ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic หัวขโมยแห่งบารามอส ตอน ปี3 ในโรงเรียนพระราชา

    ลำดับตอนที่ #12 : มุ่งสู่บารามอส

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 56


     - 10 -

     

                เสียงหัวเราะลั่นดังมาจากเกวียนใหญ่ที่รั้งท้ายขบวนของคณะการแสดงแห่งโรงเรียนพระราชา ซึ่งเป็นเกวียนที่บรรทุกสมาชิกแห่งป้อมไหนนั้นคงไม่ต้องสงสัย และเสียงหัวเราะของใครดังที่สุดนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    “เฟริน แล้วไอ้เด็กนั่นมันพูดว่าอะไรต่อวะ” เอ็ดเวิร์ดเอ่ยถามพร้อมกับพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ

    “เด็กเอวิลนั่นก็พูดว่า ถ้าอย่างนั้นก็จงกลายเป็นอนุสรณ์แห่งความอัปยศไปตลอดกาลละกัน จากนั้นเจ้าพวกนั้นก็ยืนนิ่งไม่กระดิกกระเดี้ยวและสักกะแอะ สงสัยมันจะกลัวฉันว่ะ” พูดจบก็ปล่อยเสียงก๊าก

    “แล้วทำอีท่าไหนถึงได้ไปมีเรื่องกับพวกกุ๊ยข้างถนนแบบนั้นได้” โซโลถาม

    “ก็แบบว่า...”

    เจ้าอดีตหัวขโมยเริ่มออกอาการอึกอัก ยกมือขึ้นเกาแก้มพลางเสมองไปทางอื่น ก่อนเจ้านักฆ่าเพื่อนรักจะออกปากตอบให้

    “จะอะไรซะอีกล่ะ ขโมยก็ยังเป็นขโมยอยู่วันยังค่ำ”

    “เจ้าบ้า อย่าพูดเรื่องจริงสิฟะ” เฟรินแยกเขี้ยว “แหะๆ ฉันก็แค่ไปเดินชนพวกมัน ก็เลยได้ของติดได้ติดมือมานิดๆหน่อยๆน่ะ”

    “สันดานขโมยจริงจริ๊ง~

                ครี้ดกระเซ้าพลางใช้เท้าเขี่ยเจ้าหัวขโมยเบาๆ เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆได้อย่างดี

     

                โรที่นั่งเงียบอยู่นานผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนั่งข้างเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่กำลังคุมบังเหียนอยู่ด้านนอก

    “นายคิดว่าไง” โรเอ่ยถาม

    “เรื่องอะไร” เจ้าชายคาโลยังคงนั่งนิ่ง

    “ก็รู้ๆกันอยู่ ฉันว่าเด็กนั่นน่าสนใจดีว่าไหม”

                โรเปรยยิ้มพลางเหลือบตามองสีหน้าของคาโลที่ยังคงสงบเช่นเดิม ก่อนริมฝีปากเรียวของใบหน้ารูปสลักจะขยับ

    “นั่นสิ เด็กปีหนึ่งไม่น่าจะรู้คำสาประดับที่จะทำให้คนมากกว่าสามคนกลายเป็นหินไปได้”

    “อืม ก็คงใช่” โรยิ้ม “แถมไม่ต้องท่องคาถาอะไรเลยด้วย แต่ว่านะ ที่ว่าน่าสนใจมันมีมากกว่านั้นนะ”

                คาโลถอนหายใจพรืด ก่อนหันมาจ้องนัยน์ตาสีเขียวใสซื่อที่แฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้

    “นายอยากจะพูดอะไรกันแน่?”

    “เด็กนี่มันร้ายใช่ย่อยนะ นายควรรู้ไว้ด้วย”

    “... ฉันรู้แค่ว่าเด็กนี่ชื่อ เอวิล เป็นคนที่ฉันไม่รู้ว่าที่จริงคิดอะไรอยู่กันแน่ และมาจากทริสทอร์เหมือนกับนายก็พอแล้ว”

                ริมฝีปากกระตุกยิ้มรับนัยน์ตาสีฟ้ากร้าวที่จ้องมายังเขา นับวันยิ่งได้รู้ว่าเจ้าชายคาโลมีฝีปากแก่กล้าขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าได้รับวิชาจากเจ้าตัวยุ่งคนนั้นรึเปล่า

                เจ้าชายกำมะลอลุกยืนขึ้นยืนเท้าเอวแล้วก้มหน้าลงมองเจ้าชายอีกคนที่กำลังทำท่าทางไม่สนใจคำพูดของตน

    “นั่นสิ ขนาดคนที่มาจากทริสทอร์เหมือนกันยังไม่รู้เลยว่าตัวจริงของหมอนั่นเป็นใคร แต่ฉันจะบอกเรื่องที่ฉันรู้ให้นายฟังก็แล้วกัน”

    “ฉันไม่อยากรู้”

                คำตอบไร้มิตรภาพของคาโลเล่นเอาคนยื่นข้อเสนอถึงกับยกมือเกาหัวแก้เก้อ

    “คาโล นายอยากรู้แน่ เพราะเรื่องที่ฉันรู้ก็คือ นายมีคู่แข่งเพิ่มมาอีกคนแล้ว ระวังให้ดีล่ะ ยิ่งเจ้าหญิงของเรามนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศอยู่ด้วย”

    “แต่ฉันว่าคนที่ฉันควรระวังน่าจะเป็นนายมากกว่า”

                โรกระตุกยิ้มพลางมองไปยังเจ้าชายหนุ่มที่พูดโดยไม่หันมามองหน้าตน ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเกวียน

    เอวิล เกรนเดล...  

    คาโลนึกชื่อเด็กชายประหลาดแห่งทริสทอร์

     

     

                คณะการแสดงแห่งเอเดนเบิร์กเคลื่อนขบวนมาถึงบารามอสในเวลาใกล้ค่ำ สภาพการจราจรติดขัดไม่ต่างจากครั้งเมื่อเอเดนเบิร์กเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาเพื่อชมพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่ามีหรือที่บารามอสจะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไป (ยิ่งบ่จี๊อยู่) โดยปกติแล้วการเดินทางเข้าบารามอสไม่ต้องมีพิธีการหรือขั้นตอนอะไร แต่เมื่อเดินทางมาถึงกำแพงเมือง ทุกคนจะต้องจ่ายค่าผ่านทางคนละ 50 คราวน์ ซึ่งถ้าหากนับถึงจำนวนคนแล้ว บารามอสได้กำไรเหนาะๆโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย 

    “อะไรฟะเนี่ย นี่ฉันเป็นเจ้าหญิงบารามอสนะเฟ้ย แล้วทำไมต้องจ่ายตังค์ค่าเข้าเมืองตัวเองด้วย!

    เฟรินโวยวายเสียงดังเมื่อเจ้าหน้าที่ดันมาเรียกเก็บเงินจากเขาซะได้

    “คือมันเป็นกฎน่ะครับ ไม่ว่าพระราชวงศ์จากที่ไหนก็ต้องเสียค่าเข้าเมืองทั้งนั้น” เจ้าหน้าที่หนุ่มบอก

    “ชิ บารามอสมันก็จนอย่างนี้ตลอดปีตลอดชาติสิว้า สงสัยต้องไปยื่นฎีกาบอกชามัลให้แก้ไขเรื่องเงินๆทองๆในประเทศก่อนเป็นอันดับแรกเลย”

    เจ้าหัวขโมยยืนกอดอก ส่งเสียงจึ๊กจั๊กไม่พอใจก่อนหันไปหานักฆ่าเพื่อนรัก

    “คิล เอาตังค์มายืมห้าสิบคราวน์สิ”

    “แต่ฉันว่าให้ชามัลแก้ไขเรื่องปัญหาเงินทองกับนิสัยของแกก่อนดีกว่า” คิลกล่าวพลางส่งเงินให้เจ้าตัวแสบที่ยิ้มแยกเขี้ยวให้เป็นการขอบคุณ “อ้อ ชามัลต้องแกปัญหาเรื่องเบี้ยวเงินชาวบ้านของแกก่อนเป็นอันดับแรกเลย”

                เสียงกระเซ้าของคิลเรียกเสียงฮาและปรบมือชอบใจจากคนในคณะได้เป็นอย่างดีไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายน้ำแข็งที่ยังแอบอมยิ้มกับเขาด้วย

     

                ตึกรามบ้านช่องสองข้างทางถูกประดับตกแต่งด้วยธงประจำชาติของประเทศต่างๆ สองข้างทางเออัดไปด้วยผู้คนและร้านค้า เสียงร้องเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าดังปะปนไปกับเสียงพูดคุยจอแจ

    “ทำเลเหมาะดีจริงๆ” จู่ๆเฟรินก็เปรยขึ้น

    “เหมาะอะไรของนาย” แองจี้ที่บังเอิญได้ยินเข้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เจ้าตัวแสบเฟรินถึงกับยิ้มกว้างพลางถูฝามือ

    “คนเยอะๆแบบนี้เหมาะจริงๆสำหรับอาชีพอย่างฉัน”

                โป๊ก!

    “โอ้ย! ยัยแองจี้ จู่ๆก็ฟาดมาได้ ร่มบ้าบอของเธอน่ะ”

    “นายน่ะสิบ้าบอ สันดานขโมยน่ะเก็บๆไว้ซะหน่อยก็ไม่ตายหรอกน่า”

                เฟรินยิ้มแหยก่อนเดินเลี่ยงออกมาจากแองเจลิน่าก่อนไปซุบซิบสองคนกับคิล ฟีลมัส

     

    “ปู้นนน”

                เสียงฮอร์นดังขึ้นจากที่ไกลๆ ทันใดนั้นเองจากที่ทั้งถนนเต็มไปด้วยผู้คนหนาตา กลับแหวกทางให้เหลือเป็นช่องสำหรับม้าหนุ่มสามตัวที่กำลังวิ่งตรงมายังคณะเดินทางจากเอเดนเบิร์กอย่างรวดเร็ว

     “เจ้าชายยูริซิสแห่งบารามอสเสด็จ!!” ใครบางคนตะโกนขึ้น คิลจึงใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของเจ้าเพื่อนที่กำลังปั้นหน้าขม

    “เฮ้ยเฟริน ญาติแกมาว่ะ”

     *****************************************

    จากนักเขียน


    ประนบมือซ้ายขวา ก้มกราบแทบเท้าพสุธา หลั่งสายธารไหลนอง ***โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกก
    ขอโทษที่หายไปเกือบห้าเดือนค่าาา มาแล้วๆๆ ปล่อยให้รอซะจนรากงอกเชียว ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×