ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Set off on our Journey <3 ฉ.เด็กกะโปโลบุกแดนปลาดิบ

    ลำดับตอนที่ #6 : สัมผัสแรก ในแดนปลาดิบ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 59


    อ๊ากกกกกกกกก
    เอาจริงๆ คือเราไม่สามารถหลับตาลงได้เลย หลังจากที่อาหารเสริฟบนเครื่อง คือเรานั่งตรงกลาง แต่ตาเรานี่แทบจะแนบชิดหน้าต่างเครื่อง ในใจนี่แบบ แม่งงงง แสงอรุณในแดนอาทิตย์อุทัย.....แก!!!!!! ><
    ตาเรานี่แบบ ไล่มาเรื่อยๆเลย เครื่องก็แบบ ค่อยๆ ลงใกล้เรื่อยๆ เริ่มเห็นบ้านเรือนมาแต่ไกลลล พอกัปตันบอกให้รัดเข็มขัดเรานี่ยิ่งจ้องไม่วางตาเลย แล้วแบบในใจก็ลุ้นๆมาก เพราะก่อนหน้านี้ มีโอกาสได้อ่านหนังสือมาเล่มหนึ่ง ซึ่งจำไม่ได้ว่าเล่มไหนแล้ว เขาบอกว่า
     เวลาบิน มีแค่ 7 นาทีของการที่เครื่องกำลังทะยานขึ้น กับ 7 นาที ทีเครื่องกำลังจะลงจอดเท่านั้น ที่เป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เลยแอบลุ้นตามคำบอกกล่าวนั้นเหมือนกัน 5555+ ไม่รู้ว่า ทริปนี้จะเป็นทริปแรกและทริปสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า 555+ เพราะเหมือนเคยพูดไว้ว่า 

    ชาตินี้แค่ได้เอาเท้าแตะแผ่นดินญี่ปุ่น ชาตินี้ก็ตายตาหลับละ 5555+

    แล้ว...กัปตันก็นำเครื่องลงอย่างปลอดภัย

    อ๊ากกก ด่านต่อไป ก็ ตม.สินะ 
    อดคิดในใจไม่ได้ว่า กุจิรอดไหม????? 55555+

    // ขอท้าวความ ตอนสอบเข้ามหา'ลัย ได้ปรึกษากับนางโยโย่ ซึ่งตอนนั้นก็ได้คุยกันคร่าวๆเรื่องไปญี่ปุ่นมาแล้ว แล้วนางก็บอกว่า ถ้าเลือก มอดังย่านสามย่าน ก็ดีนะ เพราะเวลาผ่านตม. ถ้าบอกชื่อมอ.ไป เขาน่าจะรู็จักแล้วให้ผ่านได้ง่ายๆ คนซื่ออย่างกะปิ ที่ไม่เคยย่างกรายไปในแดนปลาดิบ ก็หลงเชื่อประโยคนั้น จึงกลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่ 5555+ TT//

    เราลงเครื่องที่สนามบิน Haneda  พอลงมาก็ไปรอรับกระเป๋าตามระเบียบ  จากนั้น ก็ ไปที่ ตม. เรานั้นก็ไม่ได้คาดคิดหรอกว่า เคาท์เตอร์ที่ว่างของเรานั้น จะเป็น ตม.ที่เลอค่ายิ่งนัก เอาจริงๆคือ ความหล่อนางทะลุมากๆๆๆ ยื่นไปยิ้มไป อิๆ แล้วคือตอนแรกเตรียมใจไว้ละ ว่าน่าจะโดนถาม แต่ผิดคาดจ้าา นางไม่ถามอะไรเลย ดูเสร็จ ปั้มๆๆๆ ยื่น...เรานี่แบบ อ่าว เสร็จละเหรอ? ความหล่อยังไม่ซึมเข้าเนื้อเยื่อตาเลย 555+ เราก็เลยเดินออกมารอนังโยโย่ รายนั้น พีคมากค่ะ นางโดนถามแบบนี้เลยจ้าา...



    จบ ที่ แต่เขาหล่อ กุให้อภัย !!!
     ฮาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

    แล้วเราก็มาถึงด่านกรอกอะไรซัมติงที่เป็นใบเกี่ยวกับว่า พกของอะไรมาบ้าง ซึ่งเป็นเอกสารอันเดียวกับที่แอร์แจกบนเครื่อง แต่ตอนนั้นมันมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แล้วก็งงๆกัน เลยไม่ได้เอาลงมา 5555+ แล้วประเด็นคือ ตัวอย่างที่มีให้กรอกนั้น ก็ไม่มีภาษาไทยเลยจ้า โยโย่ผู้รู้ภาษาญี่ปุ่นนั้น ก็เซย์โน เพราะมันไฮคลาสกว่าที่นางรู้ 555+ คนโง่ๆแบบเราๆๆ จึงกรอกๆไป แบบถามกันไปมา ถึงความน่าจะเป็นของการสื่อความของนาง(ใบที่ให้กรอก) และแล้ว ความน่าจะเป็นที่เราเรียนๆกันมานั้น ก็ได้ใช้งาน อาจารย์ต้องดีใจมากแน่ๆเลย ><
    พอกรอกเสร็จก็เอาไปยื่น แบบแพคคู่ 55+ เลยโดนถามแบบแพคคู่ไป ว่าแบบมากี่วัน มาทำอะไร ถามเป็นภาษาอังกฤษที่ฟังชัดนะ เพราะ กะปิฟังได้ ทุกคนก็น่าจะฟังได้ 55555+

    ข่าวร้าย ของการลงฮาเนดะ คือ เราไม่สามารถหาที่แลกเจอาร์ได้ คือเวลาเราซื้อเจอาร์เราจะได้อารมณ์ประมาณใบเสร็จแล้วต้องมาแลกที่ญี่ปุ่น เอาเอง ซึ่ง ฮาเนดะไม่มีที่ให้แลก ดังนั้น เราจึงต้องเสียเงิน 650 เยน ในการมาสถานีโตเกียว TT ตอนนั้นรู้สึกว่ามันแพงมากจริงๆ เพราะยังไม่ชินกับค่าครองชีพจริงๆ เอะอะก็แปลงเป็นไทยตลอด (ง่ายๆคือ 1000เยน คือ300บาท 500เยน คือ150 บาท) เรานั่งโมโนเรลกันมา ระหว่างที่รอโมโนเรลสายตากะปิ ก็เหลือบไปเห็น ยอดเขา ยอดเขานั้น กะปิได้โมเมไปเอง ว่ามันคือฟูจิ และนางโยโย่ก็บอกว่า ใช่ !!! นั่นคือแบบ ดีใจยิ่งชีพ แม้จะเห็นแบบมีเมฆบังก็ตาม พอโมโนเรลมาถึง เราก็ดันกระเป๋าเข้าไปอย่างยากลำบาก ประเด็นคือ ที่วางกระเป๋าเดินทางมันอยู่สูงระดับหนึ่ง ไอ้เราก็เป็นผู้หญิงบอบบาง การยกกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ก็มิสามารถ แต่ขณะนั้น เราจำเป็นต้องช่วยตัวเองจริงๆ ....

    แต่แล้ว...ก็มีหนุ่มสวมแมส  ความหล่อทะลุแมสมาก มาช่วยยกกระเป๋าของกะปิ กะปินี่ดีใจ

    น้ำตาจะไหลลล

    เชี่ยยยยยยยย !!!

    ผมกุ !!!!!!!

    คือ เจ็บอ่า เจ็บมากด้วย TT แล้วการไว้ผมยาวก็ทำให้ กะปิได้สูญเสียผมไปประมาณกระจุกนึงได้ แม่มมม เพราะชายหนุ่มสวมแมสผู้นั้นได้มาช่วยกะปิยกกระเป๋า แต่นางได้เกี่ยวผมกะปิไปพร้อมกระเป๋าที่นางยกด้วย แม่มมมมมมมม แต่ก็ต้องฉีกยิ้มขอบคุณนางไปตามระเบียบ ก่อนที่จะรูดผมที่คาดออกมาดู พร้อมเสียงหัวเราะของนังโยโย่ TT 

    เสียงประกาศบนรถไฟนี่แบบ เหมือนเป็นภาษาต่างดาวมาก บอกเลย แม้กะปินั้นจะได้ร่ำเรียนภาษาญี่ปุ่นจบจนมินนะเล่มแรกไปแล้วก็เถอะ(เหมือนเยอะเนอะ- -) ประกาศที่ก็มองหน้ากันที นังโยโย่ก็พยายามฟัง แบบว่า ถ้าเลยนะจบกันนน การนั่งโมโนเรลมาโตเกียวนั้น เราจะต้องมีการ interchange กันหนึ่งครั้ง ก่อนจะนั่งมายาวๆ กะปินั้น ได้มองวิวทิวทัศน์มาตลอดๆ ก็พบว่า เป็นวิวที่งดงามมากจริงๆ และสังเกตได้ว่า ญี่ปุ่นนั้น มักจะสร้างสะพานที่ทำจากเหล็ก (อนาคตของภาคโลหการ เห็นอยู่ลิปละ555+)



    พอเรามาถึง สถานีโตเกียว...ความยิ่งใหญ่และความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น

    คือคน ....มหาศาล มากจริงๆ

    เราตกลงกันว่า เราจะไปเที่ยวในโตเกียวก่อน แล้วค่อยไปโอซาก้า เพราะที่พักคืนนี้เราอยู่เกียวโตกัน ดังนั้น เราต้องหาที่เก็บกระเป๋า !!!
    และต้อง เป็นขนาดใหญ่ ที่จะยัดกระเป๋าเราได้

    เราเดินหากันเองแบบวนรอบมาก ดูแผนที่ก็แล้ว จนสุดท้ายต้องถามคุณลุงผู้ทำหน้าที่สักอย่างในสถานีเอา จนกระทั้ง เจอ Locker แล้ว 600 เยน ก็ออกจากกระเป๋าอีกครั้ง TT  พอฝากเสร็จ เราก็เข้าสู่ภารกิจหาที่แลกเจอาร์  เพราะถ้าไม่มีมัน ชีวิตเราจะอับจนในทันที
    เราเดินหากันนานมากจริงๆ จนกระทั่งเจอ ไม่สามารถอธิบายทางได้จริงๆ  พนักงานต้อนรับเราดีมาก พอเรายื่นไปเขาก็ให้กรอกอะไรอีกนิดหน่อย แล้วเราสองคนก็จองชินคันเซนไปชินโอซาก้ากันเลยจ้าาา



    พอจองเสร็จ เราก็รีบบึ่ง ไปย่าน ชิบูย่า กันเลยจ้าาา 


    และนี่คือ ย่านชิบูย่า ในวันที่ 24 ธค. 58





    บรรยากาศ คริสตมาสอีฟ ก็มา นิสนึงง 555+  จากนั้นก็ตระเวนหา Loft เพื่อหา Mascara base ที่เพื่อนแนะนำมาว่าเริ่ด ประเด็นก็คือ เราก็ไม่รู็เหมือนกันว่า มันอยู่ตรงไหน การถามก็บังเกิด... 

    เวลาจะถามทาง เราจะค่อยเปรยตามองหาเหยื่อ เอ่ย ผู้โชคดีที่จะถูกเราถาม 555+ จากนั้น เมื่อเราเมคชัวร์ว่า เขาน่าจะใจดีตอบคำถามเรา เราก็ตรงไปหาแล้วถามทันที โยโย่ผู้เชี่ยวภาษาญี่ปุ่นมากที่สุด ก็เข้าไปถาม แต่นางดันถามเป็นภาษาอังกฤษ 555+ แต่ คำตอบที่นางได้กลับเป็นภาษาญี่ปุ่น 5555+  ที่ถูกพูดผ่านการดูกูเกิ้ลแมพจากโทรศัพท์ของผู้โชคดี จากนั้น เราก็พยักหน้าขอบคุณเขา เราเข้าใจเขาเพราะ แผนที่กูเกิ้ลและการอธิบายเป็นภาษามือ ว่าให้เลี้ยวขวาไปแล้วจะเจอ
    พอเจอตึก ลอฟ ฉันก็ต้องอึ้งกับ ปฏิมากรรมที่ฉันคิดว่ามันเจ๋งมากๆ นั่นก็คือ 



    มันคือเฟืองงงง ที่หมุนเป็นคำว่า LoFt โอยยย ดีงามมม ชอบบบบ เก๋ไก๋ อะเมซิ่งกับความเป็นญี่ปุ่นมาก !!!
    หลังจากเสียเงิน 1000เยน ให้กับมาสคาร่าเบสนั้นไป ความหิวก็บังเกิด เลยพยายามเดินหาร้านถูกๆกิน แล้วก็ไปเจอร้านนี้ ข้าวแกงกระหรี่แบบดีงามในราคา 500 เยน (ปริ่มมาก บอกเลย)



    จากนั้น เราก็กลับมาสถานีโตเกียวเพื่อให้ทัน ชินคันเซนที่เราจองไว้ ระหว่างทางที่ยาวนาน กะปิเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อย่างมาก มองไปก็รู้สึกแบบ แม่งงงง ความฝันชัดๆ แต่มันกลายเป็นจริงแล้วอ่า ตอนนี้คือ เราอยู่ญี่ปุ่นแล้ว มากกว่าตอนดูทีวี มากกว่าเท้าที่สัมผัสผืนดิน ตอนนี้เราจะวิ่งจะกระโดด ยังไงก็ได้ ฉันมองบ้านเรือนญี่ปุ่น ผ่านหน้าต่างชินคันเซนที่วิ่งไวปานจรวด ที่ตื่นตาตื่นใจของฉันอีกอย่าง คือ ตอนชินคันเซนสองคันสวนกัน มันเป็นอะไรที่เร็วมากจริงๆ สวนมาเพื่อเจอกันแค่ระยะไม่ถึงหนึ่งนาที จนบางครั้ง ถ้าไม่ได้สังเกต ก็อาจจะผ่านไปโดยที่ไม่รู้ตัว...กะปิ พยายามตั้งกล้องเพื่อจะอัดคลิปชินคันเซนสวนกันหลายรอบมาก

    รอบแรก เปิดกล้องไม่ทัน
    รอบสอง ทันช่วงที่กำลังจะไป (เหลือแต่ตูดชินคันเซน)
    รอบสาม กำลังจะสวน ลงอุโมงค์ทันที
    .
    .
    .
    พอหลายรอบเข้า
    ก็ใช้หลักการที่ได้ร่ำเรียนมา นั่น คือการสังเกต และเก็บข้อมูล จนรู้สึกว่าประมาณ 5 นาที ชินคันเซนจะสวนกันมา
    คิดได้ดังนั้น ก็มองนาฬิกาหลังจากที่คันล่าสุดผ่านไป พอใกล้ๆ ก็เปิดหน้ากล้อง โหมดวีดีโอ จากนั้นก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม

    และ
    ถ่าย !!!!!!!!!


    รอบสุดท้าย ถ่ายทันเฟ่ยย คิดเอาว่าลำบากขนาดไหน ขนาทำเป็นกิฟยังไม่สามารถแคปหน้าขบวนทัน TT

    และแล้ว ความฝันที่จะได้เห็นฟูจิ เต็มๆตา ก็มาถึง... ชินคันเซนได้เข้าสู่เขต ชิซูโอกะ เรียบร้อย !!!



    น้ำตาแทบร่วงงงงง เคยเห็น แต่ในรูป และวาดมันลงบนฝาผนังห้องนอน แล้ววันนี้ก็ได้มาวาดมันไว้ในความทรงจำ ถ่ายไว้ในเลนส์ตา เมมไว้ในสมองและจดจำผ่านหัวใจไปเรียบร้อย (ความเว่อร์มีอยู่จริง ฮ่าๆ)

    แต่มันเป็นฟิลลิ่งที่ แบบ สุดๆจริงๆนะ มันคือสิ่งที่ทำให้เราคิดถึงญี่ปุ่น มันคือแลนด์มาร์คของเรา ><

    Mission Complete !!!
    เมื่อถึง ชินโอซาก้า เราก็รู้สึกได้ถึงความลำบากของกระเป๋า เราจึงเลือกที่จะกลับไปเกียวโต เพื่อนำกระเป๋าไปเก็บ เราจะได้เที่ยวกันอยากสะดวก แต่ท้องฟ้าที่มืดค่ำ ทำให้เราลงความเห็นว่า เดินเที่ยวแถวๆโรงแรมก็น่าจะดีนะ 5555+

    พอเรามาถึงสถานีเกียวโต เราก็พยายามจะหาทางออกจากสถานี เรางัดแผนที่ที่แคปจากกูเกิ้ลแมปมาดู แล้วก็พบว่า ถามนายสถานีเถอะ แล้วนังโยโย่ ก็ทำหน้าที่ได้ดี โดยใช้ภาษาญี่ปุ่นที่ร่ำเรียนมาถามนายสถานี เราจึงสามารถหาทางออกจาก สถานีได้ แล้วก็เป็นหน้าที่ของ กะปิ จากคนที่ไม่เคยดูแผนที่ออก วันนี้ จะต้องดูแผนที่ให้ออก 
    เพราะนังโยโย่ ก็ดูไม่เป็น 

    กะปิจึงรวบรวมสกิลที่มีอยู่ ค้นหา แลนด์มาร์คในแผนที่ที่จะทำให้เราเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนได้ จากนั้น ก็ค่อยๆลัดเลาะไปตามแผนที่ โชคดีที่ โรงแรมเรา อยู่ใกล้ๆสถานี จึงไม่หลงมาก โรงแรมที่เราพักกันวันนี้ เป็น โฮสท์เทลที่ดีทีเดียว เมื่อเราวางกระเป๋าเสร็จสรรพ ก็ออกตระเวนราตรี (พูดเหมือนไปผับ 555+) เปล่า ความจริงคือ เดินมาหาของกินที่สถานี แล้วก็เจอร้านขายยาที่สามารถหลงเข้าไปอยู่ในนั้นได้นานนับ ชั่วโมง แล้วกะปิ ก็ได้พบรัก กับ ชานมยี่ห้อหนึ่ง ที่ร้านนี้ขายถูกมากกกกก 

    88 เยน รวมภาษีก็ 98 เยน

    โอย คือ ดี ที่อื่นขายหลายร้อยอยู่

    พอซื้อของออกมาจากร้านขายยา ก็เจอเข้ากับ ผู้หญิงผมยาว ทำหน้าตาตกใจ ที่เห็นกะปิ แล้วเธอก็ค่อยๆเผยรอยยิ้ม อันสดใสออกมา เมื่อสมองกะปิ ประมวลผลได้ ก็ 

    "เห่ยยยย มาได้ยังไง"

    แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น

    เกียวโตมันแคบนาดเจอเพื่อนที่คณะ ได้เลยนะ ตัวเธอ !!!  55+

    หลังจาก เจอกันแล้วถ่ายรูปกันเสร็จสรรพว่า เออ ฉันมาเกียวโตและบังเอิญเจอเธอแล้วนะ ต่างคนก็ต่างแยกย้าย แล้วชะตากรรมของท้องก็มาตกที่...

    ไอติมในฝันที่อยากกินมานานนนนนน


    แล้วคือแบบ มันฟินมากกกกก เพราะกินท่ามกลางหิมะ....ไม่เคยแคร์แม้อากาศจะหนาวมาก นี่คือแบบเดินกินมาได้แบบไม่ละลาย จนมาถึงโรงแรม ด้วยความอยากยั่วน้องมาก ว่าข้าได้กินไอติมแบบนี้แล้ววว

    จึงได้ทำการ วีดีโอ คอลไลน์ กันไป....555+ คือแบบรู้สึกดีมาก เพราะตรงที่น้องอยู่ ก็มีปะป๊าอยู่ด้วย มันก็ได้ฟิลลิ่ง คิดถึงบ้านมานิดนึง

    แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตเรา จะตัวติดกับใครสักคนตลอดชีวิตคงเป็นไปได้ยาก

    สักวันก็ต้องจากกัน

    แต่ความรู้สึกดีๆ ยังคงรายล้อมรอบตัวเราเสมอ

    #คิดจะกินไอติม ต้องกินตอนหน้าหนาว 

    **รวมรายจ่ายประจำวัน 650+600+500+98+1000+213=2561 yen
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×