังคงเดินทางกันต่อไปถึงแม้เวลานี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้วก็ตามแต่คณะเดินทางที่นำโดยเด็กสาวมอปลายผู้มีดวงหน้าน่ารักแต่กลับเปรี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์ราวปีศาจร้ายยังคงออกเดินต่อไปโดยไม่มีท่าทีจะหยุดหาที่พักแต่อย่างใด
����������� “พวกเราจะเข้าใกล้กำแพงมิติมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”ชิซึเนะเอ่ยหลังจากเงียบมานานตั้งแต่ตอนที่ทั้งคู่ทะเละกันเรื่องที่ชิซึเนะบอกว่าอายะทำบางอย่างให้เจ้าเสือยักษ์โอไลออนล์เชื่องได้และมันก็ตามคณะเดินทางมาตลอดเวลาที่อายะหลับอยู่บนหลังของเคียวและสั่งให้อายะปล่อยให้มันอยู่ในป่าเหมือนเดิมดีกว่าจะให้เดินทางไปด้วย�� ดูเหมือนอายะไม่ยอมทั้งยังบอกว่าถ้ามันจะตามไปด้วยก็ให้มันไปแถมยังตั้งชื่อให้มันอีกว่าไวท์จัง เป็นอันว่าคณะเดินทางมีสมาชิกใหม่อีกคน(ตัว)ร่วมเดินทางไปด้วยอย่างเป็นทางการ.....ด้วยประการฉะนี่แล
����������� “ต้องเข้าใกล้อีก”อายะตอบกลับสองขาเรียวยังคงก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีท่าทีจะหยุดตามที่ชายหนุ่มชาวภูตเตือนแม้แต่น้อย
����������� “ไม่ได้!� เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอหากเข้าใกล้กำแพงมิติในตอนนี้อะไรจะเกิดขึ้น!”ชิซึเนะไม่มีท่าทีจะยอมอ่อนข้อง่าย ๆ นัยน์ตาสีมรกตฉายแวววาวโรจน์จ้องมองร่างเล็กที่เดินนำ� ทั้งยังไม่ยอมเดินต่อ�� แต่กับท่าทางของชิซึเนะอายะกลับไม่แม้แต่จะหันกลับไปโต้เถียงเสียด้วยซ้ำ� ทั้งยังเดินต่อไปโดยไม่รอชายหนุ่ม� จนชิซึเนะต้องเป็นฝ่ายวิ่งไปดักหน้า
����������� “เธอไม่เข้าใจรึไง!� การเข้าใกล้กำแพงมิติตอนนี้มีแต่จะสร้างผลเสียกับเราเท่านั้น”ชายหนุ่มยังคงไม่ถอดใจแม้อายะจะเดินผ่านชายหนุ่มไปอีกทางก็ยังคงเดินตามไป�
����������� “ขอร้องละอายะ� ในตอนนี้พวกเราไม่สามารถจะเข้าใกล้กำแพงมิติได้หรอก”ชิซึเนะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมากดวงตาคู่สีมรกตฉายแววจริงจังเช่นทุกครั้ง� ราวกับจะบอกให้คนมองรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตนเองสื่อออกไป�� หากแต่สิ่งที่ชิซึเนะได้รับจากอายะกลับเป็นรอยแสยะยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยน์
����������� “ชิซึเนะจังแน่ใจเหรอว่าไม่สามารถเข้าใกล้ได้� และแน่ใจได้อย่างไงว่าหากไม่เข้าใกล้มากกว่านี้จะไม่มีอันตรายหือ~”พูดโดยไม่มีท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อยทั้งยังแฝงด้วยความมั่นใจในตัวเองโดยไม่มีทีท่าจะเกรงกลัวต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่าตนเองกำลังจะไปเดินเล่นสวนหลังบ้านก็ไม่ปาน
����������� “หมายความว่าไง?”ฉับพันแววตาคู่มรกตที่ฉายแววจริงจังกลับเปลี่ยนเป็นสงสัย� ทำเอาคนมองปรับอารมณ์ไม่ทัน� แต่คงต้องเว้นอายะไว้คนหนึ่ง� เด็กสาวไม่แม้แต่เปลี่ยนสีหน้าเพียงน้อยนิด
����������� “ชิซึเนะจังก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ...เรื่องนั้นไง”อีกทั้งยังยิ้มน้อย ๆ พร้อมถามหลังจนทำให้ชิซึเนะและคนที่ฟังอยู่ไม่เข้าใจในรอยยิ้มและคำถามนั้นอีกด้วย
����������� “หึ..หึ..ก็เรื่องที่ชิซึเนะพูดเมื่อกี้ไงละ”เมื่อเห็นคำว่า’งง’บนหน้าผากของคนฟังทำเอาอายะต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ�� ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างเข้าใจความหมายในสิ่งที่อายะพูด�� สิ่งต่อมากลับเป็นความสงสัย� ทั้ง ๆ ที่อายะรู้แต่ก็ยังจงใจเดินเข้าใกล้กำแพงงันนะเหรอ�
����������� “ฉันรู้...เราถึงได้ต้องเข้าใกล้กำแพงมิติให้มากกว่านี้ยังไง”คราวนี้กลับไม่ปรากฏแววล่อเล่นในน้ำเสียงของอายะอีก� ทั้งยังเจื่อไปด้วยแววจริงจังอย่างน้อยครั้งนัก�� คำพูดนี้ทำให้ฮานะที่ยืนฟังทั้งสองคนตัดสินใจเดินตามอายะในทันที�� ไอและคูมิโกะนั้นไม่ว่าอายะจะทำอะไรทั้งคู่ก็ไม่คิดจะรู้ความคิดของเพื่อนสาวพวงเจ้านายอยู่แล้ว� เพราะเชื่อใจและมั่นใจในตัวของอายะและถึงแม้อายะจะสั่งให้ทั้งสองสาวตาย ทั้งไอและคูมิโกะก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่งอย่างไม่อิดออด� แต่ไม่ใช่ชิซึเนะ
����������� “หมายความว่าเธอรู้�� รู้มาตลอดตำนานอันกล่าวขานมาแต่โบราณในยามที่ทุกเผ่าพันธุ์อาศัยร่วมกัน� โดยไร้ซึ่งสงครามในยามที่เหล่าเทพผู้สรรสร้างศัทราสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต� ในยามที่มีเพียงกำแพงมิติอันเปราะบางไว้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเขตดินแดน� มีตำนานเล่าขานไว้ว่าเมื่อยามที่กำแพงอ่อนแรงที่สุดจัดก่อให้เหล่าสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รอบกำแพงมิติเกิดการเปรียนแปลง...”ชิซึเนะไม่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงราวนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิ� กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่สูงไม่ต่ำ� ดวงหน้าหล่อคมเรียบเฉยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่สิ่งที่กล่าวออกมานั้นเรียกแววตื่นตระหนกให้ปรากฏบนใบหน้าสวยหวานของฮานะ� ดวงตากลมโตมองสลับระหว่างชิซึเนะและน้องสาวของตนอย่างแตกตื่นในสิ่งที่ได้รับรู้ �
����������� “มะ...หมายความว่ายังไงอายะจัง...ฮายะโตะซังมะ...มันไม่จริงใช่ไหม..”ฮานะเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ� สับสนไปหมดไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีระหว่างน้องสาวผู้เป็นที่รักและ...คนที่ตนแอบรัก!...
����������� อายะยิ้มพร้อมโอบกอดฮานะ� มือเรียวขาวลูบหลังปลอบผู้เป็นพี่สาวด้วยความรัก� สัมผัสที่ส่งมาจากมือเล็ก ๆ ที่ลูบแผ่นหลังได้ปัดเป่าความรู้สึกสับสนให้มลายสูญสิ้นไปไม่ยาก� ทำให้ฮานะรับรู้ถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านจากมือของผู้เป็นน้องสาวที่คอยปลอบโยนเธอเสมอมา� ความรู้สึกที่รับรู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นน้องสาวคนนี้ก็จะคอยปกป้องเธอเสมอไม่ว่าจากอะไรก็ตาม� รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองที่เป็นพี่สาวจะต้องเป็นที่พึ่งของน้อง...แต่ตลอดเวลากลับเป็นเธอตลอดที่ถูกปกป้อง�
����������� “ไม่เป็นไร� ไม่เป็นไรเชื่อใจอายะนะ”� น้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นไม่ว่าจะได้ฟังสักกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ยังคงความรู้สึกอบอุ่นเสมอไม่เสื่อมคลาย� นี่สินะคือสิ่งที่ผู้ที่เป็นผู้นำมิอาจขาดได้� สิ่งที่เรียกว่า....เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ......
����������� ประโยคนั้นมิได้ส่งผลต่อจิตใจฮานะผู้อ่อนโยนเพียงผู้เดียว� แต่ยังส่งผลต่อชิซึเนะอย่างร้ายแรงอีกด้วย�
����������� นัยน์ตาสีมรกตอ่อนแสงลง� ในยามที่ดวงตาคมจ้องมองร่างสองพี่น้องโอบกอดกันแน่นแม้จะเป็นภาพที่แลดูประหลาดอยู่มากแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า...มันช่างเป็นภาพที่อบอวนไปด้วยความรักและความผูกพันระหว่างครอบครัวที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปขวางได้เลย�
����������� อยู่ ๆ ก็เกิดรู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า�� ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรถ้าตามคน ๆ นี้ไปละก็...ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะอันตรายแค่ไหน...จะต้องผ่านไปด้วยดีอย่างแน่นอน.....
����������� “ถ้าเธอยืนยันขนาดนั้น...ผมก็จะลองเชื่อใจเธอดูสักครั้งก็แล้วกันนะครับ”เอ่ยนิ่ง ๆ เมื่อเห็นอายะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของฮานะและเป็นฝ่ายออกเดินนำไปก่อน�
����������� แต่ไม่ทราบว่าชายหนุ่มจะรู้ตัวรึเปล่าว่าดวงหน้าหล่อคมนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อ� ทำให้คนมองอดหัวเราะน้อย ๆ อย่างอดไม่ได้� แต่ไม่ใช่สำหรับอายะเด็กสาวหัวเราะดังลั้นอย่างไม่คิดจะเกรงใจหรือเห็นใจคนถูกหัวเราะแต่อย่างใด� ซ้ำยังเดินเร็วตามชิซึเนะพร้อมเอ่ยคำที่ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อ ๆ นั้นยิ่งแดงไปถึงหูทั้งสองข้างและยังมีท่าทีจะลามไปทั้งตัวอย่างไม่ต้องสงสัยอีกด้วย� ไม่ทราบว่าเป็นโชคดีของชิซึเนะหรือจะเป็นคราวซวยของคณะเดินทางกันแน่ที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของทุกคนตอนนี้ได้สะกดเสียงหัวเราะและคำพูดล้อเลียนจากอายะได้ชะงักให้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ร่วมเดินทางมากับคณะเดินทางจนถึงตอนนี้
����������� เจ้าสิ่งที่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตได้หรือไม่นั้น� ในตอนนี้กลับกำลังตั้งขบวนเดินทางแม้จะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่เช่นทัพออกศึกได้แต่ก็ไม่ใช่เล็ก ๆ เช่นกัน...
����������� ไหนบอกว่าถ้าเข้าใกล้กำแพงมิติตอนนี้แล้วจะไม่เป็นไรอย่างไงละ�� อินุยาฉะ� อายะ!!!....�
สวัสดีครับ� ผมชื่อเคยินดีที่ได้รู้จักครั้บ
เรื่องนี้ผมแต่งจริง ๆ เป็นเรื่องแรกยังไงก็ฝากด้วยนะครับ
บายครับ
ps.� ไม่ว่าจะนานแค่ไหน...ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรเปลี่ยนไปซักแค่ไหน....ข้าก็จะเป็นของเจ้าตลอดไป.................ตลอดกาล...
ความคิดเห็น