คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : chapter-4
หัวใจเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมา เสียงหวานดังข้างใบหูชวนจิตใจให้ล่องลอยหลงใหลไปกับเสียงนั้น ข้าหลับตาลงช้าๆ
“นี่เจ้าชื่อฟรีโอนีลใช่ไหม...เจ้า...มาที่นี่บ่อยไหม”ข้าไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมถึงได้ถูกอกถูกใจเด็กหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก ทั้งๆที่เด็กคนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากคนอื่นเลย มีเพียงดวงตาสีสวยคู่นั้นที่ดึงดูดให้ข้าอยากค้นพบถึงหัวใจของเด็กหนุ่มร่างบอบบางตรงหน้า
ฟรีโอนีลนั่งลงบนพื้นหญ้าตรงข้ามกับอัศวินผู้สูงศักดิ์ ดวงตาหลับพริ้มเงี่ยหูฟังเสียงหมู่มวลวิหคที่ส่งเสียงร้องไพเราะเจื้อยแจ้วจับใจ
“ท่านว่าเสียงนกในป่านี้เพราะหรือไม่ครับ”
ผู้สูงศักดิ์ขมวดคิ้วมุ่นเพราะคำถามที่ตนถามเอาไว้ไม่ได้รับคำตอบ แต่คนที่ตนเอ่ยปากถามกลับยิงคำถามแปลกๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยออกมา
“เสียงนกหรือ ไม่ว่าที่ไหนๆก็เสียงเหมือนกันหมดนั่นแหละ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าที่พนาวัลย์แห่งนี้เสียงจึงได้เพราะกว่าที่แห่งอื่นกันเล่า”
“เพราะสำหรับข้าแล้วมันเป็นสถานที่ ที่พิเศษสำหรับข้าครับ ป่าแห่งนี้เงียบสงบ เสียงลำธารเสียงวิหค ท่านไม่คิดว่าไพเราะหรืออย่างไรครับ”ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยนน่ารัก จนร่างสูงพลั้งเผลอลูบเรือนผมนิ่มสีเงินยวงอย่างเอ็นดู
“นั่นซินะ ไพเราะอย่างเจ้าว่าจริงๆด้วย แต่ที่ไพเราะคงจะเป็นเพราะนั่งฟังกับเจ้า”
“เอ๋ ..หมายถึงอะไรหรือขอรับ ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย”
“เจ้าเป็นลูกคนเดียวหรือ”พอได้ยินคำถาม เด็กหนุ่มก็ทำหน้าตกใจแล้วสลดลงไปแม้เพียงชั่ววูบแต่มีหรือที่จะรอดสายตาของคนที่ฝึกฝนมาอย่างดีได้
“ข้าเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงครับ ถ้าถูกเก็บมาพร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง”แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะแห้งๆก็ไม่ได้ช่วยกลบเกลื่อได้เลย
“อย่างนั้นหรอ....ข้าคงถามอะไรไม่ดีออกไปขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าไม่ได้คิดมากซักหน่อย เอ่อ...ข้าต้องขอตัวก่อนนะครับข้าต้องรับกลับไปทำอาหารวันนี้เป็นเวรของข้าด้วย”ร่างบางพยุงตัวลุกขึ้นยืน มือปัดกางเกงที่มีใบหญ้าติดมาออกจนหมด ฟรีโอนีลหันหลังตั้งท่าจะเดินกลับ
“จริงซิ”ร่างบางหันหลังกลับไปมองอัศวินแห่งแสงอีกครั้งก่อนยิ้มหวานและเอ่ยว่า
“ข้ามาที่นี่ทุกวันแหละครับ ถ้าท่านอย่างจะเจอข้าอีกก็มาได้นะครับ”ว่าจบก็เดินจากไปทิ้งให้บุรุษที่เคยมีหัวใจแข็งแกร่งราวหินผา เยือกเย็นราวน้ำแข็ง อดอมยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้
“ฟรีโอนีลหรือ น่าสนใจเสียจริง”ร่างแกร่งลุกขึ้นยืนเก็บดาบที่วางอยู่ข้างกายมาเหน็บไว้ที่เอวก่อนเดินออกจากป่าไผ่ไป
............................
..................
.....วันต่อมาในราชวังแห่งอาณาจักรฟินน์
“อัญขยม(ข้าพเจ้า)มีเรื่องจะมาบอก ท่านหญิงฮิลด้า”เสียงของบุรุษผมสีส้ม สวมหมวก มีร่างเตี้ยอัปลักษณ์เอ่ย มบหน้ากรุ่มกริ่ม
“มีอะไรรึโบเกน”สตรีผิวขาวสะอาดราวหิมะ เรือนผมเงางามสีทองยักศกสลวยเป็นประกายราวเส้นไหม ปอยผมด้านหน้าข้างใบหูถูกถักเป็นเปียเล็กๆสองข้าง ส่วนด้านหลังก็ถูกปล่อยยาวสยาย ร่างเพรียวระหงในชุดสีฟ้าอ่อน ผ่าข้างนั่งไขว้ห้างบนบัลลังก์ ดวงตาสีมรกตจ้องมองร่างอัปลักษณ์เบื้องหน้า
“ข้าได้ข่าวมาเรื่องการทรยศของขุนนางหลายคนขอรับ”
“แล้วทราบไหมว่าใครบ้าง”เรียวขางามขยับเล็กน้อยราวกับรังเกียจบุคคลตรงหน้า ถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นขุนนางที่รับใช้ราชอาณาจักรมาช้านานแต่ไม่ได้หมายความว่า หล่อนจะชอบใจเขาเท่าใดนัก เพราะท่าทางและการกระทำไม่ได้สร้างความไว้วางใจจากนางเลยแม้เพียงนิด
“ทราบขอรับแต่ว่า......จะให้ทูลฝ่าบาทตรงนี้ก็คงไม่ดีเท่าไร อัญขยมว่าเราสองไปคุยกันทีหลังที่ห้องของฝ่าบาทดีไหมครับ”
ชิ้ง...เสียงคมดาบกระทบตรายศเงินบนบ่า ใบหน้าอัปลัษณ์หันหลังกลับไปมองเจ้าของคมดาบ ริมฝีปากหนาเผยอขึ้นเตรียมพร้อมก่นด่าผู้ที่บังอาจกระทำการเช่นนี้
“แก......”พริบตาที่เห็นใบหน้าของเจ้าของคมดาบดวงตาของขุนนางชั้นสูงก็เบิงโพลงด้วยความตกใจบุรุษหนุ่มที่เอาดาบจ่อคอของตน
... สก็อต เจ้าชายของราชอาณาจักรใหญ่คาชูอันคู่ตุนาหงันขององค์หญิงฮิลด้า
“สงบปากสงบคำหน่อยก็ดีนะโบเกน มิอย่างนั้นข้าอาจเอาคอของเจ้ามาทดลองความคมของดาบข้า”พระราศีดูดีแย้มยิ้มพระโอษฐ์ยียวน
“อัญขยมว่าอย่าเลยดีกว่าขอรับ” ข้า.....ต้องขออภัยโทษจริงๆนะขอรับ”
“งั้นหรือ หมดสนุกเลยนะ
จริงไหมกอร์ดอน”ว่าก่อนหันหลังหลับไปทอดพระเนตรพระอนุชาของตน
“ ข้าว่าพอเถอะครับท่านพี่ ...สงสารเขาออก”สุรเสียงของเจ้าของพระนามดังมาจากด้านหลัง
ขุนนางสูงศักดิ์เพ่งพินิจราชบุตรแห่งราชอาณาจักคาชูอันแต่หัวจรดเท้า โดยไม่ลืมส่งสายตาเหยียดหยามให้ผู้บังอาจเอาดาบจ่อคอตนเอง
“ไอ้สก็อตบังอาจมาทำข้า....”ดยุคแห่งราชชอาณาจักรสบถอุบ ก่อนมองเจ้าของดายอีกครั้ง พระเชษฐาผู้องอาจ ผิวขาวสะอาดราวหิมะพระพักต์คมคายติดดุ แสดงถึงอำนาจอันน่าเกรงขาม แต่ทว่าแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ดวงพระเนตรสีน้ำตาลทอง พระเกศาสีทองถูกมัดรวบไว้ที่ท้ายทอย ร่างกายแม้ไม่กำยำแต่ก็แข็งแกร่ง ความองอาจน่าเกรงขามสมที่เป็นราชบุตรพระองค์โต
ส่วนกอร์ดอนผู้เป็นอนุชามีสมันญานามว่า องค์ชายขี้แย สองราชบุตรผู้มีรูปลักษณ์ที่ไม่แตกต่างมีเพียงดวงพระเนตรสีน้ำเงินเข้มราวมหาสมุทรแลดูลึกลับ กอร์ดอนนั้นถึงแม้ไม่มีความน่าเกรงขาม ความน่าเคารพแต่ก็มีความอ่อนโยนที่ไม่เป็นรองใครนับว่าเป็นเสน่ห์ของตัวเขาเลยทีเดียว
สองราชบุตรผู้เป็นความภูมิใจของราชาวงศ์ ถึงแม้ว่าจะมีนิสัยแตกต่างกันมากก็ตาม
“ข้ามาถึงแล้วขอรับองค์หญิงฮิลด้า”
“ข้าไปถึงไหนแล้วล่ะสก็อต”สุรเสียงหวานของผู้สืบทอดราชบัลลังก์ตรัสถาม
“ก็พอตัวเลย แล้วก็เจ้าไม่ต้องสุภาพกันข้านักก็ได้ เพราะอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันอยู่แล้วไม่ต้องเกรงใจหรอก”ตรัสพลางแย้มพระโอษฐ์หวาน
ไอ้ตัวน่ารังเกียจ ...มีดีเพียงเพราะเป็นเจ้าชายเท่านั้นแหละ น่าหนั่นไส้ชะมักฃดผิวขาวราวบันเฑาะของเอ็งทุเรศน์ไม่มีซะละ
“แล้วจะให้ข้ารายงานเลยไหมหรือว่าจะให้ข้า....”
“ไปบอกข้าที่ห้องทำงานดีกว่า ข้าไม่อยากให้คนที่โดนสงสัยไหวตัวทัน”
“ทราบแล้วขอรับองค์หญิง นี่กอร์ดอนมัวยืนทำอะไรอยู่เจ้านี่น้าไม่สมเป็นน้องของข้าเลย”พระเชษฐาหยอกพระอนุชาของตน
“ครับพี่....”กอร์ดอนเบ้พระโอฐษ์ราวกันจะกันแสง
“เจ้านี่น้า.....จะร้องไห้อยู่เรื่อยเลย”ผู้เป็นพี่ถอนหายใจเฮือกโตด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจว่าเพราะเหตุใดน้องชายของตนจึงได้เป็นอย่างนั้น หรือว่าเพราะตนเองนั้นรักและเป็นห่วงน้องชายจึงมักชอบที่จะตามใจน้องชายสุดที่รักมากเกินไปจนเสียคน
แต่คงด้วยเพราะนิสัยที่อ่อนโยน และไม่ถือตัวจึงทำให้มีคนรักใคร่ แต่ถ้าไร้ความน่าเกรงขามก็เป็นกษัตริย์ไม่ได้
น่าเสียดายเขาคิดอย่างนั้นเสมอ ว่าทำไมคนที่มีความอ่อนโยนเป็นอาวุธและเป็นที่รักใคร่ของใครต่อใครเป็นผู้นำประเทศไม่ได้ เพราะพระชฃราชบิดาบอกว่าแค่นั้นมันน้อยเกินไป น้อยเกินไปที่จะศูนย์รวมจิตใจ น้อยไปที่เป็นผู้นำ เพราะกอร์ดอนใจอ่อนงั้นหรือ แต่สำหรับตัวเขาแล้ว เขาก็อดที่จะอิจฉาความอ่อนโยนที่ไม่สามารถเลียนแบบของน้องชายตนเอง เสน่ห์ของความอ่อนโยน กับเสน่ห์ของความองอาจ เราสองคนจึงต้องอยู่คู่กันเพื่อเสริมในส่งทีขาดของกันและกัน
“ข้าขอเชิญท่านทั้งสองไปที่ห้องทำงานก่อนเลยนะคะ”ร่างงามระหงลุกขึ้นจากบังลังก์ และเดินนำไปยังห้องทรงงาน
ความคิดเห็น