ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ๕

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 48
      0
      28 มิ.ย. 54

     ตอนที่ ๕

     

             เมื่อเจียงหัมและชาวจิ๋นเห็นเช่นนั้นก็หวาดกลัวอาวุธพลัดตกจากมือยอมแพ้ต่อทัพของชาวไท   ฝ่ายสีหมอกก็เดินเข้าไปหาสีเมฆแลถามว่าเมื่อครู่พี่พบกับสร้อยทองใช่หรือไม่ พี่พูดอันใดกับนางบ้าง   สีเมฆตอบว่าข้าคิดถึงนางเหลือเกินน้องข้าวันนี้ข้ายินดียิ่งนักที่ข้าได้พบนางแลรู้ว่านางภูมิใจในสิ่งที่ข้าทำแล้วสีเมฆก็มิได้ว่าประการใด    เมื่อชนะทัพจิ๋นแล้วสีเภาจึงให้คนไปแจ้งข่าวให้กุมภวาและกำฮอดรู้   แลทัพไทก็ทำการบวงสรวงสักการะวิญญาณสร้อยทองแลเจ้าป่าเจ้าเขา  ณ  ริมน้ำโขงพอเสร็จพิธีจึงยกทัพกลับเข้าเมืองเชียงแส

     

                 เมื่อถึงเชียงแสสีเภาจึงนำชาวจิ๋นทั้งหมดขังคุกไว้      รอคำตัดสินจากที่ประชุมชาวเชียงแสว่าจะลงโทษเช่นใด    พะสินและผาเมืองจึงว่าข้าสองคนจะลากลับเมืองแล้วขอให้พวกสูจัดการกับแคว้นของสูกันเองเถิดเจียงหัมนั้นหยาบช้าต่อชาวเชียงแสมามากนัก      กุมภวาจึงบอกกับทั้งสองคนว่าเมื่อสูถึงแคว้นของพวกสูนั้นจงอย่านิ่งนอนใจ  จงกะเกณฑ์ทหารฝึกฝนการต่อสู้ให้ชำนาญ   กักตุนเสบียงให้มาก   แลให้ประกาศไปว่าเราสามแคว้นนั้นมิได้ขึ้นต่อจิ๋นอีกต่อไป  ข้ากับกำฮอดจะจัดการกับเจียงหัมเอง  

              เจียงหัมนั้นเมื่อพ่ายแพ้ต่อชาวไทก็มีความคับแค้นใจกล่าวโทษ ซุนเจ้งซุนเจียวว่าเหตุใดสูมิระวังให้ดี      ปล่อยให้คนไทนั้นมีช่องว่างคิดการได้ถึงเพียงนี้   ซูนเจียวจึงว่าเหตุที่ท่านข้าหลวงทำให้คนไทเดือดร้อนต่างหากเป็นชนวนของเรื่องนี้ทั้งสองต่อว่ากันยังมิทันจบ     ทหารก็นำตัวทั้งสามออกมาสู่ที่ประชุมเมืองเชียงแส   ทั้งสามคุกเข่าต่อหน้ากำฮอดและกุมภวา   กำฮอดจึงว่าสูรู้ตัวหรือไม่ว่าสูมีความผิดมากมายแค่ไหนเพียงแค่ชาวบ้านไม่ทำตามความต้องการของสู  สูก็สั่งฆาเสีย     ข้าเห็นว่าสูมิควรจะได้ตายอย่างสบายควรจะทรมานสูจนตาย    เจียงหัมกลัวจนหน้าซีดตัวสั่น  ซุนเจียวเห็นดังนั้นจึงตะโกนว่าพวกข้าเป็นชาวจิ๋นมิย่อท้อต่อความเจ็บปวดและทรมานสูจะทำประการใดก็ตามใจเถิดซุนเจียงพูดเช่นนี้เพื่อหวังจะดูถูกเจียงหัมว่าขี้ขลาด    กำฮอดจึงปรึกษาที่ประชุมว่าจะทรมานเช่นใดดี  กุมภวาจึงกระซิบกำฮอดว่าข้ามีความคิดที่ดีกว่านั้น   สูมีความคิดอันใดหรือกำฮอดถามกุมภวา    กุมภวาจึงว่าอย่างไรเสียจิ๋นอ๋องต้องยกทัพมารุกรานเราอีกเป็นแน่หากผู้ที่จะเป็นแม่ทัพนั้น   เป็นเจียงหัมผู้เย่อหยิ่งเราย่อมจะทำลายทัพจิ๋นได้ง่ายดายกว่ามิใช่หรือ   ข้าเห็นว่าให้ขังเจียงหัมไว้ห้องหนึ่ง   แลขังซุมเจ้งซุนเจียวไว้อีกห้องหนึ่งแลให้มีช่องพอที่เจียงหัมจะมองเห็นกันฟังเสียงกันได้   ให้คุกของเจียงหัมนั้นสกปรกปล่อยให้เจียงหัมนั้นอดอยากให้ผู้คุมดุด่าแลดูถูกเจียงหัมให้จงหนัก   ส่วนคุกของซุนเจ้งซุนเจียวนั้นสะอาดแลถูกปฏิบัติอย่างให้เกียรติ  เห็นทีทั้งสองจะกินแหนงเกลียดชังกันยิ่งนัก    ครั้นได้เวลาอันเหมาะสมก็ให้ผู้คุมแกล้งปล่อยทั้งสามคนไปเมื่อทั้งสามคนถึงเมืองจิ๋นได้เข้าพบจิ๋นอ๋อง  เจียงหัมก็จะกล่าวหาว่าซุนเจ้งซุนเจียวนั้นเข้าข้างคนไทละเลยในหน้าที่จนจิ๋นต้องเสียดินแดนในปกครองไป   จิ๋นอ๋องคงจะให้เจียงหัมนำทัพมาสิบสองพันนาสมความคิดเรา   กำฮอดจึงว่าอุบายท่านนั้นดีแท้แลให้คนไปปฏิบัติตามแผนของกุมภวา   ฝ่ายที่ประชุมจึงหารือว่าเชียงแสต้องมีเจ้าเมืองกำฮอดสูเป็นผู้คิดการจนสำเร็จ  สูควรขึ้นเป็นเจ้าเมืองปกป้องชาวเมืองเสีย  แลมอบตำแหน่งแม่ทัพให้กับกุมภวา    กำฮอดและกุมภวาก็ยอมรับ

              เมื่อเจียงหัมนั้นอยู่ในคุกนั้นได้รับความลำบากจากเคยอยู่อย่างสุขสบายต้องอดอยากจนร้างกายซูบผอมแลรู้สึกอับอายจากการกระทำของผู้คุมยิ่งนัก   ผิดกับซุนเจ้งซุนเจียวที่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีก็เกิดแค้นใจคิดว่าสองพี่น้องนั้นฝักใฝ่ฝ่ายไทกระมัง

     

            ฝ่ายกุมภวานั้นก็ประกาศอาสาชายฉกรรณ์เข้าฝึกฝนเพื่อเป็นกองทัพ  สั่งให้ฝึกการใช้ดาบธนูแลการขี่ม้า  ฝึกกระบวนทัพ  แลดาบที่ใช้ฝึกนั้นให้หนักกว่าดาบจริงเท่านึง  ฝึกกันเช้าจรดค่ำ  ทัพเมืองเชียงแสนั้นเมื่อสำรวจแล้วได้ทัพม้าทั้งสิ้น  2000 ม้า  แลพลเท้าอีกราว หมื่นเศษ     กุมภวานั้นควบคุมกองทัพได้เรียบร้อยดุจว่ามีทหารไม่กี่ร้อยนาย  

            ขณะนั้นเวลาเย็นกำฮอดได้ไปพบกุมภวาที่บ้านนอกกำแพงเมืองเชียงแส   เมื่อถึงกุมภวาจึงออกมารับกำฮอดที่หน้าบ้านแลนั่งเสพสุรากันอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน   กำฮอดจึงถามว่าเหตุใดสูจึงมีความรู้นักคุมทหารเรือนหมื่นได้อย่างเรียบร้อยแลรู้ในพิชัยสงครามของชาวจิ๋นอีก   ผิดกับคนไทคนอื่น  สูไปร่ำเรียนวิชาพวกนี้มาจากที่ใดกัน   กุมภวาจึงว่าบิดาและมารดาข้านั้นค้าขายอยู่ระหว่างคนจิ๋นคนไทและเผ่าอื่นๆรอบดินแดนจิ๋น      แต่เมื่อยื่สิบปีก่อนนั้นตอนสงครามที่สิบสองพันนาเสียเอกราชให้กับจิ๋นนั้น  ข้าได้เห็นการรบของคนไทแลคนจิ๋นที่ทุ่งลาดขวัญข้าเสียบิดาแลพี่ชายของข้าในศึกคราวนั้นข้าเลยคิดว่าวันนึงคนไทต้องสู้กับจิ๋นอีกแน่   หลังจากนั้นเมื่อข้าติดตามมารดาข้าไปค้าขายที่เมืองใดก็จะตามหาผู้มีความรู้ในเมืองนั้นแลร่ำเรียนวิชาความรู้เท่าที่จะทำได้    ครั้นมารดาข้าสิ้นใจลง  ข้าก็ยังคงค้าขายอยู่ในแผ่นดินจิ๋นนั้นแล   จนคืนหนึ่งข้าฝันว่าข้าพบบิดาข้าบิดาข้านั้นสั่งให้ข้ากลับมายังเชียงแสบอกข้าว่าความรู้ของข้านั้นเป็นประโยชน์ต่อชาวเชียงแสแล้ว   กำฮอดได้ฟังจบจึงหัวเราะแล้วพูดว่าชาวเชียงแสนั้น  เสียบิดาเพราะชาวจิ๋นเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว

     

               พอเช้าวันใหม่กุมภวาก็ออกไปฝึกทหารตามปกติ   แลมีม้าเร็วเข้ามาแจ้งว่ามีคนขี่ม้ามาจากทิศตะวันตกราวๆห้าสิบหกสิบคนเห็นจะได้   กุมภวาจึงสั่งให้สีสีเมฆคุมทหารออกไปดูลาดเลา  เมื่อกองม้านั้นพบกับสีเมฆนั้นจึงตะโกนมาว่าข้ามาดีมิได้มาร้ายแต่อย่างใด  สีเมฆจึงว่าพวกสูเป็นใครชาวบ้านทั่วไปมิขี่ม้าเป็นขบวนใหญ่เช่นนี้   กองม้านั้นจึงตะโกนบอกว่าเราเป็นตัวแทนมาจากแคว้นเม็งมาเพื่อพบกรมการเมืองเชียงแส  ข่าวแพร่ไปจากแคว้นลือและแคว้นยุโรว่าท่านขับไล่ชาวจิ๋นออกจากสิบสองพันนาไปแล้วจริงรึไม่   สีเมฆจึงว่าดาบของข้าเล่มนี้ตัดหัวชาวจิ๋นมามากแล้วพวกสูจงตามข้ามาเถิดข้าจะพาพวกสูไปพบแม่ทัพของเรา   เมื่อถึงเมื่อเชียงแสแล้วตัวแทนแคว้นเม็งจึงเข้าพบกำฮอดแลกุมภวา  ทั้งสองจึงถามว่าสูชื่ออันใดแลชาวเม็งมีการอันใดกับเรา   ตัวแทนชาวเม็งจึงว่าข้าชื่อ  แสนพล  เป็นเจ้าเมืองเม็งที่ข้าเร่งมาหาพวกสูด้วยตัวเองนั้นเพื่อนมาดูกับตาของข้าเองว่าพวกสูเอาชนะพวกจิ๋นได้จริงๆ  กุมภวาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ แสนพลฟัง  แสนพลฟังจบจึงสั่นหัวแล้วว่าพวกสูน่านับถือนักข้านั้นคิดเช่นพวกสูมานานแล้วแต่ข้านั้นไม่มีความกล้าพอ   กุมภวาว่าเราเพียงกำจัดกองทัพหลักของจิ๋นในแดนไทเมื่อสิ้นทัพหลวงแล้วทหารจิ๋นที่เหลือก็ถอนกำลังกลับไปแดนจิ๋นเอง     แล้วกุมภวาจึงพาแสนพลไปชมการฝึกทหารของชาวเมืองเชียงแส    

                  เมื่อแสนพลเห็นจากฝึกทหารของกุมภวาก็ยิ่งมีความนับถือในตัวกุมภวามากยิ่งขึ้นไปอีก   แสนพลจึงว่าข้ากับ เจ้าพลายเจ้าเมืองเงินยางนั้นเป็นเพื่อนรักกันด้วยข้าช่วยเจ้าพลายปราบชาวเงี้ยวที่เข้ามาก่อกวนตามแดนเมืองเงินยางเจ้าพลายกับข้านั้นใจตรงกันอยู่หากข้าชวนเจ้าพลายมาเข้าร่วมกับสูพวกเราก็จะเข้มแข็งมากขึ้น   กุมภวาจึงคุกเข่าลงคำนับแสนพลแล้วกล่าวว่าข้านั้นเป็นกังวลใจด้วยความสองประการ  ประการแรกข้าเกรงทัพจิ๋นจะมาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้  ประการที่สองคือแคว้นในสิบสองพันนานั้นยังคงไม่รวมกันเป็นหนึ่ง  การที่สูจะเป็นธุระไปว่ากล่าวกับเจ้าพลายนั้นทำให้หายกังวลไปได้ประการหนึ่ง    แสนพลจึงว่าอีกสองวันข้าจะพาแสนพลมาพบกับท่าน

     

                ครั้นแสนพลไปถึงเมืองเงินยางเมื่อพบเจ้าพลาย   เจ้าพลายจึงถามว่าสหายรักสูเป็นเช่นใดสบายดีหรือไม่   แสนพลจึงตอบว่าข้าสบายข้ามีข่าวน่ายินดีมาบอกสูชาวเชียงแสขับไล่ชาวจิ๋นไปได้นั้นเป็นความจริง  เจ้าพลายจึงว่าสูคิดการใดอยู่จงว่ามาเถิด   แสนพลจึว่าสูจงร่วมรบกับชาวเชียงแสเถิด  เจ้าพลายว่าจะดีแล้วหรือหากเราสู้พวกจิ๋นไม่ได้เล่าจะเป็นเช่นใด   แสนพลจึงว่ากุมภวาแม่ทัพของเชียงแสนั้นเก่งกาจยิ่งนักหากเราเพียงสองเมืองก็คงสู้ทัพจิ๋นที่ยิ่งใหญ่เกียงไกรมิได้     แต่หากเราร่วมมือกันชาวไทเราจะแข็งแกร่งเหมือนครั้งอดีตถึงคราวแล้วที่เราจะต้อง   สามัคคีกัน   เพื่อลูกหลานชาวไทของเราจะได้ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของชาวจิ๋นอีก!!!   เจ้าพลายจึงว่าสูนั้นมักจะเตือนสติข้าเสมอสหายรัก   ได้!!!ข้าจะร่วมมือกับชาวเชียงแสข้าจะไปเชียงแสกับสู

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×