ตอนที่ 12 : ลงใต้
ฝู่เหยียนหลี่นั่งลงเก็บเศษแก้วที่แตก
"เจ้าจะทำอะไร"
เฟิ่งเทียนหนิงร้องห้ามรีบคว้ามือนางทันที
"ข้าก็จะเก็บไปตรวจดูว่าพิษพญางูของพวกมันเป็นอย่างไร"
นางตอบพร้อมดึงมือออก
"แต่มันอันตรายมาก หากสัมผัสโดนมันเข้า เจ้าก็อาจจะรับพิษไปด้วย ข้าทำเอง"
เขารีบปัดมือนางออก แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาค่อย ๆ เกลี่ยเศษแก้วแล้วห่อไว้ นางแอบมองเขาตลอดเวลา พลางคิดและรู้สึกว่าในทุก ๆ วันที่ได้อยู่ด้วยกัน ใจของนางมักจะสั่นไหวไม่เป็นจังหวะกับสิ่งที่เขาพยายามทำให้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม แต่มันก็อบอุ่นอยู่ในหัวใจอย่างสุดซึ้ง
"ข้าจะเก็บรักษาไว้เอง"
พอจัดการเสร็จเขาก็บอกนาง พร้อมนำไปเก็บซ่อนใส่ไว้ในกล่องอย่างดี
"เราตามออกไปช่วยพวกเขากันไหม"
เขาชักชวนนางออกไปช่วยตามล่าคนร้าย ฝู่เหยียนหลี่ส่ายหน้า
"เจ้าตามข้ามาดีกว่า"
นางเดินนำออกไป เขาก็เดินตามนางติด ๆ เมื่อออกมาถึงหน้าโรงเตี๊ยมนางก็สอดสายตามองไปโดยรอบ แล้วใช้วิชาตัวเบา เหินตัวขึ้นไปบนหลังคาของโรงเตี๊ยม
"รีบตามข้ามาเถอะ"
นางส่งเสียงบอกเฟิ่งเทียนหนิง ที่ยังยืนอยู่ด้านล่างหน้าโรงเตี๊ยม ฝู่เหยียนหลี่กับเฟิ่งเทียนหนิง วิ่งลัดเลาะไปบนหลังคา เหาะกระโดดย้ายไปหลังนั้นทีหลังนี้ที แล้วนางกับเขาก็จับมือกันใช้วิชาตัวเบา ทะยานตัวขึ้นสูง ลอยไปในอากาศแล้วมาหยุดลงที่หลังคาหอนางโลมชื่อดังของหัวเมือง ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุด
"นั่นไงพวกเขาอยู่ตรงนั้น"
นางชี้บอกให้เฟิ่งเทียนหนิงดูการไล่ล่าของกู้ซานไห่กับตงจื่อลู่ ที่กำลังวิ่งเข้าประกบหน้าหลังคนร้ายจนหมดหนทางหนีรอด กู้ซานไห่ฟาดฟันกระบี่อย่างกระหน่ำไม่หยุดมือ สลับปรับเปลี่ยนจังหวะบุกโจมตีกับจื่อลู่อย่างดุเดือด จนคนร้ายถูกกระบี่ของกู้ซานไห่เข้าให้หนึ่งแผลที่กลางอก จื่อลู่จึงฟัดจากด้านหลังซ้ำที่ขาของคนร้ายเข้าไปอีกที จนคนร้ายทรุดตัวลงกับพื้น แต่ไม่ถึงตายพวกเขาแค่ทำให้บาดเจ็บไร้ทางสู้เท่านั้น
"ถึงเวลาแล้ว ไปดูกันเถอะ"
แล้วนางกับเฟิ่งเทียนหนิงก็เหินตัวข้ามไปที่หลังคาของอีกตรอก ก่อนจะโรยตัวลงไปยังที่เกิดเหตุ
"เจ้าเป็นใคร"
จื่อลู่จ่อกระบี่ไปที่คอคนร้ายแล้วเอ่ยถาม
"ไม่ยอมพูดใช่ไหม"
กู้ซานไห่ตวัดกระบี่ฟันไปที่แขนของเขาอีกแผล เพียงคู่เดียวเขาก็กัดลิ้นตาย
"หา...ตายแล้ว"
จื่อลู่พูดจบก็เก็บกระบี่เข้าฟัก กู้ซานไห่เปิดดูใบหน้าของคนร้ายที่ถูกผ้าปิดไว้มิดชิด
"นี่มัน ... "
จื่อลู่ร้องตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจแล้วเงียบนิ่งไป เหมือนมีความลับบางอย่าง
"เจ้าต้องรู้จักกับคนร้าย บอกข้ามา ว่ามันเป็นใคร"
ฝู่เหยียนหลี่พูดเสียงเข้มใส่จื่อลู่ เพราะมั่นใจว่านางต้องรู้จักเขาแน่นอน
"ไม่นะ ข้าไม่รู้ เจ้าพูดอะไรของเจ้า"
จื่อลู่ก้มหน้าก้มตาปฏิเสธ อย่างมีพิรุธ
"โกหก"
กู้ซานไห่พูดตะคอกใส่นางเสียงดังลั่น
"แม่นางจื่อลู่บอกพวกเรามาเถอะ ไม่ต้องกลัว"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดอย่างสุภาพอ่อนโยนต่อนาง ต่างจากสองคนก่อนหน้านี้ จื่อลู่จึงเงยหน้ามองเขา เฟิ่งเทียนหนิงจึงพยักหน้าย้ำให้นางมั่นใจ แล้วยอมพูดความจริงออกมา
"เขาชื่อเซียวอี้ เป็นศิษย์ของสำนักสี่กระบี่ แต่เมื่อสามเดือนก่อน เขามาขอลากลับบ้าน บอกว่าแม่ป่วยหนัก ท่านพ่อจึงอนุญาตให้เขาไป แถมยังให้เงินช่วยเหลือไปด้วยหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมา จนข้าเพิ่งมาเจอเขาวันนี้ "
จื่อลู่บอกเล่าเรื่องของคนร้าย และพยายามอธิบาย เพราะกลัวทุกคนจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสำนักสี่กระบี่ที่อยู่เบื้องหลัง
"เขาออกไปนานแล้วไม่ได้ติดต่อมาเลย ก็นับว่าไม่เกี่ยวข้องกันอีก ต้องไม่ใช่สำนักสี่กระบี่ของข้าแน่นอนที่อยู่เบื้องหลัง พวกเจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ คุณชายเฟิ่งท่านเชื่อข้านะ"
จื่อลู่พูดอย่างร้อนรนกระสับกระส่าย หันไปหาคนนั้นทีคนนี้ที
"แม่นางจื่อลู่เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน พวกเราไม่ได้โทษเจ้า"
เฟิ่งเทียนหนิงช่วยพูดให้นางสงบอารมณ์ลงได้
"บ้านเขาอยู่ที่ไหน "
ฝู่เหยียนหลี่เอ่ยถามนางด้วยท่าทีที่สุขุม ไม่ได้ดูต่อว่าอะไรนางมากนัก
"ข้าได้ยินว่าอยู่ทางใต้ ถ้าพวกเจ้าอยากรู้อย่างละเอียด ข้าจะไปถามคนที่สำนักให้ "
จื่อลู่ตั้งสติได้ก็กลับมาพูดจาปกติเหมือนเดิม
"เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปเอาที่อยู่ของเขามาให้ข้าเดี๋ยวนี้"
ฝู่เหยียนหลี่ไม่ได้พูดด้วยการขอร้อง แต่นางออกคำสั่งอย่างจริงจัง
"ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"
จื่อลู่ที่เคยดื้อรั้นได้กลายเป็นพูดจาว่าง่าย นางรีบวิ่งกลับไปตามคำสั่งของฝู่เหยียนหลี่ทันที
"กู้ซานไห่เจ้าตามไปดูนาง "
เมื่อฝู่เหยียนหลี่สั่งการกู้ซานไห่ เขารีบคำนับแล้วตามจื่อลู่ไปติด ๆ
"พวกเรากลับไปเตรียมตัวกันก่อนเถอะ กู้ซานไห่กลับมาจะได้รีบออกเดินทาง"
นางหันไปพูดกับเฟิ่งเทียนหนิงด้วยท่าทางน้ำเสียงปกติต่อเขา ไม่ได้ดุดันแข็งกร้าวเช่นเมื่อสักครู่
"เราจะไปไหนกัน"
เฟิ่งเทียนหนิงเอ่ยถามเมื่อนางเดินนำออกไป นางไม่ได้หยุดหันมาตอบเขา เพียงแต่ส่งเสียงบอกว่า
"ลงใต้"
เมื่อได้ที่อยู่ของเซียวอี้จากจื่อลู่ ฝู่เหยียนหลี่ เฟิ่งเทียนหนิง กู้ซานไห่ ก็รีบควบม้าออกจากเมืองเดินทางลงใต้ทันที
"หยุด.... จะมืดแล้วคืนนี้พักที่นี่แล้วกัน"
ฝู่เหยียนหลี่หยุดม้าแล้วหันไปบอกบุรุษทั้งสองคนที่ขี่ม้าแนบข้างซ้ายขวานางมาตลอดทาง
"ท่านประมุขท่านพักตรงนี้ก่อน ข้าจะไปสำรวจดูเส้นทาง"
กู้ซานไห่บอกนางเหมือนที่เขาต้องทำเป็นปกติ เมื่อมาพักกลางป่าไม่คุ้นเคย จะต้องตรวจสอบดูบริเวณโดยรอบว่ามีสัตว์ร้าย หรือคนดักซุ่มอยู่ไหมเพื่อความปลอดภัย ฝู่เหยียนหลี่พยักหน้ารับรู้ตอบกลับเขา กู้ซานไห่จึงควบม้าออกไป
ระหว่างที่กำลังตรวจสอบความปลอดภัยของพื้นที่โดยรอบ เขาก็พบความผิดปกติบางอย่าง
"ถ้าเจ้าไม่ออกมา อย่าหาไม่ว่าข้าใจร้าย"
พูดไม่ทันจบดี เขาก็ปาอาวุธลับมีดบิน4แฉกออกไปยังต้นไม้ด้านขวา
"ข้าเอง"
จื่อลู่รีบร้องตะโกนบอก
"จะทำตัวลับล่อ ๆ อีกนานไหม ท่านประมุขสั่งห้ามเจ้าติดตามมา เจ้ายังกล้าแอบสะกดรอยมาอีกหรือ"
กู้ซานไห่พูดกับจื่อลู่เพราะก่อนออกมาจากเมือง นางขอร้องที่จะตามมาด้วย แต่ฝู่เหยียนหลี่ไม่อนุญาต
"ประมุข ประมุขที่ไหนกัน เจ้าหมายถึงใครหรือ"
จื่อลู่รีบถามกลับด้วยความสงสัย
"เอ่อ... ข้าหมายถึงซูหลินหลิน คำสั่งของนางก็เหมือนของประมุข"
กู้ซานไห่รีบแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ ที่ลืมตัวเผลอพูดไป
"เชอะ! นางก็แค่ลูกศิษย์จะไปเหมือนกันได้ยังไง"
จื่อลู่ยอกย้อนเถียงกู้ซานไห่
"อย่าพูดมาก เจ้าไม่รู้อะไร เจ้ารีบกลับไปซะ เลิกตามวุ่นวายได้แล้ว"
กู้ซานไห่พยายามไล่นางให้กลับไปเพื่อตัดความรำคาญ
"ไม่ได้ ข้าไม่กลับ เจ้าลืมข้อตกลงของเราแล้วหรือ"
จื่อลู่ปฏิเสธเสียงแข็ง แถมยังทวงสัญญาลับระหว่างเขาสองคน
"ข้าไม่ได้ลืม แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ทะท่าน...ก็ซูหลินนางไม่ยอมให้เจ้าร่วมเดินทางด้วย"
กู้ซานไห่เกือบจะหลุดเรียกฝู่เหยียนหลี่ว่าประมุขอีกแล้ว
"เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้าสิ บอกว่าเจ้าติดค้างข้าไว้ เรื่องข้อมูลลับ"
จื่อลู่รีบแนะนำวิธีบอกเขา ให้ช่วยนางได้เดินทางไปด้วยกัน
"เจ้าจะให้บอกนางไปตามตรงเลยหรือว่าเจ้า... "
กู้ซานไห่แม้จะเป็นคนมีไหวพริบฉลาดรอบรู้ แต่กับบางเรื่องเขาก็ซื่อบื้อไม่น้อย
"เจ้าเหยี่ยวดำ นี่เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ใครจะให้เจ้าบอกตามจริงเล่า"
จื่อลู่ด่าว่าเขาไปด้วยก็เกาหัวยิก ๆ ไปด้วยอย่างคนที่เหน็ดหน่ายใจ
" แล้วจะให้พูดอย่างไรเล่า ข้าไม่เคยโกหกนาง"
กู้ซานไห่ก็ยังคงพูดจาดูโง่เง่าในสายตาจื่อลู่อยู่ดี
"เอาละ ๆ เจ้าแค่พาข้าไปหานาง ข้าจะบอกกับนางเอง เจ้าก็แค่เออออตามข้าก็พอ"
จื่อลู่บอกกับเขาเช่นนั้น กู้ซานไห่ก็ยืนครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนตัดสินใจพานางกลับไปหาฝู่เหยียนหลี่ด้วยกัน
"ซูหลิน ข้าพบนางแอบตามมา"
เมื่อกลับมาจุดที่พักกู้ซานไห่ก็ก้มหน้าก้มตาบอกกับฝู่เหยียนหลี่
"ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือ ว่านางแอบสะกดรอยตามมา แต่เจ้ากลับแกล้งทำเป็นไม่รู้"
ฝู่เหยียนหลี่รู้ดีว่าเขาจงใจปล่อยให้จื่อลู่ติดตามมา เขาเป็นคนชำนาญเรื่องการสะกดรอย ถูกคนขี่ม้าแอบตามมาขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาเพิ่งจะมารู้เรื่อง
"ไม่บังอาจ"
กู้ซานไห่พูดเสียงดังทำท่าเคารพประจำสำนักผาดำแบบที่เขาทำเป็นประจำต่อหน้านาง ทำให้ทุกสายตาจ้องมองที่เขา จนเขารู้สึกตัวได้ว่าเผลอหลุดอีกแล้ว
"เจ้ายอมให้ข้าร่วมทางไปด้วยเถอะ ข้าอยากตามสืบเรื่องนี้ ข้าอยากพิสูจน์ให้ท่านพ่อเห็น ว่าข้าไม่ใช่เด็ก ข้าสามารถทำงานใหญ่ได้"
จื่อลู่ไม่สนใจความผิดปกติของกู้ซานไห่ นางรีบขอฝู่เหยียนหลี่ให้รับนางร่วมภารกิจครั้งนี้ด้วย
"อนุญาตให้นางร่วมทางด้วยเถอะ"
กู้ซานไห่ไม่กล้าพูดมากทั้งยังไม่กล้าจ้องตาฝู่เหยียนหลี่ แต่เขาถูกจื่อลู่สะกิดให้ช่วยพูด
" ใช่ ๆ ยังไงข้าก็ช่วยบอกข้อมูลเจ้าตั้งเยอะ อีกอย่างเจ้าเหยี่ยวดำนี่ ก็ติดค้างข้าเรื่องนี้อยู่"
จื่อลู่รีบพูดเสริมต่อจากกู้ซานไห่ ตอนนี้สายตาของฝู่เหยียนหลี่มองนางอย่างครุ่นคิด สงสัยว่านางจะมาไม้ไหนกัน ทำไมกู้ซานไห่ถึงยอมร่วมมือกับนาง สองคนนี้มีลับลมคมในกันตั้งแต่อยู่โรงเตี๊ยม พวกเขามีความลับอะไรปกปิดนางไว้นะ
"เขาติดค้างสิ่งใดต่อเจ้า"
นางเอ่ยถามนางจื่อลู่โดยไม่ได้มองนางสักนิด คอยแต่เอาไม้เขี่ยกองไฟที่อยู่ตรงหน้า
"เขารับปากข้าว่า ถ้าข้าบอกความลับแก่เขา จะให้ข้าสั่งอะไรเขาก็ได้หนึ่งอย่าง"
จื่อลู่พูดด้วยเสียงสูงและท่าทางตื่นเต้น
"ใช่ ๆ นางขอให้ข้า พานางไปด้วย ข้าเองก็รับปากนางไปแล้ว"
กู้ซานไห่ช่วยจื่อลู่พูดซ้ำอีกที ท่าทางเขาผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
"เช่นนั้นหรือ งั้นก็ตามใจพวกเจ้าเถอะ เจ้าสองคนตกปากรับคำกันไปแล้วนี่ "
ฝู่เหยียนหลี่ปรายตามองเขาทั้งสองคน นางไม่ได้เชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด การตกลงของพวกเขาคงไม่ง่ายดายขนาดนี้ แล้วก็มั่นใจได้ว่าสองคนนี้ต้องทำข้อตกลงอะไรบางอย่างที่คิดไม่ซื่อกับเฟิ่งเทียนหนิงแน่นอน นางจึงอยากรู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน จึงยอมทำเป็นไหลตามน้ำไป
"ขอบคุณทะ.."
กู้ซานไห่ไม่ชินกับการเรียกฝู่เหยียนหลี่เป็นอย่างอื่นจริง ๆ
"ในเมื่อเจ้าเป็นคนรับนางไว้ เช่นนั้น จงดูนางให้ดี อย่าให้ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้น มิเช่นนั้น เจ้าก็ต้องรับผิดชอบไปด้วย"
ฝู่เหยียนหลี่พูดกับกู้ซานไห่พร้อมจ้องมองเขาด้วยสายตาจริงจังเข้มงวด สื่อให้เขารู้ว่านางจะจับตาเขาสองคนเอาไว้ หากทำอะไรไม่ดีขึ้นมาล่ะก็ แม้แต่เขานางก็ไม่เว้น
"เอาเถอะ เหนื่อยกันมามากแล้ว มากินมันเผาด้วยกันก่อนเถอะ"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดขึ้นเพื่อตัดจบเรื่องวุ่น ๆ นี้เสียที พอเขาพูดเช่นนั้นออกไป จื่อลู่ก็รีบกระโดดลงนั่งข้าง ๆ เขาทันที
"คุณชายเฟิ่งท่านเผามันเองกับมือเลยหรือ มันต้องหวานอร่อยมากแน่ ๆ "
จื่อลู่พยายามชวนเฟิ่งเทียนหนิงคุย แล้วค่อย ๆ เขยิบเข้าใกล้ชิดเขา จนเฟิ่งเทียนหนิงต้องขยับหนีออกห่าง
"หัวนี้สุกกำลังดีเจ้ารับไปสิ"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดพร้อมส่งมันเผาชิ้นแรกให้ฝู่เหยียนหลี่ก่อนใคร นางจึงรับมันไว้ แล้วหันไปส่งสายตาเย้ยหยันพร้อมยกมุมปากให้จื่อลู่
"แล้วของข้าล่ะ คุณชายเฟิ่ง ข้าก็หิวแล้ว เดินทางมาตั้งไกล"
จื่อลู่พยายามอย่างหนักที่จะเรียกร้องความสนใจจากเฟิ่งเทียนหนิงที่เอาแต่จ้องมองสตรีอีกคนโดยไม่สนใจนางแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่นางนั่งอยู่ใกล้เขาที่สุด
"นี่ไงของเจ้า หิวก็ทำกินเอง เป็นง่อยหรือไง ต้องคอยขอคนอื่นกิน"
กู้ซานไห่โยนมันดิบใส่จื่อลู่ พูดจากถากถางนางด้วยความหมั่นไส้
"เจ้าเหยี่ยวดำ เจ้ามันคนบ้า ปากเสียเช่นเจ้า ชาตินี้ก็หาเมียไม่ได้หรอก"
จื่อลู่ก็ปากไวไม่น้อย ตอบโต้กู้ซานไห่จนพูดอะไรไม่ออก
"นี่เจ้า.. เจ้า.. ฮึ่ม"
กู้ซานไห่พูดได้แค่เพียงเท่านั้น จื่อลู่ก็เอาแต่แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนเขา ฝู่เหยียนหลี่กับเฟิ่งเทียนหนิง ได้แต่ส่ายหัวกับสองคนตรงหน้าที่คอยแต่โต้เถียงทะเลาะกันไม่ได้หยุด
"อิ่มแล้ว อิ่มมากๆ เลย มันเผาของคุณชายเฟิ่งอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลยนะ"
หลังจากกินกันอิ่มหนำแล้ว จื่อลู่ก็รีบพูดจาหวานหยดทำคะแนนกับเฟิ่งเทียนหนิงต่ออย่างไม่รีรอ เฟิ่งเทียนหนิงเพียงยิ้มรับไม่พูดอะไรออกไป เพราะฝู่เหยียนหลี่แม้จะดูนิ่งสงบแต่สายตาของนางเหมือนไม่ได้ละออกจากเขา ขืนเขาพูดมากไปคงได้เป็นเรื่องแน่ ๆ
"ท่านกินน้ำก่อนเถอะ"
กู้ซานไห่รีบส่งน้ำให้ฝู่เหยียนหลี่ดื่ม นางรับน้ำของเขาไว้ ทำให้เฟิ่งเทียนหนิงดูไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่
"ข้าสงสัยจริง ๆ ทำไมเจ้าต้องทำเหมือนนางเป็นเจ้านาย คอยรับใช้ เชื่อฟังคำสั่ง นางเป็นแค่ศิษย์ของท่านประมุขฝู่เหยียนหลี่มิใช่หรือ แต่เจ้าปฏิบัติต่อนางเหมือนกับนางเป็นประมุข ซูหลินเจ้าทำตัวสูงส่งเกินตัวไปหรือไม่"
จื่อลู่เหมือนจะจงใจกล่าววาจาเสียดสีทิ่มแทงไปบ้าง แต่นางก็ถามเพราะสงสัยจริง ๆ ทั้งกู้ซานไห่และเฟิ่งเทียนหนิง ดูเกรงใจและเชื่อฟังฝู่เหยียนหลี่ทุกอย่าง ทั้งยังคอยเอาอกเอาใจนางทุกสิ่ง
"พูดมาก ก็ข้าบอกแล้วไง ว่านางก็เหมือนท่านประมุขของข้า ซูหลินเป็นศิษย์สายตรงคนเดียวของท่านประมุข ได้รับถ่ายทอดวิชาทุกอย่าง นางก็คือตัวแทนท่านประมุข เจ้าเองก็เถอะ ต่อไปอย่าพูดหรือทำอะไรไม่ดีต่อนาง ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน"
กู้ซานไห่พยายามอธิบายให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด แล้วจบด้วยการข่มขู่จื่อลู่ แต่นางก็ทำลอยหน้าลอยตาใส่เขาอย่างไม่สนใจ แล้วหันไปชวนเฟิ่งเทียนหนิงคุยต่อ
"คุณชายเฟิ่งท่านแต่งงานหรือยัง"
จื่อลู่ถามเขาอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม เฟิ่งเทียนหนิงถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ เขาไม่ตอบเพียงแค่ส่ายหัว ฝู่เหยียนหลี่ก็มองรอดูคำตอบของเขาเช่นกัน นางเองก็ไม่เคยถามเขาเรื่องนี้เลย
"ดีจริง ๆ ข้าว่าแล้วท่านยังไม่แต่งงาน แล้วก็ยังไม่มีครอบครัวจริง ๆ ด้วย"
จื่อลู่พูดพลางปรบมือดีใจอย่างออกนอกหน้า แต่เพียงครู่เดียวฝันของนางก็ต้องสลายลง
"เฟิ่งเทียนหนิงยังไม่ได้แต่ง แต่ว่าอาเหยียนลูกของข้า ก็เรียกเขาว่าพ่อมาโดยตลอด ส่วนกับตัวข้าเอง เขาก็ตามเฝ้าดูแลไม่เคยยอมห่างกายไปไหน จื่อลู่เจ้าจงใช้สมองอันน้อยนิดที่มี คิดเอาเองต่อแล้วกันนะ"
ฝู่เหยียนหลี่พูดจบก็ลุกออกจากรอบกองไฟไป เฟิ่งเทียนหนิงจึงรีบตามนางไปติด ๆ ปล่อยให้กู้ซานไห่ที่เมื่อครู่น้ำพุ่งออกจากปากตอนที่ฝู่เหยียนหลี่พูดกับจื่อลู่เช่นนั้น เขายังคงทำอะไรไม่ถูก ส่วนจื่อลู่อ้าปากค้างก่อนจะได้สติโวยวายอะไรออกมา
"เจ้าเหยี่ยวดำนางหมายความว่าไง ใครเป็นพ่อของลูกนาง เจ้าตอบข้ามาเดี๋ยวนี้นะ"
จื่อลู่เอาแต่เขย่าตัวกู้ซานไห่สอบถามหาความจริง ส่วนเขายังคงนิ่งเงียบตกตะลึงกับคำพูดของฝู่เหยียนหลี่ แม้เขาจะรู้เรื่องก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่การที่นางพูดแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรนะ
ค่ำคืนนี้จบลงด้วยการยอมตกลงร่วมมือกัน เฝ้าเวรยามของกู้ซานไห่และเฟิ่งเทียนหนิง โดยให้สตรีทั้งสองนางนอนพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เฟิ่งเทียนหนิงรับอาสาเฝ้าเวรให้ก่อน ในขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับหมดแล้ว อากาศค่อนข้างเย็นขึ้นเรื่อย ๆ เขาถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออก แล้วห่มแทนผ้าลงที่ร่างเล็กของสตรีตรงหน้าที่นอนพิงกายอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ เมื่อเขาจะปล่อยมือออก นางก็คว้ามือของเขาไว้
"เจ้าไม่ควรถอดเสื้อคลุมออก ร่างกายของเจ้ามิอาจทนต่อความเย็นได้"
ฝู่เหยียนหลี่ส่งเสื้อคืนให้กับเขาทันทีเมื่อพูดจบ
"แต่อากาศเริ่มเย็นมากแล้ว ข้ากลัวเจ้าจะหนาว"
คำพูดของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้จริง ๆ
"ต่อไปเจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดีล่ะ ว่าข้าเป็นคนขี้ร้อน"
พูดแล้วนางก็ช่วยหยิบจับให้เขาสวมใส่เสื้อกลับเข้าตัวไป อีกทั้งยังจัดให้มันเข้าที่เข้าทางด้วย
"ขอบคุณนะ"
เขาพูดน้ำเสียงอ่อนหวานแผ่วเบากระซิบที่ข้างหูของนาง ฝู่เหยียนหลี่ที่คอยยุ่งกับการจัดการเสื้อให้เขาอยู่ จึงเงยหน้ามองที่เฟิ่งเทียนหนิง ทั้งสองคนสบตาประสานกันอย่างหวานซึ้ง เขาค่อย ๆ โน้มหน้าลงเข้าไปใกล้ที่ใบหน้าของนางมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนางก็หลับตาพริ้ม เขาเอียงหน้านิดหน่อยแล้วยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้จนเกือบเฉียดสัมผัสกับปากของนางได้แล้ว..
"ท่านประมุข"
เสียงของกู้ซานไห่ดังขึ้น ทำให้เฟิ่งเทียนหนิงและฝู่เหยียนหลี่ผละตัวออกจากกันด้วยความตกอกตกใจ แล้วหันไปทางต้นเสียงนั้น พวกเขาก็เห็นกู้ซานไห่นอนละเมอสะดุ้งตัวขึ้นนั่งแต่ยังหลับตาสนิทอยู่ ก่อนจะเอนตัวลงไปนอนเช่นเดิม เขาสองคนหันมายิ้มให้กันอย่างเคอะเขิน ต่างคนต่างหลบหันหน้ากันไปคนละทิศทาง
"เจ้านอนต่อเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดแล้วค่อย ๆ จับประคองตัวนางลงนอนไม่ให้นางนั่งหลับเช่นเคย นางดิ้นขัดขืนเล็กน้อย
"อย่าดื้อสิ นอนลงไปเถอะ ไม่ต้องกังวลข้าจะอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง"
คำพูดของเขาอบอุ่นเสียยิ่งกว่ากองไฟ นางพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายแล้วหลับไปพร้อมรอยยิ้ม
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสี่คนเร่งออกเดินทาง โดยมีกู้ซานไห่เป็นผู้นำหน้า เขาชำนาญเส้นทางดีที่สุด เขาจึงขออาสาเป็นคนนำทางเอง และเป็นการช่วยป้องกันภัยหากเกิดอะไรขึ้น เขาจะได้ปกป้องฝู่เหยียนหลี่ได้ทัน เฟิ่งเทียนหนิงช่วยคุ้มกันอยู่ด้านหลังสตรีทั้งสองนาง พวกเขาเร่งควบม้ากันไม่หยุดหย่อน จนเที่ยงวันจึงมาหยุดพักที่กลางทาง
"พักที่นี่แหละ มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ ๆ จะได้พักล้างหน้าล้างตา และตักตุนเสบียงเครื่องดื่มไว้ระหว่างเดินทาง"
กู้ซานไห่แนะนำซึ่งทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน
"เช่นนั้นก็ดี จะได้ให้ม้าพวกนี้ได้พักกินหญ้ากินน้ำบ้าง"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดเสริมขึ้นมา แต่กู้ซานไห่กลับทำหน้าเบือนหนีเขาอย่างเบื่อหน่าย
"เช่นนั้นก็ตามนี้แหละ"
ฝู่เหยียนหลี่พูดจบก็เดินไปหาที่นั่ง เฟิ่งเทียนหนิงช่วยพาม้าของนางไปพักแล้วช่วยดูแลหาอาหารให้
"มื้อเที่ยงนี้ท่านอยากกินปลาหรือไม่ ข้าจะไปจับมาให้"
กู้ซานไห่เข้าไปถามฝู่เหยียนหลี่ เขาอยากจะดูแลเอาใจนาง ให้ได้มากกว่าเฟิ่งเทียนหนิงทำ นางพยักหน้าตอบอย่างยิ้ม ๆ
"ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้"
พูดจบเขาก็วิ่งตรงไปที่แม่น้ำทันที
"เจ้าเหยี่ยวดำ จับมาให้ข้าด้วยนะ ข้าชอบกินปลา"
จื่อลู่ตะโกนบอกกู้ซานไห่ แต่เขากับไม่รับฟัง
"อยากกินก็มาจับเอาเอง ข้าไม่เปลืองแรงให้เจ้าหรอก"
กู้ซานไห่ส่งเสียงตอบกลับมาเช่นนั้น จื่อลู่จึงรีบวิ่งไล่ตามหลังเขาไป
"ไอเหยี่ยวดำเจ้ามันคนใจดำ หึหึ! ข้าไปจับเองก็ได้"
นางบ่นพึมพำระหว่างที่ตามกู้ซานไห่ไป
โป้งเป้งโช้งเช้ง !!
ฝู่เหยียนหลี่ดึงกระบี่ออก ก่อนหมุนตัวตวัดรับการซุ่มโจมตี มีคนปล่อยกงจักรเงินแหลมคมขนาดเท่าฝ่ามือพุ่งตรงมาที่นางแทบนับร้อย แต่นางตั้งรับได้ทันใช้กระบี่ปัดกวัดแกว่ง จนมันกระเด็นออกไปได้ทุกอัน เฟิ่งเทียนหนิงปล่อยพัดบินร่อนเข้าไปช่วยนางตั้งรับอาวุธลับที่มุ่งโจมตีใส่นาง ก่อนรีบพุ่งตัวเข้าช่วยนางทันท่วงที เพียงพริบตาเดียว กลุ่มคนชุดดำที่สวมหน้ากากเหล็กปิดทั้งหน้าเห็นเพียงดวงตา ก็วิ่งมาโอบล้อมนางและเฟิ่งเทียนหนิงเอาไว้ นางส่งเสียงผิวปากยาวสองทีเป็นการส่งสัญญาณเตือนบอกกู้ซานไห่ กลุ่มคนชุดดำจำนวนราว ๆ ห้าหกสิบคน ปิดล้อมเขาสองคนเอาไว้อย่างไร้ช่องโหว่ พวกมันไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว แต่ทุกคนกลับมุ่งตรงจ่อกระบี่เข้าหาเป้าหมายเดียวกันคือฝู่เหยียนหลี่และเฟิ่งเทียนหนิง...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
