ตอนที่ 18 : คำรัก
สามวันต่อมาฝู่เหยียนหลี่บอกให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทาง ไปงานประชุมที่สำนักซูเหวิน ทางเขตแดนตะวันตก เช้านี้ทุกคนจึงวุ่นวายกับการตระเตรียมข้าวของ
"การไปครั้งนี้ เราคงได้พบกับเจ้าคนชั่วจางเฟ่ยอวี้ มันตอบรับเข้าร่วมประชุม และจะไปด้วยตัวเอง ท่านจะให้ข้าจัดการมันเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้ามันอีก"
น้ำเสียงเคียดแค้นชิงชังของกู้ซานไห่เหมือนอยากจะฉีกเลือดฉีกเนื้อของจางเฟ่ยอวี้ออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น
"ทำเช่นนั้นไม่ได้"
ฝู่เหยียนหลี่ยืนมองดูผู้คนบนถนนหนทาง อยู่ที่นอกชานโรงเตี๊ยม นางพูดกับเขาอย่างอารมณ์สงบเยือกเย็น
"เมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้ ทำไมท่าน ไม่ยอมจัดการมัน หรือว่าท่านใจอ่อน ต่อคนที่คิดร้ายฆ่าท่าน"
กู้ซานไห่ฉุนเฉียวไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาไม่เข้าใจสิ่งที่นางคิดเลย
"สำนักผาดำ กำลังจะเจอศึกหนัก ทั้งนอกและใน หากเราฆ่าเขาแล้วเปิดโปงเรื่องทุกอย่างในตอนนี้ คงหลีกไม่พ้นการแย่งชิงอำนาจที่ยากเกินจะรับมือ ทุกวันนี้ที่ยังไม่มีใครกล้าผลีผลาม โจมตีเราซึ่ง ๆ หน้า เพราะคิดว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าคิดหรือไม่ หากทุกคนรู้ว่าข้าได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว สำนักผาดำจะเป็นเช่นไร"
นางพูดจบก็ทอดถอนใจด้วยความรู้สึกหนักหน่วง
"แต่ท่านประมุขก็ยังอยู่ตรงนี้ ข้าพร้อมจะปกป้องสำนักผาดำเพื่อท่าน"
กู้ซานไห่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแน่วแน่
"ใครจะเชื่อ ว่าข้าคือฝู่เหยียนหลี่ อีกทั้งข้าก็ไม่มีพลังเช่นเดิม จะพิสูจน์ตัวเองได้ พวกอาวุโสในสำนักที่จ้องฉวยโอกาส คงไม่มีทางยอมรับแน่ ๆ ไหนจะศึกภายนอกที่คิดจะบ่อนทำลายอำนาจของสำนักผาดำอีก"
สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยด้วยภาระที่แบกรับไว้ในใจ กู้ซานไห่เข้าใจนางมากขึ้นแล้ว
"ข้าจำต้องใช้ฐานะความเป็นศิษย์ผู้สืบทอด เพื่อกลับคืนสู่สำนัก แต่ข้าไม่ต้องการได้ทุกสิ่งกลับคืนมา ในสภาพที่ย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี ข้าจึงต้องปกป้องสำนักผาดำไว้ทุกทาง จึงต้องอดทนข่มใจเอาไว้ ที่จะไม่ล้างแค้นในตอนนี้ เจ้ารอก่อนเถอะ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกมันจะต้องชดใช้คืนให้ข้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า"
ถ้อยคำแฝงด้วยเสียงแห่งความอาฆาต นัยน์ตาฉายแววแหลมคมทิ่มแทงถึงกระดูก กู้ซานไห่เพียงโค้งหัวคำนับรับคำ แล้วเดินออกไป
ฝู่เหยียนหลี่หมุนตัวกลับจากนอกชาน จะเดินลงไปรอทุกคนที่หน้าโรงเตี๊ยม เมื่อนางหันมาก็พบ รอยหน้ายิ้มหวานหยาดเยิ้มส่งมาออดอ้อน
"ข้าขอร่วมเดินทางไปกลับเจ้าครั้งนี้ด้วยได้ไหม"
จู่เหอหายหน้าไปตั้งแต่คืนนั้น วันนี้กลับมาปรากฏตัว ทำหน้าตาทะเล้นปกติ
"นั่นมันก็เรื่องของเจ้า"
นางพูดแล้วก็เดินสวนเขาออกไป แต่เขาก็คว้าแขนนางเอาไว้ จนนางต้องมองจ้องกลับด้วยดวงตาสะท้อนความดุดัน เขาจึงยอมปล่อยมือออก
"เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ เรื่องคืนนั้นข้าขอโทษ"
จู่เหอพูดด้วยท่าทางสลด สำนึกผิดจากใจ
"วันนั้น ข้าคงดื่มเยอะไป จำอะไรไม่ได้แล้ว"
จากนั้นนางก็ก้าวเท้าเดินจากไป เมื่อนางพูดเช่นนี้ย่อมหมายความว่า ไม่ถือสาหาความอะไรเขาแล้ว จู่เหอจึงเผยยิ้มอ่อนออกมาเต็มใบหน้าหวานราวสตรีของเขา
"เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"
น้ำเสียงและสีหน้าประหลาดใจของฝู่เหยียนหลี่เอ่ยถามบุรุษที่แอบยืนอยู่ด้านหลังของประตูทางเข้าออกนอกชาน
"ก็ตั้งแต่ที่เจ้าคุยกับกู้ซานไห่ จนถึงเขาคนนี้"
เฟิ่งเทียนหนิงตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"เจ้าแอบฟังข้าคุยกันหรือ เหตุใดจึงไม่เข้าไปหาข้า มาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ตรงนี้อยู่ทำไม"
นางเลิกคิ้วถามหาคำตอบ จากบุรุษที่ทำหน้าเง้างอน
"ข้าเข้าไป เจ้าจะไม่ไล่ตะเพิดข้าออกมาหรือ ถ้าไม่แอบฟังคงไม่ได้ยินถึงเรื่องคืนนั้น คืนไหนกันทำไมเจ้าไม่บอกข้า"
คำถามตรงไปตรงมาแสดงความหึงหวงอย่างใสซื่อของเขา ทำให้นางถึงกับกลั่นยิ้มออกมาเต็มใบหน้า และยื่นมือไปบีบแก้มของเขาสองข้าง
"นี่แหนะ ขยี้ให้เละไปเลย ชอบทำแก้มป่องนักใช่มั้ย"
นางบดบี้แก้มของเขาอย่างมันเขี้ยวเอ็นดู คงมีแค่เขากับอาเหยียนเท่านั้นที่นางจะทำแบบนี้
"ปล่อยได้แล้วข้าเริ่มเจ็บแล้วนะ"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดเสียงอู้อี้บอกกับนาง แล้วใช้แขนสองข้างสอดคล้องไปที่เอว ดึงตัวนางเข้าไปยืนชิดติดเขา
"เจ้าอย่าลืมนะ เจ้าเป็นของข้า แล้วข้าก็เป็นของเจ้า ต่อไปอย่าให้ชายอื่นใดเข้าใกล้เจ้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะ. . "
เฟิ่งเทียนหนิงพูดแล้วก็หยุดคิด
"เจ้าจะจับข้าตอน เพื่อเอาคืนบ้างหรือ"
ฝู่เหยียนหลี่พูดแทรกขึ้นด้วยเสียงขบขัน ทำให้เขาถึงกับหัวเราะออกมา ทั้งสองคนยังคงยืนอยู่ชิดกันอย่างนั้น หัวเราะต่อกระซิบกันไม่หยุด พวกเขาดูมีความสุขมาก ต่างจากอีกคนที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ สีหน้าหมองเศร้า ดวงตารวดร้าวราวเจ็บปวดใจ แต่มือกับบีบคั้นกำกระบี่แน่นจนเสียงดังคอกแควก ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังแล้วเดินจากไป
การเดินทางไปเขตตะวันตกครั้งนี้ ฝู่เหยียนหลี่ ไม่ได้ให้เร่งเดินทางมากนัก นางห่วงว่าเฟิ่งเทียนหนิงจะพิษกำเริบ เพราะช่วงนี้ดูเขาอ่อนเพลีย ร่างกายทรุดโทรมกว่าปกติ ถึงเขาไม่พูดนางก็ดูออก
"ศิษย์พี่ใหญ่ พรุ่งนี้เราก็จะเข้าถึงเมืองเขตสำนักซูเหวินแล้วใช่ไหม"
จื่อลู่เอ่ยถามจู่เหอที่กำลังก่อกองไฟอยู่ เขาจึงพยักหน้าตอบนาง
"เจ้าเหยี่ยวดำหายไปไหนนะ ข้าออกไปตามหาเขาหน่อยดีกว่า"
จื่อลู่คงไม่รู้ตัวเลยว่า พักหลังเอาแต่เฝ้าเกาะติดกู้ซานไห่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนลืมสนใจตอแยเฟิ่งเทียนหนิงไปเลย
"อย่าไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ"
จู่เหอตะโกนส่งเสียงไล่หลังนาง แล้วหันไปมองที่สตรีอีกคน ที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมยาเพื่อดูแลเฟิ่งเทียนหนิง
"เจ้ากินซะ ช่วงนี้ร่างกายเจ้าอ่อนกำลังลงมาก ดีที่ข้าทำยาบรรเทาพิษแบบลูกกลอนสำเร็จ พกติดตัวเดินทางได้สะดวก ไม่เช่นนั้นคงจะลำบาก"
ฝู่เหยียนหลี่พูดพร้อมส่งยาให้เฟิ่งเทียนหนิงกิน เขาต้องกินยาเพื่อช่วยเดินลมปราณสะกดพิษทุกวัน
"เจ้ารู้ตัวไหม ว่าพักหลังมานี้ เจ้าพูดจากับข้าอ่อนโยนกว่าเดิมมาก เมื่อก่อนเจ้าเอาแต่ทำเสียงเข้ม พูดกับข้าแบบนี้ "
พอพูดจบเขาก็ทำเสียงล้อเลียนนาง จนโดนนางฟาดเข้าที่ไหล่ให้เต็มแรง
"เจ้าก็ยียวนกวนข้า ช่างใจกล้ามากขึ้นเสียจริง สงสัยข้าจะใจดีเกินไป"
นางพูดและจ้องตาเขาเขม็ง จนเฟิ่งเทียนหนิงต้องแกล้งทำสมาธิหลบลี้สายตาของนาง
"ระวัง"
จู่เหอร้องตะโกนบอกฝู่เหยียนหลี่ ก่อนพุ่งตัวใช้กระบี่ปัดอาวุธลับช่วยนาง
"พวกมันซุ่มโจมตีเราอีกแล้ว"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดขึ้น พร้อมสาดส่องสายตามองปาดไปโดยรอบ
"เจ้าหลบไปก่อน ข้ารับมือเอง"
จู่เหอบอกฝู่เหยียนหลี่ แต่นางไม่ยอมไป
"ถ้าต้องถอยหนีศัตรูอย่างน่าละอาย ก็ไม่ใช่ข้าสิ"
ดวงตาแวววับสะท้อนคมกระบี่ในมือ พร้อมฟาดฟันกับศัตรู
"พวกมันอยู่ที่ลับ เราอยู่ที่แจ้ง เรากำลังเสียเปรียบ"
จู่เหอพูดไม่ทันสิ้นเสียง กลุ่มคนชุดดำสวมหน้ากากเหล็กก็วิ่งกรูกันออกมา มุ่งโจมตีพวกเขาทั้งสามคน ทุกคนกระจายตัวออกเป็นสามทิศ เพื่อรับมือคนชุดดำที่มีราวยี่สิบกว่าคน จู่เหอควงกระบี่ปัดแกว่งรุนแรงรุกหนัก กระโดดโจมตีทิ่มแทงศัตรูอย่างไม่ออมมือ เฟิ่งเทียนหนิงเพียงใช้กำลังภายในออกมานิดหน่อย พิษก็กำเริบขึ้นทันที เขากระอักเลือดแล้วล้มลง ฝู่เหยียนหลี่กระโจนตัวเข้าไปช่วยอย่างรวดเร็ว นางรับคมกระบี่รอบด้านที่หมายตรงเข้าสู่ร่างของเฟิ่งเทียนหนิง
"อย่าใช้พลัง"
เฟิ่งเทียนหนิงยังคงร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ห้ามนางไม่สำเร็จ สายตาพิฆาตของนางไม่คิดจะปล่อยให้ใครทำอะไรเขาได้ และยังหมายหัวไว้จะไม่ให้ใครรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้เลยสักคน
นางไม่ใช้สุดยอดวิชา เพียงใช้แค่เพลงกระบี่กับพลังบางส่วนต้านทานไว้เท่านั้น จู่เหอกับฝู่เหยียนหลี่ตะลุยบุกปลิดชีพศัตรูจนล้มตายกันหมด นางจึงวิ่งเข้าไปหาเฟิ่งเทียนหนิง
"ไหวไหม ข้าจะประคองเจ้าลุกขึ้น"
นางไม่ทันได้ช่วยเขาลุกขึ้นสำเร็จ ก็มีกระบี่พุ่งพรวดมาจากด้านหลัง
"หลบไป"
เฟิ่งเทียนหนิงร้องบอกพร้อมที่จะพลิกหมุนตัวนางหลบ แต่จู่เหอก็เข้ามาขวางแทน เขาจึงถูกกระบี่เสียบแทงเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายจนร่วงลงไปนอนกับพื้น กู้ซานไห่วิ่งตรงเข้ามาจากอีกด้านแทงทะลุหัวใจของคนชุดดำจนตายคาที่ ศัตรูจึงถูกกำจัดหมดสิ้น
"จู่เหอ เจ้าเป็นอะไรไหม"
ฝู่เหยียนหลี่ปล่อยมือจากเฟิ่งเทียนหนิงที่ยืนโซเซ แล้วนั่งลงไปจับร่างกำยำสูงใหญ่ของจู่เหอขึ้นมาหนุนไว้ในอ้อมแขนของนาง เฟิ่งเทียนหนิงเพียงยืนมองอย่างเงียบสงบ เขาเข้าใจสถานการณ์และการกระทำของนางได้ดี เขาไม่ได้น้อยใจอะไร และกำลังพยายามฝืนร่างกายของตัวเองเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ฝู่เหยียนหลี่ต้องกังวลอะไรเพิ่มอีก
"ศิษย์พี่ใหญ่ท่านเป็นอะไรไหม"
จื่อลู่วิ่งเข้ามาดูอาการของจู่เหอที่นอนสลบไม่ได้สติไปแล้ว
"กู้ซานไห่ ช่วยข้าพาเขาไปหาที่นอนพัก ข้าจะทำแผลให้เขาเอง"
ฝู่เหยียนหลี่บอกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกไม่น้อย
จู่เหอเอาตัวเองเข้ารับกระบี่แทนนางจนอาการสาหัส กู้ซานไห่รับคำแล้วช่วยกันพาตัวจู่เหอไปหาที่พัก โดยมีจื่อลู่ประคองข้างตลอด
"เจ้าเป็นยังไงบ้าง พิษในตัวเจ้ามันกำเริบอีกแล้วใช่ไหม"
นางหันมองหน้าแล้วพูดกับเฟิ่งเทียนหนิง มือไม้ของนางสั่นไปหมด เมื่อจับต้องตัวของเขา แววตาเต็มไปด้วยความรวดร้าวแฝงความวิตกกังวลไว้มากมาย ในใจของนางสับสนเหลือเกิน ทุกอย่างทำไมต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน เขาคือคนที่นางห่วงใยที่สุด แต่จู่เหอก็เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนางไว้ จะเป็นหรือตายก็ไม่รู้
"ให้ข้าถ่ายพลังคืนแก่เจ้าเถอะนะ"
น้ำเสียงสั่นคลอนด้วยใจสุดห่วงพะวง ดวงตาเอ่อล้นด้วยความเจ็บปวดใจ
"ไม่ได้ ข้าก็ทนไม่ได้เช่นกัน ที่จะต้องเห็นเจ้าทุกข์ทรมาน ข้าจะรักษาตัวเอง เจ้าไม่ต้องห่วง"
เฟิ่งเทียนหนิงฝืนพูดด้วยเสียงหนักแน่น เพราะเขารู้ดีว่า ใจของนางตอนนี้มันแบกรับสิ่งต่าง ๆ ไว้หนักหนามากเพียงใด
"ให้ข้าช่วยเจ้าเดินพลังก็ยังดี ขอให้ข้าได้ช่วยเจ้าบ้าง"
น้ำตาอาบรินเต็มสองแก้ม ด้วยความสุดที่จะอดกลั้นของนางในเวลานี้ บ่งบอกความทุกข์มากมายที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ฝู่เหยียนหลี่อึดอัดเหลือเกิน ห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่อาจทอดทิ้งใครได้สักคนในเวลานี้ นั่นยิ่งทำให้เฟิ่งเทียนหนิงเสียใจไม่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงยืนการปฏิเสธนางอยู่ดี แล้วเฟิ่งเทียนหนิงก็นั่งลง ทำสมาธิเดินพลังสะกดพิษในตัว
"ท่านประมุข จู่เหอเสียเลือดมาก กระบี่แทงเฉียดหัวใจไปเพียงนิดเดียว ข้าคิดว่าต้องรีบพาเขาไปรักษาตัวด่วน"
เมื่อกู้ซานไห่วิ่งมารายงาน ฝู่เหยียนหลี่ก็พยายามปาดเช็ดคราบน้ำตาแล้วทำตัวให้กลับมาปกติที่สุด
"เช่นนั้นทำแผลห้ามเลือดให้เขาก่อน แล้วเร่งพาเขาเข้าเมืองไปหาหมอ เจ้าอยู่ที่นี่ ดูเฟิ่งเทียนหนิงไว้ หากมีอะไรผิดปกติเรียกข้าทันที"
กู้ซานไห่รับคำสั่ง นางจึงเดินไปหาจู่เหอที่นอนอยู่อีกด้าน
"เจ้ารีบมาช่วยศิษย์พี่ใหญ่ข้าสิ จะทำอะไรก็รีบทำ เลือดออกเยอะขนาดนี้ เขาจะตายไหม"
จื่อลู่ร้องฟูมฟายด้วยความตกใจกลัว
"เจ้าไปหาน้ำกับผ้าสะอาดมาให้ข้า แล้วไปเอายาของเฟิ่งเทียนหนิงที่เก็บไว้ในถุงย่ามมาด้วย รีบไปสิ"
ฝู่เหยียนหลี่ออกคำสั่งจื่อลู่ นางจึงรีบวิ่งไปเอาของมาให้ ระหว่างที่รอจื่อลู่ นางใช้มือเปล่ากดห้ามเลือดบริเวณแผลไว้ จื่อลู่วิ่งเอาของทั้งหมดที่นางสั่งมาให้ นางจึงเริ่มทำแผลให้จู่เหอ นางถอดเสื้อของเขาออก แล้วใช้น้ำทำความสะอาดจนเกลี้ยง จากนั้นจึงใส่ยาห้ามเลือด แล้วโปะด้วยยาจากหญ้าสมานแผล ก่อนจะใช้ผ้าพันวนรอบตัวเขาเพื่อปิดแผลไว้ ช่วงที่พันผ้า นางต้องกอดประคองตัวของจู่เหอไว้ เขาได้สติขึ้นมาพอดี จึงสวมกอดรัดตัวนางไว้แน่น
"เท่านี้ก็ดีเหลือเกิน ต่อให้ข้าต้องตาย ก็นับว่าคุ้มค่า"
จู่เหอพูดเสียงแผ่วเบาข้างหูนาง แล้วซุกหัวของเขาพิงซบลงที่ไหล่ของนาง นางไม่ได้ผลักไสเขาออกจากตัว เพียงแต่อยู่นิ่ง ๆ ให้จู่เหอได้พัก จื่อลู่มองดูทุกสถานการณ์อย่างเงียบเชียบ
"เจ้านอนพักตรงนี้ก่อน ข้าจะไปหาวิธีส่งตัวเจ้าเข้าไปรักษาในเมือง"
นางจับเอาตัวเขาออกจากไหล่ของนาง แล้วให้เอนนอนลงอย่างช้า ๆ
"ข้าไม่ไป"
จู่เหอคว้ามือของฝู่เหยียนหลี่ไว้เมื่อนางจะลุกออกไป
"อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลย แผลเจ้าลึกเฉียดตาย ต้องรีบไปหาหมอ ข้าจะได้วางใจ"
นางพูดกับเขาด้วยเสียงทุ้มนุ่มแล้วแกะมือออกจากเขาอย่างเบาแรง
" เจ้าห่วงข้าด้วยหรือ"
สายตาเว้าวอนของจู่เหอ จ้องมองรอคำตอบที่เขาหวังว่ามันจะออกจากปากของนาง
" ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรเด็ดขาด "
คำตอบของนางแม้จะฟังดูอ้อมค้อม แต่สีหน้าของนางก็บอกว่าห่วงเขาจากใจจริง จู่เหอจึงส่งแววตายิ้มหวานให้นางก่อนปิดเปลือกตาลง
"กู้ซานไห่ เจ้ากับจื่อลู่เร่งพาจู่เหอเข้าเมืองไปหาหมอก่อน เขาคงขี่ม้าเองไม่ไหว เจ้าพาเขาไปด้วยกันเถอะ แล้วข้าจะรีบตามไปสมทบ"
ฝู่เหยียนหลี่พูดไม่สิ้นคำสั่ง กู้ซานไห่ก็จะปฏิเสธแต่ไม่ทันได้อ้าปาก นางก็ยกมือห้ามปรามเอาไว้ก่อน เขาจึงต้องยอมรับแม้ไม่เต็มใจ ก่อนส่งตัวจู่เหอล่วงหน้าไป นางวางยาสลบเขาเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง เพื่อความปลอดภัยจึงต้องออกเดินทางคืนนี้เลย กู้ซานไห่กับจื่อลู่ ล่วงหน้านำจู่เหอเข้าเมือง นางจึงรู้สึกวางใจไปอีกเรื่องหนึ่ง เหลือก็แต่บุรุษตรงหน้าที่ยังคงเดินพลังสะกดพิษอยู่
แค่ก ๆ
เสียงไอกระเสาะกระแสะของเฟิ่งเทียนหนิง ทำให้นางร้อนรนใจมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
"เป็นเช่นไรบ้าง ไม่ดีขึ้นเลยหรือ"
น้ำเสียงสุดอาวรณ์ห่วงใยของนางทำให้เขาลืมตาขึ้นส่งรอยยิ้มอบอุ่นแก่นาง
"ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก เจ้าควรให้ข้าช่วยเจ้า"
นัยน์ตาหมองหม่นแสนหนักใจของนาง ทำให้เขายิ่งต้องยิ้มให้มากขึ้น
"ไม่เป็นไรแล้ว ข้าสะกดมันไว้เรียบร้อย"
คำตอบของเฟิ่งเทียนหนิงทำให้นางหายใจได้อย่างโล่งอก
"เจ้าทำข้าตกใจแทบแย่ เจ้าโง่"
น้ำเสียงค่อนแคะแต่กลับเปื้อนยิ้มจาง ๆ นางจับประคองเขาลุกขึ้น
"เราต้องรีบไปจากที่นี่ หากพวกมันกลับมาอีกจะลำบาก"
ฝู่เหยียนหลี่พูดแล้วก็ประคองเฟิ่งเทียนหนิงเดิน นางกับเขาควบม้าไปด้วยกัน โดยนางเป็นคนบังคับม้าเอง แล้วให้เขาหลับพักพิงที่หลังของนาง
" เวลาแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดแล้วสวมกอดนางไว้แน่น
"เจ้ารัดข้าขนาดนี้ ข้าบังคับม้าไม่ถนัดเลย ปล่อยหน่อยได้ไหม"
นางบอกกับเฟิ่งเทียนหนิงแต่เหมือนเขายิ่งโอบรัดนางไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม นางจึงไม่พูดอะไรต่อ
"เจ้าควบม้าช้า ๆ หน่อยได้ไหม"
เขาพูดด้วยเสียงอ่อนแรง
"เจ้าเหนื่อยหรือ เช่นนั้นหยุดพักกันก่อนก็ได้"
ฝู่เหยียนหลี่จะหยุดม้าแต่เขากับจับมือนางควบคุมม้าต่อ แต่ลดความเร็วของมันลงเหลือเพียงแค่เดินเหยาะแหยะไป
"ข้าแค่อยากกอดเจ้าไว้นาน ๆ แบบนี้ก็เท่านั้นเอง"
น้ำเสียงและแววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแวววาว จนนางเขินอายหน้าแดง ใบหน้าของเขาแนบชิดอยู่กับดวงหน้าเล็กของนาง
"เช่นนั้นเจ้าก็บังคับมันเองแล้วกัน"
คำของนางบอกให้รู้ว่าตามใจที่เขาต้องการเลย
เดินทางออกมาได้ไกลพอสมควรนางก็หยุดหาที่พัก เพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นเกรงว่าเขาจะพิษกำเริบขึ้นอีก
"นั่งพักตรงนี้ก่อนเถอะ ข้าจะก่อกองไฟให้"
นางบอกกับเขาพร้อมจับเขานั่งพักพิงต้นไม้ใหญ่ เฟิ่งเทียนหนิงดูเหน็ดเหนื่อยโรยแรง นางจึงเป็นคนก่อไฟ และจัดหาที่หลับนอน พร้อมทั้งน้ำดื่มและอาหารที่เขาพกเตรียมมา ส่งให้แก่เขา
"เจ้าดูแลข้าดีเกินไปหรือเปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อีกอย่างข้าเป็นบุรุษ ควรจะดูแลเจ้ามากกว่า"
เฟิ่งเทียนหนิงกล่าวถ้อยคำสิ้นสุดลงนางก็เอามือปิดปากเขาไว้
"ความห่วงใย ทำไมต้องจำกัดบุรุษหรือสตรีด้วยเล่า ใจข้าก็อยากดูแลเจ้า เช่นที่เจ้าใส่ใจดูแลข้า"
สายตาของเขาจ้องจับมองนัยน์ตาสุกสกาวพราวระยับของนางอย่างลึกซึ้ง เหมือนเวลาได้หยุดนิ่งลง สองหัวใจเต้นประสานจังหวะเดียวกัน เปลือกตาทั้งสองคู่ค่อยปิดลงพร้อมกัน ใบหน้าแนบชิดจุมพิตรักหยาดเยิ้มดื่มด่ำหวานชื่น ภายใต้จันทราที่ส่องแสงเป็นพยาน
"เหยียนหลี่.... ข้ารักเจ้า"
น้ำเสียงทุ้มลึกอ่อนหวานสุดหัวใจ โอบอ้อมรักเอาไว้เต็มดวงจิต ทั้งชีวิตมีรักมอบเพียงแค่หญิงเดียวคือนางผู้นี้
ฝู่เหยียนหลี่เอนตัวโน้มเข้าสวมกอด พิงศีรษะแนบไว้กลางอกซ้ายของเขา ฟังเสียงจังหวะหัวใจเต้นเร้า ร้องเรียกชื่อของนางดังก้องเต็มสองหู
" เฟิ่งเทียนหนิง ข้าก็..."
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
