ตอนที่ 19 : โจทก์เก่า
เฟิ่งเทียนหนิงเอาแต่ทำหน้าเง้าหน้างอมาตลอด ตั้งแต่เมื่อคืนจนเดินทางเข้าเมืองก็ยังไม่ยอมพูดจาอะไร คงเป็นเพราะหลังจากที่เขาบอกว่า
"เหยียนหลี่ ข้ารักเจ้า"
นางก็พูดต่อว่า
"เฟิ่งเทียนหนิง ข้าก็... ง่วงพอดี ดึกแล้วนอนเถอะ"
หลังจากนั้นนางก็นอนหันหลังให้แล้วหลับไป ตื่นมาเขาก็กลายเป็นแบบนี้เลย
"เจ้าจะไม่พูดอะไรจริง ๆ ใช่ไหม"
นางเอ่ยถามบุรุษหน้าหงิกที่เรียกขอความรักเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น
"ไม่ยุติธรรมเลย เจ้าปล่อยให้ข้าพูดอยู่คนเดียว"
เด็กชายเฟิ่งเทียนหนิงยังงอแงไม่เลิก นางจึงดึงคอเสื้อกระชากโน้มหน้าของเขาลงมาแล้วประทับรอยจูบที่หน้าผากของเขา ขณะที่ยืนอยู่กลางถนน
"แบบนี้ยุติธรรมหรือยัง"
นางยิ้มกริ่มจนแก้มแดงพูดกับเขา ส่วนเฟิ่งเทียนหนิง เอาแต่หมุนตัว มองซ้ายมองขวาไปรอบด้าน
"เจ้ากล้าทำแบบนี้ต่อหน้าคนเยอะแยะได้ยังไงกัน เจ้าต้องรับผิดชอบข้านะ"
เขาพูดแล้วทำตาโตใส่นาง จนฝู่เหยียนหลี่กลั้นขำไม่ไหว จึงเดินหนีเขาไป
กู้ซานไห่พาจู่เหอมาพักที่โรงเตี๊ยมใจกลางเมือง เขาออกมารอรับด้านหน้าถนนแล้วพานางไปพบกับจู่เหอ
"หมอบอกว่าเขาเป็นเช่นไรบ้าง"
ฝู่เหยียนหลี่ยืนมองดูจู่เหอที่หลับไม่ได้สติแล้วถามไถ่อาการ
"ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าเกือบตายเพราะช่วยเจ้าไง ถ้ามาช้ากว่านี้ เขาคงเสียเลือดจนตายไปแล้ว"
จื่อลู่ตอบอย่างประชดประชัน ฝู่เหยียนหลี่ไม่ชอบใจนัก แต่คำพูดนางก็คือความจริง
"หุบปากไปเลย ท่านไม่ต้องสนใจคนปากไม่มีหูรูดเช่นนาง หมอบอกว่าเขาปลอดภัยแล้ว ดีที่ทำแผลให้เขามาก่อน ไม่เช่นนั้นคงแย่ ข้าสั่งให้คนต้มยา ตามคำสั่งของหมอเรียบร้อย พักฟื้นสักระยะคงดีขึ้น"
กู้ซานไห่รายงานผลอย่างละเอียด ทำให้ฝู่เหยียนหลี่รู้สึกวางใจขึ้น
"ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่เอง"
นางบอกทุกคนแล้วหันไปมองเฟิ่งเทียนหนิง จื่อลู่และกู้ซานไห่เดินออกจากห้องไป
"ข้าควรอยู่ดูอาการเขาหน่อย ยังไงเขาก็.. "
นางพูดไม่จบเขาก็ใช้มือปิดปากนาง
"เจ้าไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจดี เจ้าดูแลเขาเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดแล้วก็เดินออกไป โดยไม่ให้โอกาสนางได้พูดอะไรต่อ ฝู่เหยียนหลี่รู้ดีว่า ถึงแม้เขาจะบอกเข้าใจ แต่มันก็คงอดที่จะรู้สึกไม่ได้ ต่อให้ใจกว้างสักเพียงใดก็ตามเถอะ นางเองก็หนักใจกับเรื่องนี้จริง ๆ ไม่รู้ควรจะทำเช่นไร จะให้เมินเฉยไม่สนใจจู่เหอ นางก็ใจไม่แข็งพอ เพราะยังไง นางก็มองว่าเขาเป็นสหายที่สำคัญคนหนึ่ง และเขายังช่วยชีวิตนางไว้อีก นางยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยใจ
ฝู่เหยียนหลี่นั่งเฝ้าจู่เหอจนเผลอหลับหน้าฟุบอยู่ที่โต๊ะ จู่เหอตื่นขึ้นมาเห็น จึงพยายามลุกขึ้นเดินเอาผ้ามาคลุมตัวให้นาง แต่นางก็รู้สึกตัวขึ้นพอดี
"เจ้าลุกมาทำไม เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอก รีบกลับไปนอนเร็ว"
ฝู่เหยียนหลี่รีบพยุงตัวจู่เหอกลับไปนอนที่เตียง
"เจ้าถูกแทงจนเสียสติหรือไง เอาแต่ยิ้มอยู่ได้"
นางพูดจากับเขาเป็นปกติ แต่จู่เหอเอาแต่ยิ้มหน้าบานตลอดเวลา
"ถ้ารู้ว่าเจ็บแล้ว เจ้าจะสนใจข้าขนาดนี้ ข้ายอมเจ็บตัวไปตลอดเลยดีกว่า"
ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ยอมจางหาย คำพูดฉายแววออดอ้อนฉอเลาะต่อนาง
"เช่นนั้นเจ้าคงต้องพิการเป็นอัมพาตไปเสียเลย แต่ข้าคงไม่แยแสเจ้าหลอกนะ สู้เอาเจ้าไปทิ้งไว้ข้างถนนเป็นขอทานเสียดีกว่าอยู่เป็นภาระข้า"
น้ำเสียงเย้ยหยันเย้าแหย่ไม่ได้จริงจังในคำพูด ทำให้เขายิ่งส่งประกายรอยยิ้มอิ่มใจออกมาไม่หยุด นางกำลังจะลุกออกจากเตียง เขาก็กระชากนางเข้าไปใกล้จนหน้าเกือบจะชนกัน ดวงตาสองคู่สบประสานจ้องกัน บุรุษหนุ่มเอียงหน้าโน้มริมฝีปากโค้งจะประกบเข้ากับของสตรี นางยกมือผลักหน้าของเขาออกไปอย่างแรง แล้วลุกหนี
โอ๊ย!
จู่เหออวดครวญเรียกร้องความสนใจจากนาง
"ไม่ต้องมาแกล้งทำ ข้ารู้ทันเจ้าหรอกนะ"
นางกำลังจะเดินออกจากห้อง
"ข้าเจ็บจริง ๆนะ เจ้าดูสิ แผลมีเลือดออกอีกแล้ว"
เขาทำเสียงออเซาะอ้อนนาง ฝู่เหยียนหลี่จึงหันไปดู เห็นแผลของเขาเลือดออกจริง ๆ
"เฮ้อ.. เจ้านี่มันจริง ๆเลย ถ้าอยู่เฉย ๆไม่หาเรื่องเข้าตัว ก็ไม่ต้องเจ็บซ้ำเจ็บซากแบบนี้ เดี๋ยวข้าจะทำแผลให้ใหม่ "
ฝู่เหยียนหลี่ง่วนอยู่กับการทำแผลจนไม่ได้สนใจอะไรเขา ไม่รู้เลยว่าเขาคอยเอาหน้าเข้าใกล้สูดดอมดมนางอย่างชื่นมื่นเพียงใด
"เสร็จแล้ว ต่อไปก็อย่าทำตัวบ้ากามราคะให้มากนัก จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว"
นางกระแทกเสียงใส่เขา แล้วออกจากห้องไปเลย
ฝู่เหยียนหลี่นำยาต้มใหม่มาให้เฟิ่งเทียนหนิง แม้ยาลูกกลอนจะช่วยบรรเทาพิษได้แต่สรรพคุณก็สู้ยาต้มที่ทำเสร็จใหม่ ๆ ไม่ได้อยู่ดี ความร้อนของมันจะช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายและทำให้การเดินพลังมีผลดีขึ้นต่อร่างกายของเขา เฟิ่งเทียนหนิงเดินลมปราณอยู่ตลอดทั้งวัน พยายามรักษาอาการพิษไม่ให้กำเริบ
"กินยาก่อนเถอะ"
นางยื่นยาส่งให้เขา เฟิ่งเทียนหนิงรับไว้ แล้วดื่มจนหมด เขาดูสีหน้าดีขึ้นเยอะ
"เหนื่อยไหม เจ้าแทบไม่ได้นอนพัก ต้องคอยดูแลคนนั้นคนนี้ ทั้งยังจัดการเรื่องอื่นอีกมากมาย"
เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่เคยใช้นางยืมซับเหงื่อที่ซึมจากใบหน้าของนาง เฟิ่งเทียนหนิงรู้ดีว่านางแบกรับอะไรไว้หนักหนาเพียงใด นางก็แค่สตรีตัวเล็ก ๆเท่านั้น ทำไมต้องรับทุกสิ่งไว้กับตัวมากมายขนาดนี้ด้วย
"ข้าจะหาวิธีถอนพิษให้เจ้า ข้าเพิ่งจะจำได้ว่า ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีตำราพิษ ที่เรียกว่าพิษเยือกเย็น อาการของคนโดนพิษคล้ายกับเจ้าเลย แต่ข้าไม่เคยศึกษาตำรานี้มาก่อน จึงไม่รู้วิธีกำจัดมัน ข้าจะหาโอกาสกลับไปสำนักผาดำไปค้นที่ตำหนักของท่านแม่ ตำราของท่านแม่ข้า ต้องช่วยเจ้าได้แน่นอน เจ้าอดทนหน่อยนะ"
เขาสวมกอดนางทันทีเมื่อนางเล่าให้ฟังจนจบ
"สัญญากับข้า ว่าเจ้าจะไม่บุ่มบ่ามทำอะไรที่เสี่ยงเพราะข้า"
นางเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขากลัวนางจะบุกเดี่ยวเข้าสำนักผาดำ ไปเอาตำราพิษออกมา เขาไม่ต้องการให้นางไปตกอยู่ในอันตรายเพราะเขา
"เมื่อก่อนเป้าหมายของข้าคือการแก้แค้น เพื่อทวงทุกอย่างคืน แต่ตอนนี้ข้ายิ่งต้องตั้งใจทำมันให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อจะกลับไปสู่สำนักผาดำได้ ถึงเวลานั้นสิ่งแรกที่ข้าจะทำ คือหาตำรามาถอนพิษให้กับเจ้า"
ยิ่งฟังคำพูดของนาง เขาก็ยิ่งโอบรัดตัวนางแน่นมากขึ้น ด้วยความรู้สึกของหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยรักความเข้าใจอย่างสุดลึก
แม้นางจะไม่พูดว่ารักเขาออกมาตรง ๆ แต่ทุกการกระทำมันสำคัญยิ่งกว่าคำพูด เขารักนางมาก และก็เชื่อว่านางรักเขามากเช่นกัน
"ท่านประมุข"
เสียงของกู้ซานไห่ ทำให้เขาและนางต้องยอมปล่อยตัวออกจากกัน
"เข้ามาเถอะ"
กู้ซานไห่เดินเข้ามาหน้าตาตื่น
"มันมาแล้ว"
แววตาประกายความโกรธแค้นของกู้ซานไห่ ทำให้นางเข้าใจได้เลย ว่าใครคือผู้ที่มา
ฝู่เหยียนหลี่กับกู้ซานไห่ ออกไปยืนอยู่กลางถนน ขวางขบวนของสำนักผาดำจื่อลู่ก็ยืนอยู่ด้านหลังของกู้ซานไห่ด้วยผู้ที่เดินนำหน้ามา คือบุรุษรูปงามร่างสูง ที่นางคุ้นเคยดียิ่งกว่าผู้ใด จางเฟ่ยอวี้ ในตอนนี้เขาดูสง่างามขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก ไม่ได้ดูเหมือนเด็กหนุ่มอ่อนแอน่าทะนุถนอมที่นางเคยพบ
"กล้าดียังไงถึงมาขวางทาง"
ซังซังสาวใช้ของจางเฟ่ยอวี้ รีบวิ่งมาต่อว่า เดิมทีนางคือสาวใช้คนสนิทของฝู่เหยียนหลี่
"ซังซัง นางน้องตัวดี เจ้ากล้ายื่นกระบี่ใส่หน้าข้าหรือ"
กู้ซานไห่พูดกับหญิงสาวที่ขวางกั้นช่วยปกป้องจางเฟ่ยอวี้
"พี่ใหญ่"
หญิงสาวร้องเรียกกู้ซานไห่ ซังซังคือน้องสาวแท้ ๆของกู้ซานไห่ ที่ฝู่เหยียนหลี่รับมาชุบเลี้ยงตั้งแต่นางอายุไม่ถึงสิบขวบ กู้ซานไห่พานางมาฝากฝังไว้ ให้คอยรับใช้ใกล้ชิดกับฝู่เหยียนหลี่ตั้งแต่ที่เขาขอติดตามนางเมื่อ 8 ปีก่อน นางจึงเลี้ยงซังซังไว้ข้างกาย สนิทสนมจนเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาว และไว้ใจนางพอ ๆกับที่ไว้ใจกู้ซานไห่
"พวกเจ้าไม่เห็นข้าหรือไง ถึงกล้ายกกระบี่มาใส่หน้าข้าแบบนี้"
กู้ซานไห่พูดพร้อมชูป้ายประจำตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปกครองของสำนักผาดำความจริงเขาถือว่ามีตำแหน่งสูงมาก ไม่ได้ต่ำต้อยด้อยกว่าใครในสำนัก เป็นรองก็แค่ประมุขกับพวกผู้อาวุโสเก่าแก่เท่านั้น ทุกคนเห็นเช่นนั้นจึงลดกระบี่ลง จางเฟ่ยอวี้ เดินทางมาโดยมีผู้ติดตามอีกประมาณห้าสิบคน ถือเป็นการมาที่สมฐานะของผู้รักษาการแทนประมุขของสำนักผาดำ
"ที่แท้ก็ท่านพี่กู้นี่เอง"
จางเฟ่ยอวี้ลงจากม้าเดินตรงเข้าหาจุดที่ฝู่เหยียนหลี่ยืน สายตาแหลมคมของนาง จับจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ
"ไม่ต้องมาแสร้งเรียกข้าพี่ ข้าไม่มีน้องเช่นคนอย่างเจ้า"
กู้ซานไห่พูดใส่หน้าจางเฟ่ยอวี้ แล้วเบือนหน้าหันทางอื่นอยากจะไม่พบเจอ
" โอ้โห! สมเป็นบุรุษงามที่ประมุขฝู่เหยียนหลี่เลือกจริง ๆ เกิดมาไม่เคยเจอใครรูปงามเช่นนี้มาก่อนเลย ข้าว่าพวกเขาสองคน ต้องเป็นคู่แท้กันแน่นอน"
จื่อลู่พูดด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มตะลึงในดวงหน้างดงามของจางเฟ่ยอวี้ จื่อลู่เคยพบเจอฝู่เหยียนหลี่ตอนพิธีขึ้นรับตำแหน่งประมุข นางได้ติดตามบิดาไปด้วย ใจจริงลึก ๆ นางชื่นชมความงามของฝู่เหยียนหลี่มาก และพยายามจะทำตัวให้ดูมีเสน่ห์เหมือนนางอีกด้วย
"พูดจาเพ้อเจ้ออะไรของเจ้าอีก"
กู้ซานไห่ตะคอกใส่จื่อลู่อย่างไม่สบอารมณ์
"เจ้าก็ดูสิ หน้าของเขาช่างละม้ายคล้ายกับประมุขฝู่เหยียนหลี่เลย คิ้วทรงมังกรเหมือนกันไม่มีผิด โบราณว่าไว้ คนหน้าตาคล้ายกัน มักเป็นเนื้อคู่กันมาทุกภพทุกชาติ ข้าว่าต้องจริงแน่ ๆ"
จื่อลู่พูดจบ กู้ซานไห่ก็เอาป้ายประจำตำแหน่งอุดปากนางไว้ไม่ให้พูดอะไรได้ต่ออีก
"เช่นนั้นก็คงจะเป็นคู่เวรคู่กรรม ของกันและกันเสียมากกว่า คู่ที่จองล้างจ้องผลาญกันไม่มีวันที่สิ้นสุด"
เสียงทุ้มต่ำเย็นชาแฝงความเคียดแค้นเอาไว้ของนาง ทำให้ดึงความสนใจจากจางเฟ่ยอวี้ได้ดี
"แม่นางนั่นเอง พบกันอีกแล้ว มิทราบว่ากระบี่ใช้ได้ดีหรือไม่"
จางเฟ่ยอวี้ถามด้วยท่าทีเป็นมิตรต่อฝู่เหยียนหลี่
"ถ้าเจ้าอยากรู้ ก็ต้องพิสูจน์มันด้วยตัวเอง"
สิ้นเสียงเคร่งขรึม ฝู่เหยียนหลี่ก็พุ่งกระบี่เข้าใส่จางเฟ่ยอวี้ทันที ทุกคนแผ่กระจายเป็นวงล้อมกว้าง ดูการประลองฝีมือครั้งนี้ของเขาสองคน
"คุณชายจางระวัง! "
ซังซังร้องเตือนทั้งยังจะวิ่งเข้าไปขัดขว้างการต่อสู้ แต่กู้ซานไห่ห้ามเอาไว้ รวมถึงสั่งคนในสำนักทั้งหมดห้ามเข้าไปยุ่ง
"ชักกระบี่ของเจ้าออกมา"
ฝู่เหยียนหลี่ร้องบอกขณะมุ่งกระบี่สู่เขา นางใช้กระบวนท่ากระจายดาวเอนตัวกลางอากาศ ส้นเท้าหนึ่งข้างยันพื้นไว้ แล้วหมุนรอบตัวของคู่ต่อสู้ ด้วยความเร็วดั่งลม กระบี่ตวัดปัดแกว่งทิ่มแทงศัตรูไม่หยุดยั้ง จางเฟ่ยอวี้แม้จะชักกระบี่ออกจากฝัก แต่ก็ไม่อาจตั้งรับการโจมตีของนางได้เขาถูกซัดจนกระเด็นไปกระแทกโดนร้านค้าข้างทางพังเละเทะระเนระนาด
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
ซังซังวิ่งเข้าไปห้ามแล้วรีบไปประคองตัวจางเฟ่ยอวี้ลุกขึ้น
"เจ้ากล้าดียังไงมาทำแบบนี้ อยากตายมากใช่ไหม ทุกคนปกป้องท่านผู้รักษาการ"
เมื่อซังซังตะโกนออกคำสั่งเช่นนั้น กระบี่ทุกเล่มของคนสำนักผาดำ ล้วนจ่อตรงมาที่ฝู่เหยียนหลี่
"ใครกล้าแตะต้องศิษย์สายตรง ผู้สืบทอดของท่านประมุขฝู่เหยียนหลี่ ข้าจะตัดหัวมันผู้นั้นห้อยประจานไว้ที่หน้าสำนักเจ็ดวันเจ็ดคืน"
กู้ซานไห่ประกาศลั่นดังก้องจนได้ยินไปทั่วทั้งถนน ทุกคนพากันลดกระบี่ไม่กล้าต่อกรกับเขา
"พี่ใหญ่ท่านพูดอะไรนะ ใครกันคือศิษย์ นางคือผู้สืบทอดอะไร"
ซังซังถามกู้ซานไห่ด้วยสีหน้าฉงนงงงวย คนรอบข้างก็มองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
"นางคือซูหลินหลิน ศิษย์สายตรงผู้เดียวของท่านประมุข และยังได้รับการถ่ายทอดสุดยอดวิชาลับฝ่ามือทะลวงวิญญาณ ได้ยินเช่นนี้พวกเจ้าคงเข้าใจความหมายแล้วใช่ไหม"
เมื่อกู้ซานไห่พูดออกไปเช่นนั้น ทุกคนที่ได้ยินต่างพูดคุยส่งเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่ว อีกไม่นานเรื่องนี้คงเล่าลือกันทั่วยุทธภพแน่นอน
"เป็นไปไม่ได้"
ซังซังร้องแย้งขึ้น
"ข้าเป็นพยานได้ ข้าเคยเห็นนางใช้วิชานั้นแล้ว"
จื่อลู่เดินเข้ามาเสริมทัพ แม้ปกตินางจะปะทะต่อปากต่อคำกับฝู่เหยียนหลี่เสมอ แต่ยังไงซะตอนนี้นางก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกันแล้ว ก็ต้องช่วยข้างเดียวกันก่อน
"เจ้าเป็นใครกันทำไม ข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย"
ซังซังโต้เถียงกับจื่อลู่ สองคนนี้ รุ่นราวเดียวกัน นิสัยก็คล้ายกันน่าจะเป็นคู่ปรับที่สูสีกันเลย
"ข้าคือตงจื่อลู่ บุตรีของเจ้าสำนักสี่กระบี่ ตงเหลียงไป่ ทีนี้พวกเจ้าเชื่อข้าได้หรือยัง โอว.. ข้าลืมบอกไป นางไปพบกับท่านพ่อของข้ามาเรียบร้อยแล้วด้วย"
จื่อลู่ยืดอกเชิดหน้าพูดจาด้วยความภาคภูมิใจในสถานะของตัวเองเสียจริง ไม่มีใครพูดโต้แย้งอะไรใด ๆมีแต่เสียงซุบซิบดังอื้ออึงไม่หยุด
"วันนี้ข้าซ้อมมือเพียงพอแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ"
ฝู่เหยียนหลี่บอกกู้ซานไห่กับจื่อลู่ แล้วหันหลังก้าวเดินกลับโรงเตี๊ยม
"แม่นางซูหลิน เราจะได้พบกันอีกไหม"
เสียงของจางเฟ่ยอวี้ดังไล่หลังนางมา นางไม่ตอบอะไรเขา ในใจเกิดสับสนนึกคิด ว่าทำไมรู้สึกทั้งเจ็บแค้น ทั้งปวดใจ อยากจะฆ่าก็ทำไม่ลง หรือนางไม่ได้อยากฆ่าเขาจริง ๆ ความคับแค้นอัดแน่นในใจแต่พอเห็นดวงตาใสซื่อของเขา ก็รู้สึกใจหายวาบภายใน หรือเป็นความใจอ่อนของนางเอง ที่ยังมีใจอาลัยอาวรณ์ต่อเขาอยู่ ฝู่เหยียนหลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งรังเกียจความรู้สึกของตัวเองเสียจริง
ฝู่เหยียนหลี่เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องพักคนเดียวไม่พูดจาหรือออกไปพบใครเลย ตั้งแต่เจอกับจางเฟ่ยอวี้ จนดึกแล้วเฟิ่งเทียนหนิงเดินพลังเสร็จ จึงมาหานาง เมื่อเย็นนางบังคับไม่ให้เขาออกไปด้วย ให้อยู่จัดการพิษของตัวเองแต่ในห้อง
ก๊อก ๆ
"ข้าเข้าไปได้ไหม"
พอเคาะประตูเสร็จเฟิ่งเทียนหนิงก็เอ่ยถามนาง ฝู่เหยียนหลี่จึงยอมเดินมาเปิดประตูให้เขา
"ได้ข่าวว่าเจ้าไม่ยอมกินอะไรเลย เรื่องเมื่อเย็นจื่อลู่เล่าให้ข้าฟังหมดแล้วตอนกินข้าวด้วยกัน"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดอะไรโดยไม่เรียบเรียงให้ดีเสียก่อน พอฟังแบบนั้น นางจึงกระชากคอเสื้อดึงเขาเข้ามาใกล้ทันที
"เจ้ากล้าไปกินข้าวกับสตรีอื่นหรือ"
แววตาหึงหวงที่อยากจะควักหัวใจของเขาออกมาบดขยี้ แต่ทว่านางไม่ได้โกรธเขาจริง ๆ
"กู้ซานไห่ก็อยู่ด้วย ข้าไม่ได้กินกับนางสองคนเสียหน่อย เจ้าทำไมต้องทำรุนแรงแบบนี้ด้วยเล่า"
เขาดึงมือออกขณะพยายามอธิบายให้ฟัง
"งั้นก็แล้วไป"
ท่าทางของนางดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเจอเขา
"ดีขึ้นหรือยัง"
เขาถามนางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนนางส่งสายตาคล้ายจะสอบถามเขาว่าพูดอะไร
"ก็ได้แสดงความเป็นเจ้าของตัวข้าแล้ว หึงหวงข้าขนาดนี้ รู้สึกดีขึ้นไหม"
เขาขยายความมากขึ้น จนนางยกมุมปากคลายรอยยิ้มจาง ๆออกมา
"ข้าจะหึงเจ้าไปทำไม จื่อลู่นางไม่ได้สนใจเจ้าอีกแล้ว"
นางพูดแล้วก็จิบชาด้วยท่าทางสบายใจ
"หมายความว่าอย่างไร"
เฟิ่งเทียนหนิงถามแบบที่ ไม่เข้าใจอะไรเลย จนนางต้องยิ้มเยาะเขา
" วัน ๆนางเอาแต่ตามติดกู้ซานไห่ตลอด ข้าคิดว่าสองคนนี้สุดท้ายคงไม่แคล้วกันหรอก"
ฝู่เหยียนหลี่ปรายตาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขา เฟิ่งเทียนหนิงพยักหน้ารับรู้ถึงความหมายได้แล้ว
เฟิ่งเทียนหนิงเห็นนางดูมีท่าทีสบายใจขึ้น เขาก็เลยวางใจ จึงกลับห้องไปนอนตามคำขอของนาง
ราตรีที่มืดมิดเงียบสงัด สตรีร่างเล็กนอนจับกระบี่สีเงินเอาไว้ข้างกาย เมื่อปิดตาลงจึงหลับลึกลงสู่ห้วงแห่งความฝัน..
"ไม่พบกันเสียนาน ท่านคงสบายดีใช่ไหม "
มีเสียงของหญิงสาวดังลอดออกมาจากเมฆหมอกที่ถูกปกคลุมหนาทึบ จนไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ใด
"เจ้าเป็นใครกัน แล้วทำไม ข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ "
ฝู่เหยียนหลี่เอ่ยถาม เมื่อได้ยินเสียงทักทาย
" ข้าเอง ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ ข้าคือซูหลิน "
"เจ้าเองหรือซูหลิน แล้วทำไมข้ามาเจอกับเจ้าได้อีกละ หรือว่าข้าตายอีกแล้ว"
"มิใช่เช่นนั้นหรอก ท่านยังไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย ข้ามาเพียงอยากจะพาท่านไปดูบางสิ่ง เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านดูแลลูกชายของข้า "
" เจ้าจะพาข้าไปไหน จะทำอะไร จงบอกข้ามาก่อน "
" ข้าจะพาท่านไปดูค่ำคืนนั้น ข้ามีเวลาไม่มา ท่านรีบตามมาเถอะ "
แล้วซูหลินก็นำทางไปสู่คืนนั้น...
ตอนนี้ E-Book ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พร้อมโปรโมชั่นเปิดตัวในราคาสุดคุ้ม
ฉบับปรับปรุงเนื้อหา 30 ตอน พร้อมของขวัญสุดพิเศษสำหรับผู้ซื้อ E-Book เท่านั้น!
เสริมตอนพิเศษให้อีก 6 ตอน ขอกระซิบบอกเลยว่าทีมพระรองห้ามพลาดเด็ดขาด
ใครสนใจอยากได้เก็บไว้อ่านตามไปอุดหนุนกันได้นะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
