คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : มุ่งสู่บารามอส
เสียงหัวเราะลั่นดังมาจากเกวียนใหญ่ที่รั้งท้ายขบวนของคณะการแสดงแห่งโรงเรียนพระราชา ซึ่งเป็นเกวียนที่บรรทุกสมาชิกแห่งป้อมไหนนั้นคงไม่ต้องสงสัย และเสียงหัวเราะของใครดังที่สุดนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“เฟริน แล้วไอ้เด็กนั่นมันพูดว่าอะไรต่อวะ” เอ็ดเวิร์ดเอ่ยถามพร้อมกับพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ
“เด็กเอวิลนั่นก็พูดว่า ‘ถ้าอย่างนั้นก็จงกลายเป็นอนุสรณ์แห่งความอัปยศไปตลอดกาลละกัน’ จากนั้นเจ้าพวกนั้นก็ยืนนิ่งไม่กระดิกกระเดี้ยวและสักกะแอะ สงสัยมันจะกลัวฉันว่ะ” พูดจบก็ปล่อยเสียงก๊าก
“แล้วทำอีท่าไหนถึงได้ไปมีเรื่องกับพวกกุ๊ยข้างถนนแบบนั้นได้” โซโลถาม
“ก็แบบว่า...”
เจ้าอดีตหัวขโมยเริ่มออกอาการอึกอัก ยกมือขึ้นเกาแก้มพลางเสมองไปทางอื่น ก่อนเจ้านักฆ่าเพื่อนรักจะออกปากตอบให้
“จะอะไรซะอีกล่ะ ขโมยก็ยังเป็นขโมยอยู่วันยังค่ำ”
“เจ้าบ้า อย่าพูดเรื่องจริงสิฟะ” เฟรินแยกเขี้ยว “แหะๆ ฉันก็แค่ไปเดินชนพวกมัน ก็เลยได้ของติดได้ติดมือมานิดๆหน่อยๆน่ะ”
“สันดานขโมยจริงจริ๊ง~”
ครี้ดกระเซ้าพลางใช้เท้าเขี่ยเจ้าหัวขโมยเบาๆ เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆได้อย่างดี
โรที่นั่งเงียบอยู่นานผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนั่งข้างเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่กำลังคุมบังเหียนอยู่ด้านนอก
“นายคิดว่าไง” โรเอ่ยถาม
“เรื่องอะไร” เจ้าชายคาโลยังคงนั่งนิ่ง
“ก็รู้ๆกันอยู่ ฉันว่าเด็กนั่นน่าสนใจดีว่าไหม”
โรเปรยยิ้มพลางเหลือบตามองสีหน้าของคาโลที่ยังคงสงบเช่นเดิม ก่อนริมฝีปากเรียวของใบหน้ารูปสลักจะขยับ
“นั่นสิ เด็กปีหนึ่งไม่น่าจะรู้คำสาประดับที่จะทำให้คนมากกว่าสามคนกลายเป็นหินไปได้”
“อืม ก็คงใช่” โรยิ้ม “แถมไม่ต้องท่องคาถาอะไรเลยด้วย แต่ว่านะ ที่ว่าน่าสนใจมันมีมากกว่านั้นนะ”
คาโลถอนหายใจพรืด ก่อนหันมาจ้องนัยน์ตาสีเขียวใสซื่อที่แฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้
“นายอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“เด็กนี่มันร้ายใช่ย่อยนะ นายควรรู้ไว้ด้วย”
“... ฉันรู้แค่ว่าเด็กนี่ชื่อ เอวิล เป็นคนที่ฉันไม่รู้ว่าที่จริงคิดอะไรอยู่กันแน่ และ ‘มาจากทริสทอร์เหมือนกับนาย’ ก็พอแล้ว”
ริมฝีปากกระตุกยิ้มรับนัยน์ตาสีฟ้ากร้าวที่จ้องมายังเขา นับวันยิ่งได้รู้ว่าเจ้าชายคาโลมีฝีปากแก่กล้าขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าได้รับวิชาจากเจ้าตัวยุ่งคนนั้นรึเปล่า
เจ้าชายกำมะลอลุกยืนขึ้นยืนเท้าเอวแล้วก้มหน้าลงมองเจ้าชายอีกคนที่กำลังทำท่าทางไม่สนใจคำพูดของตน
“นั่นสิ ขนาดคนที่มาจากทริสทอร์เหมือนกันยังไม่รู้เลยว่าตัวจริงของหมอนั่นเป็นใคร แต่ฉันจะบอกเรื่องที่ฉันรู้ให้นายฟังก็แล้วกัน”
“ฉันไม่อยากรู้”
คำตอบไร้มิตรภาพของคาโลเล่นเอาคนยื่นข้อเสนอถึงกับยกมือเกาหัวแก้เก้อ
“คาโล นายอยากรู้แน่ เพราะเรื่องที่ฉันรู้ก็คือ นายมีคู่แข่งเพิ่มมาอีกคนแล้ว ระวังให้ดีล่ะ ยิ่งเจ้าหญิงของเรามนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศอยู่ด้วย”
“แต่ฉันว่าคนที่ฉันควรระวังน่าจะเป็นนายมากกว่า”
โรกระตุกยิ้มพลางมองไปยังเจ้าชายหนุ่มที่พูดโดยไม่หันมามองหน้าตน ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเกวียน
เอวิล เกรนเดล...
คาโลนึกชื่อเด็กชายประหลาดแห่งทริสทอร์
คณะการแสดงแห่งเอเดนเบิร์กเคลื่อนขบวนมาถึงบารามอสในเวลาใกล้ค่ำ สภาพการจราจรติดขัดไม่ต่างจากครั้งเมื่อเอเดนเบิร์กเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาเพื่อชมพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่ามีหรือที่บารามอสจะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไป (ยิ่งบ่จี๊อยู่) โดยปกติแล้วการเดินทางเข้าบารามอสไม่ต้องมีพิธีการหรือขั้นตอนอะไร แต่เมื่อเดินทางมาถึงกำแพงเมือง ทุกคนจะต้องจ่ายค่าผ่านทางคนละ 50 คราวน์ ซึ่งถ้าหากนับถึงจำนวนคนแล้ว บารามอสได้กำไรเหนาะๆโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
“อะไรฟะเนี่ย นี่ฉันเป็นเจ้าหญิงบารามอสนะเฟ้ย แล้วทำไมต้องจ่ายตังค์ค่าเข้าเมืองตัวเองด้วย!”
เฟรินโวยวายเสียงดังเมื่อเจ้าหน้าที่ดันมาเรียกเก็บเงินจากเขาซะได้
“คือมันเป็นกฎน่ะครับ ไม่ว่าพระราชวงศ์จากที่ไหนก็ต้องเสียค่าเข้าเมืองทั้งนั้น” เจ้าหน้าที่หนุ่มบอก
“ชิ บารามอสมันก็จนอย่างนี้ตลอดปีตลอดชาติสิว้า สงสัยต้องไปยื่นฎีกาบอกชามัลให้แก้ไขเรื่องเงินๆทองๆในประเทศก่อนเป็นอันดับแรกเลย”
เจ้าหัวขโมยยืนกอดอก ส่งเสียงจึ๊กจั๊กไม่พอใจก่อนหันไปหานักฆ่าเพื่อนรัก
“คิล เอาตังค์มายืมห้าสิบคราวน์สิ”
“แต่ฉันว่าให้ชามัลแก้ไขเรื่องปัญหาเงินทองกับนิสัยของแกก่อนดีกว่า” คิลกล่าวพลางส่งเงินให้เจ้าตัวแสบที่ยิ้มแยกเขี้ยวให้เป็นการขอบคุณ “อ้อ ชามัลต้องแกปัญหาเรื่องเบี้ยวเงินชาวบ้านของแกก่อนเป็นอันดับแรกเลย”
เสียงกระเซ้าของคิลเรียกเสียงฮาและปรบมือชอบใจจากคนในคณะได้เป็นอย่างดีไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายน้ำแข็งที่ยังแอบอมยิ้มกับเขาด้วย
ตึกรามบ้านช่องสองข้างทางถูกประดับตกแต่งด้วยธงประจำชาติของประเทศต่างๆ สองข้างทางเออัดไปด้วยผู้คนและร้านค้า เสียงร้องเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าดังปะปนไปกับเสียงพูดคุยจอแจ
“ทำเลเหมาะดีจริงๆ” จู่ๆเฟรินก็เปรยขึ้น
“เหมาะอะไรของนาย” แองจี้ที่บังเอิญได้ยินเข้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เจ้าตัวแสบเฟรินถึงกับยิ้มกว้างพลางถูฝามือ
“คนเยอะๆแบบนี้เหมาะจริงๆสำหรับอาชีพอย่างฉัน”
โป๊ก!
“โอ้ย! ยัยแองจี้ จู่ๆก็ฟาดมาได้ ร่มบ้าบอของเธอน่ะ”
“นายน่ะสิบ้าบอ สันดานขโมยน่ะเก็บๆไว้ซะหน่อยก็ไม่ตายหรอกน่า”
เฟรินยิ้มแหยก่อนเดินเลี่ยงออกมาจากแองเจลิน่าก่อนไปซุบซิบสองคนกับคิล ฟีลมัส
“ปู้นนน”
เสียงฮอร์นดังขึ้นจากที่ไกลๆ ทันใดนั้นเองจากที่ทั้งถนนเต็มไปด้วยผู้คนหนาตา กลับแหวกทางให้เหลือเป็นช่องสำหรับม้าหนุ่มสามตัวที่กำลังวิ่งตรงมายังคณะเดินทางจากเอเดนเบิร์กอย่างรวดเร็ว
“เจ้าชายยูริซิสแห่งบารามอสเสด็จ!!” ใครบางคนตะโกนขึ้น คิลจึงใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของเจ้าเพื่อนที่กำลังปั้นหน้าขม
“เฮ้ยเฟริน ญาติแกมาว่ะ”
*****************************************
จากนักเขียน
ประนบมือซ้ายขวา ก้มกราบแทบเท้าพสุธา หลั่งสายธารไหลนอง ***โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ขอโทษที่หายไปเกือบห้าเดือนค่าาา มาแล้วๆๆ ปล่อยให้รอซะจนรากงอกเชียว ^^
ความคิดเห็น