คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : คุณพ่อ
ภาพตรงหน้าคือร่างสูงของเรลี่กำลัง…กำลังโอบพี่เพนาอยู่อย่างใกล้ชิด แถมพี่เพนาก็ไม่ได้ปัดออกอีกต่างหาก แสดงว่าพี่เพนายอมให้เรลี่โอบเรอะ!?
ตึกๆๆ
ฉันแทบจะพุ่งพรอดเข้าไปแทรกกลางสองคนนั้นแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ต่อให้เป็นแฟนกันจริงๆ ฉันก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอกนะ พี่เพนาเป็นถึงประธานแต่ไอ้หมอนี่กลับมาทำรุ่มรามกับพี่เพนาถึงในห้อง!
พรึบ!
ฉันกระชากตัวพี่เพนาออกมาให้ไกลจากเรลี่อย่างถือวิสาสะ แน่นอนว่าทั้งคู่ได้แต่งงว่าฉันเข้ามาตอนไหน แต่เรื่องนั้นมันไม่ได้ทำให้ฉันละสายตาจากเรลี่เลยสักนิด ฉันจ้องไปที่เรลี่อย่างเอาเรื่อง แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ต้องทำรุนแรงขนาดนี้ แต่ฉันก็ได้เหตุผลในวินาทีถัดมาว่าถ้าหากใครมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี ฉันจึงยกเหตุผลนั้นขึ้นมารับรองการกระทำนี้โดยทันที
"เฮ้ๆ ไนท์นี่มันอะไรกันเนี่ย?" เรลี่ถามขึ้นก่อนเมื่อรับรู้ว่าฉันทำท่าเหมือนจะรังเกียจซะเต็มที่
"นายนั่นแหละทำอะไรพี่เพนา" ฉันสวนกลับไปอย่างเคืองๆ
"หืม? (‘ ‘ )( ‘ ‘)" เรลี่มองฉันกับพี่เพนาอย่างกับคิดอะไรสักอย่างอยู่ก่อนจะเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา "เพนาเดียวนี้เธอนอกใจฉันไปกับไนท์แล้วเหรอเนี่ย~"
"ห๊ะ!!! พะ...พี่เพนาคบกับหมอนี่งั้นเหรอ!?" ฉันแถบจะหันไปถามพี่เพนาด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าฉันจะคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่การที่ได้ยินกับหูตัวเองแบบนี้มันก็ยากที่จะรับได้
"ไม่ใช่นะๆ พี่ไม่ได้คบกับเรสักหน่อย" พี่เพนารีบปฏิเสธิมาทันที ทำให้ฉันพอที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกได้...โล่งอก? ทำไมฉันต้องโล่งอกด้วยเนี่ย?
"เร! นายหลอกฉันเหรอ!?" ก่อนที่ฉันจะได้ทบทวนกับความคิดแปลกๆ ของตัวเอง ฉันก็ต้องมาจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน
"ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าฉันคบกับเพนา เธอคิดเอาเองทั้งนั้นไม่ใช่รึไง?" เรลี่พูดไปพลางทำสีหน้าราวกับจะเยาะเย้ยฉันด้วยความสะใจสุดๆ หนอย~ นายจะต้องโดนฉันเอาคืนแน่ เรลี่!!!
"ฮึย! อย่าให้ถึงทีฉันบ้างนะ ฉันจะกระทืบนายให้จมดินเลย คอยดู!!!" ฉันโพล่งออกไปด้วยความคับแค้นใจที่ไม่สามารถเอาคืนมาตรงๆ ได้ เพราะอยู่ในโรงเรียนไม่สามารถทะเลาะวิวาทกับใครได้ ไม่งั้นคงโดนหักคะแนนบานชัวร์ๆ ยิ่งในห้องนี้แล้วไม่ได้ใหญ่จะให้พี่เพนามาเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้
"จะรอนะ แล้วก็ขอถามอย่างนึงเถอะ สรุปเธอจะเอาใครกันแน่เพนาหรือฟา?"
"O///O!?" เมื่อเจอคำถามที่ไม่คาดคิดมากระแทกแบบเต็มรัก ฉันก็ได้แต่อึ้ง ความรู้สึกเหมือนโดนจับได้เวลาทำผิด ความคิดที่จะกระทืบหมอนี่ก็แล่นเข้ามาอย่างหยุดไม่อยู่ ฉันสาวเท้าเข้าไปใกล้เรลี่อย่างอัตโนมัติราวกับมันเป็นสัญชาตญาญติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก่อนจะตีเข่าเข้าที่ท้องของคนตรงหน้าอย่างไม่มีการออมแรง
"อุก! OxO" เรลี่คงได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ชาตินี้ก็ไม่มีวันลืมแน่ ก่อนทรุดฮวบลงไปกุมท้องกับพื้นด้วยสีหน้าที่ใครเห็นยังรู้สึกเจ็บแทน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดเลยแม้แต่น้อย ขาเรียวสวยของฉันเริ่มวาดลวดลายอีกครั้งด้วยการยกมันขึ้นเหนือร่างเรลี่ ก่อนจะกระทืบลงไปสุดแรง ทว่า...
กึก!
"ไนท์หยุดนะ!" พี่เพนาเข้ามากระชากร่างของฉันให้ออกห่างจากเป้าหมายที่ฉันกำลังจะกระทืบ ก่อนจะรวบตัวฉันเข้าไปกอดจนไม่สามารถดิ้นได้ หัวใจที่ไม่สงบอยู่แล้วเริ่มเต้นแรงกว่าเก่า ใบหน้าก็รู้สึกร้อนจนแถบจะอยากมุดดินหนี แต่แขนของพี่เพนากับโอบรัดฉันแน่นยิ่งกว่าเดิม ทางเดียวที่เหลืออยู่ทำให้ฉันต้องหยุดดิ้นไปเพราะเปล่าประโยชน์ ก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้
"พี่เพนา...ปล่อยไนท์นะ"
"ถ้าพี่ปล่อยไนท์ก็ตามไปกระทืบเรต่อน่ะสิ"
"ไม่...ไม่กระทืบต่อแล้วน่า ไนท์หายใจไม่ออก" สิ้นเสียงพี่เพนาก็ค่อยๆ คลายอ้อมกอดทำให้ฉันมีอากาศหายใจมากขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลงเลยแม้แต่น้อย ฉันเลี่ยงที่จะสบตากับพี่เพนาในระยะประชิดจึงดันตัวเองออกมาให้เร็วที่สุดแทนพร้อมกับก้มหน้างุดๆ เพราะไม่กล้าสู้หน้าพี่เพนาอีก
"ยะ...ยัยป่าเถื่อนเหมือนแฝดเธอไม่มีผิด" เรลี่ที่เริ่มหายจุกแล้วค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
"นายแกล้งฉันก่อนนะ มีสิทธิ์มาพูดว่าฉันด้วยเรอะ?" หลังจากที่ได้ยินเสียงเรลี่ความเขินอายเมื่อครู่ก็เหมือนจะโดนพัดหายไป กลับมาเป็นอารมณ์แค้นเคืองปนสมน้ำหน้าแทน
"มี สิทธิ์ของคนที่โดนยัยป่าเถื่อนอย่างเธอทำร้ายน่ะสิ"
"เอาน่า ก็แกไปแกล้งไนท์ก่อนจริงๆ นี่" คราวนี้พี่เพนาพูดขึ้นบ้าง แถมยังพูดเข้าข้างฉันอีก ปลื้มจัง
"แกมันลำเอียงไอ้ฟะ...เพนา" ดูเหมือนเรลี่จะเรียกพี่เพนาแปลกๆ เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจจะเรียกพี่เพนาว่าเพนาแต่เป็นอย่างอื่นแทน พอฉันหันไปมองพี่เพนาหน้าพี่เพนาก็ซีดไปแปปนึงเลยเหมือนกันราวกับเรลี่เกือบหลุดปากเรื่องสำคัญบางอย่างออกมา เรื่องที่ฉันไม่รู้...
"แกกลับไปได้แล้วเร ได้ข่าวว่าธุระแกเสร็จแล้วนี่" อยู่ๆ พี่เพนาก็ออกปากไล่เสียเฉยๆ
"นั้นสินะ ฉันไปล่ะ ฝากไว้ก่อนเถอะยัยเถื่อน" เรลี่เดินออกไปโดยที่ไม่ลืมจะแขวะฉันก่อนออกไป ฉันก็ส่งสายตากลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
"ไปนั่งคุยกันที่โต๊ะพี่ดีกว่านะ" หลังจากที่เรลี่เดินออกไปพี่เพนาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
"..." พออยู่กับพี่เพนาสองต่อสองฉันก็ได้แต่เงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี แม้แต่ตาฉันยังไม่กล้ามองตรงๆ เลยตอนนี้น่ะนะ
"มาหาพี่ถึงที่นี่มีอะไรรึเปล่า?" เมื่อเห็นฉันเงียบไป พี่เพนาก็เข้าประเด็นสำคัญโดยไม่ถามความเต็มใจของฉันทันที เล่นเอาฉันกระอักกระอ่วนไม่น้อยเลย
"…ก็ไม่เชิง" ฉันตอบทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอยู่ ตอนแรกก็จะเข้ามาถามดีๆ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย แล้วแบบนี้จะให้ฉันกล้าถามได้ยังไงเล่า!?
"หืม?"
"ตอนแรกก็มี ตอนนี้ไม่มีแล้ว" ฉันตอบไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะความรู้สึกบ้าๆ นี้มันทำงานอีกแล้ว แถมยังทำได้ดีจนน่าเตะอีกด้วย
"อ้าว ไหงงั้นล่ะ?"
"ก็อย่างนั้นแหละค่ะ"
"ไนท์กำลังทำให้พี่งงนะเนี่ย" พี่เพนาทำหน้าแบบว่ากำลังมึนจริงๆ นะ เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง
"งั้นเราก็เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ที่จริงไนท์กะว่าจะมาช่วยงานพี่เพนาน่ะ" ฉันตัดจบประเด็นเมื่อครู่อย่างไม่คิดที่จะถามความเห็นของคู่สนทนา ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นไปดื้อๆ
"ช่วยงานพี่?" รู้สึกว่าประเด็นใหม่ของฉันจะทำให้พี่เพนางงกว่าเดิม
"อ่าฮะ ไนท์เห็นพี่เพนาเพิ่งจะหายก็เลยไม่อย่างให้ทำงานหนักจนเป็นอะไรไปอีกไง" ฉันตอบความข้องใจของพี่เพนาพร้อมกับส่งยิ้มหวานอย่างจริงใจตามไปด้วย
"…!!!" ดูเหมือนคำตอบของฉันจะทำให้พี่เพนาตกใจอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ทีมันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสักหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาบนใบหน้าของพี่เพนาแทน
เฮ้ย! ไหงพี่เพนาหน้าแดงล่ะเนี่ย?
"คือ…ไนท์พูดอะไรผิดไปเหรอ?" หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าของพี่เพนาฉันก็แทบจะทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะบอกความรู้สึกตอนนี้ยังไงดี แบบมันเหมือนจะเขินตามไปด้วยอย่างนั่นแหละ >///<
"ไม่…ไม่ใช่ พี่แค่ไม่คิดว่าไนท์จะพูดตรงแบบนี้"
"หา? ไนท์แค่พูดไปตามปกตินะ" เมื่อความรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะวิ่งพล่านไปทั่วห้อง บรรยากาศมันแปลกไปจากที่ควรจะเป็น!
"นั้นสิ พี่คงรู้สึกไปเอง" เมื่อพี่เพนาเหมือนจะปรับอารมณ์ให้อยู่ในโหมดปกติได้แล้ว บรรยากาศบ้าๆ นี่จึงค่อยๆ เริ่มจะสลายไป ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันทำให้ฉันหายใจสะดวกขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว "ไนท์คงเป็นห่วงพี่สินะ" พี่เพนาพึมพำเสียงเบาหวิวแต่ฉันก็ได้ยินอยู่ดี
"อ่า…" มันทำให้ฉันไม่รู้จะไปต่อยังไงดี จากเมื่อกี้ที่รู้สึกหายใจสะดวกขึ้นตอนนี้มันเริ่มจะติดขัดอีกรอบแล้วสิ
"ที่จริงงานพี่ก็ไม่ได้สาหัสอะไร ไนท์ไม่ต้องเหนื่อยหรอก" ดูเหมือนเราจะกลับเข้าประเด็นเดิมกันได้แล้วแฮะ แต่ทำไมฉันยังรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกอยู่เลยล่ะ
"อะ…อืม อย่างนั้นเหรอ พี่เพนาไหวสินะ" ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนสติหลุดลอยไปทุกที เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดไม่รู้เรื่องแล้ว ทำไมสมองมันเบลอๆ แบบนี้นะ
วันนี้ทั้งวันเหมือนฉันจะไม่รับรู้อะไรอีกเลย ไม่รู้กระทั่งฉันออกมาจากห้องพี่เพนาตอนไหน ไม่สิ อันที่จริงก็จำได้รางๆ ว่าขอตัวออกมาเองมั้ง แล้วก็กลับมาที่ห้องเรียนแบบมึนๆ โนมันถามอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรก็เลยไม่ได้ตอบอะไรไป มันก็ทำหน้าเหมือนกับจะถามว่าใครมาทำอะไรฉันอีกล่ะ แต่พอดีในสมองฉันมันยังมึนๆ อึนๆ อยู่ก็เลยไม่ได้ตอบอะไรมันมั้ง คิดว่านะ พอตอนขากลับมันก็แย่งกุญแจไปจากฉันแล้วบอกว่าจะขับเองอีก สรุปว่าฉันหรือมันกันแน่นะที่แปลกๆ น่ะ อ่า…คงจะเป็นฉันมั้ง
"ไนท์แกเป็นอะไนกันแน่ เงียบมาตั้งแต่เข้าคาบบ่ายแล้วนะ" โนถามฉันขณะที่ขับรถอยู่โดยมีฉันเป็นคนนั่งซ้อนท้าย
"…ไม่รู้"
"ไนท์ ใครทำอะไรแก?"
"…ไม่รู้"
"ไอ้ไนท์!" มันเริ่มขึ้นเสียงเมื่อฉันเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง
"โน แกว่าฉันแปลกมั้ย?" อยู่ๆ ฉันก็ถามคำถามที่อยู่ในใจออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ ถึงถามมันแบบนี้
"แปลก แปลกมากด้วย แกไม่เคยเป็นแบบนี้" น้ำเสียงโนดูเหมือนกับคนกังวล
"แบบไหน?"
"แกเงียบมาตลอดทาง ทั้งๆ ที่ช่วงเช้าแกยังดี้ด้าจะไปหาพี่เพนาอยู่เลยนะ"
"พะ…พี่เพนา" ชื่อของพี่เพนาทำเอาฉันแทบสะอึก หัวใจมันเริ่มทำงานแปลกๆ อีกครั้ง ก่อนจะเต้นรัวขึ้นเรื่อยๆ
"อ่าฮะ พี่เพนาไง"
"กะ…แกห้ามพูดถึงพี่เพนาอีกนะ!" ความรู้สึกที่เหมือนอยากจะโดดลงจากรถไปเดียวนี้ นี่มันอะไรกัน!? แค่ได้ยินชื่อพี่เพนาเท่านั้นเองนะ!!!
"หา? นี่แกมีปัญหาอะไรกับพี่เพนารึเปล่าเนี่ย?"
"ฉัยบอกแล้วไงว่าห้ามพูด!" ฉันเกือบจะเอามือไปปิดปากมันแหละ ถ้าไม่ติดว่าฉันยังรู้ตัวว่าตอนนี้มันกำลังขับรถอยู่ล่ะก็นะ :(
"เฮ้ย! แกเป็นอะไรของแกเนี่ย?"
หลังจากนั้นฉันก็โวยวายไม่ให้มันพูดถึงพี่เพนาอีก เพราะอะไรกันก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ฉันน่าจะชอบพี่เพเนแบบรุ่นพี่ทั่วไปสิ ไม่ใช่แค่ได้ยินชื่อก็เขินแบบนี้ ไม่จริงใช่มั้ย ฉันไม่ได้เบี่ยงเบนนะ วันก่อนฉันยังใจเต้นกับฟาอยู่เลย! (ทีอย่างงี้ล่ะยอมรับง่ายเชียว) แล้วทำไมวันนี้กลับมาใจเต้นกับพี่เพนาได้กัน โอ๊ย! ทำไมมีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจนะ!
"ถึงแล้ว แกรีบขึ้นไปกินยานอนพักด่วนเลยนะ ฉันว่าแกเริ่มเพี้ยนจริงๆ แล้วนะ" โนจอดรถก่อนจะวิ่งมาคว้ามือฉันให้รีบขึ้นห้องไปทำตามที่มันบอกโดยด่วน
คลิก
เมื่อมาถึงห้องโนมันก็ไม่รอช้ารีบเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับลากฉันเข้าไปด้วยแล้วก็ผลักฉันให้ไปนั่งรอก่อน เพราะมันจะไปปิดประตู ฉันก็เดินไปที่โซฟาอย่างว่าง่าย ทว่าโซฟาที่ไม่น่าจะมีคนนั่งอยู่กลับมีร่างคนคุ้นตากำลังเงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยแววตาอย่างทุกที แววตาที่ไม่เคยสื่อถึงอะไรเลย คนที่ฉันไม่สามารถขัดอะไรเขาได้…
"คุณพ่อ…" เสียงเบาหวิวลอดผ่านริมฝีปากของฉันไปราวกับคนกำลังละเมออยู่ ปกติ ‘พ่อ’ จะไม่กลับมากะทันหันแบบนี้ท่านมักจะโทรมาบอกให้เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเสมอ แต่ทำไม…?
"กลับมากันแล้วเหรอ มัวไปเที่ยวไหนมาล่ะถึงได้ช้าขนาดนี้" ท่านเอยทักอย่างนิ่งๆ มันเป็นแบบนี้เสมอ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันชินได้เลยแม้แต่น้อย
"…!" โนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาเห็นตรงเข้ามาบีบมือฉันไว้แต่ด้วยแววตาตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน
"พวกแกจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย มานั่งคุยกับฉันก่อนสิ" ฉันกับโนได้แต่ลงไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ ตามคำสั่ง "ดูเหมือนว่าพวกแกจะสบายดีนี่"
"คะ" ทั้งฉันและโนต่างขานรับอย่างสั้นๆ พร้อมกัน ความรู้สึกที่ปั่นป่วนเมื่อครู่พลันสงบลงอย่างน่าประหลาดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนคนนี้
"เอาไปอ่านซะ" ท่านยื่นซองสีน้ำตาลขนาดไม่ใหญ่มากแต่ดูจากซองที่มีลวดลายสวยงามแล้วคงเป็นการ์ดเชิญไปงานอะไรสักอย่าง ฉันเอื้อมมือไปหยิมมาเปิดอ่านพร้อมกับโน
"งานเลี้ยงธุรกิจเหรอค่ะ?" โนเป็นฝ่ายถามเมื่ออ่านจบ
"ใช่ มันเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเจรจาการค้า งานนี้ฉันต้องทำสัญญากับบริษัทใหญ่ของต่างประเทศ ได้ข่าวว่าเขายังหนุ่มอยู่เลย อายุน่าจะมากกว่าพวกแกนิดหน่อย"
"คุณพ่อจะให้โนกับไนท์ไปช่วยเจรจาเหรอค่ะ?" คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
"ไม่ อย่างพวกแกจะไปทำอะไรได้" ท่านตอบกลับมาพร้อมกัยทำสีหน้าเย้ยหยันเหมือนกับกำลังมองดูถูกพวกเราอยู่ แต่สายตาแบบนี้พวกเราก็ได้รับจนชินแล้ว ถ้าหากจะให้รู้สึกโกรธก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่สมควร ยังไงพวรเราก็อยู่ในฐานะที่ต้องอาศัยท่านด้วย แต่ถ้าพวกเราเรียนจบตั้งต้นชีวิตใหม่ได้เมื่อไรล่ะก็ ฉันไม่ยอมให้เขามามองด้วยสายตาดูถูกแบบนี้แน่!
"แล้วคุณพ่อจะให้พวกเราทำอะไรค่ะ?" โนถามขึ้นบ้างเมื่อเห็นว่าฉันเดาผิด
"พวกแกแค่ไปเป็นตัวเชื่อมก็พอ"
"…?" ทั้งฉันและโนต่างก็ไม่เข้าใจว่าจะให้ไปเป็นตั้งเชื่อมยังไง
"นี่พวกแกได้เรียนที่โรงเรียนกันบ้างรึเปล่า หรือว่าเอาเงินที่ฉันให้มาเที่ยวเล่นหมด!" ท่านมองพวกเราด้วยสีหน้าที่เกรียวกราดขึ้นเพราะพวกเราไม่สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่ท่านต้องการให้ทำได้ แต่จะมาโทษพวกเราได้ยังไงมีโรงเรียนไหนสอนให้นักเรียนไปเป็นนักธุรกิจตั้งแต่มัธยมบ้างล่ะ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถเถียงออกไปได้อยู่ดี แม้จะเห็นว่าฉันดื้อกับทุกคนแต่ฉันก็ไม่ได้เป็นลูกอกตัญญูหรอกนะที่จะไม่ฟังคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘พ่อ’ เลยน่ะ แม้ในใจลึกๆ จะต่อต้านก็ตาม
"ขอโทษด้วยคะ" พวกเราตอบพร้อมกันอีกครั้ง ที่ไม่มีใครคิดจะเถียงกลับไปก็เพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไร้ประโยชน์มีแต่จะทำให้เรื่องมันใหญ่โตไปก็เท่านั้น
"พวกแกแค่หาทางทำความรู้จักก่อนฉันจะเข้าไปเจรจา แล้วก็ทำให้เขาคล้อยตามแกก็พอ หวังว่าแค่นี้พวกแกคงทำได้นะ"
"คะ" ฉันกับโนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง ก่อนที่ท่านจะลุกเดินออกไป เมื่อหมดธุระแล้ว
ปัง
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลงฉันกับโนก็หันมามองหน้ากันอย่างคนเหนื่อยอ่อน ทุกครั้งที่ได้คุยกับพ่อพวกเรามักเป็นแบบนี้เสมอ เหมือนจะเป็นลูกน้องที่พ่อคอยสั่งการเพื่อธุรกิจมากกว่าจะได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูก’ ด้วยซ้ำ
"วันมะรืนนี้นี่" โนหยิบการ์ดใบนั้นขึ้นมาอ่านทวนอีกครั้ง
"อืม ดูเหมือนจะเป็นงานใหญ่นะ" ฉันหันไปคุยกับโน
"ก็คงงั้น แต่ทำไมคุณพ่อถึงได้สั่งให้เราไปเป็นตัวเชื่อมแบบนี้ ปกติแค่ท่านคนเดียวก็สามารถเจรจาได้อยู่แล้วนี่" โนถามขึ้นอย่างคนนึกแปลกใจไม่ต่างกับฉันที่คิดแบบเดียวกัน
"ก็คงอยากให้ธุรกิจของตัวเองไปได้ในระยะยาวมั้ง อีกไม่นานอาจจะจับฉันไม่ก็แกไปหมั้นกับคนที่เขาไปเจรจาด้วยก็ได้ ถ้าทำแบบนั้นก็คงได้ผลประโยชน์มากขึ้นอยู่หรอก ฮึ" ฉันตอบกลับไปอย่างประชดประชัน
"ไนท์ แกอย่าคิดอย่างนั้นดิ"
"ต่อให้เขาสั่งฉันได้ทุกอย่าง แต่จะมาสั่งให้เปลี่ยนความคิด คงยากหน่อยล่ะ" ฉันรู้ว่าโนมันคงลำบากใจที่ฉันคิดอะไรแบบนี้ แต่มันช่วยไม่ได้นี่ หัวมันคิดไปเองนี่หว่า มันห้ามกันได้ที่ไหน
"ถึงฉันจะบอกแกยังไงมันก็คงไม่เปลี่ยนงั้นสิ?"
"ก็ทำนองนั้น" แม้ว่าเรื่องนี้โนจะเป็นห่วงฉันแล้วเตือนด้วยความหวังดีก็เถอะ ถึงในหัวมันจะเข้าใจแต่ความรู้สึกมันไม่ตามมาด้วยจะให้ฝืนได้ยังไงล่ะ
"มะรืนนี้วันอะไรนะ?" มันเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่พ่อสั่งแทน
"วันเสาร์มั้ง วันหยุดเราพอดี" ฉันเหลือบมองดูปฏิทินอีกที
"แล้วงานเลี้ยงนี้มันต้องใส่ชุดอะไรนะ?"
"ไม่รู้ดิ ลองไปดูการ์ดอีกทีมั้ย เพื่อจะรู้" โนเดินไปหยิบการ์ดมาอ่านอีกรอบ แต่สีหน้ามันบ่งบอกเลยว่าคงไม่ได้มีเขียนบอกไว้แน่
"ไม่มีว่ะ"
"งั้นเอาไงล่ะ ไปถามคุณพ่อมั้ย?" โนเสนอแนวทางที่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าฉันไม่ทางเลือกแน่ๆ แต่มันก็ยังเสนอ ฉันทำหน้าเบ้กลับไปเป็นอันรู้ๆ กันอยู่ว่าไม่มีทางแน่
"รู้แหละ ฉันว่าบางทีอาจจะมีคนพอช่วยเราได้นะ" ริมฝีปากเริ่มคลี่ยิ้มออกเมื่อนึกว่าใครสามารถช่วยได้ คนที่คุ้นเคยกับงานสังคม…เรลี่ ลูกชายคนเดียวของผู้อำนวยการโรงเรียนใหญ่ คงไม่มีทางไม่รู้แน่กับแค่เรื่องชุดเอง แต่ไม่รู้ว่าจะยอมช่วยรึเปล่าเนี่ยสิ พอนึกดูดีๆ ฉันก็ทำไว้กับเรลี่สาหัสไม่น้อย แต่เมื่อมีทางมันก็ต้องลองเดินล่ะนะ :)
ความคิดเห็น