ตอนที่ 15 : วางยา
กู้ซานไห่วิ่งหน้าตาตื่น ร้องเรียกฝู่เหยียนหลี่มาตั้งแต่ไกล ๆ
"ท่านประมุขเกิดเรื่องแล้ว"
กู้ซานไห่เผลอเรียกนางเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
"เจ้าเรียกใครประมุข"
จู่เหอรีบถามด้วยความประหลาดใจ กู้ซานไห่มองหน้าเขา แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่ได้ยินที่เขาถาม ฝู่เหยียนหลี่จึงพูดแทรกขึ้นก่อนจู่เหอจะซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากกว่านี้
" มีเรื่องอะไร เจ้าถึงรีบร้อนขนาดนี้"
นางถามกู้ซานไห่เสียงเข้ม
"เฟิ่งเทียนหนิง เขา.."
กู้ซานไห่ไม่ทันได้พูดจนจบ แค่ได้ยินชื่อเฟิ่งเทียนหนิงนางก็วิ่งพรวดออกไปทันที
"ข้ายังพูดไม่จบเลย ท่านจะรีบไปไหน รอข้าด้วย"
กู้ซานไห่รีบเร่งฝีเท้าตามนางไปติด ๆ จู่เหอยืนงงครุ่นคิดเรื่องที่กู้ซานไห่เรียกใครว่าประมุข หรือเขาอาจจะแค่พูดผิดไป จู่เหอละทิ้งความคล่องใจไว้ชั่วคราว แล้วเร่งตามไปอีกคน
ปัง!!
ฝู่เหยียนหลี่ถีบประตูห้องพักของเฟิ่งเทียนหนิงอย่างแรงจนประตูแทบพัง นางรีบเร่งกลับมาด้วยความพลุกพล่านใจ เพราะคิดว่าเขาพิษกำเริบ
"ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย คุณชายเฟิ่งเขาจะ.."
จื่อลู่เอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ฝู่เหยียนหลี่อยากจะชักกระบี่ออกมา แล้วฟาดฟันเสียให้แหลกลาญย่อยยับจนสาแก่ใจ
ร่างบุรุษสูงโปร่งเมามายไม่ได้สตินอนทับอยู่บนเรือนร่างของสตรีอีกคน เพียงครู่เดียว กู้ซานไห่และจู่เหอก็มาถึง
"นั่นเจ้า จะทำอะไรนาง"
จู่เหอรีบเข้าไปผลักตัวของเฟิ่งเทียนหนิงออก จนเขากลิ้งไปนอนสลบอยู่อีกฝั่งของเตียง
" ฮือ ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ท่านต้องช่วยข้านะ ต้องทวงความยุติธรรมคืนให้ข้า"
จื่อลู่คร่ำครวญร้องบอกกับจู่เหอ
"มันเกิดอะไรขึ้น บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ เขาข่มเหงเจ้าหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าไม่เอาเขาไว้แน่"
จู่เหอคาดคั้นให้จื่อลู่บอกความจริงกับเขา
"คุณชายเฟิ่ง เขาดื่มจนไม่ได้สติ เลยคิดจะรังแกข้า ศิษย์พี่ใหญ่ท่านต้องให้เขารับผิดชอบนะ"
จื่อลู่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ บอกเล่าเหตุการณ์ จู่เหอได้ยินเช่นนั้นก็โมโหจนลมออกหู
"บังอาจนักข้าจะฆ่าเจ้าซะ"
จู่เหอพุ่งตรงเข้าไปเอาเรื่องเฟิ่งเทียนหนิง แต่จื่อลู่รั้งเขาเอาไว้
"เล่นละครกันจบหรือยัง"
ฝู่เหยียนหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกน่ากลัวพิลึก
"พูดอะไรของเจ้าซูหลิน ข้าไม่เข้าใจ"
จื่อลู่รีบพูดโต้แย้งนางทันที ด้วยท่าทีร้อนรน
"ข้าไม่ใช่คนโง่ที่พวกเจ้าจะมาปั่นหัวได้ บังอาจมาใช้กลอุบายไร้ยางอายเช่นนี้ คิดว่าจะหลอกลวงได้ข้ารึ
กู้ซานไห่เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร ถึงกล้าทำเรื่องงี่เง่าเช่นนี้ เจ้าร่วมมือกับคนอื่นมาตบตาข้าหรือ"
ฝู่เหยียนหลี่เปล่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความฉุนเฉียวที่นางไม่อยากควบคุมเอาไว้อีกแล้ว
"เจ้าพูดบ้าบออะไรของเจ้า เสียสติไปแล้วหรือ"
จื่อลู่หลบไปอยู่หลังจู่เหอก่อนจะโต้เถียงนางแบบติด ๆ ขัด ๆ
"นี่คือแผนการของพวกเจ้าสองคนใช่ไหม พวกเจ้าตกลงกันทำเรื่องสกปรกเยี่ยงนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะเจ้ากู้ซานไห่ เจ้ายังเห็นข้าอยู่ในสายตาอีกหรือไม่ ถึงกล้าคิดสวมเขาให้ข้าเช่นนี้"
ฝู่เหยียนหลี่ตะโกนดังลั่นใส่หน้ากู้ซานไห่แล้วใช้กระบี่กระแทกลงที่โต๊ะอย่างแรงจนของตกกระจายไปทั่วพื้น กู้ซานไห่ไม่กล้าสู้หน้านาง เอาแต่ก้มมองพื้น
"ข้าไม่ได้ทำอะไร"
เขาพูดเพียงเท่านั้น ฝู่เหยียนหลี่ก็ส่งลูกถีบอัดเข้าไปเต็มท้องของเขาจนกระเด็นไปติดฝาผนังอีกด้าน
"ถึงขั้นนี้ยังกล้าโกหกข้าอีกหรือ เจ้ากับนางวางแผน มอมสุราเขาไม่พอ ยังจะวางยาเร้ารักให้เขากินอีก ข้าต้องโง่ขนาดไหนถึงจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ "
ความโกรธของฝู่เหยียนหลี่พุ่งแรงเหมือนภูเขาไฟกำลังปะทุ เมื่อเห็นลูกน้องคนสนิทกล้าโกหกมดเท็จและยังไม่ยอมรับผิด นางหันไปจ้องจื่อลู่ตาขวาง ยิ่งกว่าจะกินเลือดกินเนื้อให้ตาย
"เจ้าเป็นสตรีไร้ยางอายที่สุด ที่ข้าเคยพบเจอ เจ้าอยากได้บุรุษจนตัวเนื้อสั่น ถึงขั้นคิดแผนกระทำเรื่องต่ำทรามเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เสียทีที่เป็นถึงบุตรีของเจ้าสำนักสี่กระบี่ หากข้ามีลูกสาวเช่นเจ้า ข้าจับถ่วงน้ำให้ตายไปแล้ว"
ฝู่เหยียนหลี่ตอนนี้เกรี้ยวกราดอาละวาดไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น
"เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้างงไปหมดแล้ว"
จู่เหอผู้ที่ไม่รู้สิ่งใดเลย เอ่ยถามเพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง
"เจ้าก็สอบถามศิษย์น้องที่รักของเจ้าเองแล้วกัน ว่าทำเรื่องน่าละอายอะไรไว้ นี่ถ้าหากข้าไม่เห็นแก่หน้าพ่อของนางแล้วละก็ ข้าจะจับนางตัดลิ้นเสียให้พูดปดไม่ได้อีกตลอดชีวิตเลย"
ฝู่เหยียนหลี่พูดจากระแทกแดกดันจู่เหอ แล้วตวัดสายตาดุร้ายราวยมทูตไปทางจื่อลู่ ที่เอาแต่ยกมือปิดปากเมื่อได้ยินฝู่เหยียนหลี่ข่มขู่นางออกมาแบบนั้น
กู้ซานไห่เดินเข้าใกล้ฝู่เหยียนหลี่ ก้มโค้งทำความเคารพนางแบบคนที่สำนักผาดำปฏิบัติกัน
"ข้าผิดไปแล้ว ขอท่านจงลงโทษข้าเถอะ"
เมื่อพูดจบเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างสำนึกผิดจากใจจริง ฝู่เหยียนหลี่เห็นกู้ซานไห่ทำดังนั้น นางก็พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองลง
"ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก ออกไปซะ แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า"
เสียงทุ้มต่ำแข็งกร้าวของนาง แฝงด้วยโทสะขึ้งเคียด จากการข่มใจตัวเองเอาไว้
"ท่านประมุข"
กู้ซานไห่ร้องเรียกนางโดยไม่ได้สนใจใครอีกแล้ว ว่าจะเข้าใจผิด จู่เหอจ้องมองสังเกตการณ์อย่างเงียบขรึม
"ออกไป ข้าสั่งให้ออกไป"
ฝู่เหยียนหลี่ตวาดเขาเสียงดังกังวานก้องไปทั้งห้องจนสั่นสะเทือน กู้ซานไห่จำต้องยอมลุกขึ้นแล้วเดินจากไป เขาไม่เคยถูกนางตำหนิรุนแรงเหมือนกับครั้งนี้ เขาไม่ได้โกรธหรือน้อยใจอะไร กู้ซานไห่เข้าใจดีว่านางโมโหเขามากขนาดนี้เพราะอะไร
"พวกเจ้าก็ด้วย ออกไปให้พ้นหน้าข้า ออกไปให้หมด"
นางหันไปทางจู่เหอและจื่อลู่ นางเค้นเสียงบอกกับพวกเขาอย่างนิ่งสงบที่สุด
"ข้าไม่ไป คุณชายเฟิ่งเขา.."
จื่อลู่พูดไม่ทันจบ ฝู่เหยียนหลี่ก็ปล่อยเข็มเฉียดผ่านติ่งหูของนางไปติดอยู่ที่ข้างฝา นางไม่ได้พลาดแต่นางจงใจให้เป็นเช่นนั้น จู่เหอเห็นว่า หากจื่อลู่ยังดึงดันดื้อรั้นอยู่ต่อไป คงได้โดยพายุร้ายถล่มจนถึงตายแน่นอน จึงรีบลากนางออกจากห้องของเฟิ่งเทียนหนิงไปทันที
ฝู่เหยียนหลี่แม้จะเป็นคนขี้โมโห แต่ปกติแล้วนางจะนิ่งและส่งรังสีอำมหิตไปเข่นฆ่าผู้คนด้วยสายตามากกว่า ที่จะระเบิดอารมณ์ปล่อยไฟโทสะของนางออกไปเผาผลาญทุกสิ่งเช่นนี้ ครั้งนี้นางโกรธมาก เพราะรู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกที่ใครคิดจะหลอกก็ได้งั้นหรือ พวกเขาเห็นนางโง่เง่ามากหรือไง ถึงคิดแผนตื้นเขินเบาปัญญาแบบนี้ออกมาได้ นางขุ่นเคืองใจมากที่กู้ซานไห่ทำให้นางผิดหวังในตัวเขาจริง ๆ เขาคือคนที่นางไว้ใจ ไม่เคยแม้แต่จะกล้าขัดคำสั่งของนางสักครั้ง แต่ดันไปร่วมมือกับคนอื่นมาโป้ปดลวงหลอกนาง หนำซ้ำยังไม่ยอมรับผิด ปฏิเสธได้หน้าตาเฉย นางโมโหจื่อลู่ และเกลียดชังพฤติกรรมของนางจนสุดจะทนแล้ว แม้ปกตินางจะทำตัวน่ารำคาญขนาดไหน หรือจะยั่วยวนเฟิ่งเทียนหนิงยังไง นางก็แค่หึงหวงหงุดหงิดไม่พอใจ แต่ไม่เคยคิดโกรธนางจริงจังเท่าครั้งนี้มาก่อน พวกเขากล้ารวมหัวกันมาทำเช่นนี้กับเฟิ่งเทียนหนิงและนางได้อย่างไร ยิ่งคิดฝู่เหยียนหลี่ก็ยิ่งเดือดดาลในใจ
"เหยียนหลี่ เจ้าอยู่ไหน"
เฟิ่งเทียนหนิงเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวจึงร้องเรียกชื่อของนาง เขายังดูไม่สร่างเมาดีเท่าไหร่แถมยังมีอาการกระสับกระส่ายเพราะถูกวางยา หลังจากที่นั่งข่มจิตข่มใจดับเพลิงร้อนในตัวเองได้ นางจึงเดินไปดูอาการของเขาที่เตียง
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
นางเอ่ยถามเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย นางไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองเขาที่นอนทับอยู่บนร่างสตรีอื่น แม้จะหึงหวงมากก็ตาม แต่นางก็เข้าใจสถานการณ์ได้ดี
"ร้อน ข้ารู้สึกร้อนมาก ร้อนไปหมดเลย"
เฟิ่งเทียนหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งพลางขยับเสื้อผ้าตัวเอง ฝู่เหยียนหลี่เห็นเขาเหงื่อโทรมกายจึงเอาน้ำให้เขาดื่ม
"ดีขึ้นบ้างไหม"
น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนแบบที่นางไม่ค่อยได้พูดกับใคร เฟิ่งเทียนหนิงเอาแต่ส่ายหน้าแล้วก็พยายามจะฉีกเสื้อผ้าตัวเองออก
"เจ้าจะทำอะไร"
นางจับมือห้ามเขาไว้ไม่ให้ถอดชุดออก
"ข้าร้อนมาก ร้อนไปทั้งตัวเลย ข้าจะถอดเสื้อออก ข้าทนไม่ไหวแล้ว"
พูดจบเขาก็ดึงเสื้อคลุมตัวนอกโยนปลิวไปไกล ฝู่เหยียนหลี่เห็นมีอ่างล้างหน้าอยู่ จึงเอาผ้าชุบน้ำมาให้เขาเช็ด เขาใช้ผ้าเช็ดถูไปทั่วหน้าทั่วคออย่างแรงจนผิวแดงไปหมด
"เบา ๆ สิ หน้าจะถลอกหมดแล้ว เอามานี่ข้าทำให้เอง"
นางเอ็ดเสียงใส่เขาเหมือนเวลาดุอาเหยียน แล้วดึงผ้าจากมือของเขา มาเช็ดตัวให้เขาเอง
พรึบ!!
นางเผลอครู่เดียวเท่านั้น บุรุษหนุ่มก็จับตัวของนางพลิกตลบนอนลงบนเตียง สองมือของเขากดข้อมือของนางเอาไว้ทั้งสองข้าง ตอนนี้บนตัวของนางมีชายหนุ่มกำลังกดทับเอาไว้อยู่
"เฟิ่งเทียนหนิง เจ้าต้องหยุดตัวเองเดี๋ยวนี้ มันเป็นเพราะฤทธิ์ยาเร้ารัก เจ้าต้องมีสติควบคุมมันให้ได้ "
ฝู่เหยียนหลี่พยายามห้ามปราบเตือนสติเขา
"ไม่ ข้าไม่อยากทนต่อไปแล้ว ข้าไม่รู้เจ้าพูดถึงยาอะไร ข้ารู้แต่ว่า จิตใจของข้าเรียกร้องต้องการเพียงเจ้า"
สิ้นเสียงลง เขาก็เอาหน้าซุกมุดอยู่ที่ซอกคอของนาง ซักไซ้ไปตามผิวกาย นัวเนียนางอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด นางพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่มิอาจสู้แรงของเขาได้ อารมณ์ของเขาลุกโชนดังไฟโหมโรงรุนแรง สันจมูกลูบไล้ไปตามลำคอจรดริมฝีปากดูดกินลมหายใจของนางอย่างไม่ให้หยุดพัก เขาเหมือนหมาป่าที่หิวโหยอยากจะกลืนกินเหยื่อไปในคราวเดียวให้สิ้นใจ เขาสอดประสานนิ้วมือเข้าร่วมกับของนาง เฟิ่งเทียนหนิงยังคงเล้าโลมรุกล้ำนางต่อเนื่อง จนนางเกือบจะอ่อนไหวไปตามความปรารถนาส่วนลึกของก้นบึ้งจิตใจ
"หยุดเถอะ ข้าขอร้อง"
นางไม่เคยเอ่ยคำว่าขอร้องต่อใคร แต่นางยอมพูดกับเขา นางไม่ได้รังเกียจเขา เพียงแต่ยังรู้สึกไม่พร้อม และไม่อยากผูกมัดลึกซึ้งเกินไปกับเขาในเวลานี้ นางยังมีภารกิจที่สำคัญรออยู่ อีกทั้งเขายังคงขาดสติไม่เป็นตัวเอง เฟิ่งเทียนหนิงหยุดชะงักชั่วครู่ นางจึงถือโอกาสดึงมือออกจากเขา แล้วสกัดจุดให้เขานอนหลับไป
จู่เหอพาจื่อลู่ส่งกลับห้องพัก ก่อนแยกจากกันเขาสอบถามนางเพื่อหาความจริงให้หายคล่องใจ
"ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะส่งเจ้ากลับสำนัก แล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้อาจารย์ทราบ"
จู่เหอยืนยันหนักแน่นถึงคำพูดของตนเอง จื่อลู่จึงยอมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
"คือก่อนหน้านี้มัน.. ศิษย์พี่ใหญ่ฟังแล้วต้องไม่โกรธข้า และห้ามบอกท่านพ่อเด็ดขาด"
จู่เหอตอบรับคำขอ จื่อลู่ก็เริ่มเล่าย้อนเหตุการณ์ไป
"คุณชายเฟิ่ง เจ้าเหยี่ยวดำ รีบมานั่งกินกันต่อเถอะ"
ข้าร้องเรียกทั้งสองคนให้กลับมานั่งที่โต๊ะ กู้ซานไห่ชวนคุณชายเฟิ่งกลับไปดื่มสุราด้วยกันต่อ หลังจากที่เอาแต่แอบยืนดูซูหลินกับศิษย์พี่เดินออกไป
"มา ๆ ดื่มให้หมด จะได้หายกลัดกลุ้ม"
กู้ซานไห่กับข้าพยายามให้เขาดื่มสุราที่ใส่ยาไว้ แต่เขาคออ่อนนัก เพียงไม่กี่จอกก็เมามายจนนอนฟุบโต๊ะไป ข้ากับกู้ซานไห่ จึงพาเขากลับไปพักที่ห้อง
"เดี๋ยวเจ้ารีบไปตามศิษย์พี่ของข้า กับซูหลินกลับมานะ"
กู้ซานไห่ตกลงรับรู้ เข้าใจตรงกัน
"ข้าถามเจ้าหน่อยเถอะ เจ้าคิดเอาตัวเข้าแลก เพื่อผูกมัดผู้ชายเช่นนี้เลยหรือ ทำไมเจ้าเป็นสตรีหน้าหนาขนาดนี้"
กู้ซานไห่สอบถามไม่พอ ยังด่าทออีก
"จะบ้าหรือไง ข้าก็ทำให้มันสมจริง ถ้าไม่วางยาเร้ารัก ให้เขาดูหื่นกระหาย ใครจะเชื่อว่าเขาคิดจะข่มเหงขืนใจข้า"
กู้ซานไห่เอาแต่ส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้
"อย่ามาทำเป็นคนดีหน่อยเลย ที่เจ้าร่วมมือกับข้า ไม่ใช่เพราะอยากกีดกันคุณชายเฟิ่งออกจากซูหลินหรือ"
กู้ซานไห่ไม่โต้เถียงอะไรต่อ จากนั้นเขาก็วิ่งออกไป ไม่นานนักพวกท่านก็กลับมา แล้วทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เห็น
"เรื่องก็เป็นมาแบบนี้แหละ"
จื่อลู่เล่าจบ จู่เหอก็ได้แต่เอามือกุมหัวตัวเอง
"เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง คิดทำเรื่องบัดสีหน้าไม่อายเช่นนี้"
จู่เหอรีบต่อว่านางอย่างสุดจะทน
"ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่ได้คิดจะพลีกายให้เขาจริง ๆ ก็แค่อยากให้ยอมรับดูแล สนใจข้าผู้เดียว ข้ายังไม่ได้เสียหายตรงไหนเสียหน่อย"
จื่อลู่ยังคงเถียงจู่เหอข้าง ๆ คู ๆ แบบไม่ได้สำนึกผิดอะไร
"ไม่ได้การ ข้าควรรีบส่งตัวเจ้ากลับไป เจ้าก่อเรื่องงามหน้าขนาดนี้ ข้าคงรับมือไม่ไหว"
จู่เหอคิดตัดปัญหาด้วยการให้นางกลับสำนัก แต่จื่อลู่ไม่ยินยอม
"ท่านสัญญารับปากข้าแล้วนะ จะไม่ส่งข้ากลับไป และจะไม่บอกท่านพ่อด้วย ท่านจะผิดคำพูดไม่ได้"
จื่อลู่โวยวายเสียงดัง ไม่ฟังคำจู่เหอตักเตือนอะไรเลย นางเดินเข้าห้องพัก ปิดประตูใส่หน้าเข้าเสียงดัง
ปัง!
นางกลับเข้าห้องไป จากนั้นจู่เหอก็ออกไปจากโรงเตี๊ยมซึ่งก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว
ฝู่เหยียนหลี่หลังจากจัดการกับเฟิ่งเทียนหนิงเรียบร้อยก็ออกมาจากห้องของเขา เมื่อจะเดินกลับไปห้องของตัวเอง ก็พบกู้ซานไห่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องของนาง
"ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ ข้าทรยศต่อท่าน ข้าโง่เขลา หลงผิดไปแล้ว ข้ายินดีรับโทษทุกอย่าง ขอแค่ท่านไม่ไล่ข้าไป หากมีอะไรเกิดขึ้นอีก ข้าช่วยท่านไม่ได้เช่นครั้งก่อน ข้าคงรู้สึกผิดไปจนตาย"
กู้ซานไห่รีบขอโทษนางทันทีเมื่อเห็นนางเดินเข้ามา คำพูดของเขาแสดงความเสียใจ และนางก็รู้ดีว่าเขาสำนึกผิดแล้ว พอได้ยินคำพูดของเขาว่าไม่ให้นางไล่เขาจากไปอีก นางก็รู้สึกผิดต่อเขาขึ้นมา เพราะในอดีตนางขับไล่เขาให้ไปทำงานที่เขตแดนอื่น เพราะเขาทะเลาะเบาะแว้งกับจางเฟ่ยอวี้บ่อย ๆ ปะทะจนกันพลั้งมือให้จางเฟ่ยอวี้บาดเจ็บ นางจึงลงโทษเขาไม่ให้กลับเขาเขตสำนึกผาดำเป็นเวลาหนึ่งปี เขาจึงไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่นางถูกคนชั่วลอบฆ่า
"ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่อยากพูดคุยอะไรกับเจ้า ใจข้ายังมีความขุ่นข้องหมองใจอยู่ เจ้ารีบกลับไปเสียก่อน"
น้ำเสียงเย็นชาแฝงความดุดันของนาง ทำให้เขาไม่กล้าขัดขืนคำสั่ง แต่อย่างน้อยนางก็ไม่กล่าวโทษเขาแล้ว รอให้นางใจเย็นมากกว่านี้ก่อน เขาค่อยมารับผิดกับนางอีกครั้ง
"เช่นนั้นข้า จะกลับไปทบทวนตัวเอง รอฟังคำสั่งจากท่านประมุข"
กู้ซานไห่ลุกขึ้นแล้วคำนับด้วยท่าเคารพประจำสำนักก่อนจากไป
เช้าวันรุ่งขึ้นฝู่เหยียนหลี่รีบตระเตรียมตัวแต่เช้าเพื่อออกไปตามหาบ้านของเซียวอี้ เมื่อนางเปิดประตูห้องออกมาก็พบกับบุรุษหนุ่มหน้าหวานที่คุ้นเคย ยืนส่งยิ้มระทวยใจให้ หวังจะทำให้นางเคลิบเคลิ้มสินะ แต่ไม่สำเร็จเสียหรอก
"มาแต่เช้าเชียว เจ้ารีบมากหรือไง"
ฝู่เหยียนหลี่จงใจแดกดันเขาอย่างกระเส้าเย้าแหย่
"ได้พบหน้ากันเพียงวันเดียว ข้าก็ว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับ อยากจะรีบมาพบเจ้าเสียตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยด้วยซ้ำ"
จู่เหอส่งวาจาหยอกล้อยียวนนางกลับ ทั้งแววตาท่าทางของเขาช่างมีลูกเล่นเยอะเสียจริง
"เจ้ากลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พูดจาหยอดคำหวานล่อลวงสตรี เหมือนพวกเสือหิวโหยที่จ้องแต่จะล่าเหยื่อผู้อ่อนแอ"
เสียงโต้ตอบจิกกัดเขาเล็กน้อย พอให้เผยยิ้มมุมปากออกมาได้
"เหยียนหลี่ เจ้าจะไปไหนแต่เช้า"
เฟิ่งเทียนหนิงรีบเดินเข้าหานางพูดไปก็นวดคลึงขมับของตัวเองไปพร้อมกัน
"เจ้ายังปวดหัวอยู่อีกหรือ ข้าให้เสี่ยวเอ้อยกยาแก้เมาไปให้ เจ้ายังไม่ได้ดื่มรึ"
นางสอบถามอาการของเขาอย่างใส่ใจ ทั้งยังสอดส่องสายตาสำรวจเขาไปด้วย
"ยาของเจ้า ข้าต้องดื่มจนหมดอยู่แล้ว แต่ข้ายังมึน ๆ หัวนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรหรอก
ว่าแต่.. เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจำไม่ได้เลย พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ภาพสุดท้ายที่จำเป็นได้คือนั่งดื่มกินกันอยู่ดี ๆ ที่โต๊ะนี่นา"
เฟิ่งเทียนหนิงลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปหมดเลย นั่นก็คงดีเหมือนกัน หากเขารู้ว่าเขาทำอะไรไว้กับนางแล้วละก็ คงไม่กล้าสู้หน้าไปอีกนาน
"ไม่มีอะไรหรอก เจ้าก็แค่เมาหลับไปเท่านั้น ข้าจะออกไปตามหาบ้านเซียวอี้ หากเจ้ายังปวดหัวอยู่ก็กลับไปพักเถอะ ข้าจะไปกับจู่เหอ"
นางพูดไม่ทันสิ้นเสียงดี เฟิ่งเทียนหนิงก็รีบปฏิเสธเสียงแข็งยืนยันจะไปกับนางให้ได้ เขาไม่ยอมให้นางไปกับจู่เหอสองต่อสองอีกเด็ดขาด
เมื่อเดินออกมาหน้าโรงเตี๊ยมก็พบกู้ซานไห่กับจื่อลู่ยืนรออยู่ เหมือนเตรียมพร้อมที่จะร่วมภารกิจครั้งนี้
"พวกเจ้าสองคนไม่ต้องตามไป"
ฝู่เหยียนหลี่เอ่ยห้ามทันทีที่เห็นเขาสองคน
"แต่ว่าข้าอยากไปช่วย"
กู้ซานไห่พยายามจะขอติดตามแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งนาง
"ข้าก็จะไปด้วย ข้าจะไปกับศิษย์พี่ใหญ่"
จื่อลู่ยังคงแสดงท่าทีไม่สลดเท่าไหร่นัก จู่เหอจึงกำราบห้ามปราม
"ก่อเรื่องไว้ ยังไม่รู้จักสำรวมอีก เจ้าทำตัวอยู่ให้สงบเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับเขตเหนือเดี๋ยวนี้เลย"
จู่เหอพูดกับจื่อลู่เสียงเข้มจริงจัง ทำให้นางไม่พอใจเอาแต่กอดอกชกลม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
"กู้ซานไห่ หากเจ้าอยากชดเชยความผิด ก็จงสร้างผลงานให้เป็นที่น่าพอใจ มิใช่เอาแต่พูด ข้าไม่อยากรับฟังสิ่งใดอีก เจ้าไปสืบหาข้อมูลหลักฐานอย่างอื่นมาให้ข้า แยกย้ายกันทำงาน จะดีกว่ามาเกาะกันเป็นกระจุก ไม่ได้ความสักเรื่อง"
คำพูดและกิริยาที่น่าเกรงขามของนาง ทำให้กู้ซานไห่โค้งคำนับรับคำสั่งแล้วเดินออกไปอีกทาง
"ถ้าไม่ให้ข้าไปด้วย งั้นข้าไปกับเจ้าเหยี่ยวดำก็ได้"
จื่อลู่พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันแล้วเดินตามกู้ซานไห่ไป
"ทำไมคนเช่นเขา ถึงได้เชื่อฟังเจ้าได้ อีกทั้งยังดูเคารพยำเกรงเจ้ามาเสียด้วย"
จู่เหอจงใจพูดให้นางรับรู้ว่าเขาสงสัยในตัวนางมากขึ้นทุกที
"หากจะทำงานกับข้า แล้วไม่คิดเชื่อฟังข้า เช่นนั้นก็ร่วมทางกันไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม รวมถึงเจ้าด้วย"
ฝู่เหยียนหลี่คาดเค้นเสียงหนักแน่นกล่าวย้ำให้เขารู้ว่านางเอาจริงอย่างที่พูด มิใช่การพูดเล่น
"พวกเขาทำอะไรผิด ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง"
เฟิ่งเทียนหนิงถามด้วยความสงสัย เพราะเขายังไม่รู้เรื่องถูกวางยา
แค่เด็กซุกซนอย่าไปใส่ใจเลย ข้าแค่สั่งสอนพวกเขาให้หลาบจำไว้เท่านั้น พวกเราไปกันเถอะ บ้านเซียวอี้อยู่นอกเมือง ต้องเดินออกไปทางประตูตะวันออก คงใช้เวลาพอควร รีบเดินทางดีกว่า"
ฝู่เหยียนหลี่ตอบแบบบ่ายเบี่ยงแล้วเลี่ยงเปลี่ยนเรื่องไปเพื่อเรียกคืนความสนใจจากทุกคน ให้เร่งออกเดินทางเสียที
กว่าจะมาถึงบ้านเซียวอี้ก็สายแล้ว อากาศเริ่มร้อนร่างกายแต่ละคนเริ่มมีเหงื่อรินไหล
"เจ้าคิดจะทำอะไรอีก"
ฝู่เหยียนหลี่ส่งเสียงตวาดจู่เหอ พร้อมเอนตัวหลบเขา
"ข้าเห็นหน้าเจ้ามีเหงื่อไหลหยดย้อย เกรงว่าจะดูไม่งามเลยจะช่วยเช็ดให้"
แววตาและน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แสนกลของเขาทำให้นางอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนสักที
"นี่แหนะ คิดจะฉวยโอกาสกับข้าละสิไม่ว่า"
นางหยิกหูของเขาบิดจนมันแทบจะฉีกขาด
"โอ๊ย ๆ ข้าเจ็บ หูจะหลุดแล้ว "
จู่เหอร้องเสียงสูงเมื่อถูกนางเอาคืน แต่เขาไม่โต้ตอบออกแรงสู้หรือขัดขืนอะไร พอนางปล่อยมือ เข้าก็ส่งยิ้มหวานยั่วนางซ้ำอีก
เฟิ่งเทียนหนิงยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอบ ๆ แต่ก็ไม่ยอมพูดจาออกมา จนฝู่เหยียนหลี่สังเกตอาการหึงหวงไม่พอใจของเขา
"เจ้ามีผ้าเช็ดหน้าสะอาดให้ข้ายืมหรือไม่"
นางส่งสายตาแฝงรอยยิ้มให้เขา จนเขายกมุมปากเผยความหวานฉ่ำออกมาให้นาง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวของใช้ส่วนตัว มอบให้กับนางโดยไม่กล่าวสิ่งใด
"ข้าซักผ้าไม่เป็น เจ้าเอากลับไปทำความสะอาดเองนะ"
นางซับเหงื่อที่หน้าแล้วยื่นคืนให้เขา รอยยิ้มน้อย ๆ ของนางเต็มไปด้วยความซุกซน เขาอดไม่ได้ที่จะตอบรับอย่างภาคภูมิใจ
"ข้าจะเก็บมันเอาไว้ข้างกายตลอด"
พูดเพียงนั้นเฟิ่งเทียนหนิงก็นำผ้าเช็ดหน้าเก็บเข้าตรงอกเสื้อด้านซ้าย เป็นความนัยที่บอกได้อย่างชัดเจน
" อะแฮ่ม ๆ ตกลงจะเข้าไปสืบหาข้อมูลกันได้หรือยัง"
จู่เหอกล่าวน้ำเสียงค่อนแคะขึ้นเพื่อขัดจังหวะคนสองคน แล้วก็เดินนำหน้าไป
"ถ้าเราสอบถามท่านแม่ของเซียวอี้ ว่ารู้เห็นเขาติดต่อกับผู้ใดบ้างหรือไม่ เราอาจจะพอได้เบาะแส"
จู่เหอพูดแนะนำขึ้นมา ระหว่างเดินเข้าไปในรั้วบ้านของเซียวอี้
"นั่นคือจุดประสงค์ที่ข้ามาหาบ้านของเขาด้วยตัวเอง"
ฝู่เหยียนหลี่บอกเล่าเป้าหมายถึงการมาครั้งนี้ ทั้งสามคนเดินเข้าไปภายในบริเวณรั้วบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้เก่า ๆ หลังเล็กนิดเดียว ภายในบ้านเงียบสงัดเหมือนไร้ผู้คน เฟิ่งเทียนหนิงจึงเดินเข้าไปในชายคาบ้านก่อนใคร ส่วนจู่เหอสำรวจโดยรอบว่ามีผู้คนแอบดักซุ้มอยู่หรือไม่ ฝู่เหยียนหลี่ยืนรอดูสถานการณ์พลางคิดอะไรแปลก ๆ ได้ในใจ เหมือนพบสิ่งผิดปกติบางอย่าง แต่แล้วเฟิ่งเทียนหนิงก็เดินออกมาหน้าตาตื่น
"ตายแล้ว"
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
