ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The silver fox ตำนานจิ้งจอกเงิน

    ลำดับตอนที่ #10 : ความจริงของตำนาน 100%

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 54


    "โลกที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปีศาจ  เทพ  มาร  มนุษย์ทั้งที่ไม่มีซึ่งพลังอำนาจและพวกซึ่งเติมไปด้วยเวทมนต์  ศาสตร์มืด  พลังปัดเป่า  ปกป้องและรักษา ล้วนอยู่ร่วมกันถูกสรรค์สร้างมาจากน้ำมือของท่านผู้สร้างอันถูกเรียกขานว่าเป็นบิดาแห่งเทพ  พระผู้เป็นเจ้า... และถูกปกปักดูแลจากบุตรแห่งพระองค์ที่ได้ลงมาจุติเพื่อเฝ้ารักษาสัพชีวิตทั้งหลาย.....นานแสนนานเมื่อเหล่ามนุษย์ที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจเริ่มระแวงแกรงกลัว  ขลาดเขลา  ทุกเผ่าพันธุ์อันเติมไปด้วยพละกำลังและอำนาจและเริ่มก่อสงครามเข่นฆ่าเผ่าพันธุ์อื่นไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเอง  จนเป็นผลให้บุตรแห่งพระองค์แยกเผ่าพันธุ์อื่นรวมทั้งมนุษย์ที่มีซึ่งพลังอำนาจออกจากเหล่ามนุษย์ผู้ไร้ซึ่งอำนาจแต่เติมไปด้วยตันหา  ราคะ  กิเลส  ให้ออกจากกันโดยพระบุตรไม่ต้องการเห็นซึ่งสงครามใด  ๆ อีก  เหล่ามนุษย์ผู้ไร้ซึ่งพลังและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ รวมไปถึงมนุษย์ผู้มีพลังในกำมือมิได้ทำสงครามกันอีกเลยหลังจากนั้น  และพระบุตรยังได้ทรงสร้างสิ่งที่บ่งบอกถึงอาณาบริเวณของเผ่าต่าง ๆ เพียงให้ดูแลตนเอง บุตรแห่งพระเจ้าอาศัยปะปนร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ โดยไม่มีผู้ใด ล่วงรู้ถึงตัวตนและพลังอันมหาศาลของบุตรแห่งพระองค์อีกเลย  หรือแม้จะมีแต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดทรยศต่อพระบุตร  และได้ใช้ชีวิตร่วมกับพระบุตรเฉกเช่นมนุษย์ผู้หนึ่งเท่านั้น....."

                เสียงหวานนุ่มกล่าวบอกเล่าตำนานที่ร่างบางผู้เล่าเป็นผู้ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องท่องจำให้ขึ้นใจ  น้ำเสียงหวานนุ่มฟังราวกับกำลังขับร้องบทเพลงท้วงทำนองแห่งอดีตกาลอันยาวนาน  นุ่มนวนอ่อนหวาน  แต่กลับแผงไปด้วยความจงรักภักดี  และเทิดทูนราวกับร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้กำลังขับกล่อมบทเพลงของผู้เป็นนายที่ตนเองเคารพ  ภัคดีและเทิดทูนสุดหัวใจ จนทำให้ผู้ฟังตำนานจมนิ่งราวต้องมนต์อย่างมิอาจถอนตัวได้จนแม้เสียงหวานนุ่มจะหยุดไปนานจึงรู้สึกตัว

                และสิ่งที่แปลกก็คือไม่มีใครเข้าใจเลยแม้แต่คนเดียว  กับสิ่งที่อายะขับขานออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน  แต่ก็ได้แต่นิ่งคิดอยู่ในภวังค์ของตนเองเงียบ ๆ จนฮานะทนไม่ไหวจึงได้เอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้

                "มันไปเกี่ยวกับกำแพงมิติยังไงละอายะจัง"ผู้ถูกถามแย้มยิ้มน้อย ๆ แต่กลับไม่เหมือนรอยยิ้มของร่างเล็กในยามปกติแม้แต่น้อย  แต่มันกลับแผ่กลิ่มไอลึกลับออกมาตลบอบอวน

                "เกี่ยวกับกำแพงมิติยังไงงันเหรอ  เกี่ยวสิ....เกี่ยวมาก ๆ เลยละ"แต่แทนที่อายะจะตอบร่างเล็กกลับเลือกที่จะตอบอย่างที่ต้องทำให้คนฟังต้องคิดให้ปวดหัวอีกรอบ

                ทุกคนจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนนิ่ง  และพยายามเรียบเรียงถึงสิ่งที่อายะต้องการจะบอกออกมา 

                ทำไมอายะถึงได้เล่าตำนานการกำเนิด  มันเกี่ยวยังไงกับเรื่องกลุ่มควัน  ทำไมถึงได้มีตำนานห้ามไม่ให้เข้าใกล้กำแพงมิติในช่วงเวลานี้  ทำไม  ทำไมและทำไมอีกหลายคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้  โดยที่ทุกคนกำลังจนนิ่งอยู่ในภวังค์ของตนโดยมีอายะนั่งนิ่งเฝ้ามองสีหน้าของเพื่อนร่วมเดินทางของตนอย่างเป็นสุขอยู่ ๆ ดวงตาสีท้องฟ้ายามเช้าเบิกกว้างบรรยากาศรอบตัวของเด็กหนุ่มนามเคียวได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  เมฆหมอกดำทมึนที่บดบังความสับสนมลายหายไปจากนัยน์ตาคู่คมสีท้องฟ้าทำให้ตอนนี้แลดูใสกระจ่างไม่ต่างกับท้องฟ้าในยามไร้เมฆบดบัง  ริมฝีปากบางแย้มยิ้มน้อย ๆ ไปให้อายะเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความสนุก  สนุกในเรื่องที่กำลังจะเกินขึ้น...โดยไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวผสมอยู่แม้แต่น้อยเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดรับรู้  มองเห็น  นอกเสียจากอายะเพียงผู้เดียวที่แย้มรอยยิ้มไม่ต่างกันมอบให้ฝ่ายของเด็กหนุ่ม

                แต่ถึงแม้เคียวจะพอเดาได้ราง ๆ ถึงเรื่องราวในอดีตและสิ่งที่กำลังจะเกินขึ้นนับจากนี้แต่เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองอร่ามกับนัยน์ตาสีท้องฟ้ายามเช้าก็ไม่ได้มีท่าทีจะบอกหรือไขข้อข้องใจให้เพื่อนร่วมคณะที่เหลือแม้แต่น้อย  ซ้ำยังอยากเห็นเรื่องสนุกเช่นเดียวกับเด็กสาวร่างเล็กอีกด้วย

                หลังจากนั้นเด็กหนุ่มสาวทั้งคู่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร  เอาแต่นั่งงอมือมองหน้าอีกห้าคนที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตนอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยแทบอดใจไม่ไหวที่จะได้เจอเรื่องสนุก  แต่ยิ่งนานเข้าคณะเดินทางก็ไม่มีท่าทีจะคิดออกหรือแม้แต่จะมองเห็นราง ๆ ก็ยังไม่เฉียดเข้าใกล้ด้วยซ้ำไปจนทำให้อายะแทบอยากจะอาละวาดออกมาอย่างเสียให้ได้  จนต้องจำใจ  ขอย้ำว่าอายะนั้นจำใจจริง ๆ ที่ต้องมานั่งบอกใบ้ในเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ 

                แต่อายะน้อยจะรู้ไหนนะ  ว่าเรื่องที่ตนเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องนั้นคนอื่นเค้าไม่ได้คิดอย่างนั้นแม้แต่น้อยทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของอายะมาก ๆ เอาเสียด้วย....อยากจะรู้เสียจริง ๆ หากว่าฮานะหรือชิซึเนะเกิดได้รู้ถึงความคิดนี้ของอายะทั้งคู่จะรู้สึกอย่างไร...

                "โอ้ยยยยยย  จะอะไรกันนักหนาคิดอยู่นั้นละ  ชิซึเนะจังก็ด้วยไหนบอกว่าเป็นภูตพฤกษาผู้รอบรู้ไงกับเรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ออกอีกหรือไงกัน"ในที่สุดความอดทนของอายะก็ได้หมดลงจนได้  ในตอนนี้อายะหน้ามืดจนไม่คิดจะรับรู้หรือสนใจแม้แต่น้อยว่าฮานะผู้เป็นพี่สาวจะมองตนว่าเป็นเด็กดื้อหรือะไรทั้งนั้น  อายะรู้เพียงแค่ว่าตัวเองไม่สามารถนั่งเล่นจ้องตาได้อีกต่อไป  การนั่งมองชายหนุ่มผู้ร่วมเดินทานกับพี่สาวของตนนั่งเล่นเกมส์จ้องตากันไปมาอย่างนี้มันจะทำให้อายะประสาทเอาเสียให้ได้

                ฮานะจ้องมองน้องสาวสุดที่รักของตนอย่างงง ๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีโมโหโกรธกับท่าทางที่อายะแสดงออกมาหรือคิดว่าอายะดื้อแต่อย่างใด  ที่ฮานะสงสัยเป็นเพราะไม่เข้าใจว่าตกลงอายะไม่พอใจเรื่องอะไรกันแน่ต่างหาก 

                "อายะจังเป็นอะไรไปจ้ะ"และด้วยความซื่อของฮานะทำให้หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอย่างแสนซื่อ  ดวงหน้าหวานเรียบร้อยของฮานะฉายแววสงสัยงงงวยเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความไม่เข้าใจของฮานะและเมื่อหันมาพบดวงหน้าหวานที่มีส่วนคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมากแต่กลับมีสีหน้าต่างกันราวฟ้ากับเหว

                ดวงหน้าหวานซุกซน  ดวงตาสีเปลือกไม้เบิกโพนแทบจะถลนออกมาให้ได้ริมฝีปากสีเชอรี่ที่มักแย้มยิ้มซุกซนเป็นเนื่องอ้ากว้างทำท่าล้อแมลงวันอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาเคียวที่นั่งมองอยู่ถึงกับอดที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้และไม่ต้องพูดถึงคูมิโกะและไอสองเด็กสาวกดชัดเตอร์รัวไม่ยั้งประกายแสงแฟลชส่องวูบวาวทำเอาอายะจำต้องหลับตาหลบแสงอย่างเสียไม่ได้คิ้วเรียวกระตุกถี่ ๆ ด้วยอารมณ์ของเจ้าของที่ไม่สู้จะคงที่นัก  ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะของเคียวให้ดังขึ้นไปอีก 

                ดูท่าทางแล้วเคียวคงไม่ได้คิดอยากจะดูเรื่องสนุกเรื่องเดียวกับที่อายะอยากดู  ชักทำให้อายะสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ ไม่ได้ว่าเรื่องที่เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีท้องฟ้าแสนเย็นชาอยากจะดูจริง ๆ คงจะไม่ใช้เรื่องที่ตัวอายะกำลังเจออยู่ในตอนนี้เหรอนะ

                บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของพวกอายะเต็มไปด้วยความสนุกสนานสดใสราวกับท้องฟ้าในยามที่ไร้เมฆหมอกบนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแม้แต่เคียวที่เป็นเสือยิ้มยากยังถึงขนาดหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่น่าเสียดายบรรยากาศที่สดใสเป็นอันถูกทำลายเสียย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี  แต่ในครั้งนี้กลับไม่ใช้แค่สัตว์ธรรมดาอย่างพวกหนอนยักษ์เป็นแน่  แม้เคียวจะยังคงรักษาท่าทีที่เยือกเย็นได้อย่างดีแต่ไม่อาจบอกได้ว่าเด็กหนุ่มไม่รู้สึกตื่นตระหนก ในขณะที่ทุกคนตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเพียงอายะเท่านั้นที่ไม่มีท่าทีและไม่ได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้แม้แต่น้อย

                สิ่งที่พวกอายะกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ใช้เรื่องเล็กเพียงแค่ตระกูลหนอนยักษ์บุกเท่านั้นแต่สิ่งตรงหน้ากลับเป็นสิ่งที่น่าตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้นมาก  นั้นก็คือธรรมชาติที่ฮานะชอบนักชอบหนา  ชมนักชมหนาว่าสวยงามแต่ตอนนี้กลับเป็นราวกับมัจจุราชถือเคียวพร้อมกระชากวิญาณพวกตนลงสู่ห้วงอเวจีก็ไม่ปาน  สภาพตอนนี้แลดูสับสนไปหมด  ลมพายุที่โบกสะบัด  แม่น้ำเชี้ยวกราด  พื้นพิภพสั้นสะเทือนราวกับจะแยกตัวออกจากกัน 

                ไอและคูมิโกะเคลื่อนตัวเข้าหาอายะสายตาของทั้งคู่สาดแสงอำมหิตระแวดระวังเติมที  ทุกคนล้วนตื่นตระหนกขึ้นไปอีกยิ่งเมื่อสายฟ้าเส้นสีทองฟาดห่างจากกลุ่มไปไม่ถึงครึ่งเมตรดีด้วยซ้ำเสียงหวีดร้องจากฮานะดังสนั่น  แต่อายะก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่นตระหนกแม้สักนิด

                ทั้ง ๆ ที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกอย่างชัดเจนเมื่อหันมองตามเสียงกลับเป็นร่างเล็กเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีเปลือกไม้จับจ้องมองสถาพรอบ ๆ ด้วยแววตานิ่งสงบไม่มีท่าทีตื่นตระหนกซ้ำยังเหมือกับอายะจะรู้เป็นอย่างดีว่าเรื่องตรงหน้ากำลังจะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีท่าทีจะสนใจอีกทั้งร่างเล็กยังทำราวกับตั้งตารอให้เหตุการณ์ตรงเกิดขึ้นอย่างอดใจรอไม่ไหวอีกด้วยริมฝีปากสีเชอรี่แย้มยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวแต่ผู้ที่ได้เห็นรอยยิ้มกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุราวกับกลัวความคิดของร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้นแต่ก็ไม่มีใครที่สามารถห้ามร่างเล็กแสนน่ารักตรงหน้านี้ได้แม้แต่คนเดียวแต่ถึงคนที่สามารถเอ่ยห้ามร่างเล็กได้กลับไม่มีความคิดที่จะเอ่ยห้ามแม้แต่น้อยถ้าจะให้พูดให้ถูกก็คืออยากที่จะเห็นว่าอายะกำลังจะทำอะไรสนุก ๆ ต่อไปมากกว่า

                "เธอรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช้ไหม"เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในคนที่ไม่สามารถเอ่ยห้ามอายะอย่างชิซึเนะรวบรวมสติที่มีน้อยนิดเอ่ยถามขึ้นจนได้  ดวงตากลมโตสีเปลือกไม้ละจากสภาพรอบ ๆ ไปสบกับดวงตาเรียวสีมรกตของผู้ถามรอยยิ้มเล็ก ๆ ยังไม่คลายไปจากดวงหน้าน่ารัก

                "เกี่ยวไหมนะเหรอ  เกี่ยวสิเกี่ยวมากเลยด้วย"ตอบเพียงแค่นั้นแล้ว   ไม่มีท่าทีจะอธิบายต่อให้กระจ่างแม้แต่น้อยแม้ว่าชิซึเนะจะถามอีกกี่ครั้งอายะก็ไม่มีท่าทีจะเอ่ยปากเลยจนสายฟ้าฟาดผ่าเข้าใกล้กลุ่มคณะเดินทางจนไอและคูมิโกะ  รับรู้ถึงความร้อนที่แผดออกจากสายฟ้าฟาด

                ชิซึเนะเรียกรากไม้สร้างเป็นเกราะแต่ไม่มีทางที่รากไม้จะสามารถเอาชนะสายฟ้าอันทรงพลังได้เกราะของชิซึเนะไหม้หายในพริบตา  ดวงตาสีมรกตฉายแววเครียดเขม็งชายหนุ่มรู้เป็นอย่างดีว่าเกราะรากไม้ของตนไม่สามารถเอาชนะสายฟ้าได้โดยไม่ทำให้เกราะเกิดรอยร้าวแต่สายฟ้าธรรมดาไม่มีทางเผาเกราะรากไม้ที่สร้างมาจากพลังเวทของตนเองได้รวดเร็วเช่นนี้ได้เช่นกัน  แต่สายฟ้าตรงหน้านี่กลับเผาเกราะเวทของตนได้ในครั้งเดียวแสดงว่ามันไม่ได้เป็นสายฟ้าธรรมดาอย่างแน่นอน  ขณะที่ชิซึเนะตกอยู่ในภวังค์ของตนเองอยู่นั้นแว่วได้ยินเสียงหวานใสของอายะอันไร้ซึ่งสำเนียงสูงต่ำซ้ำยังแฝงด้วยกระแสเย็นเยือกดวงหน้าหวานยามต้องแสงสายฟ้าชั่งน่าหวั่นเกรงเหลือคณา

                "สิ่งที่บุตรแห่งเทพสร้างขึ้นมานั้นก็คือกำแพงมิติเวทอันทำหน้าที่ปิดกั้นและแบ่งดินแดนต่าง ๆ ออกเป็นสัดส่วน"ทุกสายตาจ้องมองอายะนิ่งราวเวลาหยุดเดินแต่ชิซึเนะฮานะรวมทั้งเคียวและไอกับคูมิโกะแต่ทั้งหมดก็ไม่มีเวลาตะลึงมากนักเพราะพื้นดินที่พวกเค้ากำลังยืนอยู่นั้นได้แยกออกจากกันเสียแล้ว  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของพวกอายะแม้แต่น้อยยิ่งกับอายะแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินข้ามบ่อน้ำที่ขังอยู่บนทางเดินเท่านั้น

                "เมื่อใดก็ตามที่กำแพงมิติอ่อนแรงลงจัดกลืนกินผู้ใดก็ตามที่เข้าใกล้จัดไม่มีชีวิตกลับออกมาแม้หากสามารถกลับออกมาจะจักมาเพียงลมหายใจแต่มิอาจออกมาพร้อมวิญญาณมันคือคำกล่าวสุดท้ายของพระองค์ก่อนถูกกลืนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์" เสียงหวานยังเอ่ยไขปริศนาที่ไม่มีผู้ใดร่วงรู้ต่อไปช้า ๆ  ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีกกันความจริงที่น่าตกใจ

                "ไม่มีผู้ใดร่วงรู้ว่าทำไมผู้ที่หาญกล้าบังอาจลุกล้ำเข้าใกล้กำแพงในเวลานั้นประสบพบเจอชะตากรรมเช่นไร  ผลสุดท้ายทุกผู้ทุกคนล้วนมีจุดจบเดียวกัน......นั้นคือตำนานทั้งหมด  รู้สึกดีใจไหมค่ะที่จะได้รู้ว่าพวกคนที่เข้าใกล้กำแพงมีชะตากรรมยังไง   ฮิ...ฮิ..."ท้ายประโยคเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเดิมแต่มันกลับเรียกให้คณะเดินทางที่เหลือตวัดสายตาจ้องเจ้าของประโยคด้วยสายตาไม่พอใจเป็นที่สุดซึ่งไม่ระคายผิวอายะที่ถูกฝึกโดยท่านพ่อและท่านแม่ที่รักสนุกเป็นที่สุดมาแต่เด็กแม้เพียงเล็กน้อย

                "เราต้องมาตายอย่างนี้นะเหรอ"ฮานะเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงท้อแท้ระคนสิ้นหวัง  พาให้อารมณ์ของชิซึเนะตกต่ำไปด้วยจนคนที่ใช้เหตุและผลในการแก้ไขปัญหาอย่างชิซึเนะถึงกันตะโกนใส่อายะว่าเป็นคนพาทุกคนมาตายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   เมื่อได้ยินอย่างนั้นทำให้อารมณ์รื่นรมของร่างเล็กหายไปจนหมดสิ้น

                "ใครบอกว่าฉันจะมาตายอย่างไม่พอที่อยู่ที่นี่กันเล่าถ้าคุณเธียร์อยากจะตายก็เชิญตายไปคนเดียวแล้วกัน!"อายะหายใจหอบด้วยความไม่พอใจเป็นที่สุดทำเอาชิซึเนะงงไปเลย  ชายหนุ่มชาวภูตไม่ทราบเป็นอะไรเมื่อได้ฟังประโยคที่แสดงความห่างเหินของร่างเล็กหัวใจเจ้ากรรมเหมือนหล่นลงเหวอย่างไรอย่างนั้นรู้สึกเจ็บจี้ด ๆ ที่หัวใจขึ้นมาเฉย ๆ

                "อายะรู้วิธีออกจากที่นี่เหรอ"ฮานะเอ่ยถามน้องสาวอย่างมีความหวัง  อายะยิ้มน่ารักให้พี่สาวเช่นปกติมันชั่งเป็นรอยยิ้มที่ขัดกับสถานการณ์ตอนนี้เสียเหลือเกิน  แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถายฮานะออกไป

                "อายะ"เคียวเรียกร่างเล็กเบา ๆ ให้พอได้ยินกันแค่สองคน เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกคิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม

                "ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่"ดวงตาท้องฟ้าจ้องสบดวงตาสีเปลือกไม้อย่างต้องการคำตอบ  แต่กลับได้รับเพียงรอยยิ้มบาง ๆ โดยไร้คำตอบเช่นเดิม

                "ตามมา!"จบคำร่างเล็กวิ่งนำลึกไปทางกำแพงมิติอันแตกร้าวอย่างไม่มีความลังเลทำให้ที่เหลือจำต้องตามไปอย่างเลียงไม่ได้  ไม่ทันจะได้ถามให้รู้เรื่องร่างเล็กเจ้าของนัยน์ตากลมโตสีเปลือกไม้ก็กลายเป็นเพียงเงาเล็ก ๆ จนต้องเร่งฝีเท้าแทบไม่ทัน

                ยิ่งเข้าใกล้กำแพงมิติเท่าไรยิ่งดูเหมือนว่าเหตุการณ์วิบัติตรงหน้านี้จะยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น  หากบอกว่าพวกตนกำลังเดินอยู่ในนรก 8 - 9 ในสิบคนจะต้องปักใจเชื่อโดยไม่ถามอะไรแน่นอน

                จากในตอนแรกที่แผ่นดินแค่แยกออกจากกันแต่ในตอนนี้ที่ที่พวกอายะจะยืนแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว  ทุกคนจากที่วิ่งจึงเปลี่ยนมาเรียกเวทสายลมพยุงตัวให้ลอยอยู่ในอากาศแทนแต่ก็ใช้จะเป็นเรื่องง่ายเพราะอย่าลืมว่าในตอนนี้มีพายุไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูกมีทีท่าว่าจะเข้ามาบดขยี้คณะเดินอยู่ตลอดเวลา  แต่นอกจากที่อายะบอกให้วิ่งตามตัวเองเข้าใกล้กำแพงมิติที่มีสภาพแตกร้าวมากขึ้นทุกที ๆ ชิซึเนะก็ไม่เห็นร่างเล็กเจ้าของดวงตากลมโตสีเปลือกไม้จะทำอะไรเลยสักอย่างเดียว

                "อายะ  อายะ!"ชิซึเนะตัดสินใจเรียกออกไปแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมแรงหรือไม่แม้ว่าชายหนุ่มจะเรียกดังแค่ไหนร่างเล็ก ๆ เจ้าของชื่อก็ไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจชิซึเนะแม้แต่หางตา  แม้อยากจะเข้าไปสะกิดเรียกแต่การจะเข้าใกล้อายะในตอนนี้นั้นไม่ใช้เรื่องง่าย ๆ เลยลำพังแค่ชิซึเนะพยุงตัวให้ลอยอยู่ในอากาศได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว

                อยู่ ๆ ร่างเล็ก ๆ ก็หยุดเคลื่อนที่เสียเฉย ๆ ดวงตาสีเปลือกไม้หันมองพายุลมแรก  คลื่นน้ำบ้าคลั่ง  พื้นแผ่นดินถล่มด้วยแววตาเฉยเมยไม่แยแส  ดวงหน้าหวานเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ มือเรียวเล็กถูกยกขึ้นสูงเหนือกลุ่มผมสาวสีเปลือกไม้  ไม่กี่อึดใจบนฝ่ามือบางปรากฏแสงสี่เส้นแทงตัวขึ้นไปทะลุกลุ่มเมฆดำทะมึนบนท้องฟ้า  เส้นแสงทั้งสีเปล่งแสงต่างกันออกไปมีเส้นหนึ่งสีฟ้าคราม  สีแดง  สีน้ำตาลและอีกเส้นเป็นสีขวาจนแทบดูไม่ออก   อึดใจต่อมาหลังจากที่เส้นแสงทั้งสี่หายลับไปในท้องฟ้าและส่องลงบนมือบางของอายะอีกครั้งราวกับว่าถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงลงมาสู่มือบางของอายะอีกครั้ง แสงทั้งสี่หลอมรวมกับบนฝ่ามือเล็ก ๆ ของอายะทุกสรรพสิ่งเวลานี้นิ่งเงียบราวกับถูกหยุดเวลาไว้แม้แต่สรรพสิ่งแวดล้อมอันสับสนแม้แต่สายลมอันอาจพัดทุกสรรพสิ่งให้มลายหายไปได้ไม่ยากกลับถูกตรึงไว้ด้วยร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้  เส้นแสงทั้งสี่หลอมรวมกันจนกลายเป็นก้อนกลมแสงสีทองอึดใจต่อมาลูกกลมสีทองแตกกระจายเป็นดั่งดอกไม้ไฟสีทองเมื่อพลุสีทองจางหายไปสิ่งที่ปรากฏแทนที่กลับเป็นก้อนหินสี่ก้องสี่สีลอยอยู่บนฝ่ามือเล็กนั้นแทน ในสายตาของฮานะเห็นเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาสี่ก้อนที่มีสีเดียวกันเส้นแสงที่อายะส่งขึ้นท้องฟ้าเมือไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาเท่านั้นแต่ไม่ใช้สำหรับชิซึเนะ  เคียวและเพื่อนสาวทั้งสองคนอย่างไอและคูมิโกะ  เพียงแค่แววเดียวที่ได้เห็นหินสีทั้งสี่ก้อนทั้งหมดก็รับรู้ได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากหินทั้งสี่ก้อนนั้นไม่ธรรมดาเลย  ราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไรก็ได้ซะอย่างนั้นหากไม่ระวัง 

                อายะประคองอัญมณีทั้งสี่ไว้ตรงหน้า  ริมฝีปากสีเชอรี่แย้มยิ้มน่ารักดวงตาสีเปลือกไม้ทอแสงแวววับราวเด็กน้อยได้ของเล่นถูกใจไว้ในมือ  ทุกสรรพสิ่งกลับมาสับสนวุ่นวายอีกครั้งและยิ่งร้ายแรงยิ่งกว่าที่ผ่าน ๆ มาหลายร้อยหลายพันเท่า 

                แม้ทุกสรรพสิ่งจะยิ่งเลวร้ายแค่ไหนรอยยิ้มของอายะก็มิได้จางหายไปจากดวงหน้าหวานแม้แต่น้อยนิด  จะพูดให้ถูกก็คืออายะไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยสักนิดดวงตากลมโตสีเปลือกไม้จับจ้องแต่เพียงอัญมณีทั้งสี่บนมือทั้งสองของตนเท่านั้น  ไร้ซึ่งการป้องกันใด ๆ พายุคลั่งลูกหนึ่งเคลื่อนเข้าใกล้ด้วยท่าทีต้องการบดขยี่ร่างเล็กบอกบางของอายะให้แหลกเละในคราเดียว  ไม่ว่าจะเป็นฮานะ  ไอ  คูมิโกะ  เคียวหรือแม้แต่ชิซึเนะไม่มีใครทำอะไรได้แม้เพียงน้อยนิด  เพียงจะร่ายเวทยังไม่มีเวลาเลยเสียด้วยซ้ำ แม้แต่อายะก็ไม่มีทางที่จะหลบทันหรือจะพูดอีกนัยน์หนึ่งก็คืออายะไม่ได้คิดจะหลบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

                หลบสิอายะ  บ้าไปแล้วรึไงกันทำไมไม่หลบละ  อยากตามมากนักรึไงกันหรือว่าอายะจะมองไม่เห็นพายุลูกที่กำลังเข้าปะทะ  เป็นไปไม่ได้อย่างน้อยก็ต้องรู้สึกบ้างสิอายะเป็นอะไรไปกันแน่หรือว่าเบื่อชีวิตแล้วอยากตาย?!

                อายะยื่นมือที่ประคองอัญมณีทั้งสี่ไปข้างหน้าหนึ่งในสี่อัญมณีสีขาวเปล่งแสงสีขาวสว่างจร้า มันดูดพายุร้ายเข้าไปจนหมดสิ้น  หากนี่คือช้าและไหนละคือเร็วเพราะเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่แรกกินเวลาเพียงเสี้ยววินาทีทั้งนั้น   แม้ฮานะจะโล่งใจที่อายะไม่เป็นไรแล้วแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ไม่ใช้เพียงแค่ฮานะเท่านั้นแม้แต่ผู้มีความรู้รอบด้านอย่างเคียวและชิซึเนะทั้งยังไอและคูมิโกะที่อยู่ข้างกายของอายะมานานตั้งแต่ยังเด็กก็ยังรู้สึกสักสนไม่ต่างกัน

                "อายะจังไม่เป็นไรนะ"ฮานะกระโจนเข้าถามอายะด้วยความเป็นห่วง  มือสองข้างสำรวจร่างกายของน้อยสาววุ้นวายไปหมด  ชิซึเนะเห็นว่าหากปล่อยให้ฮานะสำรวจอายะต่อไปละก็ถ้าหวังว่าจะเสร็จละก็คงต้องรอจนถึงพรุ่งนี้เช้าเป็นแน่

                "เมื่อกี้เธอทำได้ยังไงกันแน่"เป็นชิซึเนะที่เอ่ยถามในคำถามที่ทุกคนอยากรู้  ดวงตาสีมรกตจ้องสบดวงตาสีเปลือกไม้นิ่ง  อายะที่ยังคงโกรธชิซึเนะอยู่เพียงแค่หันไปสบตาชายหนุ่มชาวภูตอย่างเย้อหยิ่งเท่านั้นก่อนหันมาสบตากลมโตของฮานะริมฝีปากสีเชอรี่แย้มยิ้มอย่างน่ารักมือบางทั้งสองยื่นไปตรงหน้าตอบคำถามพี่สาวเสียงใส

                "หินพวกนี้คืออัญมณีแห่งธาตุทั้งสี่  ดิน  น้ำ  ลมไฟ ส่วนเมื่อกี้ที่พี่ฮานะเห็นก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของหินมณีธาตุลมค่ะ"จังหวะที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสอกชาติกันอยู่นั้นราวกับว่าสรรพสิ่งรอบด้านรับรู้ได้ถึงช่องโหว่พายะร้ายสี่ลูกเข้าโจมตีพร้อมกันจากสี่ทิศแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่ไม่มีการเตรียมการใด ๆ ทันทีที่พายุทั้งสี่ลูกเคลื่อนเข้าใกล้กำแพงล่องหนสะท้อนพายุทั้งสี่ลูกออกไปอย่างง่ายดายกำแพงเวทเรืองแสงสีฟ้าจาง ๆแต่กำแพงไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้เพียงรอยแมวข่วน  แสดงให้เห็นว่ากำแพงเวทนี้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดและยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังของผู้สร้างกำแพงเวทนี้

                "กำแพงเวทของใครกัน"ชิซึเนะเอ่ยถามออกมา  ดวงตาสีมรกตจ้องมองอายะเป็นเชิงถามว่าใช่ฝีมือของเด็กสาวร่างเล็กหรือไม่  แต่สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเพียงอาการส่ายหน้าน้อย ๆเป็นเชิงบอกว่าตนไม่เกี่ยว  ชายหนุ่มหันไปสบดวงตาสีรัตติกาลที่สองคู่แทนแต่ยังไม่ทันจะถามอะไรคูมิโกะก็ชิงบอกขึ้นก่อน

                "คูมิโกะไม่ได้ทำนะค่ะ"

                "ฉันก็เปล่า"ไอตอบเสียงเรียบ  ดวงตาสีรัตติกาลฉายแววเฉยเมยไม่แยแสและหากมองดี ๆ จะเห็นแววไม่พอใจที่ถูกเก็บไว้ภายใน  แต่มันก็เรือนหายในวินาทีถัดมาจนชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตนึกว่าตนแค่ตาฝาดไปเท่านั้น หากไม่ใช้สองพี่น้องตระกูลอินุยาฉะและสองเพื่อนสาวของอินุยาฉะคนน้องก็คงเหลือแต่เคียว  เด็กหนุ่มชาวปีศาจที่เข้ามาหาเค้าก่อนที่ร่างเล็กเจ้าของดวงตากลมโตสีเปลือกไม้จะปลอมตัวมาเจอเค้า  เด็กหนุ่มที่ชายหนุ่มไม่รู้ที่มาที่ไปในตอนแรกชิซึเนะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาเรียวดุแสนเย็นชาสีท้องฟ้าเป็นปีศาจ  ตัวเค้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายปีศาจในตัวของเด็กหนุ่มฮายาชิ  เคียวคนนี้แม้แต่น้อยเช่นเดียวกันครั้งแรกที่ได้เจอกับอายะ 

                ดวงตาสีมรกตจ้องมองเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีท้องฟ้านิ่งแต่คนถูกมองก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาไดๆ ทั้งนั้นเพียงแต่นิ่งเฉยดวงตาทั้งคู่สีท้องฟ้าจ้องมองการเคลื่อนไหวของสายลมด้วยแววตาสงบเยือกเย็น  แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังคงสงบสติและยังมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้  อนาคตเด็กหนุ่มคนนี้คงแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว.....

                ดวงตาสีท้องฟ้าเบนหาร่างเล็กของอายะ  ขายาวพาร่างสูงโปร่งเคลื่อนเข้าหาร่างเล็กที่ยังคงร่ายยาวสรรพคุณของอัญมณีบนฝ่ามือเล็กของตน  รอยยิ้มสดใสไม่คลายไปจากดวงหน้าน่ารัก  เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาเรียวสีท้องฟ้าก้มหน้าเข้ากระซิบข้างหูร่างเล็กบางของอายะ 

                "หินในมือช่วยพวกเราออกจากที่นี่ได้สินะ"กระซิบเสียงเบาให้พอแค่ได้ยินเพียงสองคน  ก่อนถอดหน้าออกไปเด็กหนุ่มยังจงใจหอมแก้มหอมกลุ่นอีกฟอกใหญ่ ๆ เป็นของแถมอีกด้วย  ทำให้ดวงหน้าหวานของอายะขึ้นสีแดงระเรื่อ ยิ่งดวงตากลมโตสบเข้ากับดวงตาเรียวสีท้องฟ้าที่ฉายแวววิบวับได้ใจนั้นอีกยิ่งทำให้อายะเสก้มหน้าหลบสายตาเด็กหนุ่มแต่อายะจะรู้ไหมนะว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย  ยิ่งเคียวเห็นใบหูเล็กแดงระเรื่อนั้นเด็กหนุ่มแทบไม่ต้องจินตนาการเลยว่าดวงหน้าน่ารักนั้นจะแดงขนาดไหนยิ่งคิดยิ่งทำให้ไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะอย่างพอใจไว้ไม่ได้  ไม่ว่ายังไง  ไม่ว่าร่างเล็ก ๆ บอกบางนี้จะทำอะไรอยู่ในท่าทางไหนเคียวก็ยังรู้สึกว่าอายะน่ารักอยู่ดีจนมีบางครั้งเด็กหนุ่มอยากขังร่างเล็กนี้ไว้ในห้องนอนกอดไว้คนเดียวไม่ให้ใครเห็นอีกเลย 

                "ว่ายังไงละ หืม~"ดวงหน้าหวานติดจะแดงหันควับค้อนให้วงใหญ่แก้มนุ่มหอมพองลมไว้จนพองยิ่งทำให้เคียวอยากก้มลงไปหอมแก้มนุ่มอีกสักครั้งให้หายหมั่นเขี้ยวแต่ก็ต้องพับเก็บไปก่อนเมื่ออายะกลับมาเอ่ยด้วยดวงตาจริงจังอีกครั้ง

                "อายะมีอะไรบางอย่างที่จะต้องบอกทุกคนเอาไว้ก่อน...."อายะเว้นวรรคหายใจเข้าเต็มปอดเป็นการเรียกกำลังใจ  และเริ่มกล่าวเสียงเรียบขึ้นอีกครั้ง

                "อย่างแรกเลยก็คืออัญมณีทั้งสี่ชิ้นนี้ไม่สามารถจะช่วยให้พวกเราทุกคนออกจากที่นี่ได้ในตอนนี้.."เกิดความเงียบขึ้นอย่างน่าอึดอัด ทุกคนกำลังถูกความจริงที่ไม่สามารถยอมรับได้ทำให้ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก

                "พะ...พวกเราต้องมาตายอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ"ฮานะเอ่ยน้ำเสียงสั่นอย่างไม่สามารถปกปิดความกลัวเอาไว้ได้อีกต่อไป  ยิ่งทำให้บรรยากาศเลยร้ายลงอย่างหนัก

                "ต่อจากนี้เป็นต้นไปทุก ๆ อย่างจะเลยร้ายลงไปเรื่อย ๆ เขตอาคมนี้จะทำทุกอย่างเพื่อจะทำลายทุกชีวิตภายในเขตอาคมให้จงได้..."ราวกับรู้สึกว่าเรื่องที่ตนเอ่ยออกไปในตอนแรกยังไม่เลยร้ายพอเสียงเรียบ ๆ จึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง  ฉุดรั้งกำลังใจที่มีอยู่อย่างน้อยนิดลบฮวบเสียจนติดลบ  อายะไล่สายตามองคณะเดินทางร่วมกับตนช้า ๆ ดวงหน้าหวานนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตากลมโตไล่มองไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่พี่สาวผู้เรียบร้อยดวงหน้าที่ระเรื่อสีชมพูอย่างคนสุขภาพดีมาบัดนี้กลับขาวซีดราวกับกระดาษ 

                   ชิซึเนะแม้จะรักษาท่าทีสงบไว้ได้แต่ดวงหน้าหล่อเหลานั้นกลับซีดเผือกไม่ต่างกับฮานะเสียเท่าไรนัก   ส่วนไอ คูมิโกะและเคียวนั้นกลับไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ออกมาเยแม้แต่น้อยสำหรับไอและคูมิโกะนั้นอายะรู้ดีเพราะสำหรับเพื่อนสาวทั้งสองคนของอายะนี้แล้วของแค่ได้ร่วมต่อสู่จนถึงที่สุดกับตนเองแม้จะต้องตายก็ไม่เคยคิดเสียดายชีวิตแม้แต่น้อย  ส่วนเคียวนี้ไม่ต้องพูดถึงเด็กหนุ่มคงรู้อยู่แล้วถึงความหมายที่แม้จริงที่อายะต้องการจะสื่อถึงจริง ๆ ทั้งเด็กหนุ่มยังรู้ดีอีกด้วยว่าอายะนั้นไม่ปล่อยให้พี่สาวที่รักของตนนั้นเป็นอะไรไปแน่นอน  ซ้ำอายะยังไม่สามารถมาตายอย่างไม่พอที่อยู่ที่นี่ได้อีกด้วย

                "อินุยาฉะไม่เป็นไรแน่นอน  พวกเราจะต้องรอดออกจากที่นี่ได้แน่นอน"ชิซึเนะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เห็นได้ชัดว่าฮานะมีท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้นมาก  ดวงหน้าหวานเรียบร้อยส่งยิ้มบาง ๆ กลับให้ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตดวงตาสีเข้มฉายแววขอบคุณ  ดูท่าทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้นช้า ๆ หลังจากที่ชายหนุ่มเห็นว่าอินุยาฮะคนพี่มีท่าทีดีขึ้นแล้วชายหนุ่มก็หันมาคุยกับอายะอีกครั้ง  น่าแปลกใจเป็นอย่างมากสำหรับอายะที่ชิซึเนะสามารถรักษาท่าทีที่

                "อายะจังหมายความว่ายังไงกันแน่อัญมณีไม่สามารถช่วยพวกเราได้..แล้วอะไรช่วยให้เราออกไปได้  ทำไมถึงออกไปตอนนี้ไม่ได้"คำถามของชิซึเนะไม่ทำให้อายะผิดหวังจริง ๆ

                ให้ดิ้นตายสิ  คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกชวนชิซึเนะจังมาร่วมวงเดินเล่น(ป่า)ในสวนหลังบ้าน(ป่าต้องสาป)ร่วมงานเลี้ยงน้ำชา(ชาชัก..ชักตายตรงนั้นนะสิไม่ว่า)  คิดเงียบพร้อมเผยยิ้มในใจเงียบ ๆ

                "ชิซึเนะจังพูดได้ถูกต้อง   สงครามยังไม่จบอย่าพึ่งนับศพทหารสิค่ะ"รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าหวานน่ารักมาอย่างห้ามไม่ได้  แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องน่าแปลกต่อไปที่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ทำให้ดวงหน้าหวานแลดูเลวร้ายแม้แต่น้อยซ้ำยังเสริมให้ดวงหน้าหวานน่ารักยิ่งแลดูซุกซนราวกับเด็กน้อยเพิ่มความน่ารักสดใสให้เจ้าของดวงหน้าจนคนมองอดหน้าแดงขึ้นมาเสียเฉย ๆ ไม่ได้

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×