ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I am joker ฉันคือตัวตลก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 เสียงหัวเราะ

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 55


    “555++” เสียงหัวเราะดังออกมาจากห้องๆหนึ่งทำให้ฉันเกิดความสงสัยอย่างมาก ฉันจึงพาตัวเองเดินไปเปิดประตูบานนั้นออก และข้างนั้น ฉันก็พบกับความว่างเปล่า

     

    “นี้มันยังไงกันแน่” และตัวฉันเองที่ยังสงสัยไม่เลิกก็เดินเข้าไปในประตูนั้น

     

    “ครืน” และเมื่อได้ยินเสียงแบบนั้น ซึ่งฉันก็รับรู้ได้เลยว่า ประตูมันไดเปิดลงแล้ว และใช่ มันเป็นจริง ประตูบานนั้น บานที่ฉันพึ่งจะเดินเข้ามาได้ปิดลง

     

    “ปล่อยฉันนะ” และฉันก็รีบวิ่งไปเปิดประตู แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้น คือประตูที่ไม่ขยับเขยือนแม้แต่น้อย

     

    “ฮิๆๆ” เสียงหัวเราะที่ดังมาจากข้างหลังของฉัน ทำให้ฉันเสียวสันหลังวาบ ฉันจึงรีบหันไปดู แต่มันกลับไม่มีอะไร

     

    “อีกแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วทำไมทุกคน” และยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบภาพทั้งหมดก็เริ่มหมุนเป็นวงกลม จนฉันเซ ยืนไม่อยู่

     

    “555++ ฮ่าๆๆ ฮิๆๆ หึๆๆ” เสียงหัวเราะทั้งหลายดังขึ้นมา แถมยังดังมากจนฉันต้องปิดหูตัวเองให้แน่น แต่ก็ยังมีเสียงผ่านเข้ามาสู่โสตประสาทของฉัน

     

    “555++” เสียงหัวเราะเหล่านั้นก็ยังคงดังต่อไป

     

    “หึๆ ไม่ชอบหรอ” และมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำให้ฉันหันซ้ายที ขวาทีเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น

     

    “ไม่ต้องหาหรอก ยังไงเธอก็ไม่มีทางหาฉันพบ” เสียงนั้นเตือนฉันก่อนที่ฉันจะกลับมาอยู่นิ่งๆ และเสียงหัวเราะเหล่านั้นก็ได้หายไป

     

    “คุณต้องการอะไรกันแน่” ฉันถามออกไปก่อนจะมองซ้าย-ขวาไม่เลิก

     

    “บอกว่าไม่ต้องพยายามไงละ เพราะอีกไม่นานเราจะได้พบก็แล้ว ส่วนสิ่งที่ฉันต้องการก็คือ เธอ” เสียงนั้นพูดพร้อมทุกอย่างที่เริ่มจะมืดมิดลง

     

    “ทำไม แกต้องการอะไรจากฉัน” เมื่อได้ยินคำตอบออกมาดังนั้นทำให้ฉันเริ่มโมโห

     

    “หึๆ ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นหรอก สบายใจได้ แต่ที่ฉันต้องการคือการที่เธอมารับตำแหน่งหนึ่งตั้งหาก” มันเริ่มพูดพร้อมยิ้มออกมา ทำไมฉันถึงรู้นะหรอ ทั้งๆที่มองไม่เห็นมัน ก็เพราะฉันรู้สึกได้นะสิ ว่ามีสายตาจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มชอบใจ

     

    “ตำแหน่ง?? ตำแหน่งอะไร” ตำแหน่งอะไร ประธานาธิปดีหรอ หรือว่าภารโรง แต่ถ้าเป็นภารโรงจริงๆ ฉันไม่เอาด้วยนะ

     

    “หึๆ หลังจากนี้ เธอก็จะรู้เอง ไปละ แล้วพบกันใหม่ ในอีกไม่นานนี้นะ” แล้วทุกอย่างก็หายไป พร้อมกับมีเสียงแทรกเข้ามา

     

    “โกะ...ซิโกะ...ชิซึโกะ...ชิซึโกะ ตื่นเดี๋ยวนี้” เสียงที่แสนคุ้นเคยของอาจารย์สาวดังขึ้น

     

    “อืม” และฉันที่เริ่มรู้สึกตัวว่าหลับไปในห้องเรียนเริ่มลืมตาขึ้นมาทีละนิด

     

    “อาจารย์” แต่ภาพที่ฉันเห็นมันเลือนลางอย่างมาก

     

    “ชิซึโกะ เธอตัวร้อนมากเลยนะ ใครก็ได้อาสาเพื่อนไปห้องพยาบาลที” และเมื่อครูสาวพูดจบก็มีคนอาสามาช่วยนั้นก็คือนาสึยะ เพื่อนสาวที่ฉันสนิทที่สุดนั้นเอง

     

    “ไปกันเถอะชิซึโกะ” และเธอก็พยุงฉันขึ้น

     

    “อืม ขอบใจนะ” และยังไม่ทันทีฉันจะก้าวเท้าออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้น

     

    “สำออย” มันจี๊ดถึงหัวใจของฉันเลย แต่เมื่อฉันไปหาเจ้าของเสียง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครพูด แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด เสียงนี้เป็นเสียงของ ซิสึเมะ ยัยจอมอวดของห้องเรา

     

    “ชิซึโกะเป็นอะไรรึเปล่า” เสียงของนาสึยะเรียกสติของฉันกลับคืนมาทำให้ฉันรีบตอบกลับเธอไป เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง

     

    “อะ เปล่าจ๊ะ รู้สึกเมื่อกี้หูฉันจะฝาดนะ” ฉันพูดพร้อมหันมายิ้มให้นาสึยะ

     

    “งั้นก็ดีแล้วละ เราไปกันเถอะ” และเธอก็ยิ้มให้ฉันทีหนึ่ง และพวกเราก็เดินไปยังห้องพยาบาล

     

    “คุณครูคะ เพื่อนหนูไม่สบายนะคะ ช่วยรักษาทีคะ” นิสึยะพูดพร้อมส่งฉันให้ครูห้องพยาบาล

     

    “จ๊ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” และหลังจากนั้นครูพยาบาลก็ถามเรื่องต่างๆของฉัน และให้ฉันนอนพัก และในระหว่างนั้นฉันก็ได้ยินเสียงอีกแล้ว มันดังว่า

     

    “มาทำไมก็ไม่รู้ คนกำลังพักสบายๆ” และนั้นก็เป็นน้ำเสียงของครูพยาบาล ซึ่งครูเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด หูฉันฝาดเป็นครั้งที่2ของวันสินะ น่าประหลาดจังแหะ

     

    “...” และฉันก็เผลอหลับไป

     

    “ที่นี้มัน” และฉันที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบกับสถานที่เดิมก็คือสถานที่ที่ฉันฝันเห็นเมื่อตอนนอนหลับในห้องเรียน

     

    “ไงครับ เราพบกันอีกแล้ว” และฉันก็ได้มั่นใจเสียทีว่าเสียงที่ฉันคุยด้วยนั้นเป็นผู้ชาย

     

    “นาย” และฉันที่หันไปมองรอบๆ และถ้ามันเป็นแบบครั้งที่แล้วถ้าฉันหันไปข้างหลังมันคงไม่เจออะไร แต่ครั้งนี้กลับมีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ยืนอยู่ข้างหลัง

     

    “...” เขาไม่พูดอะไรแค่ส่งยิ้มมาให้ฉัน แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ

     

    “ผมบอกแล้วไงว่า เดี๋ยวก็พบกันนะ” เขาบอกก่อนที่จะเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น และฉันก็ถอยหลังไปทีละนิด

     

    “นาย” และใช่ เจ้าของเสียงนี้ก็คือคนที่คุยกับฉันตอนที่ฉันนอนในห้อง และเป็นคนๆเดียวกับคนตรงหน้าฉันด้วย

     

    “ตกใจอะไรหรอ” และยังไม่ทันที่ฉันจะถอยหลังอีกก้าวนายนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว และด้วยความตกใจ สมองสั่งการให้ฉันวิ่ง ฉันจึงวิ่งๆๆ แต่ว่า ฉันก็ต้องรีบหยุด เพราะหมอนั้นมาอยู่ตรงหน้าฉันอีกครั้ง และเมื่อฉันที่กำลังจะวิ่งหนีอีกรอบก็โดนจับมือไว้

     

    “หึ ไม่ต้องหนีหรอกนะ” ถึงเจ้านั้นจะพูดแบบนั้น แต่ฉันก็พยายามวิ่งหนี แต่ว่า...ขามันไม่ยอมขยับ

     

    “หึ บอกแล้วว่าไม่ต้องพยายามหรอกนะ เพราะมันไม่มีผลอะไร” เจ้านั้นพูดพร้อมหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า และด้วยสัญชาติญาณฉันต้องก็สั่งฉันหลับตาปี๋

     

    “กลัวมากเลยหรอ” และเมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็มีเสียงดังอยู่บริเวณหูของฉัน มันทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบและต้องลืมตาขึ้นมา

     

    “นายทำอะไรกับฉัน” และฉันที่หลุดออกมาจากพันธนาการของเจ้านั้นก็รีบพูดออกไปพร้อมกระโดดหนีออกมา

     

    “หึๆ ลองดูที่มือดีๆสิ” และเมื่อเจ้านั้นพูดจบฉันก็ลองมองมาที่มือของตัวเอง และพบกับแหวน ใช่ แหวนแถมยังอยู่ที่นิ้วนางข้างขวาด้วยสิ แถมยังพอดีกับนิ้วฉันเสียด้วย

     

    “ฉันขอหมั้นเธอไว้ก่อนแล้วกัน แล้วเจอกันใหม่ วันพรุ่งนี้นะ” และเมื่อพูดจบฉันก็ตื่นขึ้นมา พอมองไปยังนิ้วมือของตัวเองมันก็มีจริงๆด้วยแหวนนั้นนะ

     

    “อ้าว ชิซึโกะ ตื่นแล้วหรอ ครูพยาบาลถามฉัน

     

    “คะ ดีขึ้นมากแล้วละคะ” ฉันตอบพร้อมหันไปมองนาฬิกา

     

    “ตอนนี้เพื่อนๆกำลังกินข้าวเที่ยงกันอยู่ ไปกินก็ได้นะ ไข้เธอบดแล้ว” ครูพยาบาลพูดพร้อมส่งยิ้มมาให้

     

    “คะ ขอบคุณนะคะ” และเมื่อฉันกำลังจะปิดประตูหมดทั้งบานฉันก็ได้ยินเสียงว่า

     

    “ไปสักที น่ารำคาญ” และฉันเชื่อว่าครั้งนี้ ไม่ใช่หูฝาด แต่ทำไมกัน ความคิดที่ปักใจเชื่อแบบนี้

     

    “ไง” และเมื่อฉันเดินเข้ามาในห้องก็พบกับนาสึยะที่นั่งรอฉันอยู่

     

    “อ้าว นาสึยะ เธอยังไม่ไปกินข้าวหรอ” ฉันถามออกไปพร้อมค้นหาข้าวกล่องในลิ้นชักของตัวเอง

     

    “อืม ฉันรอเธออยู่นะ” เธอตอบฉันด้วยคำตอบที่ทำให้ฉันนิ่งอึ้งไปเลยว่า

     

    “ทำไม เธอถึงรอละ” ฉันตอบพร้อมหยิบข้าวกล่องออกมาจากโต๊ะ

     

    “ไม่รู้สิ แต่ฉันคิดว่าเธอจะต้องขึ้นมาตอนนี้แน่เลยนะสิ” เธอบอกฉันก่อนที่จะพาออกนอกเรื่อง

     

    “เราไปกินข้าวกันเถอะ” และเธอก็พาฉันกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนๆ และพวกเราก็หัวเราะกันอย่างสบายใจ แต่เอะ แล้วแหวนวงนี้ ไม่มีใครเห็นอย่างงั้นหรอ

     

    ขอหมั้น โอ้ แม่เจ้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×