ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Set off on our Journey <3 ฉ.เด็กกะโปโลบุกแดนปลาดิบ

    ลำดับตอนที่ #5 : กางปีก...บิน !!!

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 59


    แล้ววันนี้ก็มาถึง...วันก่อนบิน ! ! !
    ความเป็นแบ็คแพคเกอร์ของฉันยังอ่อนด้อยยิ่งนัก การจัดกระเป๋าจึงค่อยข้างจะลำบากนิดหน่อย เพราะไม่รู็เหมือนกันว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง หน้าที่นี้จึงตกต้องเป็นของผู้เป็นแม่ ที่กำลังง่วงอยู่กับการดีไซน์ชุดต่างๆให้ลูกอย่างเพรียบพร้อมจนทุกอย่างอัดแน่นอยู่ในกระเป๋า ฉันไม่อาจคาดคะเนได้เลยจริงๆว่าที่นู่นอากาศจะหนาวขนาดไหนกันเชียว แต่แผลเก่าจากการไปแชงกรีล่าที่จีนยังคงไม่จาง...

    ฉันจะต้องอยู่รอดในอากาศหนาว !!
    ผิวของฉันจะต้องไม่แห้ง ปากของฉันจะต้องไม่แห้ง ฉันจะกระหน่ำทาครีมมันทุกวัน ทาลิปมันให้มันเต็มที่  
    ถุงมือ เป็นอะไรที่จำเป็นต่อฉันมาก ในยามอากาศหนาว
    ไอเท็มใหม่ในการเดินทางสู่อากาศหนาวครั้งนี้ คือ ผ้าปิดจมูกลายคิตตี้แบ้วๆ ที่แม่เพิ่งซื้อมาจากทริปเวียดนามตอนต้นเดือน ธค. ที่ทุกคนในครอบครัวได้ไป ยกเว้น ฉัน !!!!
    สอบเข้าไปสิ !!! มหา'ลัย T T
    แล้วของที่คิดว่าจำเป็นก็ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าใบใหญ่สีแดง อันหนักอึ้งไปเรียบร้อยแล้ว

    ฉันส่งข้อความผ่านทาง เฟสบุ๊ค ไปหา โยโย่ เพื่อถามไถ่สถานการณ์การจัดกระเป๋าของหล่อน

    เอาจริงๆ ฉัน ฮา มากกับภาพที่หล่อน ถ่ายมา อะไรคือการ ถ่ายกระเป๋าเทียบกับตัว!!! 555555+

    และ นี่ ก็คือ สัมภาระที่เราต้องแบกกันไป ตลอด 15 วัน
    ซึ่งมันต้อง เพิ่มขึ้นแน่นอน

    #ขำทั้งน้ำตา

    เช้าวันต่อมา . . .

    ฮะ !! 23 ธันวาคม 2558
    วันนี้ บิน !!!!

    ความจริงแล้ว มันก็รู้สึกเหมือนวันปกติ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากนัก ก็แค่รู้สึกโหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก อารมณ์แบบว่า วันนี้ คือวันสุดท้ายของปีที่จะอยู่ที่เมืองไทย

    ฉันพยายามจะทำตัวเป็นเด็กดีของปะป๊า >< ก็กลัวว่าเขาจะไม่ไปส่งที่สนามบินนะสิ อิๆ
    ฉันถอนเงินจากบัญชีเผื่อแลกเป็นเงินเยนไปประมาณ 29000 บาท แลกเป็นเงินเยนก็ได้ประมาณ 110000 เยน ได้พอคเกตมันนี่ จากอาโกเป็นเงินเยนและเหรียญๆประมาณ 5000+ และด้วยความเป็นห่วง คุณแม่ก็เมตตาให้เงินยูโรมาจำนวนหนึ่งเผื่อฉุกเฉิน นั่นทำให้ กะปิต้องรักษาเงินทั้งหมดยิ่งชีพ จึงได้เตรียมการห้องกระเป๋าเล็กๆคล้องคอซึ่งมีพาสปอร์ตและเงินจำนวนหนึ่งอยู่ เงินนั้น ได้ถูกแบ่งเก็บ โดยซ่อนเอาไว้ในที่ที่หลากหลายมาก ซึ่งไม่สามารถเผยแพร่ได้ วิธีใครวิธีมันแล้วกัน เรื่องเงินๆ ทองๆ เนี่ย

    ฉันกับโยโย่ คุยกันตอนประมาณ 4 โมงเย็น ว่าเราจะเจอกันที่ สนามบิน 19.30 น. เพราะเราบิน 22.55น. เผื่อเหลือเผื่อขาด พร้อมกับส่งรูปสัมภาระที่จะเอาไปทั้งหมดให้ดูอีกรอบ


    เสบียงสำหรับยังชีพ ฉันพร้อมมาก !!!!

     พอคุยกันจบ ฉันก็ไปอาบน้ำ แบบว่า พร้อมไปเต็มที่ ฉันบอก พ่อว่า เรานัดกันเวลานี้ พอใกล้เวลา ฉันก็พยายามจะติดต่อโยโย่ในทุกๆทาง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น 

    ฉัน ณ เวลานั้น รู้สึกกระวนกระวายใจมาก

    กุจะโดนเทไหมเนี่ย !!!

    ก่อนจะออกจากบ้าน พ่อก็ถามว่า นัดเพื่อนไว้ที่ไหน? โทรคุยกันหรือยัง ฉันก็ได้แต่ บอกสถานที่ที่เรานัดกันไว้ ด้วยใบหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจนี่แบบ

    แม่มมมม ทำไมติดต่อไม่ได้ แงๆๆๆๆ

    แล้ว

    พ่อก็ขับรถมาส่งฉัน ระหว่างทาง ฉันพยายามติดต่อ โยโย่ อีกรอบ แต่ก็ไม่เป็นผล TT 
    พ่อก็ยังย้ำเสมอว่า นัดกันดีแล้วนะ บลาๆ ฉันก็ทำท่าทางเหมือนว่า ไม่ต้องห่วงทุกอย่างโอเค

    แม้ในความเป็นจริง มันไม่ใช่เลยก็ตาม

    #บางครั้ง คนเราก็ต้องโกหก เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปโดยสวัสดิภาพ

    ไม่นาน พ่อก็ขับรถมาถึงสุวรรณภูมิ ฉันลงจากรถ พร้อมเข็นรถเข็นมาบรรทุกสัมภาระที่แบกมา ก่อนจะลาพ่อ แล้วเข้าสนามบินไป ฉันมองหาเกทที่จะเช็คบินของสายการบิน ANA ก่อนจะเข็นรถไปรอแถวๆ ที่จะเช็คอิน แล้วก็หา NH850 ว่าตอนนี้สามารถเช็คอินได้หรือยัง 

    ฉันมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะพยายามใจเย็นว่า มันยังไม่ถึงเวลาที่นัด เดี๋ยวพอถึง มันก็มาเองนั่นแหละ

    ว่าแล้วฉันก็หน่อยก้นลง บนรถเข็น พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ในหัวนี่ คิดไปถึงแม้กระทั่ง ถ้ามันไม่มาจะทำยังไงดี?
    e-ticket ก็อยู่ที่มัน เอกสารโรงแรมก็อยู่ที่มัน ถ้ามันไม่มา เราก็เที่ยวเองไม่ได้อยู่ดีแน่ๆ
    แล้วความกลัว + กังวลก็ถาโถมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเลยเวลา
    -0- !!!!!!!!
    ฉันกระหน่ำโทรหาโยโย่
    แต่ผลลัพธ์ ที่ได้คือ

    เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

    โอยยยยยย น้ำตาจะร่วง ฉันพยายามโทรหาทุกเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมัน ไม่ว่าจะเป็น เบอร์บ้าน เบอร์พ่อ ซึ่งก็โทรไม่ติดอยู่ดี เพราะที่มีมันเบอร์เก่าแล้ว จน ฉันไม่รู้จะทำยังไง เลยโทรไปหาเพื่อนสนิทที่ฉันไว้ใจมันที่สุด

    พอมันรับสายเท่านั้นแหละ ฉันก็ระบายทุกอย่างให้มันฟัง

    มันก็แนะนำได้แค่ว่า ให้ลองโทรหาคนนู้นคนนี้ดู บลาๆ

    ระหว่างที่กำลังงุ่นง่านกับการโทรหาใครต่อใคร โทรศัพท์ฉันก็ดังขึ้น

    เบอร์แปลกๆ โทรมา !!!

    ฉันเบิกตาโพลงด้วยความดีใจ พลางกับกดรับ

    บราโว่ !!!!

    อิโยโย่ โทรมา โอ่ยยย น้ำตาจะไหล จากนั้น ฉันก็ใส่มันเต็มที่ว่า จะรีบปิดเครื่องไปไหน บลาๆๆ
    มันก็บอกว่า มันเปิดโรมมิ่งแล้ว ก็เลยปิดไว้ก่อน บลาๆ นี่เบอร์พ่อ ตอนนี้รถติดอยู่ตรงแถวๆ อโศก !!!

    โอว มาย กอด

    เราจะไม่ตกเครื่องกันใช่ไหม?

    หลังจากวางสายจากมัน ฉันก็ต้องมานั่งลุ้นต่อ ว่ามันจะมาทันไหม?

    ในใจก็คิดว่าทันนั่นแหละ

    สุดท้ายมันก็มา...

    ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เบิกบานใจ

    มันจะรู้ไหมนะ ว่าระหว่างรอเกิดอะไรขึ้นไปบ้าง TT

    เล่นซะ ใจหายใจคว่ำ

    พอมันมา ทุกอย่างก็คลี่คลาย โยโย่แจกเอกสารที่ปริ้นมาสำหรับสองคน แบ่งให้ฉันเก็บไว้หนึ่งชุด และมันเก็บไว้หนึ่งชุด ในนั้นประกอบด้วย แผนการเดินทาง แผนที่โรงแรม บลาๆ อะไรทุกอย่างที่จะช่วยให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น

    จากนั้น เราก็ไปเช็คอิน 

    โอเค...เช็คอิน ไม่ต้องใช้ อีทิคเกต ใช้แค่ พาสปอร์ต เท่านั้น 

    แล้วพนักงานก็โหลดกระเป๋าให้เรา พร้อมให้ตั๋วเครื่องบินเรามา

    แล้วเราก็ค่อยๆ ผ่านด่านตรวจเป็นสเต็ปๆไป ฉันจึงสัมผัสได้ว่า การห้อยกระเป๋าเล็กๆที่คอ มันลำบากชีวิตมาก ฉันจึงเก็บมันเข้าเป้ไปตามเดิม

    ใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเราเข้าใกล้ความจริงขึ้นาทุกที มันตื่นเต้นกว่าทุกครั้งที่บิน มันอาจเป็นเพราะว่า ฉันเฝ้าฝันมาตลอดว่า จะได้เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นสักครั้ง โดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม? รู้แต่ว่าที่นั่นมีอะไรบางอย่างรอฉันอยู่ แล้วสิ่งที่สำคัญคือ ฉันทำได้ ฉันสามารถมาญี่ปุ่นได้ด้วยเงินของฉันเอง !!!

    ก่อนจะเข้าเกท ฉันโทรศัพท์หายาย แม่และก็ป๊า มันรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะ เป็นการบอกลาที่ฉันไปโดยลำพังละมั้ง ระหว่างที่รอขึ้นเครื่อง ฉันกับโยโย่ ก็สังเหกตเห็นได้ชัดว่า เครื่องนี้ คนญี่ปุ่นเยอะกว่าคนไทยแน่ๆ  ทุกคนดูมีระบบระเบียบ ซึ่งเมื่อหันมาดูเราสองคนที่มาพร้อมหนังสือคนละเล่มนั้น....

    มันก็ดู กลมกลืนดีนะ ฮ่าๆ


    22.55 น. 

    พนักงาน เปิดให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องบิน ฉันกับโยโย่ตรงไปที่นั่งของเรา ฉันนั่งตรงกลางระหว่างโยโย่กับคนญี่ปุ่นอีกคน เมื่อทุกอย่างพร้อม เครื่องก็ค่อยๆบินขึ้น...

    อีก 6 ชม. เท้าฉันจะได้เหยียบลงบนผืนดินญี่ปุ่นแล้ว !!!

    ปล. เครื่องบิน ANA ลำนี้ใหม่มาก มีทุกอย่างครบครัน  มีถุงหูรูดแจกมาพร้อมกับเซทขนมปังและน้ำขวดเล็กๆ แล้วถุงหูรูดใบนั้นก็กลายมาเป็นกระเป๋าคู่กายฉันตลอดเวลา 15 วัน  อาหารที่ทานบนเครื่อง ก็ดีงามมากๆ ออมเลทแบบอร่อย คลุกเคล้ากับซอสพิซซ่าที่มีพริกหยวก แนวบาร์บีคิว เสริฟพร้อมเบคอนรมควัน กินไปคำแรกก็สัมผัสได้ถึงรสของความอร่อย โอยย ฟินนน อยากกินอีก ใครอยากสัมผัสอะไรแบบนี้ ก็ลองบินกับ ANA ดู >< //ไมม่ได้อะไรจากการโปรโมทครั้งนี้ แต่ถ้าให้หนูบินฟรีก็ยินดีค่ะ ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×