คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : น้องรัก
รัชศกเซียนเทียนที่สาม เดือนสองปีจอ วันที่สิบเจ็ด
หลังจากเทียวไปเทียวมาระหว่างจวนนอกเมืองของสกุลหมิงจนเหนื่อยล้าร่างกายมากโข จึงขออาจเอื้อมให้พระบิดาออกราชโองการรับสั่งให้ท่านอาจารย์พาครอบครัวย้ายกลับเข้าจวนในเมืองหลวงเพื่อสะดวกต่อการปรึกษาหารือราชกิจ กล่าวตามจริงเหล่านั้นล้วนเป็นข้ออ้างทั้งสิ้น ด้วยว่าแม้นอกเมืองจะมิได้ห่างไกลเท่าใด ควบม้ามิต้องพักสักหนึ่งวันหนึ่งคืนย่อมไปถึง ทว่าไปกลับเช่นนั้นหลายคราเข้าให้รู้สึกมิสะดวกเอาเสียเลย
กอรปกับครานี้สหายรักยกทัพกลับมาประจำยังเมืองหลวง หากต้องลากพาเจ้าคนไร้ความสำราญในชีวิตไปไหนมาไหนคงมิอาจไปพบกับดรุณีน้อยที่พักนี้มาวิ่งเล่นในห้วงความคิดอยู่บ่อยครั้งได้อย่างที่ควร ไตร่ตรองดีแล้วจึงต้องพึ่งพาราชโองการลากขาพยัคฆ์เฒ่ากลับเข้าสนามรบ
วันนี้จึงได้ฤกษ์ดีเป็นผู้แทนพระองค์นำของกำนัลทั้งหลายมามอบให้ท่านอาจารย์ถึงจวน รวมทั้งขนมมากมายที่น้องน้อยเคยกล่าวว่าอยากลิ้มลองด้วยอีกไม่มากไม่น้อย คงพอประทังความต้องการของนางได้สักเดือนหนึ่งพอดิบพอดี แม้จะได้รับสายตาใส่ร้ายป้ายสีจากท่านอาจารย์ยังนับว่าคุ้มค่า ยิ่งได้เห็นร่างเล็กๆวิ่งเข้าหาท่าทางดีอกดีใจยิ่งปลื้มปริ่ม
“ถวายพระพร....”
“พี่กล่าวว่าให้เรียกว่าอย่างไร” เห็นนางทำท่าจะถวายความเคารพเต็มพิธีการจึงเอ่ยขัด เพิ่มเสียงตำหนิแกมน้อยใจอีกนิดนับว่าใช้ได้
“คิดถึงท่านพี่เจ้าค่ะ” หมิงเลี่ยงหรูกอดแขนออดอ้อนพี่ชายบุญธรรมที่ใช้แผนชายงามบังคับกรีดเลือดสาบานจนกลายเป็นสามพี่น้องร่วมสาบานไปแล้ว นางส่งยิ้มให้เขาคราหนึ่ง นึกตลกโชคชะตาที่ชีวิตนี้ของนางดีงามจนแทบจะลืมเลือนชีวิตก่อนแสนบัดซบไปเสียสิ้น
“คารวะพี่ใหญ่”
สาวน้อยหันมองพี่ชายร่วมสายเลือดที่ประสานมือค้อมศีรษะอย่างรู้งานจึงพองแก้มกลมน่าหยิก เหตุใดพี่ชายจึงราวกับนกรู้เช่นนี้แล้วปล่อยให้นางต้องง้องอนพี่ใหญ่คนเดียวเล่า
“เป็นอย่างไรบ้างน้องรัก” เว่ยชงหยวนหลุบตามองแก้มป่องเย้ายวนให้เอานิ้วไปจิ้มอย่างหักห้ามใจ เสแสร้งทักทายเรียกคนว่าน้องรักจนเด็กสาวเอาหัวซุกซบแขนเขาออดอ้อนเสียงอ่อนหวานน่าฟัง
“พี่ใหญ่ไม่โกรธน้องนะเจ้าคะ น้องเพียงเห็นว่าอยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่ไหนเลยละเลยธรรมเนียมได้” นางถูแก้มนุ่มเข้ากับผ้าเนื้อนิ่ม พี่ใหญ่สูงศักดิ์ผู้นี้ชอบให้นางออดอ้อนกว่าผู้ใด ถูไปนานเข้าให้เพลิดเพลินนัก
“นะเจ้าคะ หายโกรธน้องนะเจ้าคะ”
“เจ้าเล่ห์นัก” ปลายนิ้วเรียวเสลายกบีบจมูกน้องน้อยไปทีหนึ่งให้นางแสร้งร้องโอดโอย เห็นแม่ตัวดีทำหน้าทะเล้นหัวเราะเริงร่าได้แล้วจึงออกปากชักชวน
“จัดของเสร็จแล้วหรือไม่ ร้านที่เคยบอกไว้พี่ให้คนไปจับจองแล้ว”
“เรียบร้อยเจ้าค่ะ ใช่ไหมเจ้าคะพี่รอง” คนอยากไปลิ้มลองอาหารโอชารสที่ผู้สูงศักดิ์เคยบอกเล่าไว้จนน้ำลายหยดรีบหันไปหาพี่ใหญ่ซึ่งบัดนี้กลายเป็นพี่รองไปแล้ว ได้แต่จับเอาตำแหน่งพี่ใหญ่ใส่พานทองยกขึ้นเหนือหัวคลานเข่าเข้าไปถวายแด่องค์รัชทายาทที่ปรารถนาตำแหน่งนั้นมากที่สุด
“พี่กล่าวสิ่งอื่นได้ด้วยหรือ?” หมิงเลี่ยงหรงอดหยอกล้อน้องน้อยมิได้ ผ่านมาเป็นเดือน นอกจากนางจะร่าเริงมากขึ้น ยังคงเจ้าเล่ห์แสนกลมากขึ้นเช่นกัน ทั้งยังเสาะแสวงหาอาหารรสชาติล้ำลึกจากองค์รัชทายาทมาลิ้มลองจนอิ่มหนำ
“เช่นนั้น...”
เห็นน้องสาวมองมาดวงตาเปล่งประกายน่าเอ็นดูจึงได้แต่โคลงศีรษะ
“เช่นนั้นพี่รองจะไปขอท่านตาให้เอง”
“รักพี่รองที่สุดเลยเจ้าค่ะ” ร่างเล็กผละจากแขนเสื้อเนื้อดีพุ่งตรงเข้ากอดพี่ชายร่วมสายเลือดเต็มแรง หัวเราะคิกคักซุกไซ้ใบหน้าออดอ้อนจึงปล่อยให้พี่ชายไปขออนุญาตตามคำกล่าว
อืม...นางว่าพี่รองของนางดูมีกล้ามเนื้อมากขึ้นหรือไม่
นี่นางมิได้กินเต้าหู้พี่ชายนะ เพียงแต่มันสัมผัสได้จริงๆ!
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงท่านตาบ่นลอยออกมาพร้อมด้วยพี่รองที่ส่ายหน้าระอายามเห็นพี่ใหญ่หัวเราะร่าอารมณ์ดี “ท่านตาให้แค่สองชั่วยามเท่านั้น กลับมาแล้วเจ้ายังต้องไปเรียนดีดพิณกับท่านแม่”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
เวลาสองชั่วยามนางคงได้ลิ้มลองจนมากโข กลับมาดีดพิณหรือ นั่นยิ่งดี ชีวิตก่อนมารดามิทันได้สั่งสอนอันใดกลับต้องตรอมตรมไม่เป็นอันทำสิ่งใด สุดท้ายจึงถูกพรากเอาไปกระทั่งชีวิต มาชีวิตนี้ต่อให้เป็นหมากล้อม วาดภาพ บทกลอนหรือเพลงดาบนางล้วนไม่เกี่ยง ขอเพียงได้อยู่กับมารดาและครอบครัวย่อมพอใจแล้ว
“ไปกันเถิด”
องค์รัชทายาทเดินนำออกไปเป็นพระองค์แรก แม้ใจอยากจะจับจูงน้องสาว หากแต่ผู้อื่นย่อมมองนางมิดี จะอย่างไรก็มิมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องสาบานพี่น้อง หากผู้อื่นทราบย่อมนำภัยมาหาพวกเขาแน่แท้ จึงได้แต่ปล่อยให้นางเดินเคียงกับพี่ชายของนางมาดังที่ควรเป็น
เหลาอาหารปลายยามอู่คนยังคงแน่นขนัด ทว่ากลับสงบพอสมควร นับว่าผู้คนที่แวะเวียนมาต่างรู้มารยาทที่พึงปฏิบัติและอาจกล่าวได้ว่าผู้คนที่เข้ามารับประทานอาหารล้วนแล้วแต่พอมารยาทผู้ดีมาด้วยทั้งสิ้น
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นองค์รัชทายาทก้าวเข้าเขตร้านจึงรีบถลาร่างเข้ามาต้อนรับอย่างนอบน้อม ทว่าสายตายังลอบจับจ้องคุณชายกับคุณหนูที่ติดสอยห้อยตามมาอย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยว่าผู้ร่วมโต๊ะขององค์รัชทายาทล้วนแล้วแต่เป็นพระสหายสนิทไม่ก็เหล่าขุนนางทั้งสิ้น หากแต่คุณชายและคุณหนูสองท่านนี้เขาเพิ่งเคยพบ แม้สงสัยอย่างไรก็ยังคงเชื้อเชิญผู้สูงศักดิ์ไปยังชั้นสองที่จับจองไว้ ตอบรับอย่าลื่นไหลไม่มีข้อบกพร่องแล้วจึงออกไปเร่งห้องครัว
“เป็นอย่างไร ถูกใจหรือไม่” เว่ยชงหยวนเห็นน้องสาวจิบชาหลับตาพริ้มจึงอดมิได้ที่จะหยิกแก้มนางทีหนึ่ง
“ท่านรังแกนางยามนี้ไป นางก็มิรู้สึกอันใดหรอกขอรับ” เห็นน้องน้อยยังละเลียดชิมชามิสนว่าแก้มตนจะถูกรังแกอย่างไรจึงตอบกลั้วเสียงหัวเราะ เรียกใบหน้าบึ้งตึงจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากผู้สูงศักดิ์ที่ประทับอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เช่นกัน
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น” เมื่อเจ้าของแก้มยังคงมิรู้สึกอันใดจึงเอ่ยเย้าอีกหนึ่งคำรบ “ตัวตะกละน้อย”
“น้องมิใช่ตัวตะกละนะเจ้าคะ”
หมิงเลี่ยงหรูให้รู้สึกคล้ายโดนดูถูก จะว่ากล่าวนางได้อย่างไร ในเมื่ออาหารโอชารสเหล่านี้ใช่ว่าตัวนางในชีวิตก่อนจะมีโอกาสลิ้มรส แม้แต่งให้คนใจดำผู้นั้น แต่กลับมิได้อยู่ดีมีสุขอย่างที่ควร เขาแทบจะเก็บนางไว้แต่ในจวนด้วยซ้ำ
ทว่าเสียงหัวเราะราวกับนางกล่าวเรื่องขบขันมากออกไปกลับยังดังอยู่ ทั้งพี่ชายทั้งสองยังพากันเปลี่ยนบทสนทนาเป็นความรู้เล่ห์กลศึกโดยมิคิดว่าดรุณีน้อยเช่นนางสมควรฟังหรือไม่ เหตุใดจึงไม่สนทนาเรื่องอาหารเลิศรส เงินตำลึงหรือตั๋วเงินเป็นปึกบ้างเล่า เช่นนั้นแล้วนางจึงค่อยละความสนใจที่จะรอคอยอาหารไปร่วมสนทนากับพวกเขาได้บ้าง
เสียงจอแจด้านนอกที่จู่ๆก็เงียบหายก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้องค์รัชทายาทเว่ยชงหยวนกวาดสายตามองยังนอกหน้าต่างลงสู่ถนนด้านล่าง รอยยิ้มพึงพอใจระคนสนุกสนานจึงแต่งแต้มริมฝีปาก
“น้องรัก ลองชมทิวทัศน์ด้านนอกหน่อยดีหรือไม่”
เมื่อถูกชักชวนด้วยน้ำเสียงน่าสงสัย นางจึงตวัดสายตามองเบื้องล่าง เห็นรถม้าหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าต่างของเหลาอาหารพอดิบพอดี สังเกตสัญลักษณ์ข้างรถม้าจึงทราบว่าเป็นของสกุลเหวิน เช่นนั้นคงเดาได้มิยากว่าผู้ที่อยู่ด้านในคือผู้ใด
“นางเดินทางช้านัก” หมิงเลี่ยงหรงคล้ายพึมพำกับตนเอง ทราบหลังจากหายป่วยไข้ว่าท่านตากระทำสิ่งใดลงไปบ้างจึงได้แต่ปรบมือหัวเราะชอบใจ เงินตำลึงและตั๋วเงินแทบล้นท่วมเตียงของนาง นับว่าท่านตามีความสามารถในการรังแกคนสูงล้ำ
“พวกเขาล้วนกล่าวว่านางเพิ่งหายดี” เห็นน้องน้อยมิมีทีท่าจะสนใจอีกจึงชักชวนให้ดูงิ้วโรงย่อม “ขอทานผู้นั้นช่างโผล่มาได้เหมาะเจาะเสียงจริง”
หมิงเลี่ยงหรูละสายตาจากรถม้ามาจับจ้องยังถ้วยชาของตน เมื่อครู่คล้ายจะเห็นมือขาวยื่นออกมาจากรถม้าพร้อมกับถุงเงิน คนจะจากไปบวชชีสำนึกตนยังมิวายสร้างเรื่องหวังล้างอาย มิเกรงว่าจะนำบาปไปแปดเปื้อนวัดหรืออย่างไร
“นับว่าเป็นบุญของขอทานคนนั้นนะเจ้าคะ” นอกจากจะได้กุศลช่วยล้างภาพตกต่ำของคุณหนูสกุลเหวินแล้ว ยังได้เงินทองมากมายเป็นแน่ นับว่าโชคเข้าข้างเสียจริง
“จะเป็นบุญแน่หรือ น้องอาจมิรู้ แต่ขอทานในเมืองหลวงนั้นมีน้อยนัก ต้องมีวาสนาจึงจะได้พบ” เป็นเพราะพระบิดาใส่ใจประชาราษฎร์ แผ่นดินจึงสงบสุข ประชาชนมีอยู่มีกิน ยามค่ำคืนล้วนนอนหลับสบายใจ
“เช่นนั้นนับว่าเป็นวาสนาของหลายคนทีเดียว”
นั่นนับรวมอดีตน้องสาวที่รักของนางด้วย!
ที่ด้านล่าง ในรถม้าที่ยังจอดขวางทางด้วยว่าสตรีที่ยื่นมืออกมายังได้กล่าวกับขอทานผู้น่าสงสารอีกหลายประโยค ทุกถ้อยคำล้วนแสดงความเห็นอกเห็นใจ ชี้แนะถึงหนทางใช้ชีวิตที่มิต้องเป็นขอทาน แสดงถึงสติปัญญาและความมีน้ำใจทั้งสิ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินต่างทราบทันทีว่าเป็นคุณหนูสกุลเหวิน และย่อมต้องเป็นเหวินลู่หลินที่บัดนี้ได้เป็นบุตรีหนึ่งเดียวของอาลักษณ์เหวิน
สตรีที่ผู้คนเริ่มลืมเลือนสิ่งที่นางกระทำไปบางส่วนแล้ว หากเมื่อพบเห็นจึงพากับนึกย้อนสิ่งที่นางได้กระทำ ทั้งความดีความเลวปะปนจนยากแยกแยะ
“คุณหนูเหวินช่างมีน้ำใจ”
เมื่อมีผู้คนชื่นชมย่อมมีผู้คนเอ่ยตำหนิ
“แต่ข้าได้ยินมาว่านางขโมยของของพี่สาว มิใช่ว่าเงินนั่นก็ของพี่สาวนางหรือ”
“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้นางชดใช้แก่พี่สาวของนางแล้ว นั่นย่อมต้องเป็นเงินของนางแน่” ชาวบ้านอีกคนออกความเห็น เขามีท่าทีจริงจัง “นางคงกลับใจแล้ว เราควรให้โอกาส อย่าว่าร้ายนางเลย”
“ใช่ๆ นางเป็นเพียงเด็กสาวเท่านั้น” สตรีสูงวัยอีกคนรีบร้องรับ ผิดกับพ่อค้าข้างทางที่ส่ายหัวราวกับมิเห็นด้วย
“ขนาดเป็นเพียงเด็กสาวยังร้ายกาจเพียงนี้ หากนางเติบใหญ่จะมิยิ่งร้ายกาจหรือ”
“อั้ยหยา ตาเฒ่านี่ เหตุใดจึงมิรู้จักเปิดใจให้อภัยผู้อื่นบ้างเล่า” ชาวบ้านอีกคนรีบเอ่ยแย้ง “คนเราล้วนทำผิดพลาดเป็นธรรมดา นางได้รับกรรมของนางแล้ว เราย่อมมิควรซ้ำเติมนาง”
“พี่ชายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ถึงนางจะทำผิดไปบ้าง แต่นางก็เคยช่วยเหลือผู้อื่นไว้ไม่น้อยใช่หรือไม่”
เหวินลู่หลินที่นั่งอยู่ในรถม้าได้แต่หอบหายใจหน้าแดงก่ำโดยมีสาวใช้คอยบีบนวดให้คลายโทสะ นางแสนแค้น เคืองแสนเคือง เหตุใดชื่อเสียงที่สั่งสมมาจึงถูกผู้อื่นลืมเลือนง่ายดายเพียงเรื่องฉาวโฉ่เน่าเหม็นเรื่องเดียว หากนางมิรอบคอบพอที่จะหาคนมาคอยปลุกปั่นให้ชาวบ้านเห็นถึงความดีของนางบ้าง คาดว่าแม้ออกนอกเมืองหลวงไปแล้วคงยังถูกนินทาว่าร้ายจนแผ่นหลังอาบเลือดเป็นแน่
“อดทนไว้หลินเอ๋อร์” ฮูหยินรองสกุลเหวินที่สามีมิยอมเลื่อนให้นางขึ้นมาเป็นใหญ่ได้แต่ลูบหลังมือบุตรสาวเพื่อปลอบประโลม นางชิงชังนัก ทั้งแม่ทั้งลูกล้วนทำให้พวกนางต้องตกต่ำ
“มันจะช่วยให้ชื่อเสียงของข้ามิมัวหมองไปมากกว่านี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เด็กสาวได้แต่กัดฟันถามมารดา นางกลัวว่าชื่อเสียงที่เสื่อมเสียไปแล้วจะทำให้ท่านแม่ทัพรังเกียจนาง
ใช่แล้ว!
นางได้ข่าวว่าเอกบุรุษที่นางปักใจเดินทางกลับสู่เมืองหลวง นางจึงใช้ช่วงเวลาเดินทางรับโทษนี้กอบกู้ชื่อเสียงบางส่วน มิว่าเขาจะได้ยินเรื่องที่นังแพศยานั่นใส่ร้ายนางหรือไม่ อย่างไรเขาย่อมต้องได้ข่าวที่นางมีเมตตานี้อย่างแน่นอน
“มันช่วยลูกได้แน่ แต่ตอนนี้เราต้องไปกันแล้ว” วังลี่หลินปรายตามองสาวใช้คนสนิทที่ชะโงกหน้าออกไปบอกคนขับรถม้าอย่างรู้ความ หนี้แค้นและความอับอายนี้นางจดไว้ในใจ รอเวลาให้ผู้คนลืมเลือนก่อนเถิด นางจะเหยียบพวกมันให้จมดิน
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปจนไกลสุดสายตา เช่นเดียวกับขอทานผู้นั้นที่กอดถุงเงินแน่นแล้วหลบลี้เข้าซอกหลืบ ผู้ชมต่างหมดความสนใจแยกย้ายทำงานตนเองตามปกติ เหลือเพียงดวงตาคู่งามที่ยังทอดมองถนน
ใจของนางบีบรัด แม้ทำตนดังเช่นดรุณีมิพ้นวัยปักปิ่น ร่าเริงสดใสให้มารดาสบายใจแล้วอย่างไร หากใจดวงนี้ยังคงเคียดแค้นพวกมัน มิอาจปล่อยวางได้แม้สักครา เสียงตะโกนดังก้องในกายนาง
เพียงเท่านี้ยังมิพอ!
ต้องให้พวกมันเจ็บช้ำทั้งกายใจดังที่มารดาและนางต้องเจ็บ!
ให้มันใช้หนี้เลือดด้วยชีวิตพวกมัน!
ชีวิตก่อนมารดาต้องตายด้วยน้ำมือบิดา
มิใช่
ต้องกล่าวว่าตายด้วยน้ำมือของเหวินลู่ซือและวังลี่หลิน สามีภรรยาผีเน่ากับโลงผุ เช่นนั้นเมื่อนางยังหายใจ พวกมันต้องชดใช้ให้มารดาด้วยชีวิตเช่นกัน!
หมิงเลี่ยงหรูหลุบตาซ่อนความคิด กลบกลิ่นอายอาฆาตด้วยกลิ่นชาหอมกรุ่น ให้รสชาติขมปร่าที่ปลายลิ้นช่วยดึงรั้งสติ กล้ำกลืนความปวดร้าวในอกซุกซ่อนลึกสุดใจ จะปล่อยให้ความปรารถนาแก้แค้นแรงกล้ามาทำลายความสุขที่นางต้องกอบโกยในยามนี้มิได้
สัมผัสอบอุ่นที่ศีรษะทำให้นางต้องเปิดเปลือกตามอง ปลายแขนเสื้อสีน้ำเงินเข้มปรากฏสู่สายตา ไล่สายตาขึ้นไปจึงเห็นรอยยิ้มน้อยๆแต่งแต้มบนใบหน้าเอื้ออารีของพี่รองที่มักตีสีหน้านิ่งเฉยมิสนใจสิ่งใดอยู่บ่อยครั้ง แววตาคู่นั้นส่งความรักโอบอ้อมมาให้ ทั้งส่งกำลังใจให้นางมากล้น ศีรษะเล็กเอนให้พี่ชายลูบปลอบใจถนัดถนี่ ใจพลันนึกคิด หากนางให้พี่ชายทั้งสองโอบประคองไว้จะดีหรือไม่ มิต้องปิดบังซ่อนเร้นความปรารถนา
นางอยากเป็นดวงใจกลางฝ่ามือของพวกเขา มิอยากถูกทอดทิ้งให้เศร้าหมองอีกแล้ว
“หรูเอ๋อร์คนดี หากมันทำให้น้องทำหน้าเช่นนี้ให้พี่ใหญ่ผู้นี้ช่วยเจ้าดีหรือไม่” แม้มิได้ร่วมสายเลือด หากแต่เอ็นดูรักใคร่ยิ่งนัก เมื่อเห็นน้องน้อยทำสีหน้าปวดร้าวเกินทนจึงพานรู้สึกปวดหนึบกลางอกไปด้วย เว่ยชงหยวนอยากให้พระบิดาลงโทษสกุลเหวินให้หนักกว่านี้เสียแล้ว
หรือเขาควรใส่ไคล้อีกนิดว่าท่านน้าคนงามเศร้าหมองต้องร่ำไห้ถึงสามชั่วยาม ยามทราบว่าหวีประดับที่พระบิดามอบให้นางเมื่อครั้งยังเยาว์ถูกขโมยไปขาย ทั้งที่นางเฝ้าทะนุถนอมมาเป็นสิบปี เพียงเท่านี้ย่อมทราบว่าคงต้องเสียโต๊ะทรงงานในห้องหนังสือสักหลายตัว และเหวินลู่ซือคงต้องเสียหัวของบุตรีให้ด้วยกระมัง
“มิต้องหรอกเจ้าค่ะ ในตอนนี้ยังมิต้อง...” หมิงเลี่ยงหรูแย้มรอยยิ้มให้พี่ใหญ่ซึ่งทำตัวเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ยิ่งให้แววตากร้าวแข็งคาดว่าผู้สูงศักดิ์ที่ชินกับการชี้เป็นสั่งตายคงตั้งใจกำจัดเหวินลู่หลินในคราเดียว เพียงแต่นางมิได้ต้องการให้ง่ายดายเพียงนั้น
จะให้ตายตกทั้งที่ยังมิได้ลิ้มรสความขมขื่นอย่างที่นางเคยได้รับหรือ จะยอมได้อย่างไร
“ให้น้องได้ตอบแทนพวกนางเองเถอะเจ้าค่ะ หากเกินกำลังน้องย่อมบอกพี่ใหญ่เป็นคนแรก ดังนั้นแล้วโปรดระงับโทสะเถิดนะเจ้าคะ” นางอดออดอ้อนมิได้เมื่อเห็นท่าทางมิใคร่พอใจนักขององค์รัชทายาทที่เคารพยิ่ง เหลือบตามองพี่รองยังเห็นเขาทอดมองมาด้วยความสนับสนุน
“พี่เองก็พร้อมช่วยเจ้าเสมอ” ทดแทนในสิ่งที่เขาเคยเกือบพลาดพลั้ง แม้เก่าก่อนเคยอยากให้นางลุกขึ้นต่อสู้เพื่อตนเอง หากแต่เมื่อเขาสามารถช่วยได้ยามนี้ย่อมยินดีช่วยเหลือสุดกำลัง แม้รู้ว่าวิธีการจะผิด หากผลลัพธ์นั้นถูกต้องย่อมสมควรใช้
สองสายตาสบประสาน ผู้สูงศักดิ์ที่ประทับนั่งฝั่งตรงข้ามคล้ายเห็นกลุ่มก้อนขมุกขมัวดูชั่วร้ายลอยวนรอบกายสองน้องร่วมสาบาน ทั้งยังเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่เคล้าคลอมาทำให้ขนอ่อนพาลลุกชันอย่างช่วยมิได้ หากเมื่อเสียงของเสี่ยวเอ้อร์ดังขึ้นจากด้านนอก คล้ายภาพเมื่อครู่จะเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะน้องน้อยที่น่าเอ็นดูจ้องอาหารตาเป็นประกายระยิบระยับน่าดูชม
ปลายตะเกียบของน้องน้อยค้างกลางอากาศราวกับจ้องหาโอกาสโจมตีเหล่าอาหารที่ทยอยวาง กระนั้นแล้วยังคงรอท่าทีจนเมื่อดวงตาสุกสกาวช้อนมองอย่างอ้อนวอนจึงมิอาจอดทนกลั่นแกล้งต่อไปได้ เขาจึงคีบเนื้อปลาหิมะสามรสเข้าปาก เพียงเปล่งเสียงในลำคอ ตะเกียบที่เคยเงื้อง่าดั่งทวนยาวจึงพุ่งเข้าใส่ปลาหิมะสามรสจานนั้นอย่างไร้ปราณี
เห็นแก้มขาวเปล่งสีชมพูระเรื่อ ทั้งยังริมฝีปากที่คล้ายจะโค้งขึ้นแม้ยังขยับเคี้ยวจนแก้มตุ่ยแล้วสุขใจนัก เพียงของอร่อยก็ทำให้คนที่เหมือนจมในห้วงแห่งความทุกข์กลับสุขได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังมิคิดรักษากิริยาแม้เพียงนิด ช่างเป็นดอกไม้ป่าดอกน้อยที่น่าทะนุถนอมอย่างยิ่ง
“อร่อยหรือไม่”
“อร่อยเจ้าค่ะ อร่อยเสียจนน้องอยากปรุงให้ได้เช่นนี้บ้าง” เด็กสาวว่าทั้งที่ยังหลับตาพริ้มลิ้มรสความหวานของเนื้อปลา ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางของตะเกียบเข้าโรมรันกับหมาโผโต้วฝุ[1]ที่รอคอยให้นางโจมตี
“หากน้องสามารถปรุงได้เลิศรสเช่นนี้ ท่านตา ท่านยาย ท่านลุง ท่านแม่ย่อมภูมิใจในตัวน้องเป็นแน่”
“ขนาดนั้นเชียว” เว่ยชงหยวนคล้ายได้ยินเรื่องขบขัน อาหารเหล่านี้ขอเพียงอยากทานเขาย่อมจัดหาให้ได้ไม่ยาก
“แน่นอนเจ้าค่ะ คิดแล้วเสียดายนัก หากเป็นไปได้น้องอยากลงครัวทำอาหารให้พวกท่านทานทุกวัน แน่นอนว่าต้องให้พี่ใหญ่ลิ้มลองด้วยเจ้าค่ะ”
สมองน้อยๆของนางจินตนาการภาพครอบครัวทานอาหารครึกครื้น อบอวลด้วยความหวานล้ำของความสุข ท่านยายและท่านแม่ได้ยิ้มภาคภูมิใจกับฝีมือของนาง ท่านตาได้ทานของบำรุงที่นางปรุงเอง ท่านลุงต้องกลับบ้านบ่อยขึ้นเพื่อรับสำรับ พี่รองมีขนมยามว่างอร่อยล้ำยามต้องอ่านหนังสือ และนางได้ทำให้พวกเขามีความสุข
ผิดกับสองบุรุษที่จินตนาการถึงอาหารมื้อสำคัญที่น้องน้อยลงครัวทำให้ครั้งล่าสุด แม้มิได้เลิศล้ำเท่าเหลาหรูหรืออาหารของห้องเครื่อง หากให้นางได้เรียนรู้ย่อมสามารถพัฒนาได้กว่านี้เป็นแน่
และที่สำคัญ!
พวกเขาจะได้ลิ้มลองอาหารของนางทุกวัน!
สองสายตาเลื่อนสบกันอย่างรู้ความนัย หมิงเลี่ยงหรงรีบขันอาสาเป็นคนแรก
“พี่จะช่วยน้องชิมทุกมื้อเอง ดีหรือไม่”
“พี่จะให้พ่อครัวที่วังไปสอนเจ้าเอง ดีหรือไม่” ยังคงเป็นเว่ยชงหยวนที่พร้อมตามใจอย่างที่สุด ในใจพลางหมายหัวพ่อครัวประจำวังที่เริ่มชราแต่ยังมิคิดหาศิษย์สืบทอดฝีมือ เห็นนางพยักหน้าท่าทางดีใจสุดประมาณ รอยยิ้มจึงยิ่งเกลื่อนบนใบหน้า
“เช่นนั้นแล้วอาหารที่เจ้าทำทุกอย่างต้องส่งมาให้พี่ชิมด้วยตนเองทุกครั้งนะน้องรัก”
[1] หมาโผโต้วฝุ หมายถึง เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน
ความคิดเห็น